ความลับที่เก็บซ่อนไว้ ความสัมพันธ์ที่ถูกห้ามปราม และหัวใจที่แตกสลาย เขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก และก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกว่าผมไม่มีหัวใจ ผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นเองว่าหัวใจของผมมีอยู่จริง

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ - บทที่ 3 ดลให้มาพบกันทันใด โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ยุคปัจจุบัน,ดราม่า,นิยายวาย,รักโรแมนติก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,นิยายวาย,รักโรแมนติก

รายละเอียด

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความลับที่เก็บซ่อนไว้ ความสัมพันธ์ที่ถูกห้ามปราม และหัวใจที่แตกสลาย เขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก และก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกว่าผมไม่มีหัวใจ ผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นเองว่าหัวใจของผมมีอยู่จริง

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

เปิดเรื่อง 20/09/2024

 

ความลับที่เก็บซ่อนไว้ ความสัมพันธ์ที่ถูกห้ามปราม และหัวใจที่แตกสลาย เมื่อเขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก และก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกว่าผมไม่มีหัวใจ จากคนไร้หัวใจ สู่คนที่เต็มไปด้วยความรัก แสงสว่าง และความอบอุ่น ในเมื่อเขาบอกว่าผมไม่มีหัวใจ ผมนี่แหละจะพิสูจน์ให้เขาเห็นเองว่าหัวใจของผมมีอยู่จริง

สารบัญ

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-Intro บทนำ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 1 Love at first sight,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 2 พรหมลิขิตบันดาลชักพา,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 3 ดลให้มาพบกันทันใด,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 4 ไม่ต้องเครียด ทำได้อยู่แล้ว,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 5 ความท้าทายบนเส้นทางฝัน,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 6 ความลับที่ฉันซ่อนไว้,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 7 ใกล้วันแสดง,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 8 ค่ำคืนแห่งความทรงจำ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 9 ย้ำให้ชัดอีกสักครั้ง,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 10 เห็นแก่ตัว,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 11 ปมในใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 12 ทางเลือกที่ท้าทาย,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 13 ลองดูใหม่,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 14 เงาของความรู้สึก,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 15 เส้นทางหัวใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 16 ค่ำคืนที่ไม่อาจลืม,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 17 ค่ำคืนที่ไม่อาจลืม 2,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 18 ใกล้ชิดอีกครั้ง,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 19 ซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 20 ความหลังที่ฝังใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 21 ความรักที่เปิดเผย

เนื้อหา

บทที่ 3 ดลให้มาพบกันทันใด

เสียงตึกตักของสองฝีเท้ากระทบพื้นบ้านดังต่อเนื่องเป็นเวลาหลายนาทีจากการที่วีร์เดินไปเดินมาอย่างเป็นกังวล หัวใจเต้นแรงอยู่ในอกแทบจะไม่เป็นจังหวะ เขานอนไม่หลับมาตั้งแต่เมื่อคืน เพราะวันนี้คือวันที่จะได้รับรู้เสียทีว่าผลของการที่เขาทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมดไปกับการแคสติงละครเวทีนั้นผลจะออกมาเป็นอย่างไร

เขาเฝ้ารอสายโทรศัพท์มาตั้งแต่เช้า ก่อนหน้านั้นทีมงานประกาศลงในเพจว่าจะติดต่อกลับเฉพาะผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโปรเจ็กต์นี้เท่านั้น พอถึงวันที่กำหนด ความกังวลใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จากที่ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรมากนัก กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ความอยากจะได้มันพุ่งทะยานเกินกว่าเท่าตัว หากเขาได้รับคัดเลือกเป็นนักแสดงในละครเวทีเรื่องนี้ นอกจากจะได้ทำงานร่วมกับไอดอลของเขาอย่างเจษแล้ว เขาก็ยังแอบมีความหวังเล็กๆ ว่าโบ๊ทจะผ่านเข้ารอบไปด้วยกัน จะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าเดิม

ครืดดครืดดด!!!

ในที่สุดสายโทรศัพท์ที่เขารอคอยก็มาถึง เขาสะดุ้งโหยงเมื่อเสียงมือถือสั่นดังขึ้นมา ดวงตาของเขาเบิกโตก่อนจะรีบมองไปบนหน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังแสดงผลเป็นเบอร์แปลกโทรเข้ามา หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าเก่า เขารับรู้ได้เลยว่ามือกำลังสั่นและชื้นไปด้วยเหงื่อ

“ฮัลโหลครับ”

“สวัสดีค่า! น้องวีร์ใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ”

“พี่ติดต่อจากโปรเจ็กต์ละครเวทีเรื่องรักลับใต้แสงจันทร์นะคะ จะแจ้งน้องวีร์ว่าน้องวีร์ได้รับคัดเลือกให้เป็นนักแสดงในโปรเจ็กต์นี้ค่ะ”

“อะ...อ่อครับ”

“ค่ะ บทที่ได้รับคือบทเวหานะคะ เป็นพระเอกของเรื่องค่ะ”

“ครับผม”

“ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เดี๋ยวพี่จะส่งอีเมลแจ้งไปอีกทีนะคะ”

“ครับ ขอบคุณครับ”

“ค่าแล้วเจอกันนะคะ”

เยส!!!

