อยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-ชาย,ยุคปัจจุบัน,BoyLove,JustFriend,ดราม่า,yaoi,BL,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! | JustFriend's Zoneอยากเป็นคนสำคัญ.. แค่เพื่อนแล้วกัน เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้
-------------------- จัสท์เฟรนด์ เพื่อนไม่ไหว! ------------------
"ถ้าแอบรักแล้วเราบอกออกไป การแอบรักจะดูหมดความหมาย...
ฉันจึงเลือกทางที่สบายใจ เก็บความลับที่แท้จริงมันสวยงามเพียงใด..."
"แค่เพื่อนแล้วกัน.. เพราะฉันไม่มีเธอไม่ได้..."
Run Kantheephop
20210424.
สายฝนเริ่มซาลงหลังจากที่ตกลงมาทั้งคืน บรรยากาศเช้านี้ก็เลยออกจะเย็นหน่อยๆ ทำให้ทั้งจัสท์และเฟรนด์ที่ทำกิจกรรมร่วมกันบนเตียงตลอดทั้งคืนรู้สึกอยากจะฝังตัวนอนต่อภายใต้ผ้านวมอุ่นๆ แต่ก็ต้องพากันตื่นเพราะวันนี้มีนัดกับพ่อและแม่ของจัสท์ ซึ่งตอนนี้เวลาก็ปาเข้าไปตอนเที่ยงแล้วกว่าจะพิรี้พิไรกันอีกคงได้ออกไปถึงบ้านพ่อแม่เวลามื้อเย็นพอดี
“มึง ตื่นได้แล้ว” เฟรนด์เขย่าตัวจัสท์ที่นอนกอดเขาอยู่แน่น
“อื้อ...”
“เที่ยงแล้ว กูหิวข้าว” เฟรนด์ขยับตัวลุกนั่งแกะแขนของอีกฝ่ายออกแล้วลงจากเตียงเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวก่อนจะตรงเข้าห้องน้ำไป
พอสิ้นเสียงน้ำไหลจากฝักบัวที่ดังต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหนึ่งจัสท์ก็ค่อยๆ ดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมๆ กับที่ประตูห้องน้ำเปิดออกมาเผยให้เห็นคนร่างบางที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกระชับจากการออกกำลังกายเดินพันผ้าขนหนูปิดบังร่างกายส่วนล่างเอาไว้ คนตัวสูงเห็นแบบนั้นก็เผยยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินตรงไปหอมแก้มคนตัวเล็กก่อนจะคว้าผ้าขนหนูของตัวเองแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
เฟรนด์รีบทำภารกิจส่วนตัวของตัวเองแล้วรีบแต่งตัวซึ่งวันนี้เขาเลือกเสื้อผ้าที่ดูดีเป็นพิเศษเพราะถึงแม้ว่าเขาจะเคยเจอพ่อแม่ของจัสท์มาก่อนแล้วแต่วันนี้ก็เป็นการไปเจอในสถานะใหม่และเป็นการไปเจอเนื่องในโอกาสสำคัญระหว่างเขากับจัสท์อีกด้วย จึงต้องพิถีพิถันกับเรื่องภาพลักษณ์มากเป็นพิเศษ
เขาเดินลงมาที่ด้านล่างของบ้านตัวเองเพื่อเข้าครัวแล้วเตรียมมื้อเที่ยงเอาไว้เพื่อที่ตอนจัสท์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จลงมาจะได้มีอะไรกินได้เลยทันที
“หอมจัง” จัสท์เอ่ยทักหลังเดินลงมาจากชั้นบน
“เสร็จละเหรอ มากินข้าวก่อนเร็ว” เฟรนด์เอ่ยบอกแล้วยกจานอาหารมาวางไว้กินข้าว
“แฟนใครเนี่ย น่ารักจัง” คนตัวสูงเอ่ยบอกก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะอาหารแล้วหยิบมือถือมาถ่ายอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วอัพลงในสตอรี่ไอจีของตัวเอง
“ก็แน่อยู่แล้วป้ะ” คนตัวเล็กยักไหล่ขิงกับคำชมของจัสท์แล้ววางจานข้าวพร้อมนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร “อย่าลืมกดปิดเสียงพูดด้วยนะ เดี๋ยวโป๊ะแล้วเดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือน มึงยังไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องเราไม่ใช่เหรอ”
“ปิดแล้วๆ”
“เอ้อ เดี๋ยวตอนออกจากบ้านขอแวะซื้อของติดไม้ติดมือไปให้พ่อแม่มึงหน่อยนะ”
“ได้ดิ”
“ซื้อไรให้พ่อแม่มึงดีวะ”
“กระเช้าผลไม้ก็ได้มั้ง จริงๆ แค่ซื้อไปพ่อแม่กูก็น่าจะโอเคแล้ว” จัสท์เอ่ยบอกเสียงนุ่ม
“เค งั้นเดี๋ยวแวะตลาดละกัน ไปดูผลไม้ร้านป้าตุ๊กแล้วให้แกจัดกระเช้าให้ด้วยเลย” เฟรนด์บอกพลางตักข้าวเข้าปาก
“มึงไม่ซื้อตรงหน้าเซเว่นวะ ร้านที่มันจัดไว้เรียบร้อยแล้วอะจะได้ประหยัดเวลา”
“ไม่เอาอะ ไปเลือกร้านป้าตุ๊กแหละ ผลไม้ใหม่ดี จะได้เลือกเฉพาะผลไม้ที่พ่อแม่มึงชอบกินด้วยไง”
“น่ารักที่สุด” จัสท์บอกพลางยกมือขึ้นยีหัวอีกฝ่าย
“รีบกิน เดี๋ยวจะไม่ทัน” คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อยก่อนที่ทั้งคู่จะหันไปสนใจกับอาหารบนโต๊ะแทน
มื้อเที่ยงผ่านไปแบบรวดเร็วเพราะทั้งคู่ต่างก็อยากจะรักษาเวลาเพื่อที่จะได้มีเวลาไปช้อปปิ้งสำหรับของขวัญที่จะหาซื้อเอาเข้าไปให้พ่อแม่ของจัสท์ นอกจากกระเช้าผลไม้จัสท์ก็เสนอว่าอยากจะสั่งอาหารจากร้านข้างนอกเข้าไปเลยทีเดียว พ่อกับแม่ของเขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหาซื้อวัตถุดิบมาเตรียมทำอาหารมื้อเย็นของวันนี้
พาแฟนไปเปิดตัวทั้งทีก็อยากจะให้มีแต่ความประทับใจ...
