การผจญภัยของชายชราไร้บ้านผู้หนึ่งกับการนำขนมกลับไปหาหลานสาวสุดที่รักในคืนคริสต์มาสอีฟ
อื่นๆ,นักเขียนรถแห่มาเยือนพล็อตเทลเลอร์,คริสต์มาส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ข่าวประเสริฐการผจญภัยของชายชราไร้บ้านผู้หนึ่งกับการนำขนมกลับไปหาหลานสาวสุดที่รักในคืนคริสต์มาสอีฟ
คืนนี้เป็นคืนคริสต์มาสอีฟ ณ ตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่มกว่าแล้ว
ชายชราผู้หนึ่ง กำลังนั่งพิงกำแพงตึกพลางหอบหายใจถี่ที่มุมมืดของเมืองใหญ่
ด้วยผมเผ้าและหนวดเคราที่รุงรัง พร้อมทั้งเครื่องแต่งกายที่ดูจากภายนอกก็รู้ว่าไม่ได้ทำความสะอาดมานาน เป็นใครก็คงจะดูออกว่าชายชราผู้นี้คือคนจร คนไร้บ้าน ที่เร่ร่อนไปตามจุดต่าง ๆ ของเมืองเพื่อตามหาสถานที่ที่ตนจะสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องดิ้นรนไปมากกว่านี้
แต่เหตุที่ทำให้ชายชราต้องมาอยู่ในสภาพนี้ คือสิ่งของในถุงสีส้มสดใสที่อยู่ในอ้อมอกของชายชราตอนนี้
มันคือมาร์ชแมลโลว์
ขนมที่เรียกได้ว่าเด็กทุกคนบนโลกนี้ต้องเคยได้ลิ้มลองสักครั้งในชีวิต และน่าจะยกเว้นหลานสาวตัวน้อยวัย 8 ขวบของชายชราที่ทำได้แค่มองตาละห้อยเมื่อได้พบเห็นเด็กคนไหนกำลังนำขนมชนิดนี้เข้าปากแล้วเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย และชายชราก็รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้งที่ได้เห็นภาพอันน่าสงสารเช่นนี้
ด้วยความยากจน ทว่าก็อยากเห็นภาพของหลานสาวได้มีความสุขอย่างน้อย ๆ ในวันคริสต์มาสก็ยังดี
แต่เหตุที่ชายชราต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมานั่งซุกกายหายใจกระหืดกระหอบเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะว่าสิ่งที่ตนเองได้กระทำไป หากแต่เป็นการที่วิ่งหนีออกจากร้านแล้วพบว่ามีคนไร้บ้านกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันไปปล้นร้านพิซซ่า แล้ววิ่งหนีตำรวจมาทางเดียวกัน ทำให้ตำรวจเหมารวมชายชราไปด้วย ซึ่งจากการที่ร่างกายไม่ได้แข็งแรงอะไรก็ทำได้แค่วิ่งไปอย่างไร้จุดหมาย อีกทั้งย่านนี้ไม่ใช่ย่านที่ชายชราอาศัยอยู่ ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน จับพลัดจับผลูมาหลบเอาที่มุมมืดตรงนี้นี่เอง
ชายชราเหนื่อยเกินกว่าจะลุกยืน อากาศก็หนาวเกินกว่าจะทำให้ตัวเองอยู่ได้อย่างสบายที่นี่ เรียกว่าจะอยู่สภาพไหนก็แย่ หากแต่ต้องรอดกลับไปหาหลานสาวตัวน้อยให้จงได้
แต่ข่าวร้ายคือ บริเวณนี้มันคือถิ่นของคนไร้บ้านอีกกลุ่มหนึ่ง ด้วยการแบ่งอาณาเขตแบบหลวม ๆ ของกลุ่มคนไร้บ้านที่ต้องควบคุมให้หากินกันแต่ในเพียงเขตของตนเองเท่านั้น มันจึงเป็นที่รู้ในหมู่คนไร้บ้านด้วยกันเองว่า หากล้ำเส้น แม้ตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ต้องรีบกลับมาฝั่งตนเองโดยเร็ว มิเช่นนั้นจะมีการลงโทษโดยไม่มีเงื่อนไข
