อยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,BoyLove,JustFriend,ดราม่า,yaoi,BL,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zoneอยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
-------------------- จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! ------------------
"ถ้าแอบรักแล้วเราบอกออกไป การแอบรักจะดูหมดความหมาย...
ฉันจึงเลือกทางที่สบายใจ เก็บความลับที่แท้จริงมันสวยงามเพียงใด..."
"แค่เพื่อนแล้วกัน.. เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้..."
Run Kantheephop
20210424.
เข็มนาฬิกาที่อยู่บนผนังบ้านชี้บอกเวลา 18:30 น. เฟรนด์ยังคงนอนไหลอยู่บนโซฟาคิดไม่ตกว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับจัสท์ดีมั้ย เพราะอย่างรู้กันว่าการพูดเรื่องนี้อาจทำให้จัสท์กับเขาต้องมีปากเสียงกันก็ได้ แต่เขาเองก็รู้สึกว่าไม่อยากให้เพื่อนตัวเองโดนหลอก เขายีหัวตัวเองอย่างแรงเพราะหาทางออกให้กับเรื่องนี้ไม่ได้
“เป็นไรวะ” จัสท์ที่เดินเข้ามาเอ่ยทักขึ้น
“เชี่ยย” เฟรนด์สะดุ้งตัวโยนลุกขึ้นนั่ง “เข้ามาตอนไหนวะ”
“ก็ตอนที่มึงกำลังเป็นบ้า หยุมหัวตัวเองอยู่นี่ไง” จัสท์หัวเราะแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ
“มีไรเปล่า”
“เปล่า วีคนี้ไม่มีแขกเข้าพักอะ เลยว่างๆ” จัสท์เอนตัวพิงกับพนักโซฟาแล้วหันมองหน้าเฟรนด์
“อ่อ”
“แล้วมึงเป็นอะไร เครียดเหรอ”
“ก็นิดหน่อย” เฟรนด์บอกแล้วหยิบรีโมทมาจะกดปิดทีวีที่เปิดทิ้งไว้
“เอ้ย ไม่ต้องๆ กูชอบดูเรื่องนี้” จัสท์คว้าข้อมือเฟรนด์ยั้งเอาไว้เพราะหนังที่กำลังเปิดอยู่บนหน้าจอดันเป็นเรื่องที่เขาชอบ
“...” เฟรนด์มองหน้าจัสท์นิ่งแล้วไม่พูดอะไรจนคนตัวสูงหันมาเห็น
“มีไรป่ะเนี่ย มองหน้ากูแล้วก็ไม่พูด”
“อืม.. ไม่รู้จะพูดยังไงดี” เฟรนด์บอกเสียงอ่อนท่าทีเป็นกังวล
“เรื่องกูเหรอ” จัสท์เอ่ยถามพลางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง
“ก็ใช่... แล้วนี่แจนไม่อยู่เหรอ”
“เห็นบอกว่าจะไปบ้านเพื่อนนะ”
“อ่อ”
“สรุปจะเล่าได้ยังว่ามีเรื่องอะไร” จัสท์ถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม
“ลองดูนี่” เฟรนด์เปิดคลิปที่โต้งแอบถ่ายเอาไว้ให้จัสท์ดู
“อะไรวะ” คนตัวสูงเอ่ยถามก่อนจะคว้ามาดูแล้วก็นิ่งไป “แจนเหรอ”
“อือ กูกับโต้งบังเอิญเห็นตอนที่อยู่คาเฟ่ในตลาดอะ”
“โต้ง?”