รถยนต์คันเดิมของจัสท์เลี้ยวเข้าไปยังลานจอดรถของตลาดที่มีอยู่น้อยนิดแต่เพราะเป็นยามบ่ายก็เลยคนไม่มากเท่ากับในช่วงตอนเช้า เฟรนด์กับจัสท์ก้าวลงจากรถแล้วเดินตรงเข้าด้านในตลาดไปทันที
เฟรนด์พาคนตัวสูงเดินไปยังร้านป้าตุ๊กร้านขายผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในตลาด มีผลไม้แทบจะทุกชนิดจึงเป็นร้านดังที่ใครๆ ก็พากันมาซื้อ
“พ่อกับแม่มึงชอบกินอะไรอะ”
“ส่วนใหญ่ก็แตงโม สัปปะรด แอปเปิ้ลไรพวกนี้”
“โอเค” เฟรนด์ตอบรับจัสท์แล้วหันไปหาป้าตุ๊กที่นั่งอยู่ด้านในร้าน “ป้าตุ๊ก เอาแตงโมกับสัปปะรดอย่างละลูกครับ แล้วที่เหลือก็แอปเปิ้ล ส้ม แก้วมังกรครับ”
“เอาเท่าไหร่ดีลูก”
“เอาให้เต็มๆ กระเช้าอะครับ ฝากป้าดูให้หน่อยครับ เอาสวยๆ เลยนะป้า จะเอาไปเป็นของขวัญให้ผู้ใหญ่ครับ”
“ได้จ้ะลูก แป๊บหนึ่งน้า” ป้าตุ๊กยิ้มรับตามสไตล์ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องให้หยิบผลไม้ตามสั่งให้ ก่อนจะหันมาถามคนตัวเล็กเพื่อให้เลือกสีริบบิ้นที่จะใช้ผูกกับกระเช้า เฟรนด์ก็เลยเลือกสีแดงไปเพราะไม่รู้จะเลือกสีอะไร
ไม่นานกระเช้าผลไม้ที่เฟรนด์สั่งก็เสร็จเรียบร้อย เขายื่นมือไปรับกระเช้านั้นแล้วจ่ายเงินเรียบร้อยก่อนจะเดินไปหาจัสท์ที่แอบแวะไปโซนของสดเพื่อหาซื้อวัตถุดิบกลับไปที่บ้าน
“สรุปทำไรกินเย็นนี้” เฟรนด์เอ่ยถามจัสท์เมื่อเดินมาถึงหน้าร้านขายเนื้อหมู
“กำลังคิดว่าจะกินหมูกระทะกันดีมั้ย หรือชาบูดี”
“ไหนตอนแรกบอกจะสั่งจากร้านอาหาร” คนตัวเล็กเอยถามอย่างแปลกใจ
“มันก็จะดูธรรมดาไปหน่อยอะ”
“งั้นก็ชาบูดีกว่าป้ะ? ต้มๆ น่าจะดีกับสุขภาพมากกว่า” คนตัวเล็กเสนอพลางชะเง้อหน้าดูแผงหมูสำเร็จรูปพร้อมปรุงที่มีหมูประเภทต่างๆ สำหรับทั้งหมูกระทะและชาบู
“งั้นก็ตามนั้น” จัสท์แล้วคว้าเอาหมูสไลด์กับสามชั้นสไลด์ยื่นให้แม่ค้าไปอย่างละสามแพ็คก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินไปเลือกซื้ออย่างอื่นต่อ
ข้าวของมากมายถูกหิ้วจนเต็มไม้เต็มมือทั้งจัสท์และเฟรนด์เขาเดินเข้าไปในบ้านของพ่อแม่ด้วยท่าทีสบายๆ ไม่ได้ดูหนักใจเท่าไหร่นักเมื่อเปรียบเทียบกับเฟรนด์ที่ดูจะมีอาการหนักอกหนักใจเสียมากกว่า
“มาแล้วคร้าบบ” จัสท์ตะโกนดังลั่นเมื่อเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้าน
“มาแล้วเหรอลูก อ้าว เฟรนด์” แม่ของจัสท์เดินออกมาพร้อมยิ้มกว้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าสงสัยเมื่อหันไปเห็นเฟรนด์ที่เดินตามเข้ามา
“หวัดดีครับ” เฟรนด์ยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย
“เอาของมาวางตรงนี้ก่อนๆ” แม่กวักมือให้เอาทั้งคู่เอาถุงข้าวของที่ซื้อมาไปวางบนโต๊ะในครัว
