ไม่ว่าคราใดยังมีแต่ความเหงาในมุมเงียบ เธอได้แต่ภาวนาเทวทูตมาเติมฝัน...ให้เป็นจริง

คืนแสนเงียบเหงา - ตอน 1 รองเท้าคู่นั้น โดย ซูซี่แคท @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ตะวันตก,เรื่องสั้น,ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

คืนแสนเงียบเหงา

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,ตะวันตก,เรื่องสั้น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

คืนแสนเงียบเหงา โดย ซูซี่แคท @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไม่ว่าคราใดยังมีแต่ความเหงาในมุมเงียบ เธอได้แต่ภาวนาเทวทูตมาเติมฝัน...ให้เป็นจริง

ผู้แต่ง

ซูซี่แคท

เรื่องย่อ

สาวน้อยอิงกริด สูญเสียบิดาอยู่กับแม่ และแล้วความฝันของเธอที่จะได้เจอเทวทูต ตัวแทนของพ่อเธอก็มาถึง ... 

รองเท้าบูตที่เธออยากได้กลายเป็นสื่อสัมพันธ์จากชายคนนั้นที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลกเหมือนคนจรไร้ที่พำนักพักพิง แต่แล้วเธอทำให้เขาลงหลักปักฐานกับอิงดาว แม่ที่แสนน่ารักของเธอด้วยคำพูดที่น่าประทับใจ

กดติดตามอ่านนะคะว่า เธอทำให้เขาและแม่เธอแลนดิ้งอย่างไรถึงลงตัว

มาลุ้นกันค่ะ

 

 

สารบัญ

คืนแสนเงียบเหงา-ตอน 1 รองเท้าคู่นั้น,คืนแสนเงียบเหงา-ตอน 2 คนจรหมอนหมิ่น,คืนแสนเงียบเหงา-ตอน 3 หาแสงเหนือ (คืนเงียบเหงา),คืนแสนเงียบเหงา-ตอน 4 ศรัทธา,คืนแสนเงียบเหงา-ตอน 5 ถึงเวลาแลนดิ้ง (ตอนจบ)

เนื้อหา

ตอน 1 รองเท้าคู่นั้น

อิงกริดสาวน้อยวัยแปดขวบนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน เฉดเหลืองประกายวาวคราต้องแสงอาทิตย์ยามบ่าย หลายปีมานี้ดวงตาของสาวน้อยไร้เงาแห่งความสุขดูแตกต่างจากสาวน้อยแรกรุ่นคนอื่นๆ เสียเหลือเกิน

อีกปีแล้วเธอต้องแต่งตัวเป็นซานตี้น้อยด้วยเสื้อผ้าและรองเท้าบูตคู่เก่าคู่เก่งไปร่วมฉลองคาร์นิวัลที่ใจกลางเมืองทรอนไฮม์ ตรงบริเวณสะพานสีแดงสัญลักษณ์เก่าแก่ของเมืองแห่งนี้ เรียกกันในภาษานอร์สว่า ‘กัมเล บีโบร’ (Gamle Bybro) ข้ามแม่น้ำ นีเดลวา (Nidelva)

“Mamma…มัมมา อิงคิดถึงปะป๊ามากกกก” สาวน้อยหันไปจับมือแม่หนูตัวน้อย แม้เธอเกิดที่นี่ แต่แม่อิงดาวไม่เคยให้ลืมชาติกำเนิด อิงกริดพูดและเรียนภาษาไทยคล่องพอๆ กับคนไทยที่อยู่ที่นี่
“อิง... ขอพรจากปะป๊าบนฟ้านะ” แม่มักจะตอบกลับแบบนี้เสมอ เมื่ออิงกริดเอ่ยปากคิดถึงพ่ออิงกูฟ

