อยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้

จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone - บทที่ 17 ธาตแท้ไม่ไหว Part 2 โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,BoyLove,JustFriend,ดราม่า,yaoi,BL,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

BoyLove,JustFriend,ดราม่า,yaoi,BL,นิยายวาย

รายละเอียด

จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

-------------------- จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! ------------------

 

"ถ้าแอบรักแล้วเราบอกออกไป การแอบรักจะดูหมดความหมาย...

ฉันจึงเลือกทางที่สบายใจ เก็บความลับที่แท้จริงมันสวยงามเพียงใด..."

 

"แค่เพื่อนแล้วกัน.. เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้..."

Run Kantheephop

20210424.

สารบัญ

จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-INTRO บทนำ,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 1 หงุดหงิดไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 2 เคืองไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 3 แค้นไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 4 ตกใจไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 5 รื้อฟื้นไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 6 ไร้สาระไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 7 ใจสั่นไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 8 เฉลยไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 9 รู้สึกไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 10 จุดเปลี่ยนไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 11 ย้อนความหลังไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 12 คลี่คลายไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 13 ดราม่าไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 14 กระอักกระอ่วนไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 15 แทบทนไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 16 ธาตุแท้ไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 17 ธาตแท้ไม่ไหว Part 2,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 18 เป็นเพื่อนไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 19 เปิดตัวไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-บทที่ 20 รักกันไม่ไหว,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-ตอนพิเศษ 1 ความลับที่เชียงใหม่,จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zone-ตอนพิเศษ 2 ครบรอบ 10 ปี

เนื้อหา

บทที่ 17 ธาตแท้ไม่ไหว Part 2

เข็มนาฬิกาที่อยู่บนผนังบ้านชี้บอกเวลา 18:30 น. เฟรนด์ยังคงนอนไหลอยู่บนโซฟาคิดไม่ตกว่าควรจะบอกเรื่องนี้กับจัสท์ดีมั้ย เพราะอย่างรู้กันว่าการพูดเรื่องนี้อาจทำให้จัสท์กับเขาต้องมีปากเสียงกันก็ได้ แต่เขาเองก็รู้สึกว่าไม่อยากให้เพื่อนตัวเองโดนหลอก เขายีหัวตัวเองอย่างแรงเพราะหาทางออกให้กับเรื่องนี้ไม่ได้

 

“เป็นไรวะ” จัสท์ที่เดินเข้ามาเอ่ยทักขึ้น

 

“เชี่ยย” เฟรนด์สะดุ้งตัวโยนลุกขึ้นนั่ง “เข้ามาตอนไหนวะ”

 

“ก็ตอนที่มึงกำลังเป็นบ้า หยุมหัวตัวเองอยู่นี่ไง” จัสท์หัวเราะแล้วหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ

 

“มีไรเปล่า”

 

“เปล่า วีคนี้ไม่มีแขกเข้าพักอะ เลยว่างๆ” จัสท์เอนตัวพิงกับพนักโซฟาแล้วหันมองหน้าเฟรนด์

 

“อ่อ”

 

“แล้วมึงเป็นอะไร เครียดเหรอ”

 

“ก็นิดหน่อย” เฟรนด์บอกแล้วหยิบรีโมทมาจะกดปิดทีวีที่เปิดทิ้งไว้

 

“เอ้ย ไม่ต้องๆ กูชอบดูเรื่องนี้” จัสท์คว้าข้อมือเฟรนด์ยั้งเอาไว้เพราะหนังที่กำลังเปิดอยู่บนหน้าจอดันเป็นเรื่องที่เขาชอบ

 

“...” เฟรนด์มองหน้าจัสท์นิ่งแล้วไม่พูดอะไรจนคนตัวสูงหันมาเห็น

 

“มีไรป่ะเนี่ย มองหน้ากูแล้วก็ไม่พูด”

 

“อืม.. ไม่รู้จะพูดยังไงดี” เฟรนด์บอกเสียงอ่อนท่าทีเป็นกังวล

 

“เรื่องกูเหรอ” จัสท์เอ่ยถามพลางชี้นิ้วมาที่ตัวเอง

 

“ก็ใช่... แล้วนี่แจนไม่อยู่เหรอ”

 

“เห็นบอกว่าจะไปบ้านเพื่อนนะ”

 

“อ่อ”

 

“สรุปจะเล่าได้ยังว่ามีเรื่องอะไร” จัสท์ถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม

 

“ลองดูนี่” เฟรนด์เปิดคลิปที่โต้งแอบถ่ายเอาไว้ให้จัสท์ดู

 

“อะไรวะ” คนตัวสูงเอ่ยถามก่อนจะคว้ามาดูแล้วก็นิ่งไป “แจนเหรอ”

 

“อือ กูกับโต้งบังเอิญเห็นตอนที่อยู่คาเฟ่ในตลาดอะ”

 

“โต้ง?”