“จำไอ้โต้งได้ใช่ป้ะ ที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับพวกเรา”
“จำได้ละ ที่เป็นลูกชายนายพล” จัสท์พยักหน้ารับแล้วเลื่อนคลิปวิโอกลับไปดูใหม่ตั้งแต่แรก
“มึงโอเคป่ะเนี่ย ตอนแรกกูก็ไม่อยากบอกเพราะเป็นห่วงความรู้สึกมึง” เฟรนด์เอ่ยพูดเสียงเบาพลางเลื่อนมือไปจับมือของจัสท์เอาไว้เพราะอีกฝ่ายนิ่งมากเกินไปจนทำเอาใจของเขารู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“โอเค ไม่น่ามีไรหรอก อาจจะเพื่อนสนิทแหละ” จัสท์บอกเสียงนิ่งก่อนจะยื่นมือถือคืนให้เฟรนด์
“กูก็คิดว่างั้น ไว้รอหลักฐานที่มันชัดเจนกว่านี้ดีกว่าเนอะ”
“แต่เพื่อนกันเขาหอมแก้มกันเหรอวะ” จัสท์เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
“...”
“ใช่มั้ยไอ้เฟรนด์! กูกับมึงยังไม่เคยหอมแก้มกันเลย”
“อือ”
“แจนเขามีคนอื่นเหรอวะ ตอนที่คบกับกูเนี่ยนะ” จัสท์เอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงนัก แม้แต่แววตาก็แอบสั่นครอน
“ใจเย็นก่อนมึง ไว้ค่อยคุยกับแจนดูก็ได้” เฟรนด์ลูบไหล่ปลอบ
“กูกลับบ้านก่อนละกันนะ” จัสท์ลุกพรวดพราดเดินตึงตังออกไปทันที
วันนั้นก็เลยจบด้วยการที่ทั้งเฟรนด์และจัสท์ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกในเรื่องนี้ แต่ความกังวลมันก็ยังสะสมอยู่ภายในจิตใจของเฟรนด์อาจจะเพราะด้วยความห่วงใยที่เขามีต่อจัสท์ทั้งในฐานะที่เป็นเพื่อนสนทิและในฐานะที่เป็นคนที่เขาแอบชอบมานาน คนตัวเล็กอยากจะให้เรื่องนี้คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีแต่ก็ไม่อาจมองเห็นอนาคตได้ว่ามันจะจบลงได้ยังไง
คืนนี้เป็นอีกคืนที่เฟรนด์ไม่สามารถทำงานของตัวเองให้สำเร็จลุล่วงไปได้ เพราะในระหว่างที่ถ่ายคลิปวาดรูปอยู่นั้นในหัวของเขาก็ยังคงประมวลผลเป็นภาพเหตุการณ์ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เขาเห็นที่ตลาดหรือภาพจัสท์ที่กำลังอ่อนไหวกับสิ่งที่เห็น ซึ่งมันทำให้เขาต้องหยุดงานลงกลางคันแล้วหนีขึ้นไปอาบน้ำนอนแทน
เช้าวันรุ่งขึ้นเฟรนด์ลืมตาตื่นพร้อมๆ กับที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า จะว่าไปเขาเองก็ไม่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้มาพักใหญ่แล้วเพราะปกติจะนอนตอนที่ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นเสียมากกว่า และที่เขาตื่นเช้าขนาดนี้ก็คงเป็นเพราะว่าเขานอนไม่หลับจากเรื่องของจัสท์นั่นแหละ
คนตัวเล็กลากตัวเองในชุดนอนลงไปด้านล่างเหมือนกับทุกๆ วันที่เขาตื่นเช้าลงไปยังชั้นหนึ่งแล้วเปิดประตูออกไปเพื่อจะรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้หน้าบ้าน ระหว่างที่ก้าวขาผ่านพ้นประตูออกไปยังหน้าบ้านสายตาของเขาก็หันไปมองทางโฮสเทลแต่ไม่เห็นรถยนต์ของจัสท์ก่อนจะพบว่าที่ด้านหน้าประตูโฮสเทลมีป้ายปิดประกาศไว้ว่าปิดปรับปรุง
