ความลับที่เก็บซ่อนไว้ ความสัมพันธ์ที่ถูกห้ามปราม และหัวใจที่แตกสลาย เขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก และก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกว่าผมไม่มีหัวใจ ผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นเองว่าหัวใจของผมมีอยู่จริง

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ - บทที่ 2 พรหมลิขิตบันดาลชักพา โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ยุคปัจจุบัน,ดราม่า,นิยายวาย,รักโรแมนติก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,นิยายวาย,รักโรแมนติก

รายละเอียด

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความลับที่เก็บซ่อนไว้ ความสัมพันธ์ที่ถูกห้ามปราม และหัวใจที่แตกสลาย เขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก และก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกว่าผมไม่มีหัวใจ ผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นเองว่าหัวใจของผมมีอยู่จริง

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

เปิดเรื่อง 20/09/2024

 

ความลับที่เก็บซ่อนไว้ ความสัมพันธ์ที่ถูกห้ามปราม และหัวใจที่แตกสลาย เมื่อเขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก และก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกว่าผมไม่มีหัวใจ จากคนไร้หัวใจ สู่คนที่เต็มไปด้วยความรัก แสงสว่าง และความอบอุ่น ในเมื่อเขาบอกว่าผมไม่มีหัวใจ ผมนี่แหละจะพิสูจน์ให้เขาเห็นเองว่าหัวใจของผมมีอยู่จริง

สารบัญ

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-Intro บทนำ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 1 Love at first sight,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 2 พรหมลิขิตบันดาลชักพา,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 3 ดลให้มาพบกันทันใด,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 4 ไม่ต้องเครียด ทำได้อยู่แล้ว,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 5 ความท้าทายบนเส้นทางฝัน,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 6 ความลับที่ฉันซ่อนไว้,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 7 ใกล้วันแสดง,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 8 ค่ำคืนแห่งความทรงจำ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 9 ย้ำให้ชัดอีกสักครั้ง,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 10 เห็นแก่ตัว,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 11 ปมในใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 12 ทางเลือกที่ท้าทาย,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 13 ลองดูใหม่,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 14 เงาของความรู้สึก,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 15 เส้นทางหัวใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 16 ค่ำคืนที่ไม่อาจลืม,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 17 ค่ำคืนที่ไม่อาจลืม 2,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 18 ใกล้ชิดอีกครั้ง,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 19 ซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 20 ความหลังที่ฝังใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 21 ความรักที่เปิดเผย

เนื้อหา

บทที่ 2 พรหมลิขิตบันดาลชักพา

“มึงเขาประกาศผลแล้ว เห็นยัง?” เหมยวิ่งแจ้นเข้ามาหาวีร์ที่นอนดูทีวีอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น

            “หึ ยังอะ”

            “นี่ ในเพจเพิ่งอัพเมื่อกี๊เลย” เหมยยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองที่เปิดค้างหน้าจอประกาศผลการแคสติงเป็นนักแสดงละครเวทีเรื่องรักลับใต้แสงจันทร์ให้วีร์ดู

            วีร์เพ่งสายตาและใช้เรียวนิ้วไล่หาชื่อของตัวเองในหน้าประกาศนั้น หัวใจของเขาเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ แม้จะพอคาดเดาได้ว่าเขาน่าจะผ่านรอบแรกได้อย่างไม่ยากแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าหากไม่มีชื่อของเขาอยู่ในประกาศใบนี้ก็คงทำให้เขารู้สึกเสียใจไม่มากก็น้อย ไม่ใช่แค่เรื่องที่จะไม่ได้ร่วมงานกับเจษผู้กำกับที่เขาชื่นชอบ แต่เป็นเพราะเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้เจอโบ๊ทอีกเลยก็ได้

            “ไม่เห็นมีชื่อกูเลยวะ”

            “นี่ไงมึงวีรณรรศ พิพัฒน์หทัยกุล!!” 

            เสียงของเหมยดังแหวกความเงียบขึ้นมาทำเอาคนข้างๆ อย่างวีร์สะดุ้งขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ ความตาไวของเพื่อนสาวทำเอาเขาอดแปลกใจไม่ได้ เขากวาดสายตามองหาอยู่สองรอบแต่ดันไม่เจอชื่อตัวเอง ในขณะอีกคนชะเง้อหน้ามามองแวบเดียวก็เจอได้อย่างง่ายดาย 

สงสัยเขาจะต้องไปหาตัดแว่นใหม่เสียแล้ว...