ก็นับว่าโชคดีที่จัสท์ตัดสินใจให้ซื้อวัตถุดิบสำหรับชาบูเข้ามาเพราะอย่างน้อยพวกเขาก็จะได้มีอะไรให้ทำแก้เขินดีกว่าแค่การนั่งกินข้าวเฉยๆ เอาจริงคนตัวเล็กก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่มีน้อยลงเลยเมื่อรู้แผนการนัดมากินข้าวในวันนี้ของจัสท์
เพราะไม่รู้ว่าถ้าบอกเรื่องราวความสัมพันธ์ของพวกเขาออกไปแล้วพ่อกับแม่ของจัสท์จะมีปฏิกิริยาตอบรับยังไงบ้าง ถ้าโชคดีก็อาจจะได้รับความยินยอมและชื่นชม แต่ถ้าไม่ก็คงจะมองหน้ากันไม่ติดอีกต่อไป
จัสท์กับพ่อเดินถือปลั๊กสามตาสายยาวเหยียดเดินตรงมาที่โต๊ะอาหารในสวนหน้าบ้านก่อนจะเดินกลับไปเอาเตาไฟฟ้าและหม้อชาบูมาวางบนโต๊ะเพื่อเตรียมจัดโต๊ะอาหารสำหรับมื้อเย็น
ส่วนเฟรนด์ก็ช่วยแม่แกะวัตถุดิบที่ซื้อมาออกมาใส่ในจานทั้งเนื้อสัตว์ ทั้งผักสด รวมถึงเต้าหู้ปลา ลูกชิ้นต่างๆ ปูอัด และอีกหลายอย่างที่เขากับจัสท์ซื้อมา คนตัวเล็กกับแม่ช่วยเรียงใส่จานซะสวยงามจนนึกว่าสั่งมาจากที่ร้านบุฟเฟต์เจ้าดัง
“เห็นจัสท์บอกแม่ว่าวันนี้จะพาแฟนมาให้รู้จัก เฟรนด์พอจะรู้มั้ยลูกว่าเป็นใครมาจากไหน” แม่จัสท์เอ่ยถามขึ้นทำเอาคนตัวเล็กที่ได้ยินกระตุกไปเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มให้แต่ยังไม่ได้พูดอะไรจัสท์ก็เดินกลับเข้ามาพอดี
“มาครับ เดี๋ยวผมช่วยยก” คนตัวสูงเอ่ยบอกแล้วคว้าตะกร้าใส่ผักออกไป
“งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปช่วยจัสท์ยกของออกไปก่อนนะครับ” คนตัวเล็กยิ้มแล้วช่วยยกจานใส่เนื้อหมูกับจานใส่บรรดาของกินเล่นต่างๆ ออกไป
กว่าจะทยอยจัดโต๊ะอาหารและเตรียมเมนูจานเสริมอีกนิดหน่อยก็ได้เวลามื้อเย็นของบ้านหลังนี้เสียที เมนูยำหมูยอและกุ้งแช่น้ำปลาถูกแม่ของจัสท์เดินถือมาวางไว้ที่โต๊ะเป็นสองอย่างสุดท้ายเป็นสัญญาณว่าได้เวลาเริ่มมื้ออาหารสักที
พอน้ำซุปเริ่มเดือดจัสท์ก็เริ่มคีบทุกอย่างในจานลงไปในหม้อเพราะอยากจะให้ทุกอย่างสุกได้ไวที่สุด พ่อกับแม่ของเขาก็ทยอยคีบหมูสไลด์และสามชั้นสไลด์ลงไปแช่ในน้ำซุปพอสุกก็ยกออกมากิน แต่สายตาของทั้งคู่ก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่จัสท์แบบไม่วางตา
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” จัสท์เอ่ยถามหลังเริ่มรู้สึกตัว
“ก็แกบอกว่าวันนี้จะพาแฟนมาหา จะมาเมื่อไหร่ล่ะ” พ่อเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นแม่ไม่ยอมเอ่ยปากถามสักที
“ก็นี่ไงแฟนผม” จัสท์พูดแล้วหันไปชี้ที่เฟรนด์
“เฟรนด์เนี่ยนะ” พ่อถามย้ำอย่างไม่มั่นใจก่อนจะหันไปมองหน้าแม่
“ใช่พ่อ เพิ่งคบกันไม่นาน”
“อ่อ...”