“ไปไหนของมันวะ” เฟรนด์พึมพำกับตัวเองก่อนจะคว้าสายยางขึ้นมาแล้วเปิดก๊อกน้ำจนน้ำไหลออกมาเป็นสาย เขาค่อยๆ รดน้ำต้นไม้ทีละต้น ทีละต้น ในหัวก็พลางคิดเป็นห่วงว่าอีกฝ่ายออกไปไหน ปกติถ้ารถไม่อยู่เขาก็ยังพอเข้าใจได้ว่าจัสท์อาจจะออกไปธุระอะไรข้างนอก แต่นี่ดันมีป้ายปิดปรับปรุงแปะอยู่หน้าโฮสเทลยิ่งทำให้น่าสงสัยเข้าไปใหญ่
แต่ความกังวลของเขาก็เกิดขึ้นได้ไม่นานเมื่อขณะที่เขากำลังม้วนเก็บสายางหลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จรถของจัสท์ก็ขับเข้ามาพอดี คนตัวเล็กรีบเดินไปเก็บสายยางแล้วเดินไปรอที่หน้าโฮสเทลของอีกฝ่าย
“ไปไหนมาวะ” เฟรนด์เอ่ยถาม
“ตลาดอะ ไปหาไรกิน” จัสท์ตอบแล้วชูถุงหูหิ้วที่ใส่กับข้าวและของกินอื่นๆ ให้คนตัวเล็กดู
“แล้วปิดโฮสเทลทำไมอะ”
“ก็วีคนี้ไม่มีแขกเลยปิดซะหน่อย เผื่อซ่อมนู่นนี่นั่น กูก็จะได้พักด้วย” จัสท์พูดไปพลางมือก็ไขกุญแจเปิดประตูบ้านไปพลาง
“พักกายหรือพักใจ”
“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ” คนตัวสูงพูดพลางยิ้มบางๆ
“ไหนบอกรอให้อะไรมันชัดเจนก่อนไง” เฟรนด์แซว
“กูก็พูดไปงั้น เห็นแฟนตัวเองอยู่กับผู้ชายคนอื่นแถมยังหอมแก้มกันด้วย จะไม่ให้คิดมากได้ไง”
“กูเข้าใจ”
“แถมเมื่อวานก็ไม่ได้กลับบ้านบอกว่าจะนอนบ้านเพื่อน” จัสท์ถอนหายใจแรง
“แล้วมึงก็ยอมเหรอ” คนตัวเล็กถามอย่างสงสัย
“เข้าไปคุยต่อข้างในมั้ย จะได้แดกข้าวด้วย มึงกินยัง”
“ยังอะ กูปิดประตูบ้านแป๊บ” เฟรนด์เดินหันหลังไปลากประตูเลื่อนให้ปิดแต่ไม่ได้ล็อกก่อนจะเดินตามจัสท์เข้าไปด้านในโฮสเทล
ทั้งคู่เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวตัวประจำที่พวกเขามักมานั่งกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ กับข้าวในถุงถูกแกะแล้วเทออกมาใส่จานที่ถูกนำมาวางไว้ ก่อนที่คนตัวสูงจะหยิบถุงข้าวสวยมาเทใส่จานแล้วเลื่อนให้เฟรนด์ที่นั่งอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงเทอีกถุงให้ตัวเอง
“มึงโอเคเหรอที่แจนไม่กลับบ้านอะ” เฟรนด์ถาม
“ไม่โอเคหรอก แต่จะให้กูทำไงอะ ไม่อยากรีบปรักปรำเขาทั้งๆ ที่ยังไม่มีหลักฐาน”
“แต่พวกมึงก็ควรจะคุยกันให้รู้เรื่องนะเว้ย” เฟรนด์บอกด้วยน้ำเสียงแข็ง
“กูรู้ แต่กูอยากจะคุยกันต่อหน้ามากกว่าไง” จัสท์บอกพลางตักข้าวเข้าปาก
“ตามใจมึงละกัน มีอะไรให้ช่วยก็บอก”
ทั้งสองคนนั่งกินข้าวกันเงียบๆ ต่อจากนั้น เพราะเฟรนด์ก็ไม่อยากจะละลาบละล้วงต่อไปมากกว่านี้แล้วเพราะว่าจัสท์ก็ดูมีท่าทีที่พยายามจะไม่สนใจเรื่องแจนสักเท่าไหร่ ไม่รู้เพราะกลไกร่างกายกำลังปฏิเสธเรื่องราวเหล่านี้อยู่หรือเปล่าจึงทำให้เขาดูเหมือนจะไม่ได้เสียใจสักเท่าไหร่นัก เฟรนด์ก็เลยไม่กล้าจะต่อความยาวสาวความยืด
กริ๊งงง~
เสียงโทรศัพท์มือถือของจัสท์ดังขึ้นเขาจึงเหลือบไปมองหน้าจอแล้วพบว่าแฟนสาวของเขาเป็นคนโทรมา ทีแรกเขาลังเลอยู่พักใหญ่ว่าจะรับหรือไม่รับดี แต่เฟรนด์ก็สะกิดเรียกสติว่าให้รีบรับจะได้รู้ว่ามีอะไร
“ฮัลโหล”
(...)