“เชี่ย!! จริงด้วย” 

“กรี๊ดดดลุยค่า!!

เหมยคว้าคอวีร์เข้ามากอดแน่น เธอดีใจแทนเพื่อนซี้ที่ได้เข้าใกล้ความฝันเข้าไปอีกนิด จากที่ตอนเรียนเคยคุยกันไว้ว่าอยากมีโอกาสร่วมงานกับเจษสักครั้งในชีวิต แต่ในตอนนั้นมันดูเป็นความฝันที่โคตรจะไกลตัว พอวันนี้ความฝันมันขยับเข้ามาใกล้ขึ้นจึงไม่แปลกที่จะทำให้ทั้งคู่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ชีวิตของวีร์ห่อเหี่ยวมาหลายเดือนเพราะเขาหมดแพสชั่นกับตัวเอง เขาไม่รู้ว่าจะไปต่อยังไง หรือจะทำอะไร ทุกอย่างดูน่าเบื่อสำหรับเขาไปหมด ไม่มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกอยากตื่นเช้าเพื่อไปใช้ชีวิต ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้คงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากไปแล้ว งานการก็ไม่ได้ทำ แต่คงเป็นโชคดีที่วีร์มีบุญเก่ามาเยอะ มีครอบครัวทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างใหญ่โต ทำให้ตั้งแต่เรียนจบพ่อก็จับเอารายชื่อเขายัดเข้าไปเป็นพนักงานกินเงินเดือนของบริษัท ก็เลยมีเงินให้กินให้ใช้อยู่ทุกเดือนแบบที่ไม่ต้องลำบากอะไร

แม้ว่าบางทีเขาจะต้องเข้าไปช่วยดูแลกิจการบ้าง แต่มันก็เป็นอะไรที่เล็กน้อยมากหากเทียบกับพนักงานคนอื่นๆ ในออฟฟิศ

“มึงว่าน้องโบ๊ทจะผ่านปะวะ” วีร์ถามขึ้นหลังจากนั้น

“ผ่านค่ะ”

“มึงรู้ได้ไง”

“นี่ใครคะ? อีเหมยค่า!! ไม่มีอะไรที่กูไม่รู้ค่ะ” 

“ขอตบทีได้ปะ” วีร์มองบนด้วยความหมั่นไส้

“อะ! เอาไปดู” 

เหมยยื่นมือถือให้อีกฝ่ายดูด้วยท่าทางภูมิใจกับความเก่งกาจของตัวเอง หน้าจอมือถือปรากฏเป็นไอจีของโบ๊ทที่อัพสตอรีว่าดีใจที่ได้ผ่านเข้ารอบต่อไป พร้อมแคปหน้าจอประกาศผลที่มีรายชื่อของตัวเองมาแปะเอาไว้ วีร์จ้องมองดูด้วยความประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนสาวของตัวเองจะมีความสามารถขนาดนี้ ไม่มีข้อมูลอะไรเลยด้วยซ้ำแต่ก็ยังหาจนเจอได้ ในขณะที่เขานอนหาไอจีทั้งคืนกลับไม่เจอเสียอย่างนั้น

“มึงหาเจอได้ไง” 

“ระดับกู ไม่มีอะไรยากค่ะ”

“เอาดีๆ อีเหมย”

“กูเข้าไปส่องพวกที่แท็กสถานที่ในสตอรี่อะ ตั้งแต่วันงานละ แล้วก็เจอเฉย”

“เวอร์เกิน”

“อยู่ละ” 

วีร์ไม่ได้สนใจคนข้างๆ ที่กำลังทำหน้าขิงใส่มากไปกว่าบัญชีแอคเคาท์ไอจีของโบ๊ทที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เขารีบหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาเสิร์ชหาแล้วเข้าไปส่องทันที 

“มึงกดฟอล แล้วทักไปเลย” เหมยบอกเมื่อเห็นว่าเพื่อนลังเลไม่ยอมกดปุ่มติดตามสักที

“ไม่เอาอะ มันต้องมีเชิงหน่อยดิวะ”

“ช้าเกิน เดี๋ยวหมาคาบไปแดก”

“เอาน่ะ เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่จังหวะ ความบังเอิญมันเสกได้”

“น่ากลัวมากเพื่อนกู” 

“กูก็ใช้แผนนี้มาตลอดปะ”

“ก็จริง”