 

“จำไอ้โต้งได้ใช่ป้ะ ที่อยู่กลุ่มเดียวกันกับพวกเรา”

 

“จำได้ละ ที่เป็นลูกชายนายพล” จัสท์พยักหน้ารับแล้วเลื่อนคลิปวิโอกลับไปดูใหม่ตั้งแต่แรก

 

“มึงโอเคป่ะเนี่ย ตอนแรกกูก็ไม่อยากบอกเพราะเป็นห่วงความรู้สึกมึง” เฟรนด์เอ่ยพูดเสียงเบาพลางเลื่อนมือไปจับมือของจัสท์เอาไว้เพราะอีกฝ่ายนิ่งมากเกินไปจนทำเอาใจของเขารู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

 

“โอเค ไม่น่ามีไรหรอก อาจจะเพื่อนสนิทแหละ” จัสท์บอกเสียงนิ่งก่อนจะยื่นมือถือคืนให้เฟรนด์

 

“กูก็คิดว่างั้น ไว้รอหลักฐานที่มันชัดเจนกว่านี้ดีกว่าเนอะ”

 

“แต่เพื่อนกันเขาหอมแก้มกันเหรอวะ” จัสท์เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

 

“...”

 

“ใช่มั้ยไอ้เฟรนด์! กูกับมึงยังไม่เคยหอมแก้มกันเลย”

 

“อือ”

 

“แจนเขามีคนอื่นเหรอวะ ตอนที่คบกับกูเนี่ยนะ” จัสท์เอ่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นคงนัก แม้แต่แววตาก็แอบสั่นครอน

 

“ใจเย็นก่อนมึง ไว้ค่อยคุยกับแจนดูก็ได้” เฟรนด์ลูบไหล่ปลอบ

 

“กูกลับบ้านก่อนละกันนะ” จัสท์ลุกพรวดพราดเดินตึงตังออกไปทันที

 

วันนั้นก็เลยจบด้วยการที่ทั้งเฟรนด์และจัสท์ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกในเรื่องนี้ แต่ความกังวลมันก็ยังสะสมอยู่ภายในจิตใจของเฟรนด์อาจจะเพราะด้วยความห่วงใยที่เขามีต่อจัสท์ทั้งในฐานะที่เป็นเพื่อนสนทิและในฐานะที่เป็นคนที่เขาแอบชอบมานาน คนตัวเล็กอยากจะให้เรื่องนี้คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีแต่ก็ไม่อาจมองเห็นอนาคตได้ว่ามันจะจบลงได้ยังไง

 

คืนนี้เป็นอีกคืนที่เฟรนด์ไม่สามารถทำงานของตัวเองให้สำเร็จลุล่วงไปได้ เพราะในระหว่างที่ถ่ายคลิปวาดรูปอยู่นั้นในหัวของเขาก็ยังคงประมวลผลเป็นภาพเหตุการณ์ในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เขาเห็นที่ตลาดหรือภาพจัสท์ที่กำลังอ่อนไหวกับสิ่งที่เห็น ซึ่งมันทำให้เขาต้องหยุดงานลงกลางคันแล้วหนีขึ้นไปอาบน้ำนอนแทน

 

เช้าวันรุ่งขึ้นเฟรนด์ลืมตาตื่นพร้อมๆ กับที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า จะว่าไปเขาเองก็ไม่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้มาพักใหญ่แล้วเพราะปกติจะนอนตอนที่ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นเสียมากกว่า และที่เขาตื่นเช้าขนาดนี้ก็คงเป็นเพราะว่าเขานอนไม่หลับจากเรื่องของจัสท์นั่นแหละ

 