นั่นยิ่งทำให้ชายชรายิ่งคิดหนัก เพราะการเดินไปโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้นั้นมีอันตรายอยู่แน่นอน แต่การนั่งอยู่ที่เดิมก็อาจจะทำให้หนาวตายได้ในอีกไม่ช้า
อย่ากระนั้นเลย ชายชราจึงลุกยืน แล้วเดินออกไปจากที่ ๆ ตนหยุดพัก ท่ามกลางหิมะที่ตกปรอย พื้นทางเดินปกคลุมไปด้วยหิมะขาวทิ้งร่องรอยของรอยเท้าชายชรา เป็นรอยเท้าที่เกิดจากหัวใจอันแน่วแน่ที่จะเอาตัวรอดจากพื้นที่ต่างถิ่นไปเพื่อมอบความสุขให้กับคนที่ตนรัก แม้จะเป็นรอยเท้าที่เชื่องช้าเพราะความหนาวเหน็บและความชราภาพ แต่มันก็มั่นคงและยังคงเดินหน้าต่อไป
เวลาผ่านไปเท่าใดไม่อาจรู้ได้ ชายชราเคลื่อนตัวผ่านตรอก ผ่านซอกซอย ผ่านช่องแคบระหว่างตึกต่าง ๆ อย่างไร้ทิศทาง เอาเข้าจริงถึงแม้นี่จะเป็นพื้นที่ต่างถิ่น แต่ชายชราก็เคยเดินทางมาตรงนี้บ้าง แต่ความชราภาพนั้นไม่เคยปราณี มันทำให้ความทรงจำเลือนหายไปบ้าง แม้จะมีภาพลาง ๆ จากอดีต แต่นี่ก็เป็นอีกอุปสรรคหนึ่งที่จะขัดขวางไม่ให้ชายชราไปถึงที่หมายโดยง่าย
ทว่าก็มีเสียงหนึ่งลอยผ่านสายลมเหมันต์
“ให้พ่อช่วยนะครับ”
เป็นบาทหลวงที่ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะอยู่ในวัย 40 ซึ่งอายุน้อยกว่าชายชราอยู่โข แต่เสียงอันแผ่วเบาหากแต่เปี่ยมด้วยเมตตา และใบหน้าที่แสนใจดีนั้นทำให้ชายชราเบิกตาโพลง และชายชราก็เพิ่งรู้ตัวว่า ตนเองได้เดินอย่างไร้ทิศทางมาจนถึงโบสถ์หลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ที่ซึ่งชายชราอาจจะต้องการมากที่สุดในตอนนี้
“โอ้ คุณพ่อ ขอบคุณครับ…”
แล้วน้ำตาของชายชราก็ไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“เอา ๆ เข้าไปข้างในโบสถ์ก่อนครับ” บาทหลวงชวนชายชราเข้าไปในโบสถ์ อย่างน้อย ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องหนาวเหน็บกับลมหนาวข้างนอก
*****
บาทหลวงส่งแก้วเครื่องดื่มโกโก้ให้กับชายชรา หวังว่าจะทำให้ร่างกายของชายชราอบอุ่นขึ้นมาบ้าง
ชายชราเคยดื่มโกโก้มาบ้าง และมันทำให้หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่ยังมีครอบครัวอันแสนอบอุ่น และห้วงความคำนึงก็ถูกแสดงผ่านสีหน้าของชายชราออกมาอย่างเด่นชัด จนบาทหลวงจนต้องเอ่ยถาม
“คุณครับ…”
แต่ไม่ทันที่บาทหลวงจะเอ่ยสิ่งใดต่อ ชายชราก็เอ่ยคำหนึ่งขึ้นมา
“...เมื่อ 4 ปีก่อน…”
เมื่อได้ยินเสียงของชายชรา บาทหลวงจึงหยุดพูด แล้วจึงดึงเก้าอื่ใกล้ ๆ นั่งลงข้างหน้าชายชรา
แล้วชายชราก็เล่าเรื่องของตนเอง