“ทำไมเหรอครับ พ่อกับแม่ไม่โอเคเหรอ” จัสท์เอ่ยถามเสียงแข็งทันทีแววตาจ้องเขม็งน่ากลัวจนเฟรนด์ที่นั่งข้างๆ ต้องแอบยื่นมือไปแตะที่ขาของคนตัวสูงแล้วลูบเบาๆ
“ไม่ใช่แบบนั้นลูก แม่แค่ไม่คิดว่าจะเป็นเฟรนด์ ก็เห็นตอนนั้นทะเลาะกันใหญ่โตไม่ใช่เหรอ” แม่พยายามอธิบายเพราะไม่อยากให้ลูกชายของตัวเองเข้าใจผิด
“...”
“แม่ก็เลยแปลกใจนิดหน่อยตั้งแต่ตอนที่เห็นเดินเข้ามาในบ้าน เอะใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะใช่จริงๆ”
“ขอโทษที่ไม่บอกตั้งแต่ตอนแรกนะครับ” เฟรนด์เอ่ยพูดแทรกขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกลูก ถ้าเป็นเฟรนด์แม่ก็สบายใจ อย่างน้อยก็จะได้ช่วยดูแลจัสท์ได้”
“หมายความว่าแม่...” จัสท์หันมามองด้วยแววตาที่ดูเป็นประกาย
“จะรักใครชอบใครก็ตัดสินใจเอาเอง แกโตแล้วจัสท์” พ่อพูดเสริมขึ้นมา “พ่อเคารพการตัดสินใจของแก”
“ขอบคุณพ่อกับแม่มากนะครับ” คนตัวสูงเอ่ยบอกเสียงสั่นจนเฟรนด์ต้องหันมามองแล้วยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ เพราะอดเอ็นดูไม่ได้
“กินข้าวกันเถอะ พ่อหิวแล้ว” พ่อจัสท์ยิ้มให้อย่างอบอุ่นก็เลยทำให้ทั้งจัสท์และเฟรนด์รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ความอึดอัดตลอดทั้งวันที่มีได้มลายหายไปทั้งหมด เขาสัมผัสได้จริงๆ ว่าพ่อและแม่ของคนตัวสูงเปิดใจต้อนรับเขาได้แบบไม่มีข้อกังขาใดอีก
มื้อเย็นในวันนี้ผ่านไปได้อย่างเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยมวลความสุขที่ทำให้คนทั้งคู่อิ่มเอมหัวใจ เพราะพ่อแม่ไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกแยกหรือไม่ถูกยอมรับ อาจจะเป็นโชคดีของทั้งจัสท์และเฟรนด์ที่มีครอบครัวที่ดีพร้อมเข้าใจและยอมรับในตัวตนของพวกเขาก็เลยทำให้เรื่องราวในวันนี้เป็นไปได้อย่างเรียบง่าย แต่พวกเขาเองก็อดคิดไม่ได้ว่าแต่ละบ้านก็คงมีวิธีหรือความเข้าใจและการยอมรับที่แตกต่างกันไป ซึ่งพวกเขาก็เห็นมาหลายรายในบรรดาแวดวงของเพื่อนฝูงที่โดนตัดออกจากครอบครัว บ้างโดนด่า บ้างโดนตี พ่อแม่รับไม่ได้ที่ลูกมีแฟนเป็นเพศเดียวกัน มานึกๆ ดูแล้วก็อดที่จะเห็นใจคนเหล่านั้นไม่ได้
ถ้าประเทศนี้ยอมรับความแตกต่างได้จริงอย่างที่พูดกันปาวๆ ก็คงจะดีไม่น้อย...
แต่ก็คงจะต้องรออีกพักใหญ่ๆ เพราะถึงแม้สังคมในทุกวันนี้จะเปิดเผยและยอมรับกันมากขึ้นในเรื่องของความหลากหลายทางเพศแต่ก็ไม่ทั้งหมด เนื่องจากหลายๆ บ้านแม้ปากจากจะบอกว่ารับได้แต่พอเกิดขึ้นกับลูกหลานตัวเองก็มีท่าทีที่ต่างออกไปอยู่เสมอ
ใครจะเป็นอะไรก็เป็นไป แต่ต้องไม่ใช่ลูกของฉัน...