คนตัวเล็กลากตัวเองในชุดนอนลงไปด้านล่างเหมือนกับทุกๆ วันที่เขาตื่นเช้าลงไปยังชั้นหนึ่งแล้วเปิดประตูออกไปเพื่อจะรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้หน้าบ้าน ระหว่างที่ก้าวขาผ่านพ้นประตูออกไปยังหน้าบ้านสายตาของเขาก็หันไปมองทางโฮสเทลแต่ไม่เห็นรถยนต์ของจัสท์ก่อนจะพบว่าที่ด้านหน้าประตูโฮสเทลมีป้ายปิดประกาศไว้ว่าปิดปรับปรุง

 

“ไปไหนของมันวะ” เฟรนด์พึมพำกับตัวเองก่อนจะคว้าสายยางขึ้นมาแล้วเปิดก๊อกน้ำจนน้ำไหลออกมาเป็นสาย เขาค่อยๆ รดน้ำต้นไม้ทีละต้น ทีละต้น ในหัวก็พลางคิดเป็นห่วงว่าอีกฝ่ายออกไปไหน ปกติถ้ารถไม่อยู่เขาก็ยังพอเข้าใจได้ว่าจัสท์อาจจะออกไปธุระอะไรข้างนอก แต่นี่ดันมีป้ายปิดปรับปรุงแปะอยู่หน้าโฮสเทลยิ่งทำให้น่าสงสัยเข้าไปใหญ่

 

แต่ความกังวลของเขาก็เกิดขึ้นได้ไม่นานเมื่อขณะที่เขากำลังม้วนเก็บสายางหลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จรถของจัสท์ก็ขับเข้ามาพอดี คนตัวเล็กรีบเดินไปเก็บสายยางแล้วเดินไปรอที่หน้าโฮสเทลของอีกฝ่าย

 

“ไปไหนมาวะ” เฟรนด์เอ่ยถาม

 

“ตลาดอะ ไปหาไรกิน” จัสท์ตอบแล้วชูถุงหูหิ้วที่ใส่กับข้าวและของกินอื่นๆ ให้คนตัวเล็กดู

 

“แล้วปิดโฮสเทลทำไมอะ”

 

“ก็วีคนี้ไม่มีแขกเลยปิดซะหน่อย เผื่อซ่อมนู่นนี่นั่น กูก็จะได้พักด้วย” จัสท์พูดไปพลางมือก็ไขกุญแจเปิดประตูบ้านไปพลาง

 

“พักกายหรือพักใจ”

 

“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ” คนตัวสูงพูดพลางยิ้มบางๆ

 

“ไหนบอกรอให้อะไรมันชัดเจนก่อนไง” เฟรนด์แซว

 

“กูก็พูดไปงั้น เห็นแฟนตัวเองอยู่กับผู้ชายคนอื่นแถมยังหอมแก้มกันด้วย จะไม่ให้คิดมากได้ไง”

 

“กูเข้าใจ”

 

“แถมเมื่อวานก็ไม่ได้กลับบ้านบอกว่าจะนอนบ้านเพื่อน” จัสท์ถอนหายใจแรง

 

“แล้วมึงก็ยอมเหรอ” คนตัวเล็กถามอย่างสงสัย

 

“เข้าไปคุยต่อข้างในมั้ย จะได้แดกข้าวด้วย มึงกินยัง”

 

“ยังอะ กูปิดประตูบ้านแป๊บ” เฟรนด์เดินหันหลังไปลากประตูเลื่อนให้ปิดแต่ไม่ได้ล็อกก่อนจะเดินตามจัสท์เข้าไปด้านในโฮสเทล

 

ทั้งคู่เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวตัวประจำที่พวกเขามักมานั่งกินข้าวด้วยกันบ่อยๆ กับข้าวในถุงถูกแกะแล้วเทออกมาใส่จานที่ถูกนำมาวางไว้ ก่อนที่คนตัวสูงจะหยิบถุงข้าวสวยมาเทใส่จานแล้วเลื่อนให้เฟรนด์ที่นั่งอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงเทอีกถุงให้ตัวเอง

 

“มึงโอเคเหรอที่แจนไม่กลับบ้านอะ” เฟรนด์ถาม

 

“ไม่โอเคหรอก แต่จะให้กูทำไงอะ ไม่อยากรีบปรักปรำเขาทั้งๆ ที่ยังไม่มีหลักฐาน”

 

“แต่พวกมึงก็ควรจะคุยกันให้รู้เรื่องนะเว้ย” เฟรนด์บอกด้วยน้ำเสียงแข็ง

 

“กูรู้ แต่กูอยากจะคุยกันต่อหน้ามากกว่าไง” จัสท์บอกพลางตักข้าวเข้าปาก

 