อิงกูฟจากพวกเธอไปเกือบสามปีแล้ว ... อิงดาวคิดถึงสามีไม่น้อยไปกว่าลูกสาวคนเดียว เธอจำเป็นต้องอยู่ต่อที่นี่เพื่อเรียนให้จบแล้วจึงเดินทางกลับเมืองไทย ไปทำงานใช้ทุนให้กับหน่วยงาน

อิงดาวให้กำเนิดบุตรสาวหลังจากเรียนจบปริญญาตรีที่นี่ เธอเดินทางมาเรียนด้วยการขอทุนที่นี่และทุนส่วนตัวครึ่งหนึ่ง อิงกูฟเป็นหนุ่มนอร์เวย์ที่เธอสนิทสนมด้วยนิสัยใจคอคล้ายคลึงคนไทย เขาเป็นลูกครึ่งคุณพ่อเป็นคนไทยทำงานเป็นนักวิจัยของมหาวิทยาลัยที่เมืองทรอมโซ ดินแดนแห่งแสงเหนือ

ทั้งสองเจอกันในงานเทศกาลแครมปุสมาร์ช (Krampus March) อิงกูฟแต่งตัวเป็นปีศาจ แครมปุส เดินตระเวนจับคนพูดโกหก เธอกลายเป็นคนหนึ่งที่ถูกเขาจับได้

“เจ้ากล้าพูดโกหกปีศาจอย่างข้าเชียวรึ” ชายสวมหน้ากากพูดกับเธอด้วยเสียงนุ่มมาก จนเธอไม่คิดว่าเขาจะน่ากลัว เลยหัวเราะเสียงดัง

“ฉันคงไม่ได้โกหกใคร นอกจากเจ้าเท่านั้น” เธอพูดภาษานอร์สแบบตะกุกตะกัก มาเรียนได้แค่สามปี ภาษาที่นี่ยากจนอยากโดดเรียนอยู่หลายหน

“เจ้าไม่ใช่คนที่นี่...” เขาแอบถามสาวน้อยนัยน์ตาคม

“Nei!!!… Ja!!!… เอ่อ ไม่ไม่ ... เออ...ใช่ใช่” เธอตอบกลับทั้งใช่ ไม่ใช่ ทำเขาหัวเราะ
 

“เจ้าโกหก ต้องถูกลงโทษ” เขาตัดสินเธอเยี่ยงนั้น การลงโทษคือเขาชวนเธอไปกินพิซซ่ารสชาติไทยซูมเมอร์ที่เมืองทรอมโซ เลยต้องตกลงเดินทางไปพบครอบครัวของเขาที่นั่นด้วยกัน

ที่มหาวิทยาลัยทรอนไฮม์ เขาเรียนคนละคณะกับเธอ อิงดาวมาเรียนวิทยาศาสตร์ทางทะเล ส่วนเขาเรียนวิศวะด้านคอมพิวเตอร์ อิงดาวตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อหลังจบปริญญาตรี โดยอิงกูฟขอคุณพ่อของเขาที่เป็นนักวิจัยช่วยหาตำแหน่งงานให้

“ดาว ไม่ต้องกลับเมืองไทย อยู่ที่นี่กับผม” เขาชักชวนเธอให้แต่งงานอยู่กับเขา ทั้งสองเป็นลูกคนเดียว สำหรับอิงดาวเธอไม่เหลือใครแล้วนอกจากป้าที่เป็นโสดบังเอิญได้แต่งงานกับคนนอร์เวย์ที่เมืองทรอมโซ ทุกครั้งเมื่อปิดภาคเรียนเธอจะขึ้นไปเยี่ยมป้าและครอบครัวของชายหนุ่ม

“ไว้ปรึกษาป้าฉันก่อนนะ” เธอยังไม่ให้คำตอบทันที แต่ด้วยคำพูดของป้ากึ่งบังคับวันนั้น ทำให้เธอจำต้องตัดสินใจ

“ผมได้ยินป้าคุณบอกผม...”