“อ่อ จะไปเลยเหรอ
(...)
“แล้วไม่กลับมาเก็บของก่อนเหรอ”
(...)
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ ไว้นี่พาไปก็ได้”
(...)
“โอเค ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ถึงแล้วบอกนะ”
จัสท์กดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะถอนหายใจแรงด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาหันไปมองหน้าคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านข้างแล้วนิ่งไปไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่แววตาของเขานั้นมันแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังรู้สึกไม่ดีกับโทรศัพท์สายเมื่อครู่นี้
“แจนหรอ” เฟรนด์เอ่ยถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่าย
“อือ”
“มีไรเปล่า”
“แจนบอกว่าจะกลับเชียงใหม่” จัสท์เอ่ยลอกเสียงอ่อน
“ตอนนี้เลยอะนะ”
“อือ เขาบอกว่าเพื่อนจะไปเที่ยวพอดีเลยจะขอไปด้วยกันเลย” จัสท์อธิบายต่อ
“งงเหมือนกันแฮะ ปกติเขาก็เป็นคนแบบนี้เหรอ ติดเพื่อนไรงี้”
“ก็มีบ้าง”
“อ่อ”
“จริงๆ กูคงไม่รู้สึกอะไรถ้าไม่เห็นคลิปที่มึงเอามาให้ดูเมื่อวานนี้ เพราะเขาก็ชอบไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยๆ แต่รอบนี้มันแปลก มันดูปุบปับแม้แต่กระเป๋าเสื้อผ้าก็ฝากไว้ที่โฮสเทลก่อน” จัสท์ร่ายยาวแบบไม่เข้าใจราวกับจะสติแตก
“กูว่า... วันนี้เราออกไปเที่ยวข้างนอกกันดีมั้ย เผื่อมึงจะได้หายเครียด อยู่คนเดียวมึงก็จมอยู่กับเรื่องนี้ไม่น่าจะดีสักเท่าไร” เฟรนด์บอกพลางยกมือขึ้นลูบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อให้คนตัวสูงได้รู้ว่าอย่างน้อยในช่วงเวลาแย่ๆ แบบนี้ก็ยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆ
“กูไม่อยากไปไหนเลยว่ะ”
“ไปเหอะน่า เดี๋ยวกูพาไป” เฟรนด์ลุกขึ้นยืนแล้วคว้ามือจัสท์ให้ลุกขึ้นยืนแล้วดึงมือออกไปทันที
คนตัวเล็กยื่นมือไปขอกุญแจรถจากจัสท์เมื่อพากันเดินมาถึงหน้าบ้านตรงบริเวณที่รถของคนตัวสูงจอดอยู่ จัสท์ยื่นกุญแจรถให้อีกฝ่าย ทันทีที่เฟรนด์กดปลดล็อกแล้วเปิดประตูรถกำลังจะก้าวขึ้นไปจัสท์ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้
“มึงขับรถเป็นเหรอ”
“กูขับได้” เฟรนด์บอกเสียงหนักแน่น
“แน่ใจนะ”
“แต่ไม่แข็ง แหะๆ” คนตัวเล็กเสียงอ่อนลงทันที
“เห้อ มา กูขับเอง” จัสท์ยื่นมือไปขอกุญแจรถคืนจากอีกฝ่าย ซึ่งเฟรนด์ก็ยอมคืนให้แต่โดยดีแม้จะมีอาการหน้ามุ่ยอยู่เล็กน้อย