“...4 ปีก่อน ผมเองก็เคยมีบ้านกับเค้าเหมือนกัน…” ชายชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ต้องค้อมหลังลง อาจเพื่อป้องกันไม่ให้บาทหลวงได้เห็นสีหน้าที่เศร้าสร้อย
“...แต่ลูกชายผม…เป็นตำรวจ…ไปสืบคดีแก๊งเม็กซิกัน…พวกมัน…”
บาทหลวงได้ฟังเพียงแค่นั้นก็นำมือมาแตะไหล่ของชายชรา พลางพูดว่า
“ลุงครับ ให้ผมช่วยอะไรบอกได้เลยนะ”
ชายชราเงยหน้ามามองบาทหลวง พลันน้ำตาก็ไหลออกมา
“คุณพ่อ….โฮฮฮฮ…”
ชายชราร้องสะอื้นไม่หยุด บาทหลวงเข้าใจดีถึงความอัดอั้นตันใจอันท่วมท้น
เสียงร้องไห้สะอื้นของชายชรานั้นดังไปทั่วโบสถ์เล็ก ๆ แห่งนี้ มันสะท้อนถึงช่วงชีวิตอันยากลำบากและอัตคัดขัดสนตลอดเวลาหลายปีของชายชรา บาทหลวงพบเจอคนไร้บ้านมาก็มาก แต่เสียงร้องไห้ของชายชราผู้นี้นั้นดังก้องเสียจนทำเอาบาทหลวงนึกอาดูรกว่าใคร
ชายชราค่อย ๆ หยุดร้องไห้ แล้วจึงดึงเอาถุงมาร์ชแมลโล่ว์ที่ซุกไว้ในเสื้อนอก แล้วจึงถามบาทหลวงว่า
“คุณพ่อ….ผมขอสารภาพบาปได้มั้ย”
บาทหลวงเลิกคิ้วนิดหนึ่ง แต่ก็เข้าใจได้ทันที จึงพาชายชราลุกไปยังห้องสารภาพบาปที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่นั่งอยู่นัก
บาทหลวงจับให้ชายชรานั่งที่เก้าอี้ ส่วนตนเองไปนั่งในบูธ จากนั้นจึงเริ่มการสารภาพบาป
“ข้าพเจ้าขอสารภาพต่อพระเจ้า ผู้ทรงสรรพานุภาพและต่อพี่น้องด้วย ว่าข้าพเจ้าได้ทำบาปด้วยการลักขโมยสิ่งนี้…” ชายชรากล่าวบทสารภาพบาป พลางหยิบซองมาร์ชแมลโลว์ให้บาทหลวงดูผ่านช่อง บาทหลวงยังไม่ทันจะพูดอะไร ชายชราก็เอ่ยต่อ
“...ผมจะเอาไปให้ไอ้เจ้าตัวเล็ก…ชื่อเบ็กกี้…” ชายชราพูดเสียงสั่นเครือพลางหยิบรูปถ่ายเก่า ๆ ยับ ๆ ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เป็นรูปของชายชราและเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง ซึ่งนั่นคือหลานของชายชรานั่นเอง บาทหลวงได้เห็นได้ยินเช่นนั้นรู้สึกสะท้อนใจ จึงได้กล่าวออกไปว่า
“ลูกเอ๋ย ลูกจะอยู่รอดและพ้นจากบาป หากใช้ชีวิตโดยเชื่อในพระองค์ และเมื่อลูกสารภาพบาปของตนออกมาแล้ว เท่ากับว่าลูกเชื่อมั่นในการไถ่บาปของพระองค์ เท่ากับว่าลูกเชื่อในพระองค์ ดังนั้นแล้ว ลูกจึงพ้นจากบาปทั้งปวง”
เมื่อพูดเสร็จ บาทหลวงจึงเดินออกมาจากบูธ แล้วพูดกับชายชราว่า
“และพ่อก็รู้ว่าขนมนี่ขายที่ไหน พ่อจะพาคุณไปซื้อ คุณจะได้เอาขนมไปให้เจ้าตัวเล็กได้อย่างสบายใจนะครับ”
ชายชราร้องไห้อีกครั้ง พลางเอ่ยว่า “ข่าวประเสริฐ ! นี่คือข่าวประเสริฐที่แท้จริง ! คุณพ่อคือทูตสวรรค์ที่มาเพื่อส่งข่าวประเสริฐให้ผมโดยแท้จริง !!” ชายชราพูดขอบคุณและอวยพรให้พระเป็นเจ้าปกปักษ์คุ้มครองบาทหลวงตลอดไป บาทหลวงได้แค่ยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงพาชายชราลุกออกจากโบสถ์ไป