“ตามใจมึงละกัน มีอะไรให้ช่วยก็บอก”

 

ทั้งสองคนนั่งกินข้าวกันเงียบๆ ต่อจากนั้น เพราะเฟรนด์ก็ไม่อยากจะละลาบละล้วงต่อไปมากกว่านี้แล้วเพราะว่าจัสท์ก็ดูมีท่าทีที่พยายามจะไม่สนใจเรื่องแจนสักเท่าไหร่ ไม่รู้เพราะกลไกร่างกายกำลังปฏิเสธเรื่องราวเหล่านี้อยู่หรือเปล่าจึงทำให้เขาดูเหมือนจะไม่ได้เสียใจสักเท่าไหร่นัก เฟรนด์ก็เลยไม่กล้าจะต่อความยาวสาวความยืด

 

กริ๊งงง~

 

เสียงโทรศัพท์มือถือของจัสท์ดังขึ้นเขาจึงเหลือบไปมองหน้าจอแล้วพบว่าแฟนสาวของเขาเป็นคนโทรมา ทีแรกเขาลังเลอยู่พักใหญ่ว่าจะรับหรือไม่รับดี แต่เฟรนด์ก็สะกิดเรียกสติว่าให้รีบรับจะได้รู้ว่ามีอะไร

 

“ฮัลโหล”

 

(...)

 

“อ่อ จะไปเลยเหรอ

 

(...)

 

“แล้วไม่กลับมาเก็บของก่อนเหรอ”

 

(...)

 

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ ไว้นี่พาไปก็ได้”

 

(...)

 

“โอเค ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ถึงแล้วบอกนะ”

 

จัสท์กดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะถอนหายใจแรงด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาหันไปมองหน้าคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านข้างแล้วนิ่งไปไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่แววตาของเขานั้นมันแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังรู้สึกไม่ดีกับโทรศัพท์สายเมื่อครู่นี้

 

“แจนหรอ” เฟรนด์เอ่ยถามขึ้นทันทีเมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่าย

 

“อือ”

 

“มีไรเปล่า”

 

“แจนบอกว่าจะกลับเชียงใหม่” จัสท์เอ่ยลอกเสียงอ่อน

 

“ตอนนี้เลยอะนะ”

 

“อือ เขาบอกว่าเพื่อนจะไปเที่ยวพอดีเลยจะขอไปด้วยกันเลย” จัสท์อธิบายต่อ

 

“งงเหมือนกันแฮะ ปกติเขาก็เป็นคนแบบนี้เหรอ ติดเพื่อนไรงี้”

 

“ก็มีบ้าง”

 

“อ่อ”

 

“จริงๆ กูคงไม่รู้สึกอะไรถ้าไม่เห็นคลิปที่มึงเอามาให้ดูเมื่อวานนี้ เพราะเขาก็ชอบไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยๆ แต่รอบนี้มันแปลก มันดูปุบปับแม้แต่กระเป๋าเสื้อผ้าก็ฝากไว้ที่โฮสเทลก่อน” จัสท์ร่ายยาวแบบไม่เข้าใจราวกับจะสติแตก

 

“กูว่า... วันนี้เราออกไปเที่ยวข้างนอกกันดีมั้ย เผื่อมึงจะได้หายเครียด อยู่คนเดียวมึงก็จมอยู่กับเรื่องนี้ไม่น่าจะดีสักเท่าไร” เฟรนด์บอกพลางยกมือขึ้นลูบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อให้คนตัวสูงได้รู้ว่าอย่างน้อยในช่วงเวลาแย่ๆ แบบนี้ก็ยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆ

 

“กูไม่อยากไปไหนเลยว่ะ”

 

“ไปเหอะน่า เดี๋ยวกูพาไป” เฟรนด์ลุกขึ้นยืนแล้วคว้ามือจัสท์ให้ลุกขึ้นยืนแล้วดึงมือออกไปทันที

 

คนตัวเล็กยื่นมือไปขอกุญแจรถจากจัสท์เมื่อพากันเดินมาถึงหน้าบ้านตรงบริเวณที่รถของคนตัวสูงจอดอยู่ จัสท์ยื่นกุญแจรถให้อีกฝ่าย ทันทีที่เฟรนด์กดปลดล็อกแล้วเปิดประตูรถกำลังจะก้าวขึ้นไปจัสท์ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้

 