“เจอกูหน่อย ไม่ต้องรอให้พรหมลิขิต กูนี่แหละลิขิตเอง จบๆ”

หลังจากวันประกาศผลได้สามวัน ก็ถึงเวลาที่วีร์จะต้องมาแคสติงรอบไฟนอลซึ่งเขาก็ยังคงตื่นเต้นกับการคัดเลือกเหมือนเดิม แม้คู่แข่งจะน้อยลงแต่ความคาดหวังของเขากลับเพิ่มขึ้น นั่นทำให้เขารู้สึกหนักอกอยู่ไม่น้อย คู่แข่งที่แม้จะเหลือน้อยแต่ก็เต็มไปด้วยศักยภาพทุกคน หลายคนมีผลงานโดดเด่นมาก่อนหน้าหลายเรื่อง เมื่อเทียบกับเขาที่ไม่ได้มีแสงส่องถึงมากนัก

สายตาของวีร์สาดส่องมองหาบุคคลที่ตนอยากเจอไปทั่ว แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเหมยไปได้

“เดี๋ยวก็มา ตั้งสติก่อนค่ะ จะเข้าไปแคสอยู่ละ” เหมยบ่นอุบ เรียกสติให้เพื่อนสนิท เธอรู้ดีว่านี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ เธอไม่อยากให้เพื่อนรักต้องมาเสียสมาธิกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แม้เธอจะเชียร์ให้วีร์ได้กับโบ๊ทแต่ก็ต้องยอมรับว่าในวินาทีนี้เรื่องตรงหน้ามันสำคัญกับชีวิตของวีร์มากกว่าเรื่องความรักเสียอีก

“กูรู้แล้ว”

ปากตอบไปแบบนั้นแต่ข้างในก็ยังไม่วายจะคิดถึงอีกฝ่าย วีร์ยังคงวนเวียนเปิดเข้าเปิดออกหน้าไอจีของโบ๊ท พยายามที่จะส่องสตอรี่ว่าเจ้าตัวอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรอัพเดท จนเขาร้อนใจว่าอีกฝ่ายสละสิทธิ์ไปแล้วหรือเปล่า

จากที่เขาแหกขี้ตาตื่นเช้ามาด้วยความตื่นเต้นเพราะคาดหวังว่าจะได้เจอหน้าโบ๊ท ทีมงานนัดเวลาลงทะเบียนเก้าโมงเช้าแต่เขาก็มาถึงก่อนตั้งสิบห้านาทีเพราะคิดไปว่าถ้าโบ๊ทมาเร็ว เขาจะได้มีเวลาพูดคุยกับอีกฝ่ายนานๆ พอเรื่องจริงไม่เป็นอย่างที่คิดก็ทำเอาใจเขาห่อเหี่ยวลงไปเล็กน้อย

ทว่าก็ไม่มีเวลาให้เขาเศร้าสร้อยได้นานนัก เมื่อเสียงทีมงานเอ่ยเรียกลำดับเลขที่ผู้เข้าแข่งขันจำนวนห้าคนให้มาเตรียมตัวแสตนบายที่ด้านข้างประตูโรงละคร ซึ่งหนึ่งในนั้นมีหมายเลขของเขาอยู่ด้วย เขาเดินคอตกไปนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ที่ทีมงานจัดไว้ให้ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกเรียกสติแล้วหยิบบทขึ้นมาอ่านทบทวนอีกครั้งในขณะที่คนก่อนๆ หน้าทยอยเข้าไปด้านในโรงละครเพื่อคัดเลือกทีละคน

“น้องวีร์คะ เตรียมตัวนะ” เสียงจากทีมงานที่เปิดประตูมาชะโงกหน้ามองเอ่ยทักขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างราวกับจะบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องกังวล

หัวใจของวีร์เต้นแรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อบานประตูเปิดออกและคนที่อยู่ข้างในเดินออกมา เสียงที่ดังอยู่รอบตัวดูเหมือนจะเงียบลงในทันทีเมื่อเขาดึงสติให้อยู่กับตัวเองเพื่อเตรียมตัวที่จะเดินเข้าไปด้านในโรงละคร