*****
ทั้งสองมาถึงร้านขนม เจ้าของร้านที่เป็นหญิงวัยกลางคนที่มีเชื้อจีนก็ถึงกับอุทานเป็นภาษาแม่ของตนเอง
“哎哟 ! คุณพ่อ มาทำอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ ที่ร้านฉันคะเนี่ย”
“พ่อมาซื้อขนมน่ะ” พลางหยิบขนมมาให้เจ้าของร้านเห็น “แต่มาซื้อให้คุณคนข้างนอกร้านน่ะ” บาทหลวงพูดพลางชี้ไปที่ชายชราที่ไม่แม้แต่จะกล้าเดินเข้าร้าน ด้วยกลัวว่าตนเองจะถูกดุด่าหรือกระทั่งทำร้ายร่างกาย
“哎呀 ! คุณพ่อทำแบบนี้อีกแล้วอ่า ฉันซึ้งน้ำใจคุณพ่อนะ แต่มันก็ไม่ควรมาขโมยของร้านฉันมั้ยอ่า” เจ้าของร้านโวยใส่ชายชรา ชายชราตกใจจนหงอ บาทหลวงเห็นจึงยกมือปราม พลางพูดว่า
“เอาน่า คุณเฉิน เรื่องแล้วไปแล้วให้แล้วไป คืนนี้เป็นคืนคริสต์มาสอีฟ พ่ออยากให้คนไร้บ้านคนนั้นได้มีความสุขบ้างน่ะ”
พลันชายชราเดินเข้ามาในร้าน ถอดหมวกไหมพรมที่สวมอยู่ออกมาแล้วจึงกล่าวขอโทษกับคุณเฉินผู้เป็นเจ้าของร้าน คุณเฉินเห็นดังนั้นจึงเกิดอารมณ์ขึ้น หมายจะเดินไปด่าชายชราจนชายชราทำได้แค่เอามือมาปัดป้อง แต่บาทหลวงกลับมาขวางเอาไว้ คุณเฉินจึงได้แต่ยืนท้าวเอวพลางทำหน้าเซ็งแล้วสั่นหัวไปด้วย จึงพูดว่า
“เอา ๆ คุณพ่อจะทำอะไรก็แล้วแต่ แต่ฉันอยากให้คุณพ่อเลิกใจดีกับพวกไร้บ้านซักที นี่ได้ยินว่าร้านพิซซ่าตรงหัวมุมนั่นโดนไอ้พวกไร้บ้านรวมตัวไปปล้น แบบนี้จะให้ฉันวางใจได้ยังไงอะ”
“คุณเฉิน พระเป็นเจ้าจะทรงเมตตากับผู้ที่เชื่อในพระองค์ พ่อเชื่อว่าคุณคนนั้นเค้าเป็นคนดี ไม่ได้มีเจตนาร้าย หากเค้าจะทำร้ายพ่อ เค้าทำไปนานแล้วล่ะ ครั้งนี้ก็ปล่อยเค้าไปเถอะนะ”
คุณเฉินถอนหายใจแล้วจึงเดินไปที่เคาเตอร์คิดเงิน เมื่อจ่ายเงินเสร็จ บาทหลวงจึงขอบคุณ ชายชราก็ก้มหัวขอบคุณอีกครั้ง ซึ่งคุณเฉินก็ไม่ได้ดูพอใจขึ้นแม้แต่น้อย เมื่อเห็นดังนั้นทั้งคู่จึงออกจากร้านมา
“คุณ เอามาร์ชแมลโลว์นี้ไปให้เจ้าตัวเล็กได้แล้วนะ แล้วก็ พรุ่งนี้ที่โบสถ์จะมีแจกอาหาร หากคุณสนใจก็มารับอาหารได้ แม้จะไม่มากแต่ก็คงพอให้อิ่มท้องได้บ้างนะ”
น้ำใจอันลึกล้ำของบาทหลวงทำให้ชายชราต้องหลั่งน้ำตาอีกครั้ง ชายชราขอบคุณและอวยพรไม่หยุดปาก แต่บาทหลวงเห็นว่าดึกแล้วจึงต้องขอปลีกตัว แล้วทั้งสองก็แยกย้ายกัน
*****
ชายชราเดินไปถนนที่ตนเองพอจะคุ้นอยู่บ้างเพื่อเดินไปให้ถึงจุดหมาย นั่นคือพื้นที่พักอาศัยของตนเอง
หากเดินเท้าไปอีกสัก 5-10 นาทีก็น่าจะถึงที่หมาย ชายชราดีใจเหลือเกินที่จะได้เห็นหน้าอันมีความสุขของหลานสาว และเมื่อพรุ่งนี้มาถึง จะได้พาหลานสาวไปรับอาหารฟรีที่โบสถ์ของบาทหลวงผู้ใจดีราวกับทูตสวรรค์ผู้นั้น วันพรุ่งนี้อันเป็นวันคล้ายวันประสูติของพระคริสต์นั้นช่างดูสดใสเสียเหลือเกิน
และเมื่อเดินเลี้ยวเข้าตรอกแคบที่จะเป็นทางไปยังถิ่นของตนนั้นเอง
พลั่ก !!