“มึงขับรถเป็นเหรอ”

 

“กูขับได้” เฟรนด์บอกเสียงหนักแน่น

 

“แน่ใจนะ”

 

“แต่ไม่แข็ง แหะๆ” คนตัวเล็กเสียงอ่อนลงทันที

 

“เห้อ มา กูขับเอง” จัสท์ยื่นมือไปขอกุญแจรถคืนจากอีกฝ่าย ซึ่งเฟรนด์ก็ยอมคืนให้แต่โดยดีแม้จะมีอาการหน้ามุ่ยอยู่เล็กน้อย

 

รถยนต์ขับออกไปโดยที่คนโดยสารอย่างเฟรนด์ก็ยังไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของคนขับจะไปสิ้นสุดที่ใด ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนริเริ่มความคิดชวนจัสท์ออกไปเที่ยวข้างนอกเพื่อให้ลืมเรื่องแจนแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย

 

“สรุปไปไหนอะ” จัสท์เอ่ยถาม

 

“เอ้า กูก็นึกว่ามึงมีที่จะไปแล้ว เห็นบอกจะขับเอง” เฟรนด์หันมามองคนข้างๆ ด้วยสีหน้างงงวย

 

“กูก็ยังไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน”

 

“หรือจะไปอัมพวา?” คนตัวเล็กเสนอความคิด

 

“ตลาดน้ำอะนะ”

 

“อือ ไปมั้ย”

 

“ไกลป้ะ”

 

“ไม่นะ จากตรงนี้ไปแค่ 20 นาที”

 

“เค เปิดแมพแป๊บ”

 

มือหนาคว้ามือถือขึ้นมาแสกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกแล้วใช้นิ้วโป้งกดเปิดแอพลิเคชั่นแผนที่แล้วจิ้มชื่อสถานที่ปลายทาง ส่วนอีกมือหนึ่งก็จับพวงมาลัยรถไว้มั่นเพื่อคอยควบคุมให้รถยังคงทรงตัวอยู่ได้

 

“ให้กูพิมพ์ให้ก็ได้มั้ย อันตรายชิบหาย” เฟรนด์เอ่ยบ่น

 

“ก็มันชินอะ”

 

“เออๆ ขับดีๆ”

 

รถยนต์วิ่งไปตามถนนสายเดิมที่เฟรนด์คุ้นเคยแต่สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมก็คงจะเป็นความรู้สึกในใจของเขาในตอนนี้ แปลกดีที่การนั่งรถไปกับจัสท์ในครั้งนี้มันช่างแตกต่างกับตอนที่พวกเขาพากันไปทำบุญที่วัดเป็นอย่างมาก แต่ก็คงเพราะในตอนนั้นเขากับจัสท์ยังไม่ญาติดีกันด้วยก็เลยทำให้ความรู้สึกมันไม่เหมือนในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง

 

เพลงบนรถที่คลอบรรเลงระหว่างทางก็ยิ่งเร่งบรรยากาศความกระอักกระอ่วนในใจของเฟรนด์ได้เป็นอย่างมาก เพราะมันดันเป็นเพลงแอบรักแทบจะทุกเพลงในเพลย์ลิสต์ยิ่งฟังมันก็ยิ่งปั่นป่วนหัวใจให้รู้สึกหวั่นไหวมากขึ้นอีก

 

ก็ดูใบหน้าคมของคนข้างๆ ที่กระทบกับแสงอาทิตย์ในตอนนี้ดูสิ...

 

ใครไม่หวั่นไหวก็บ้าแล้ว!

 

“คนเยอะจัง” เฟรนด์บอกเมื่อรถของจัสท์ขับเข้ามาจอดในลานจอดรถของวัดที่อยู่ด้านข้างของตลาดน้ำอัมพวา

 

“วันนี้วันหยุดไง”

 

“เออใช่ ไปเหอะ มีไอติมร้านหนึ่งอร่อยมาก เดี๋ยวพาไปกิน” เฟรนด์บอกแล้วรีบเปิดประตูรถก่อนจะก้าวลงไปโดยมีจัสท์ตามมาติดๆ

 