บรรยากาศภายในไม่ได้แตกต่างไปจากการคัดเลือกในวันแรกมากนัก มีเพียงความกดดันของวีร์ที่เพิ่มจากวันนั้น บทบาทที่เขาได้รับในวันนี้ยังคงเป็นบทของ เวหา พระเอกในเรื่อง ซึ่งเขาก็ตั้งใจอยากจะได้บทนี้มาครอบครองตั้งแต่แรก จากสายตาที่เขาประเมิณดูเพื่อนที่เข้าร่วมแคสติงในบทบาทเดียวกัน เขาก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าน่าจะพอสู้ได้ จากที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไหร่ แต่พอได้เห็นหน้าคนที่เข้ามายังรอบสุดท้ายด้วยกันก็ทำให้เขารู้สึกได้ถึงชัยชนะไม่ยาก

และเหมือนเคยที่การแสดงของเขาตราตรึงความสนใจของกรรมการเอาไว้ได้อยู่หมัด สถานการณ์สมมติในเรื่องที่เขาได้รับมอบหมายมาดูเป็นอะไรง่ายๆ แค่ฉากดรามาเรียกน้ำตาก็เหมือนกับว่าตีบทแตก แต่กับวีร์เขาไม่ได้รู้สึกว่าการแสดงซีนดรามานั้นเท่ากับการร้องไห้ เขาเชื่อมาเสมอตั้งแต่ได้เรียนการแสดงว่าการร้องไห้ในการแสดงได้ ไม่ได้แปลว่าเก่ง แต่มันขึ้นอยู่กับการแสดงออกจากความรู้สึกข้างในมากกว่า เขาสามารถที่จะตีความให้การแสดงของเขาดูแตกต่างจากคนอื่นโดยที่ยังคงความเป็นดรามาแต่ก็ไม่มีน้ำตาออกมาสักหยดได้ดีมาก จนทำให้บทพระเอกที่เขาแสดงออกมานั้นโดดเด่นจนยากที่กรรมการจะปฏิเสธได้

“ยังไงเดี๋ยวรอทางทีมงานติดต่อกลับไปอีกทีนะคะ” 

“ครับ”

วีร์เดินออกมาจากโรงละครหลังการแคสติงด้านในเสร็จสิ้น แม้จะมีความหวังสักแค่ไหนแต่ประโยคสุดท้ายจากทีมงานที่บอกว่าให้รอทีมงานติดต่อกลับไปนั้นดูเหมือนจะเป็นคำใบ้กลายๆ ว่าเขาไม่ผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้าย

ที่ผ่านมามันก็มักจะเป็นแบบนั้น หากว่ากรรมการสนใจก็คงจะมีการพูดคุยหรือให้ลองแสดงอะไรที่มันมากกว่าบทที่สั่งให้เตรียมมา ยิ่งรอบไฟนอลแบบนี้มันยิ่งต้องเข้มข้นมากกว่าเดิม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสำหรับวีร์ เขาเพียงแค่แสดงบทที่ได้รับล่วงหน้ามาก็เท่านั้น

เขาเดินออกมาที่ด้านนอกโรงละคร สายตาว่างเปล่า จากเดิมที่คาดหวังและอยากได้งานนี้มาก แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันกลับตรงกันข้าม มีแววว่าจะชวดโอกาสดีๆ แบบนี้ไปเสียแล้ว เขาถอนหายใจพรูยาวออกมา ความหนักอกที่มีก่อนหน้าดูเหมือนจะมีมากขึ้นกว่าเดิม อาจเพราะเขาคาดหวังกับการแคสติงในครั้งนี้มากเกินไป ทำให้รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่จะไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ

“เป็นไงมึง” เหมยเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าเพื่อนรักเปลี่ยนไปจากตอนแรก

“น่าจะไม่ผ่าน”

“เอ้าเขาประกาศเลยเหรอ”

“เปล่า กูดูท่าทีกรรมการเอาอะ”

“คิดมาก อาจจะผ่านก็ได้” 

“อีเหมย... กูแคสงานมาเป็นร้อย เรื่องแค่นี้ทำไมจะดูไม่ออก ถ้าจะผ่าน ท่าทีกรรมการเขาไม่นิ่งแบบนี้หรอก”

“อ่า....”

“เซ็งฉิบหาย”

วีร์หงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่สายตาก็ยังไม่วายมองหาคนที่อยากเจอแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีวี่แววเลยสักนิด จนเหมยอดทักไม่ได้

“อีวีร์ หาใคร? น้องโบ๊ทเหรอ”

“เออดิ ยังไม่เห็นเลย”

“เขาไม่มาเปล่า”

“เอาดีๆ สละสิทธิ์เหรอ”

“ไม่รู้ว่ะ” เหมยรีบปลดล็อกมือถือแล้วกดเข้าอินสตาแกรมทันทีเพื่อส่องสตอรีแต่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าของแอคเคาท์อย่างโบ๊ทจะอัพเดทอะไร “ในสตอรีก็ไม่ได้อัพอะไรเลย”

“เออ กูนั่งส่องมาตั้งแต่เช้าละ เห้อ!