รถยนต์ขับออกไปโดยที่คนโดยสารอย่างเฟรนด์ก็ยังไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของคนขับจะไปสิ้นสุดที่ใด ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนริเริ่มความคิดชวนจัสท์ออกไปเที่ยวข้างนอกเพื่อให้ลืมเรื่องแจนแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“สรุปไปไหนอะ” จัสท์เอ่ยถาม
“เอ้า กูก็นึกว่ามึงมีที่จะไปแล้ว เห็นบอกจะขับเอง” เฟรนด์หันมามองคนข้างๆ ด้วยสีหน้างงงวย
“กูก็ยังไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน”
“หรือจะไปอัมพวา?” คนตัวเล็กเสนอความคิด
“ตลาดน้ำอะนะ”
“อือ ไปมั้ย”
“ไกลป้ะ”
“ไม่นะ จากตรงนี้ไปแค่ 20 นาที”
“เค เปิดแมพแป๊บ”
มือหนาคว้ามือถือขึ้นมาแสกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกแล้วใช้นิ้วโป้งกดเปิดแอพลิเคชั่นแผนที่แล้วจิ้มชื่อสถานที่ปลายทาง ส่วนอีกมือหนึ่งก็จับพวงมาลัยรถไว้มั่นเพื่อคอยควบคุมให้รถยังคงทรงตัวอยู่ได้
“ให้กูพิมพ์ให้ก็ได้มั้ย อันตรายชิบหาย” เฟรนด์เอ่ยบ่น
“ก็มันชินอะ”
“เออๆ ขับดีๆ”
รถยนต์วิ่งไปตามถนนสายเดิมที่เฟรนด์คุ้นเคยแต่สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมก็คงจะเป็นความรู้สึกในใจของเขาในตอนนี้ แปลกดีที่การนั่งรถไปกับจัสท์ในครั้งนี้มันช่างแตกต่างกับตอนที่พวกเขาพากันไปทำบุญที่วัดเป็นอย่างมาก แต่ก็คงเพราะในตอนนั้นเขากับจัสท์ยังไม่ญาติดีกันด้วยก็เลยทำให้ความรู้สึกมันไม่เหมือนในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
เพลงบนรถที่คลอบรรเลงระหว่างทางก็ยิ่งเร่งบรรยากาศความกระอักกระอ่วนในใจของเฟรนด์ได้เป็นอย่างมาก เพราะมันดันเป็นเพลงแอบรักแทบจะทุกเพลงในเพลย์ลิสต์ยิ่งฟังมันก็ยิ่งปั่นป่วนหัวใจให้รู้สึกหวั่นไหวมากขึ้นอีก
ก็ดูใบหน้าคมของคนข้างๆ ที่กระทบกับแสงอาทิตย์ในตอนนี้ดูสิ...
ใครไม่หวั่นไหวก็บ้าแล้ว!
“คนเยอะจัง” เฟรนด์บอกเมื่อรถของจัสท์ขับเข้ามาจอดในลานจอดรถของวัดที่อยู่ด้านข้างของตลาดน้ำอัมพวา
“วันนี้วันหยุดไง”
“เออใช่ ไปเหอะ มีไอติมร้านหนึ่งอร่อยมาก เดี๋ยวพาไปกิน” เฟรนด์บอกแล้วรีบเปิดประตูรถก่อนจะก้าวลงไปโดยมีจัสท์ตามมาติดๆ
ผู้คนจำนวนมากเดินเบียดเสียดกันอยู่ตามทางเดินริมน้ำในพื้นที่ของตลาดน้ำอัมพวา เฟรนด์กับจัสท์พยายามเดินแทรกเข้าไปเพื่อที่จะไปหาร้านนั่งเพื่อจะได้ไม่ต้องอึดอัดจากจำนวนคนที่เดินสวนกันไปมา แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกๆ ร้านจะเต็มไปด้วยลูกค้าแน่นขนัด ทีแรกคนทั้งคู่ก็จะแวะร้านกุ้งเผาที่แม่ค้านั่งเผากุ้งอยู่ในเรือที่จอดอยู่ริมท่าน้ำโดยมีเก้าอี้กับโต๊ะที่ต้องนั่งกินแบบนั่งยองแต่เพราะจำนวนคิวของลูกค้าที่ต่อแถวยาวก็เลยพากันตัดใจแล้วเดินต่อไปข้างหน้าเพื่อหาร้านอื่น