จัสท์และเฟรนด์จึงรู้สึกว่าพวกเขาโชคดีจริงๆ ที่ไม่ต้องเจอเหตุการณ์อะไรแบบนั้น
จัสท์และเฟรนด์เดินมาหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่นที่บ้านของเฟรนด์หลังกลับมาจากบ้านพ่อแม่ของจัสท์ แอร์ถูกเปิดให้อุณภูมิเย็นที่สุดเพราะการที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกนั้นมันช่างเป็นการทรมานชีวิตเสียเหลือเกิน แม้จะดึกขนาดนี้แต่อากาศก็ยังคงร้อนระอุจนเนื้อตัวเหนียวเหนอะ
“ร้อนชิบหาย” จัสท์บ่นอุบปลดกระดุมบนเสื้อเชิ้ตตัวเองออกจนถึงสะดือ
“ไม่กลับไปดูโฮสเทลเหรอ” เฟรนด์เอ่ยถามกลับ
“ให้พนักงานดูไปนั่นแหละ ดึกแล้วแขกคงเข้านอกกันหมดละ”
“แล้วทำไมไม่จ้างตั้งแต่แรกวะ มานั่งทำเองเหนื่อยจะตาย มึงดูดิตอนนี้มึงอยากไปไหนมาไหนก็ทำได้หมด แค่บริหารอยู่ข้างหลังก็พอแล้ว”
“เป็นเจ้าของกิจการเวลาจะสั่งงานใครเราก็ควรจะต้องรู้จักงานในส่วนนั้นก่อนไง ถ้าทำเองไม่เป็นจะสั่งคนอื่นได้ยังไงอะ ก็ต้องเรียนรู้ให้หมดทุกส่วนนั่นแหละ”
“อ่อ เก่งว่ะ”
“ก็ปกติ” จัสท์ยักคิ้วให้พร้อมทำหน้าขิง
“งั้นพรุ่งนี้ก็พาไปเที่ยวได้อะดิ” เฟรนด์ถามพลางทำหน้าอ้อน
“ไปไหนอะ”
“อยากไปดรีมเวิลด์”
“ชวนเดทเหรอ”
“อือ อยากลองไปกับแฟนมานานแล้วอะ” คนตัวเล็กพูดพลางขยับเข้าไปกอดแขนคนตัวโตแน่นแล้วเอนหัวพิงซบลงไป
“โอเคงั้นพรุ่งนี้ไปเลย ตื่นเช้าหน่อยนะ จะได้ไปให้ถึงทันสิบโมง”
“ชิลมาก บอกตัวเองเหอะ” เฟรนด์พูดแซวแล้วลุกขึ้นยืน “ไปเตรียมชุดพรุ่งนี้ดีกว่า”
...
...
...
ท่ามกลางอากาศร้อนแต่ว่าจำนวนคนที่มาต่อแถวเข้าคิวเพื่อซื้อตั๋วเข้าไปยังด้านในดรีมเวิลด์ก็ยังยาวเหยียดเกินกว่าที่พวกเขาทั้งคู่ได้คาดการณ์ไว้ เฟรนด์เดินตรงเข้าไปต่อยังท้ายแถวทันทีโดยมีจัสท์เดินไปกดเงินสดมาให้เพราะที่นี่ไม่รับบัตรเครดิตและไม่รับเงินโอน
พอได้ตั๋วทั้งคู่ก็พากันเดินเข้าไปด้านในสวนสนุกทันที บรรยากาศสมัยเด็กๆ หวนกลับคืนมาในความทรงจำของพวกเขาทั้งคู่ ระหว่างทางที่เดินเข้าไปทั้งจัสท์และเฟรนด์ก็พากันแวะถ่ายรูปมุมนู้นมุมนี้อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่ได้มานานแล้วแต่บรรยากาศและสถานที่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่นัก
วันนี้จัสท์และเฟรนด์แต่งตัวด้วยชุดที่เข้าคู่กันต่างเพียงแค่สีนั้น ไม่ว่าใครที่ผ่านมาเห็นก็ต้องเอะใจอยู่บ้างว่าคนทั้งคู่ต้องมีความสัมพันธ์ที่พิเศษเกินกว่าเพื่อนสนิทแน่ๆ
เฟรนด์วิ่งเข้าไปต่อคิวเจ้าหนูลมกรดเป็นเครื่องเล่นแรกแม้จะเป็นเครื่องเล่นที่เหมาะสำหรับเด็กแต่เขาก็รู้สึกอยากจะเล่น เพราะต้องการเริ่มทริปนี้ด้วยอะไรที่มันไม่หนักเกินไปเสียก่อน
กลัวถ้าเล่นหนักเลยแล้วสภาพจะไม่เหมาะกับการถ่ายรูป...
“เจ้าหนูลมกรดเหรอ” จัสท์เอ่ยถามคนตัวเล็ก
“อื้อ”
“ไม่เด็กไปหน่อยเหรอ”
“ก็ต้องเริ่มจากเบสิกก่อนป้ะ” เฟรนด์ยิ้มกว้างแล้วเดินไปขึ้นนั่งบนเครื่องเล่นตรงที่นั่งด้านหน้าสุดโดยมีจัสท์ตามไปนั่งที่เบาะข้างหลังที่อยู่ถัดลงมา
“วู้วววว!!!” เสียงร้องดังลั่นออกมาเมื่อเครื่องเล่นออกตัวไปสักพักแล้วเริ่มที่จะเพิ่มความเร็วมากขึ้น