“ละเอาไง จะอยู่รอไหม หรือจะกลับเลย”

“กลับเลยเหอะ น่าจะไม่มาแล้วแหละ เขาปิดลงทะเบียนไปแล้วเนี่ย”

“เค จะเที่ยงละด้วย ไปหาไรกินเหอะ” 

“เอ้ายังไม่ได้แดกเหรอ ออกมาก็ช้ากว่ากู อีเวร” 

“โอ๊ย พ่อคุณ กว่ากูจะให้ข้าวลูกๆ มึง เก็บกวาดบ้านให้มึงอีก เอาเวลาไหนมากินทันเอ่ย เดี๋ยวกูมาถึงนี่ช้าก็จะบ่นกูอีก” เหมยเท้าเอวบ่นกลับหลังจากได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า

หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าคิดถูกคิดผิดที่ขอย้ายมาอาศัยบ้านวีร์เพราะใกล้ที่ทำงาน เพราะตั้งแต่ที่มาอยู่ก็เหมือนกลายเป็นคนรับใช้มากกว่าเพื่อนไปเสียอย่างนั้น ทำทุกอย่างแทนวีร์ไปเสียหมด แต่เธอเองก็บ่นอะไรมากไม่ได้เพราะมาขออยู่ฟรี ไม่เสียทั้งค่าเช่า ค่าน้ำ และค่าไฟ เวลาที่เจ้าของบ้านฝากวานให้ช่วยทำอะไรแม้จะไม่ค่อยเต็มใจแต่เธอก็คิดเสียว่าเป็นค่าเช่าบ้านแทนเงินที่จะต้องจ่ายในทุกเดือน

“อ่อ ขอบคุณค่ะ!” 

วีร์ยกมือไหว้พลางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อย แต่เหมยก็ไม่ได้โกรธอะไรเพราะรู้ดีว่าเพื่อนแค่แกล้งเล่นเท่านั้น

“ไปเหอะ หิวจะตายห่าละ” เหมยบอกพลางคล้องแขนวีร์แล้วลากให้ออกไปจากตรงนั้น

ทั้งสองคนเดินออกจากบริเวณด้านหน้าโรงละคร แต่ยังไม่ทันพ้นก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมาเสียก่อน

“พี่วีร์!!” 

เจ้าของชื่อหันไปมองตามเสียงเรียกก่อนจะตาเบิกโตเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงที่เอ่ยเรียกเขานั้นเป็นใคร

 

เชี่ยยยย!!

“โบ๊ท!” วีร์ถึงกับเผลอตกใจตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

คิดว่าวันนี้จะไม่ได้เจอซะแล้ว...

“กลับแล้วเหรอพี่”

“อื้อ แล้วทำไมเพิ่งมาอะ” คนพี่เอ่ยถามอย่างสงสัย

“ผมได้รอบบ่ายอะ”

“หื้ม? เขาแบ่งรอบด้วยเหรอ”

“ช่าย มีรอบเช้ากับรอบบ่าย”

“อ่าว...” 

“ไว้คุยกันพี่ ผมไปลงทะเบียนก่อน บายครับ” โบ๊ทยกมือขึ้นโบกลาพลางยิ้มกว้างจนตาหยีเหมือนเดิมก่อนจะวิ่งออกไป

“มึงกูฝันอยู่ปะเนี่ย” วีร์ถึงกับหันไปมองเหมยที่ยืนข้างๆ ด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

เพี๊ยะ!

“โอ๊ย!! เจ็บ!!” วีร์ร้องเสียงหลงหลังจากโดนเพื่อนสาวตบหน้า

“เออ ไม่ได้ฝัน”

“อีห่า!

“ไหนใครบอกว่าเจออีกรอบจะลุยไง กูเห็นยังมองเขาตาค้างอยู่เลย กว่าจะได้เริ่มกูว่ามีคนอื่นปาดหน้าไปละ” เหมยบ่นพลางถอนหายใจ เพื่อนเธอนี่มันเก่งแต่ปากจริงๆ 

“รอก่อนดิ กูลุยแน่!