“คนเยอะชิบหาย” จัสท์บ่นพลางสอดส่ายสายตาหาร้านที่ลูกค้าน้อย
“ก็ปกติแหละ”
“หรือเราย้ายไปที่อื่นดี”
“ไอ้จัสท์ ใจเย็นๆ มึงโมโหหิวป่ะเนี่ย” เฟรนด์ถามด้วยน้ำเสียงแซวๆ
“กูแค่ร้อนเฉยๆ”
“งั้นกินไอติมแก้ร้อนกัน” คนตัวเล็กดันหลังคนข้างหน้าให้เดินแทรกไปยังร้านไอศกรีมที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ไอติมมั้ยค้าบบ ไอติมอัมพวาหลากหลายรสชาติ แก้ร้อน แก้ช้ำใน แก้อกหักรักคุด แก้ได้ทุกอย่างเลยครับ” พ่อค้าที่ยืนอยู่ที่เคาท์เตอร์หน้าร้านร้องเรียกเสียงดังลั่นเมื่อเห็นจัสท์กับเฟรนด์เดินเข้ามา
“เชี่ย พ่อค้าไอติมหรือหมอดูวะเนี่ย” คนตัวเล็กหันไปกระซิบข้างหูจัสท์
“เหมือนรู้ว่ากูกำลังช้ำใจ”
“เออดิ”
ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มในลักษณะวัยกลางคนที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงนั้นมือหนึ่งถือถ้วยกระดาษส่วนอีกมือหนึ่งถือที่ตักไอศกรีม
“สีหน้าแบบนี้ มีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ ใช่มั้ยครับ” พ่อค้าไอศกรีมเอ่ยทัก
“...”
“ไม่ตอบ ไม่เป็นไรครับ ผมมีรสชาติที่เหมาะกับน้องมาแนะนำครับ” พ่อค้าก้มไปตักไอศกรีมสีเหลืองนวลทางด้านขวาของตู้แช่ใส่ช้อนไม้อันเล็กๆ ที่มีไว้สำหรับให้ลูกค้าชิมก่อนจะยื่นให้กับจัสท์ “นี่ครับ”
“รสอะไรเหรอครับ” คนตัวสูงเอ่ยถามพ่อค้ากลับอย่างสงสัย
“ไอติมรสเบียร์ครับ”
“ห้ะ?”
“รสเบียร์ครับ ลองชิมดูครับ”
จัสท์คว้าช้อนไอศกรีมนั้นมาชิมแบบงงๆ “อื้อ อร่อยดีครับ”
“แต่ขอเป็นรสอื่นดีกว่าครับ”
“งั้นเอาเป็นอันนี้มั้ยครับ รสมะม่วงน้ำปลาหวาน เป็นรสพิเศษมีแค่ช่วงนี้นะครับ” พ่อค้ายื่นอันใหม่มาชิม “มีพริกเกลือให้โรยเป็นท้อปปิ้งด้วยนะครับ”
“เห้ย อันนี้เจ๋งอะ ผมขอชิมด้วยได้มั้ยครับ” เฟรนด์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เอาของกูไปเลย กูไม่ชอบอะไรเปรี้ยวๆ” จัสท์บอกแล้วยื่นช้อนไอศกรีมมะม่วงน้ำปลาหวานให้อีกฝ่าย
“หืมมม อร่อยมากครับ สดชื่นดี ผมเอาอันนี้ถ้วยหนึ่งครับ”
“ครับผม” พ่อค้าคว้าที่ตักไอศกรีมลงไปตักไอศกรีมในกล่องที่แช่อยู่ในตู้ใส่ถ้วยราดซอสน้ำปลาหวานพร้อมโรยพริกเกลือก่อนจะยื่นให้
“ขอบคุณครับ”
“แล้วอีกคนรับอะไรดีครับ” พ่อค้าหันไปถามจัสท์ที่กำลังยืนอ่านเมนูอยู่
“ผมเอาไอติมปลาทูต้มหวานครับ” จัสท์เอ่ยบอก