“อะไรเหรอ...” เธอหวั่นใจ ไม่รู้ว่าหากอยู่ที่นี่ แล้วมีอะไรเกิดขึ้น เธอจะทำอย่างไร

“ท่านไม่มีญาติ นอกจากคุณ... อิงดาว” เธอคิดหนักเช่นหัน ครั้นกลับเมืองไทยเธอต้องอยู่คนเดียว

งานคาร์นิวัลนี้จัดทุกปี แต่ไร้อิงกูฟปะป๊าของอิงกริดทำให้ค่ำคืนสามปีที่ผ่านมา เป็นคืนที่เงียบเหงาสำหรับสาวน้อย

“มัมมา หนูจะเจอปะป๊าบ้างไหม” อิงกริดภาวนาต่อฟ้าให้เธอได้เจอพ่อบ้าง

“ได้สิจ๊ะ... ปีนี้ปะป๊าจะเป็นเทวทูตของหนู ... รีบไปกันเถอะ จะไม่ทันต้อนรับนะ” อิงดาวปลอบใจอิงกริดทุกปี เธอเอ่ยไปเช่นนี้เหมือนโกหกไม่เพียงแต่เพื่อความสบายใจของลูกน้อย แต่เพื่อตัวเธอเองเช่นกัน

ระหว่างที่ขบวนเหล่าปีศาจแครมปุสเดินผ่านไป สร้างความสนุกสนานเฮฮาเหมือนไม่ใช่เทศกาลแห่งความน่ากลัว แต่เป็นความบันเทิงเสียมากกว่า ชายหนุ่มหน้าตามอมแมมอยู่ริมฝั่งถนนตรงกันข้ามมองมาที่อิงกริด ทำมือเป็นสัญญาณบางอย่าง ครั้นขบวนผ่านไปจนหมดแล้ว เขาจึงข้ามมาหาสาวน้อย

“สาวน้อย... ทำไมรองเท้าไม่ผูกเชือก เดินจะหกล้ม” เขาเดินเข้ามาหาแล้วก้มลงผูกเชือกบูตให้เธอ 

“Tusen takk… ขอบคุณมากค่ะ”

“ไว้ผมจะซื้อให้ใหม่...” เขาเงยหน้าขึ้นมองอิงดาว แม่ของสาวน้อย

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก” อิงดาวรีบปฏิเสธ

“คุณลุง... เป็นซานต้าหรือคะ” อิงกริดรีบถามอย่างแปลกใจ

“ลุงเป็น เทวทูต... หนูชื่ออะไร” เขาถามสาวน้อยแก้มแดง

“Ingrid … เรียกหนู ... อิง นะคะ” เธอตอบอย่างยินดี นึกในใจว่า พ่อปลอมตัวเป็นเทวทูตมาแน่เลย

“เรียกลุงว่า... อารอน” เขาพูดกับอิงกริด แล้วมองหน้าของอิงดาว 

“ผมพักอยู่ที่โรงแรมหลังสะพาน...” เขาชี้ไปยังโรงแรมฝั่งตรงข้าม

ชายหนุ่มหน้าตามอมแมมแต่งตัวธรรมดา ดูน่ากลัวกว่าบรรดาปีศาจแครมปุสที่เดินผ่านไป ยิ้มให้อิงดาวแล้วกล่าวขอโทษ

“ผมรีบเดินมาดูขบวนแครมปุส เลยหกล้มหน้าเปรอะนิดหน่อย” เขาคงเอาหน้าไปจิ้มโคลนที่หิมะละลายเป็นหย่อมๆ 

“ต้องระวังนะคะ หิมะริมทางละลายแล้ว รถมากวาดยังไม่หมด” เธอเข้าใจสถานการณ์ดี เธอหกล้มค่อนข้างบ่อย ตอนมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ

“พรุ่งนี้ พาอิงกริดมาพบผมที่โรงแรม ตอนบ่าย 14 นาฬิกา” เขาเชิญชวนแบบผู้ใหญ่เพื่อให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ

อิงดาวพาสาวน้อยตากลมโตสวมเสื้อโค้ตตัวเก่าแต่ยังใช้ได้ดีอยู่ อิงกริดไม่ใช่เด็กน้อยโตเร็วเกินวัยจึงสามารถสวมเสื้อตัวเดิมได้หลายปี วันนี้ยังเป็นโค้ตสีแดงตัวเก่งใส่แล้วขับผิวทำให้แก้มแดงอมชมพูของเธอดูโดดเด่น

“รีบหน่อยนะ คุณลุงจะรอนาน” อิงดาวจะพูดภาษาไทยกับลูกสาวเมื่ออยู่ด้วยกันสองคน

“ค่ะ... หนูเข้าใจแล้วค่ะ”

สองแม่ลูกพากันเดินเข้าประตูโรงแรม กำลังตรงไปที่เคาน์เตอร์รีเซฟชั่นเพื่อสอบถาม ปรากฏว่าชายหนุ่มเดินตรงมาพอดี

“เชิญทางนี้... ตามลุงมา...สาวน้อย” เขายิ้มให้อิงดาวขณะเอ่ยเชิญ

เขาแต่งตัวอย่างเป็นทางการ ผมแนววัยรุ่นใส่เจลตั้งดูทรงเรียบร้อย แจ็กเกตสีเทาเข้มกับเสื้อพูลโอเวอร์ตัวในสีขาวของเขาตัดกับสแล็กส์สีกรมท่าดูเข้าที 
 

เขาผายมือให้สองแม่ลูกนั่งลงบนโซฟาตรงหลืบด้านในบริเวณลอบบี้ อิงกริดมองใบหน้าของชายหนุ่มอย่างปรีดา เธอถูมือสองข้างด้วยความกระตือรือร้นอยากเห็นของขวัญ เขาหยิบกล่องสีแดงผูกโบสีเขียวยื่นให้สาวน้อย

“ว้าว... ขอบคุณมากค่ะ” สาวน้อยเผลอพูดคำไทยออกไป

“สาวน้อย... ชอบมากสินะ” เขายิ้มละไม อ่อนโยนขณะมองอิงกริดเปิดกล่องของขวัญ

“โอ... มัมมา รองเท้าคู่นั้น” เธอเอามือสองข้างยกปิดปากด้วยความดีใจ

“ค่ะ... อิงชอบมากเลยค่ะ คุณลุง tusen takk, tusen takk” อิงกริดพูดตะกุกตะกัก ขอบคุณอยู่หลายครั้ง หัวใจเต้นแรงจนอยากกระโดดกอดชายคนนี้ ถ้าเขาเป็นพ่อเธอ จะกอดเขาทั้งวัน 

“ลุงมีขนมมาฝากด้วย... ให้มัมมาและอิง ไปปิ้งกินได้นะ” เขาล้วงลงไปอีกถุงแล้วหยิบถุงหนึ่งออกมาโชว์

“ขอบคุณมากค่ะ... มาร์ชเมลโล!!!” อิงดาวตาลุกวาว เธอนึกถึงอิงกูฟสามีที่จากไปทันที เขาชอบยี่ห้อนี้

“คงถูกใจสินะ...” เขาอมยิ้มให้ทั้งคู่

“หนูชอบบูตคู่นี้... คุณลุงให้คู่ที่หนูช้อบ ชอบ!!!” อิงกริดมองเขาน้ำตาซึม รีบถอดคู่ที่สวมมาลองทันที

“สวยไหมคะ...” เธอหันไปยิ้มละมุนกับอิงดาว

“สวยมากเลยลูก” อิงดาวมองชายหนุ่มนามว่า อารอน อย่างซาบซึ้ง

“ผมได้ยินลูกสาวคุณพูดภาษาไทย”

“คุณรู้ภาษาไทยรึคะ” อิงดาวเอ่ยถามทันใด

“ผมเคยอยู่เมืองไทย...”