จู่ ๆ ชายชราล้มลงกับพื้นด้วยแรงกระทำบางอย่าง มันคือแก๊งคนไร้บ้านสามคนที่เพิ่งรวมตัวกันไปปล้นร้านพิซซ่านั่นเอง ทั้งสามวิ่งออกมาจากตรอกแล้วชนกับชายชราจนล้มลงไปหมด
“สัสเอ๊ย ขวางทางทำเชี่ยไรวะ” หนึ่งในนั้นตะโกน
“เร็ว ๆ พ่อมึงตามมาแล้ว” อีกคนหนึ่งเร่งให้ลุกขึ้นเร็ว ๆ เพื่อหนีตำรวจ
ทั้ง 3 ลุกวิ่งหายไปแล้ว ชายชราที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา
พลันตำรวจวิ่งตามมาจากตรอก แล้วพบกับชายชราพอดี ชายชราด้วยความตกใจจึงชูมือขึ้นเหนือหัว
ตำรวจที่วิ่งมามีสองนาย หนึ่งในนั้นเอียงคอไปพูดใส่ว. ที่บริเวณไหปลาร้าซ้ายของตน ชายชราตกใจกลัวเสียจนจับใจความไม่ได้ ได้ยินคล้าย ๆ ว่าพบตัวหนึ่งในผู้ก่อเหตุแล้ว
ชายชราช็อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พลันชายชราก็ชะงัก พร้อมทั้งถอยจากจุดที่ตัวเองยืน
ตำรวจทั้งสองนายคว้าปืนมาเล็งที่ชายชราด้วยความรวดเร็ว สายตาของชายชราจับจ้องไปที่ตำรวจทั้งสองนาย หวังจะให้มีการเคลียร์ความเข้าใจผิด
“...คุณตำรวจ…ผมไม่ได้ปล้นนะ…”
ตำรวจทั้งสองนายไม่เชื่อคำ ยังคงใช้ปืนเล็งไปที่ชายชราอยู่
“ลุง ลุงยอมให้จับตรงนี้แต่โดยดีเถอะ จะได้ไม่เสียเวลา”
นั่นทำให้ชายชรารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง
ชายชราจึงค่อย ๆ เอามือซ้ายล้วงไปในเสื้อนอก พยายามจะเอามาร์ชแมลโลว์ในเสื้อออกมา
“หยุดเดี๋ยวนี้นะโว้ย ! อย่าตุกติก ! ไม่งั้นพวกกูยิงแน่ !”
“...แต่…ข้างในนี้มี…”
ปัง !
หนึ่งในนายตำรวจนั้น ลั่นไกยิงใส่ชายชรา
ชายชราล้มลงกับพื้น เลือดของชายชราไหลนองพื้นถนนที่เต็มไปด้วยหิมะ
นายตำรวจคนที่ลั่นไกนั้นเดินเข้าไปเช็คชายชราว่าชายชรากำลังจะหยิบอะไร และเมื่อพบว่าเป็นซองขนมมาร์ชแมลโลว์ก็ทำได้เพียง
“โอ้…”
นายตำรวจอีกคนหนึ่งเห็นดังนั้นจึงแจ้งไปยังว.ของตนว่า
“คนร้ายพยายามต่อสู้ขัดขืน จำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงเพื่อสกัดเหตุ”
เมื่อปิดว. นายตำรวจผู้เพิ่งแจ้งว.ไปจึงหาท่อนเหล็กที่อยู่แถว ๆ นั้นมาวางบนร่างของชายชราเพื่อเป็นหลักฐาน
ส่วนชายชรานั้น ความหนาวเหน็บทำให้ไม่อาจรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป ภาพตรงหน้าของชายชราคือท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงดาว เสียงเพลง Silent Night ลอยแว่วมาผ่านสายลมพร้อมกับเสียงนาฬิกาตีเพื่อบอกเวลาเที่ยงคืน
Silent night, Holy night.
All is calm, All is bright.
ชายชราพบว่าตนเองไม่สามารถไปพบกับหลานสาวตัวน้อยได้แล้ว จึงทำได้เพียงกระซิบแผ่วเบา
“...ขอโทษนะเบ็กกี้…”
ช่วงเวลาสุดท้ายของชายชรา พบว่าข่าวประเสริฐไม่มีจริง ชีวิตที่ดีกว่านี้ไม่มีอยู่จริง ความอบอุ่นจากเมตตาธรรมของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่พบได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว
ความเหน็บหนาวต่างหากที่อยู่นิจนิรันดร์
[จบบริบูรณ์]