“ห้ะ?” เฟรนด์อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “มันมีไอติมรสนี้ด้วยเหรอ”
“มีดิ ก็กูอ่านอยู่นี่ไง”
“เป็นเมนูฟิวชั่นของร้านครับ” พ่อค้าพูดเสริม
“ผมเอาอันนี้แหละครับ อยากลองดูครับ” จัสท์ยิ้ม
พ่อค้าตักไอศกรีมรสดังกล่าวให้จัสท์ก่อนจะรับเงินจากลูกค้าทั้งคู่ จากนั้นเฟรนด์และจัสท์จึงเดินออกจากร้านนั้นไปหาที่นั่งเพื่อจะกินไอศกรีมที่เพิ่งซื้อมา พวกเขาทั้งคู่เดินผ่านเข้าไปยังลานด้านหลังของตลาดที่อยู่ในพื้นที่สวนและถูกจัดเป็นตลาดนัดโบราณในนั้นยังพอมีโต๊ะว่างให้นั่งได้อยู่บ้าง ทั้งคู่จึงเดินตรงเข้าไปนั่งยังโต๊ะตัวที่อยู่ตรงกลางของตลาดซึ่งยังว่างอยู่และดูจะสะอาดที่สุดในบรรดาโต๊ะอื่นๆ
“ค่อยยังชั่วหน่อย” จัสท์ถอนหายใจยาวออกมาเมื่อหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้
“เออ หายใจหายคอสะดวกขึ้นเยอะ”
“ลองชิมมั้ย” คนตัวสูงยื่นถ้วยไอศกรีมของตัวเองออกมาให้คนตรงหน้า
“ไอติมปลาทูต้มหวานอะนะ”
“อือ อร่อยนะ” จัสท์พูดย้ำ
“...”
“แบบแปลกๆ” คนตัวสูงพูดจบก็หัวเราะออกมาเบาๆ ทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหลุดขำออกมาด้วย
เฟรนด์หยิบช้อนจ้วงตักลงไปในไอศกรีมตรงหน้าแล้วเอาเข้าปากก่อนจะทำหน้าเหยเกเพราะรสชาติที่แปลกประหลาดเมื่อเนื้อไอศกรีมสัมผัสเข้าที่ลิ้นซึ่งมันยิ่งทำให้คนทั้งคู่หัวเราะออกมาหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ามันไม่อร่อยแต่เพราะตลกหน้าของเฟรนด์เสียมากกว่า
ขณะที่จัสท์และเฟรนด์กำลังกินไอศกรีมและนั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นสายตาเรียวของคนตัวเล็กก็เหลือไปเห็นบางอย่างที่ริมถนน เป็นลักษณะท่าทางและใบหน้าที่เขารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดีแต่เพราะด้วยตัวเองที่มีภาวะสายตาสั้นเล็กน้อยจึงไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นใครคนนั้นที่เขารู้จักหรือเปล่า จึงทำได้เพียงสะกิดร่างสูงตรงหน้าให้ช่วยหันไปดู
“มึง... นั่นแจนป่ะวะ”
“ไหนวะ” จัสท์หันขวับไปมองด้านหลัง
“นั่นอะ ที่เดินอยู่ริมถนนกับผู้ชายเสื้อดำใส่หมวก”
“...” จัสท์นิ่งไปเมื่อเห็นภาพคนรักของตัวเองกำลังเดินควงกับหนุ่มอื่นด้วยใบหน้าสดใสแถมยังควงแขนกระหนุงหระหนิงกันแบบที่เพื่อนปกติจะไม่ทำกัน เขารีบหันขวับกลับมามองหน้าเฟรนด์ด้วยสีหน้าตกใจ น้ำตาคลอ ดวงตาแดงกล่ำ
“เชี่ย!” เฟรนด์อุทานตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า “แจนจริงๆ เหรอ”
“อือ ทำไมวะ”
“...”