ผู้คนจำนวนมากเดินเบียดเสียดกันอยู่ตามทางเดินริมน้ำในพื้นที่ของตลาดน้ำอัมพวา เฟรนด์กับจัสท์พยายามเดินแทรกเข้าไปเพื่อที่จะไปหาร้านนั่งเพื่อจะได้ไม่ต้องอึดอัดจากจำนวนคนที่เดินสวนกันไปมา แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกๆ ร้านจะเต็มไปด้วยลูกค้าแน่นขนัด ทีแรกคนทั้งคู่ก็จะแวะร้านกุ้งเผาที่แม่ค้านั่งเผากุ้งอยู่ในเรือที่จอดอยู่ริมท่าน้ำโดยมีเก้าอี้กับโต๊ะที่ต้องนั่งกินแบบนั่งยองแต่เพราะจำนวนคิวของลูกค้าที่ต่อแถวยาวก็เลยพากันตัดใจแล้วเดินต่อไปข้างหน้าเพื่อหาร้านอื่น

 

“คนเยอะชิบหาย” จัสท์บ่นพลางสอดส่ายสายตาหาร้านที่ลูกค้าน้อย

 

“ก็ปกติแหละ”

 

“หรือเราย้ายไปที่อื่นดี”

 

“ไอ้จัสท์ ใจเย็นๆ มึงโมโหหิวป่ะเนี่ย” เฟรนด์ถามด้วยน้ำเสียงแซวๆ

 

“กูแค่ร้อนเฉยๆ”

 

“งั้นกินไอติมแก้ร้อนกัน” คนตัวเล็กดันหลังคนข้างหน้าให้เดินแทรกไปยังร้านไอศกรีมที่อยู่ไม่ไกลนัก

 

“ไอติมมั้ยค้าบบ ไอติมอัมพวาหลากหลายรสชาติ แก้ร้อน แก้ช้ำใน แก้อกหักรักคุด แก้ได้ทุกอย่างเลยครับ” พ่อค้าที่ยืนอยู่ที่เคาท์เตอร์หน้าร้านร้องเรียกเสียงดังลั่นเมื่อเห็นจัสท์กับเฟรนด์เดินเข้ามา

 

“เชี่ย พ่อค้าไอติมหรือหมอดูวะเนี่ย” คนตัวเล็กหันไปกระซิบข้างหูจัสท์

 

“เหมือนรู้ว่ากูกำลังช้ำใจ”

 

“เออดิ”

 

ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มในลักษณะวัยกลางคนที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงนั้นมือหนึ่งถือถ้วยกระดาษส่วนอีกมือหนึ่งถือที่ตักไอศกรีม

 

“สีหน้าแบบนี้ มีเรื่องไม่สบายใจแน่ๆ ใช่มั้ยครับ” พ่อค้าไอศกรีมเอ่ยทัก

 

“...”

 

“ไม่ตอบ ไม่เป็นไรครับ ผมมีรสชาติที่เหมาะกับน้องมาแนะนำครับ” พ่อค้าก้มไปตักไอศกรีมสีเหลืองนวลทางด้านขวาของตู้แช่ใส่ช้อนไม้อันเล็กๆ ที่มีไว้สำหรับให้ลูกค้าชิมก่อนจะยื่นให้กับจัสท์ “นี่ครับ”

 

“รสอะไรเหรอครับ” คนตัวสูงเอ่ยถามพ่อค้ากลับอย่างสงสัย

 

“ไอติมรสเบียร์ครับ”

 

“ห้ะ?”

 

“รสเบียร์ครับ ลองชิมดูครับ”

 

จัสท์คว้าช้อนไอศกรีมนั้นมาชิมแบบงงๆ “อื้อ อร่อยดีครับ”

 

“แต่ขอเป็นรสอื่นดีกว่าครับ”

 

“งั้นเอาเป็นอันนี้มั้ยครับ รสมะม่วงน้ำปลาหวาน เป็นรสพิเศษมีแค่ช่วงนี้นะครับ” พ่อค้ายื่นอันใหม่มาชิม “มีพริกเกลือให้โรยเป็นท้อปปิ้งด้วยนะครับ”

 

“เห้ย อันนี้เจ๋งอะ ผมขอชิมด้วยได้มั้ยครับ” เฟรนด์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

 

“เอาของกูไปเลย กูไม่ชอบอะไรเปรี้ยวๆ” จัสท์บอกแล้วยื่นช้อนไอศกรีมมะม่วงน้ำปลาหวานให้อีกฝ่าย

 

“หืมมม อร่อยมากครับ สดชื่นดี ผมเอาอันนี้ถ้วยหนึ่งครับ”

 