เครื่องเล่นที่มีชื่อว่าเจ้าหนูลมกรดนั้นวิ่งไวดังชื่อของมันทำเอาเหล่าบรรดาผู้โดยสารบนต่างหวีดร้องออกมาไม่ขาดสาย แม้จะเป็นเครื่องเล่นชิลๆ แต่ก็เรียกความสนุกได้ไม่น้อย ทันทีที่เครื่องเล่นหมดรอบจัสท์ก็รีบเดินลงจากเครื่องเล่นทันทีด้วยใบหน้าซีดเล็กน้อย
“ไหวป่ะเนี่ย” เฟรนด์เอ่ยถามเมื่อเดินตามมา
“ไหวๆ ไม่ได้เล่นนานเลยไม่ชิน” คนตัวโตเอ่ยบอกก่อนจะรีบเดินไปที่ซุ้มขายน้ำทันทีเพื่อซื้อน้ำเปล่ามาดื่ม
“ตลกว่ะ หน้ามึงซีดมาก” คนตัวเล็กเอ่ยแซวก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายแล้วพาเดินเข้าไปด้านในต่อ
จัสท์และเฟรนด์เดินตรงไปที่บ้านผีสิงต่อโดยที่คิวก่อนหน้ามีอยู่เพียงแค่สามคนรวมพวกเขาอีกสองก็เป็นแค่ห้าคนเดินเข้าไปในบ้านผีสิงพร้อมกัน ความกลัวเริ่มผุดขึ้นในใจแต่จัสท์ก็ต้องพยายามเก็บมันไว้เพราะไม่อยากเสียหน้าออกมาต่อหน้าเฟรนด์ซึ่งคนตัวโตก็ทำได้ดีเพราะว่าทันทีที่เดินเข้าไปคนตัวเล็กก็เอาแต่ร้องกรี๊ดไม่หยุดจนจัสท์อดขำไม่ได้
พอออกมาคนทั้งคู่ก็พากันไปแวะพักเหนื่อยตรงซุ้มด้านหน้าเมืองหิมะแล้วซื้อข้าวโพดคลุกเนยกินเพราะเริ่มหิวและต้องการเติมพลังก่อนไปลุยกับเครื่องเล่นอื่นๆ ต่อไป
ระหว่างนี้ทั้งคู่ก็หามุมถ่ายรูปไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ได้สนสายตาคนรอบข้างที่มองมาสักเท่าไหร่ แม้หลายคนจะชื่นชมในความน่ารักของโมเมนต์พวกเขาทั้งคู่ที่มันน่ารักเสียจนน่าอิจฉาก็ตาม
“ถ่ายสตอรี่ให้หน่อย” เฟรนด์เอ่ยบอกพลางยื่นมือถือของตัวเองให้จัสท์
“มา พร้อมยัง”
“อื้อ”
“บูมเมอแรงใช่ป้ะ” คนตัวสูงเอ่ยถามเพิ่ม
“ใช่ๆ”
จัสท์กดถ่ายสตอรี่นั้นในขณะเดียวกันกับที่เฟรนด์ก็ขยับตัวดุ๊กดิ๊กไปตามจังหวะทำเอาคนตัวสูงที่ยืนถ่ายอยู่ตรงนั้นอดมองแล้วยิ้มออกมาไม่ได้ เขายืนมองคนตัวเล็กนิ่งหลังถ่ายเสร็จจนเฟรนด์ต้องเอ่ยถามกลับมาอย่างสงสัยว่าจ้องเขาทำไม แต่จัสท์ก็ทำแค่เพียงส่ายหัวเพราะใครจะไปกล้าพูดล่ะว่าเมื่อกี๊เขารู้สึกว่าเฟรนด์น่ารักมาก
ทั้งคู่เดินไปซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปยังเมืองหิมะเพิ่มโดยที่จัสท์เป็นคนออกเงินให้ จากนั้นจึงพากันเดินเข้าไปด้านในของเมืองหิมะ เด็กๆ ทั้งเด็กเล็กและนักเรียนต่อคิวกันรอรับรองเท้าบู๊ทและเสื้อกันหนาวเป็นแถวยาวเหยียด เมื่อถึงคิวเฟรนด์ก็ขอเสื้อกันหนาวสีชมพูมาใส่ส่วนจัสท์เลือกสีฟ้า
“หนาวชิบหาย” เฟรนด์บ่นเมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในเมืองหิมะ
“มานี่มา” จัสท์เดินเข้าไปใกล้แล้วคว้ามือของคนตัวเล็กมากุมไว้แล้วถูไปมาเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้
“ทำไรเนี่ย”
“ก็จะได้อุ่นขึ้นไง”
“กูเขิน ไม่ค่อยเห็นมึงทำตัวอบอุ่น” คนตัวเล็กพูดพลางหลบสายตาใบหูแดงขึ้นเรื่อยๆ
“ก็คบกันแล้วป่ะวะ กูก็ต้องดูแลแฟนกูหน่อย” จัสท์เอ่ยบอกพลางเปลี่ยนไปคว้าไหล่อีกฝ่ายมาโอบไว้แน่นแล้วใช้มือที่ว่างอยู่หยิบเอามือถือขึ้นมาถ่ายรูปคู่เอาไว้
แชะ!
“ถ่ายเก็บไว้ก่อน เปิดตัวเมื่อไหร่ค่อยโพส” คนตัวสูงบอกพลางยิ้มเล็กๆ ก่อนจะพากันไปหยิบเบาะสไลด์แล้วเดินไปต่อคิวเพื่อรอเล่นสไลด์หิมะ
ไลน์!
เสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขึ้นหลังจากที่พวกเขาเดินออกมาจากเมืองหิมะ เฟรนด์หยิบมือถือของเขาขึ้นมาดูก็พบว่าโต้งเป็นคนส่งข้อความมาแต่เป็นรูปที่แคปมาจากทวิตเตอร์เสียส่วนใหญ่ ด้วยความสงสัยเขาจึงกดเข้าไปที่ภาพเพื่อจะดูว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น
“เชี่ย!” เฟรนด์ร้องอุทานออกมาก่อนจะหันไปมองหน้าจัสท์
“มีไรเหรอ”
“ดูนี่ดิ” คนตัวเล็กยื่นมือถือไปให้อีกฝ่ายดู
“เชี่ยยย ชิบหายละ” จัสท์ร้องออกมาแล้วหันไปมองรอบๆ ตัวด้วยความระแวง
ภาพในทวิตเตอร์ที่โต้งส่งมาก็คือภาพระหว่างจัสท์กับเฟรนด์ที่มีโมเมนท์สวีทหวานในมุมต่างๆ ที่อยู่ในดรีมเวิลด์ ซึ่งฟีดแบ็คในแต่ละทวิตก็เป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะหลายคนบอกว่าน่ารักเหมาะสมกันดี แต่ก็ยังมีบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยที่เฟรนด์มีแฟนในตอนนี้ หลายคนรู้สึกผิดหวังเพราะเหมือนกันว่าเฟรนด์กำลังจะเอาเวลาไปโฟกัสเรื่องอื่นๆ มากกว่าที่จะโฟกัสการทำงาน แต่คนตัวเล็กก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพราะเขาก็วางตัวดีมาตลอดหรืออาจจะเพราะบรรดาแฟนคลับบางกลุ่มที่อยากได้เฟรนด์มาเป็นแฟนของตัวเองก็เป็นได้
“ใครถ่ายไปตอนไหนวะ” คนตัวสูงเอ่ยถามอย่างสัย
“น่าจะตอนที่เราเดินถ่ายรูปกันข้างนอก
“เต็มทวิตไปแล้วมั้งตอนนี้” จัสท์เอ่ยพูดเสียงเบาสีหน้าเป็นกังวล
“อันดับสามเลย” เฟรนด์พูดเสริม
“ห้ะ? ยังไงนะ”
“ติดเทรนด์อันดับ 3 แล้ว #เฟรนด์กับแฟนของเขา” คนตัวเล็กเอ่ยบอกแล้วกดเข้าไปในแท็กก่อนจะยื่นให้อีกฝ่ายดู
“เชี่ยยยย” จัสท์ตกใจจนหน้าซีด “ชิบหายแล้ว”
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ยุคนี้แล้ว เนี่ยดูดิ มีแต่คนแสดงความยินดี คนด่าน้อยมาก” เฟรนด์บอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้เป็นกังวลนัก
“กูไม่ได้กังวลเรื่องกู ด่ากูก็ด่าไปเพราะกูมันคนธรรมดา แต่กูเป็นห่วงมึง มึงมีคนรู้จักเยอะ พวกแฟนคลับมึงเขาจะคิดยังไงกัน กูกลัวเขาด่ามึง” จัสท์พูดยาวเหยียดอย่างเป็นกังวล ลำพังแค่การมีแฟนเป็นผู้ชายเขาก็รู้สึกว่ายังต้องใช้เวลาปรับตัวเพราะปกติคบผู้หญิงมาตลอด ยังไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงหรือทำอะไรให้มันพอดีไม่มากไม่น้อยเกินไป ยิ่งมาเจอเหตุการณ์แบบนี้เขาก็ยิ่งตื่นตระหนกพอตัวไม่รู้จะรับมือยังไง
“ใจเย็นๆ ก่อน ไม่ต้องซีเรียส กูจัดการได้” คนตัวเล็กเอ่ยปลอบ
“มึงดูคนฟอลไอจีกูเพิ่มมาจะหมื่นคนละนะ” จัสท์เปิดไอจีแล้วยื่นให้ดู
“เอางี้” เฟรนด์คว้ามือจัสท์แล้วเดินไปหาที่นั่งในมุมที่คนไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปมา
“มึงจะทำไรวะ” คนตัวโตเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มานั่งข้างๆ กูนี่”
“อะไรวะ”
เฟรนด์หยิบมือถือขึ้นมาเปิดไอจีแล้วเลือกที่จะกดไปยังเมนูถ่ายทอดสดทำเอาจัสท์ที่นั่งอยู่ข้างๆ หันขวับมามองหน้าทันทีด้วยความตกใจก่อนจะหันกลับมามองที่หน้าจอมือถือของคนตัวเล็กอีกครั้งก็พบว่าการถ่ายทอดสดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
“สวัสดีคร้าบบบทุกคน เข้ามากันหรือยังครับ” คนตัวเล็กเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
จำนวนผู้ชมไลฟ์ที่มุมขวาด้านบนของจอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหลักร้อยเป็นหลักพันจากหลักพันเพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่นในชั่วเวลาเพียงครู่เดียว พร้อมกับจำนวนคอมเมนท์ที่เลื่อนขึ้นไวจนอ่านไม่ทัน โดยรวมที่มองเห็นส่วนใหญ่ก็จะถามแต่เรื่องข่าวที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งเอ่ยชมความหล่อของผู้ชายที่นั่งข้างๆ อย่างจัสท์ไปด้วย