“ทำไมเขาทำแบบนี้กับกูวะ” เสียงสั่นของจัสท์หลุดออกมาจากปากอย่างยากลำบาก
“มึงมากับกู” เฟรนด์คว้าข้อมือจัสท์ให้ลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินตรงไปหาแจนทันที
สองขาของคนทั้งคู่รีบก้าวตามแจนไปติดๆ ทั้งๆ ที่จัสท์พยายามจะรั้งตัวเองไว้เพราะไม่อยากจะมีเรื่องและไม่อยากเผชิญหน้ากับปัญหาระหว่างเขากับแจนในตอนนี้ แต่เฟรนด์ก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เพราะคนตัวเล็กรู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องใหญ่เพราะแจนกำลังทำร้ายและหักหลังเพื่อนของเขาอยู่ มันเจ็บแค้นอยู่ในใจลึกๆ ว่าทั้งที่จัสท์เลือกที่จะรักและคบกับแจนในฐานะแฟนแล้วทำไมแจนถึงไม่ยอมรักษาสิ่งนี้ไว้ เพราะตัวเขาเองอยากจะยืนอยู่ในจุดนั้นใจแทบขาดแต่ก็ทำไม่ได้
“แจน” เฟรนด์สะกิดไหล่จากด้านหลังของแจนขณะที่เดินตามเข้าไปใกล้ ภาพหัวของแจนที่ซบไหล่ชายหนุ่มคนอื่นอยู่นั้นช่างบาดตาบาดใจจัสท์มากทีเดียว
“จัสท์!!!!” แจนตกใจร้องลั่นออกมาเมื่อหันกลับมาเห็นแฟนของตัวเองยืนอยู่ด้านหลัง
“...” จัสท์ได้แต่ยืนมองนิ่งไม่พูดอะไร
“หวัดดีแจน มากับใครหรอ” เฟรนด์เอ่ยทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่คำทักทายที่แจนได้ยินมันพุ่งแทงเข้าไปที่จิตใจของเธอทันที
“เอ่อ.. คือ..”
“เพื่อนหรอ?” คนตัวเล็กถามจี้
“ชะ... ใช่”
“ผมเป็นแฟนแจนครับ” ชายหนุ่มคนนั้นแนะนำตัวเองพร้อมยิ้มกว้าง
“ห้ะ?” เฟรนด์อุทานออกมาเสียงดัง
“ว่าไงนะ” จัสท์จ้องตาเขม็ง
“ใจเย็นก่อนเธอ” แจนพยายามพูดกับจัสท์ด้วยน้ำเสียงประนีประนอม มือบางเอื้อมแตะไหล่หนาของอีกฝ่ายแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยช่วยสักเท่าไหร่
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” คนตัวสูงเอ่ยถามเสียงนิ่ง
“...” แจนนิ่งไม่ยอมตอบ
“โอเค ไม่ตอบก็ไม่ตอบ” จัสท์เอ่ยพูดพร้อมน้ำตาคลอก่อนจะตัดสินใจก้าวเดินออกจากตรงนั้นทันทีแต่ก็ถูกมือบางของแจนคว้าแขนเอาไว้แน่น
“จัสท์.. อย่าเพิ่งไป”
“...” จัสท์หันมองหน้าแจนนิ่งก่อนจะเบนสายตาไปมองที่ข้อมือของตัวเองแล้วพยายามสะบัดแขนของตัวเองออกจากกำมือของแจน
“จัสท์...” หญิงสาวเอ่ยเรียกเสียงอ่อน
“เราเลิกกันเหอะ” จัสท์พูดจบก็รีบเดินออกไปจากตรงนั้นทันทีโดยมีเฟรนด์รีบวิ่งตามไปทันทีทิ้งให้แจนกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ไปจัดการปัญหาของพวกเขาต่อกันเอาเองว่าจะยังคบกันต่อไปทั้งๆ ที่รู้ว่าแจนแอบคบซ้อนหรือสุดท้ายแจนจะไม่เหลือใครที่ยืนอยู่ข้างกายเลยแม้แต่คนเดียว...
#จฟเพื่อนไม่ไหว