“ครับผม” พ่อค้าคว้าที่ตักไอศกรีมลงไปตักไอศกรีมในกล่องที่แช่อยู่ในตู้ใส่ถ้วยราดซอสน้ำปลาหวานพร้อมโรยพริกเกลือก่อนจะยื่นให้

 

“ขอบคุณครับ”

 

“แล้วอีกคนรับอะไรดีครับ” พ่อค้าหันไปถามจัสท์ที่กำลังยืนอ่านเมนูอยู่

 

“ผมเอาไอติมปลาทูต้มหวานครับ” จัสท์เอ่ยบอก

 

“ห้ะ?” เฟรนด์อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “มันมีไอติมรสนี้ด้วยเหรอ”

 

“มีดิ ก็กูอ่านอยู่นี่ไง”

 

“เป็นเมนูฟิวชั่นของร้านครับ” พ่อค้าพูดเสริม

 

“ผมเอาอันนี้แหละครับ อยากลองดูครับ” จัสท์ยิ้ม

 

พ่อค้าตักไอศกรีมรสดังกล่าวให้จัสท์ก่อนจะรับเงินจากลูกค้าทั้งคู่ จากนั้นเฟรนด์และจัสท์จึงเดินออกจากร้านนั้นไปหาที่นั่งเพื่อจะกินไอศกรีมที่เพิ่งซื้อมา พวกเขาทั้งคู่เดินผ่านเข้าไปยังลานด้านหลังของตลาดที่อยู่ในพื้นที่สวนและถูกจัดเป็นตลาดนัดโบราณในนั้นยังพอมีโต๊ะว่างให้นั่งได้อยู่บ้าง ทั้งคู่จึงเดินตรงเข้าไปนั่งยังโต๊ะตัวที่อยู่ตรงกลางของตลาดซึ่งยังว่างอยู่และดูจะสะอาดที่สุดในบรรดาโต๊ะอื่นๆ

 

“ค่อยยังชั่วหน่อย” จัสท์ถอนหายใจยาวออกมาเมื่อหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้

 

“เออ หายใจหายคอสะดวกขึ้นเยอะ”

 

“ลองชิมมั้ย” คนตัวสูงยื่นถ้วยไอศกรีมของตัวเองออกมาให้คนตรงหน้า

 

“ไอติมปลาทูต้มหวานอะนะ”

 

“อือ อร่อยนะ” จัสท์พูดย้ำ

 

“...”

 

“แบบแปลกๆ” คนตัวสูงพูดจบก็หัวเราะออกมาเบาๆ ทำเอาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามหลุดขำออกมาด้วย

 

เฟรนด์หยิบช้อนจ้วงตักลงไปในไอศกรีมตรงหน้าแล้วเอาเข้าปากก่อนจะทำหน้าเหยเกเพราะรสชาติที่แปลกประหลาดเมื่อเนื้อไอศกรีมสัมผัสเข้าที่ลิ้นซึ่งมันยิ่งทำให้คนทั้งคู่หัวเราะออกมาหนักกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ามันไม่อร่อยแต่เพราะตลกหน้าของเฟรนด์เสียมากกว่า

 

ขณะที่จัสท์และเฟรนด์กำลังกินไอศกรีมและนั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นสายตาเรียวของคนตัวเล็กก็เหลือไปเห็นบางอย่างที่ริมถนน เป็นลักษณะท่าทางและใบหน้าที่เขารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดีแต่เพราะด้วยตัวเองที่มีภาวะสายตาสั้นเล็กน้อยจึงไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นใครคนนั้นที่เขารู้จักหรือเปล่า จึงทำได้เพียงสะกิดร่างสูงตรงหน้าให้ช่วยหันไปดู

 

“มึง... นั่นแจนป่ะวะ”

 

“ไหนวะ” จัสท์หันขวับไปมองด้านหลัง

 

“นั่นอะ ที่เดินอยู่ริมถนนกับผู้ชายเสื้อดำใส่หมวก”

 

“...” จัสท์นิ่งไปเมื่อเห็นภาพคนรักของตัวเองกำลังเดินควงกับหนุ่มอื่นด้วยใบหน้าสดใสแถมยังควงแขนกระหนุงหระหนิงกันแบบที่เพื่อนปกติจะไม่ทำกัน เขารีบหันขวับกลับมามองหน้าเฟรนด์ด้วยสีหน้าตกใจ น้ำตาคลอ ดวงตาแดงกล่ำ

 

“เชี่ย!” เฟรนด์อุทานตกใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า “แจนจริงๆ เหรอ”

 

“อือ ทำไมวะ”

 

“...”