“เข้ามากันเยอะแล้ว ก่อนอื่นต้องขอบอกทุกคนเลยนะครับว่าส่วนตัวเฟรนด์เห็นข่าวในทวิตแล้วนะครับ คนในรูปก็คือคนนี้เลยฮะ” คนตัวเล็กหันไปมองคนข้างๆ แล้วยิ้ม “แนะนำตัวหน่อยเร็ว”
“สวัสดีครับ จัสท์ครับ”
“ใช่ครับ คนในรูปที่ทุกคนเห็นก็คือจัสท์นะค้าบบ เป็นแฟนของเฟรนด์เองครับ”
“ห้ะ! บอกเลยเหรอ” คนตัวสูงตกใจในความกะทันหัน
“อื้อ บอกเลย ก็เราเป็นแฟนกันแล้วนี่หว่า คนเห็นรูปกันทั่วบ้านทั่วเมืองละ ก็บอกๆ ไปเลย ทุกคนจะได้รู้”
“ครับ ผมเป็นแฟนเฟรนด์ครับ ขออนุญาตแฟนคลับของเฟรนด์ด้วยนะครับ” จัสท์เอ่ยพูดอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัวทำเอาเฟรนด์หลุดขำออกมา
“นั่นแหละฮะทุกคน มาไลฟ์เพื่อแจ้งข่าวจะได้เลิกสงสัยกันนะครับ ยังไงพวกเราขอไปเล่นเครื่องเล่นต่อก่อนนะค้าบบ ไว้เจอกันใหม่ฮะ บ๊ายบาย” เฟรนด์โบกมือลาพร้อมรอยยิ้มโดยมีจัสท์ทำตามอยู่ข้างๆ แล้วกดปิดการถ่ายทอดสดไป
“เห้ออออ” คนตัวสูงถอนหายใจยาวออกมา
“เป็นไร หนักใจเหรอ”
“เปล่าๆ โล่งมากกว่า” จัสท์พูดแล้วยิ้มให้
“กูบอกมึงแล้วว่าไม่ต้องซีเรียส เดี๋ยวนี้ไม่มีใครสนใจเรื่องผู้ชายคบผู้ชายกันแล้ว ไอ้ชุดความคิดที่ตั้งท่ารังเกียจหรือมองว่าเพศเดียวกันคบกันเป็นเรื่องผิดปกติก็คือโคตรเชย”
“...”
“ยุคนี้ใครๆ เขาก็มองกันที่คุณค่าของความเป็นมนุษย์กันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องของเรามึงปล่อยใจตามสบายได้เลย ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วนะ” เฟรนด์บอกจบก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแน่น
“ขอบคุณมากนะมึง”
“อื้อ”
“กูรักมึงนะ” จัสท์ค่อยๆ ผละออกก่อนจะเอ่ยพูดขึ้น
เฟรนด์ได้ยินแบบนั้นก็แอบช็อคไปนิดหนึ่ง นั่งนิ่งจ้องหน้าคนตัวโตพลางหัวใจก็รู้สึกพองโตขึ้นมาด้วยความสุขจนน้ำตาเอ่อมาคลออยู่ที่ดวงตาใส “กู..ก็รักมึงนะ”
“ขอบคุณมึงมากนะที่ไม่เคยเลิกรักกูเลย”
“กูก็ขอบคุณมึงเหมือนกันนะที่เปิดใจให้กู” คนตัวเล็กเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กๆ
จัสท์เห็นก็รู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบที่แก้มของอีกฝ่ายเบาๆ บริเวณที่น้ำตาไหลออกมาก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้แล้วกดริมฝีปากของตัวเองลงบนหน้าผากนวลเนียนของเฟรนด์เป็นการปลอบประโลม จากนั้นจึงเลื่อนตำแหน่งจากบริเวณหน้าผากให้ต่ำลงมาแล้วบรรจงกดจูบลงไปที่ริมฝีปากอีกฝ่ายเบาๆ เพียงชั่ววินาทีเดียวแล้วผละออก
“อยู่ข้างนอกก็เอาของขวัญไปแค่นี้ก่อนเนอะ กลับบ้านค่อยว่ากันใหม่” จัสท์เอ่ยพูดพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไอ้ทะลึ่ง!” เฟรนด์ยิ้มเขินแล้วยกมือขึ้นทุบเบาๆ ไปที่ไหล่หนาของจัสท์ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันลุกเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไปยังเครื่องเล่นเฮอริเคนที่อยู่ถัดเข้าไปด้านใน
แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดูเหมือนเพิ่งเริ่มต้นขึ้นในชั่วเวลานี้แต่ความรู้สึกของเฟรนด์มันดันเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยที่พวกเขาได้เจอกันครั้งแรกในตอนที่เรียนอยู่มัธยมปลาย เป็นช่วงเวลาอันแสนยาวนานของความสัมพันธ์นี้และมีช่วงเวลาที่ต้องห่างกันไปจนดูเหมือนจะกลายเป็นแค่เพียงความทรงจำ แต่ท้ายที่สุดแล้วพรหมลิขิตก็ช่วยพาให้เขาทั้งคู่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วงเวลาที่เหมาะสมจนทำให้ความรักของทั้งจัสท์และเฟรนด์ได้เติบโตขึ้นอีกครั้งและอาจจะเป็นนิรันดร์ตลอดไป
---------- END ----------