 

“ทำไมเขาทำแบบนี้กับกูวะ” เสียงสั่นของจัสท์หลุดออกมาจากปากอย่างยากลำบาก

 

“มึงมากับกู” เฟรนด์คว้าข้อมือจัสท์ให้ลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินตรงไปหาแจนทันที

 

สองขาของคนทั้งคู่รีบก้าวตามแจนไปติดๆ ทั้งๆ ที่จัสท์พยายามจะรั้งตัวเองไว้เพราะไม่อยากจะมีเรื่องและไม่อยากเผชิญหน้ากับปัญหาระหว่างเขากับแจนในตอนนี้ แต่เฟรนด์ก็ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ เพราะคนตัวเล็กรู้สึกว่านี่มันเป็นเรื่องใหญ่เพราะแจนกำลังทำร้ายและหักหลังเพื่อนของเขาอยู่ มันเจ็บแค้นอยู่ในใจลึกๆ ว่าทั้งที่จัสท์เลือกที่จะรักและคบกับแจนในฐานะแฟนแล้วทำไมแจนถึงไม่ยอมรักษาสิ่งนี้ไว้ เพราะตัวเขาเองอยากจะยืนอยู่ในจุดนั้นใจแทบขาดแต่ก็ทำไม่ได้

 

“แจน” เฟรนด์สะกิดไหล่จากด้านหลังของแจนขณะที่เดินตามเข้าไปใกล้ ภาพหัวของแจนที่ซบไหล่ชายหนุ่มคนอื่นอยู่นั้นช่างบาดตาบาดใจจัสท์มากทีเดียว

 

“จัสท์!!!!” แจนตกใจร้องลั่นออกมาเมื่อหันกลับมาเห็นแฟนของตัวเองยืนอยู่ด้านหลัง

 

“...” จัสท์ได้แต่ยืนมองนิ่งไม่พูดอะไร

 

“หวัดดีแจน มากับใครหรอ” เฟรนด์เอ่ยทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่คำทักทายที่แจนได้ยินมันพุ่งแทงเข้าไปที่จิตใจของเธอทันที

 

“เอ่อ.. คือ..”

 

“เพื่อนหรอ?” คนตัวเล็กถามจี้

 

“ชะ... ใช่”

 

“ผมเป็นแฟนแจนครับ” ชายหนุ่มคนนั้นแนะนำตัวเองพร้อมยิ้มกว้าง

 

“ห้ะ?” เฟรนด์อุทานออกมาเสียงดัง

 

“ว่าไงนะ” จัสท์จ้องตาเขม็ง

 

“ใจเย็นก่อนเธอ” แจนพยายามพูดกับจัสท์ด้วยน้ำเสียงประนีประนอม มือบางเอื้อมแตะไหล่หนาของอีกฝ่ายแต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยช่วยสักเท่าไหร่

 

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” คนตัวสูงเอ่ยถามเสียงนิ่ง

 

“...” แจนนิ่งไม่ยอมตอบ

 

“โอเค ไม่ตอบก็ไม่ตอบ” จัสท์เอ่ยพูดพร้อมน้ำตาคลอก่อนจะตัดสินใจก้าวเดินออกจากตรงนั้นทันทีแต่ก็ถูกมือบางของแจนคว้าแขนเอาไว้แน่น

 

“จัสท์.. อย่าเพิ่งไป”

 

“...” จัสท์หันมองหน้าแจนนิ่งก่อนจะเบนสายตาไปมองที่ข้อมือของตัวเองแล้วพยายามสะบัดแขนของตัวเองออกจากกำมือของแจน

 

“จัสท์...” หญิงสาวเอ่ยเรียกเสียงอ่อน

 

“เราเลิกกันเหอะ” จัสท์พูดจบก็รีบเดินออกไปจากตรงนั้นทันทีโดยมีเฟรนด์รีบวิ่งตามไปทันทีทิ้งให้แจนกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ ไปจัดการปัญหาของพวกเขาต่อกันเอาเองว่าจะยังคบกันต่อไปทั้งๆ ที่รู้ว่าแจนแอบคบซ้อนหรือสุดท้ายแจนจะไม่เหลือใครที่ยืนอยู่ข้างกายเลยแม้แต่คนเดียว...

 

#จฟเพื่อนไม่ไหว