วีร์ยิ้มกว้างและกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจไปทั่วบริเวณห้องนั่งเล่นขนาดเล็กที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน แสงสว่างที่ส่องผ่านกระจกเข้ามาทำให้บ้านของเขาดูมีชีวิตมากขึ้นกว่าเดิม เสียงหัวเราะของเจ้าบ้านดังไปทั่วบริเวณ

"ขอบคุณนะครับ! ขอบคุณมากๆ เลยครับ!" วีร์กล่าวกับปลายสายด้วยเสียงสั่นเครือ

ทันทีที่วางสาย วีร์รีบเปิดแอพลิเคชันไลน์ในโทรศัพท์และโทรออกหาเหมยที่ออกไปทำงานในทันที แม้จะเป็นเพียงแค่การวิดีโอคอลแต่นั่นก็ทำให้เพื่อนสาวสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของคนที่โทรมา ชายหนุ่มยิ้มไม่หุบ ในที่สุดโอกาสที่เขารอคอยก็มาถึงเสียที

“จริงปะเนี่ย!! กรี๊ดดด!! มึงได้บทพระเอกจริงดิ อิเชี่ยยย กูดีใจด้วยนะมึง” เสียงร้องด้วยความดีใจของเหมยดังแหวกลำโพงออกมา

“เออ ได้บทเวหา กูนึกว่าฝัน” น้ำเสียงของวีร์แสดงออกถึงความตื่นเต้นได้เป็นอย่างดี

“แล้วน้องโบ๊ทผ่านปะวะ” อยู่ๆ เหมยก็เอ่ยถามถึงน้องคนนั้นที่เพื่อนของเธอเฝ้าฝันถึง

“กูไม่รู้เลยว่ะ”

“ถ้าน้องมันผ่านนะมึงงงง!!”

“เออดิ ถ้าได้เล่นด้วยกัน ก็เสร็จกูแน่ กูไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก” 

“อีดอก!! น่ากลัวมากกก”

“แหมมมม สาบานสิว่าถ้าเป็นมึง มึงจะไม่ทำ” วีร์แทบจะคว่ำปากใส่อีกฝ่ายทันทีที่ได้ยิน เพราะอันที่จริงเพื่อนซี้คู่นี้ก็นิสัยไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่คบกันมาได้นานขนาดนี้

“อย่ามาทำเป็นรู้ดี... เออ! กูไปทำงานก่อนละ เดี๋ยวหัวหน้าด่าเอา” เหมยหันมองซ้ายขวาระหว่างที่กำลังพูด ด้วยระแวงว่าจะโดนเจ้านายตำหนิเอาได้ว่าแอบมาคุยโทรศัพท์ระหว่างเวลาทำงาน

“เออ ไว้ค่อยคุยกันมึง” วีร์ตอบรับแล้วกดตัดสายวิดีโอคอล ภาพหน้าจอตัดไปก่อนที่เจ้าตัวจะวางมือถือไว้ข้างๆ

นอกจากความตื่นเต้น พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรไปมากกว่านี้ ทีมงานยังไม่ได้เปิดเผยอะไรกับวีร์มากนัก เขาจึงยังไม่สามารถบอกข้อมูลอะไรไปมากกว่านี้ได้ ทั้งเขาและเหมยต่างก็พากันคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่ก็ไม่มีใครรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าสุดท้ายแล้ว ใครจะเป็นผู้ผ่านเข้ารอบบ้าง

ความสงสัยใคร่รู้ติดอยู่กับตัวของวีร์จนกระทั่งถึงวันเวิร์กช็อปครั้งแรก เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าจะมีประสบการณ์ผ่านงานในวงการบันเทิงมาบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้นับว่าเป็นงานแรกที่เขาจะได้ใช้ทักษะการแสดงชั้นสูง แถมยังได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่เป็นไอดอลของเขาอีกด้วย จึงทำให้เขารู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี กลัวว่าจะทำให้ทุกคนผิดหวัง กลัวว่าจะโดนตำหนิขึ้นมาในสักวัน แต่สุดท้ายเขาก็กัดฟันแล้วสลัดทุกสิ่งที่รบกวนใจของเขาออกไปจนหมดสิ้น รวมไปถึงเรื่องของน้องโบ๊ทด้วย เขาเลิกหวังไปแล้วว่าอีกฝ่ายจะได้มาร่วมงานในโปรเจ็กต์ เพราะตามสืบตามหาเท่าไหร่ก็ไม่รู้สักทีว่าสรุปแล้วมีใครบ้างที่ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายได้เป็นนักแสดงในละครเวทีเรื่องนี้

สองเท้าของวีร์พาเขามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องซ้อมละคร เขาสูดหายใจเฮือกใหญ่เพื่อเรียกความกล้าและสมาธิให้กับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจยื่นมือไปผลักบานประตูตรงหน้าออกแล้วเดินเข้าไปในห้องซ้อมละครที่มีขนาดกว้างขวาง พื้นที่ซ้อมตกแต่งด้วยผ้าม่านสีดำโดยรอบและมีเครื่องเสียงระดับมืออาชีพติดตั้งไว้ตามจุดต่างๆ บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความคาดหวังและความตื่นเต้น เสียงพูดคุยเบาๆ ของนักแสดงและทีมงานดังสะท้อนไปทั่วภายในบริเวณนั้น

วีร์ส่งยิ้มทักทายให้กับผู้คนที่หันหน้ามามอง แม้ว่าจะยังไม่ได้รู้จักมักจี่กันแต่การยิ้มทักทายกลับไปก็ถือว่าเป็นมารยาทที่พึงกระทำ ไม่มีใครอยากโดนเอาไปนินทาว่าหยิ่งตั้งแต่วันแรกหรอก

ระหว่างที่เขากำลังหาที่ว่างเพื่อหย่อนตัวลงนั่ง เจษผู้กำกับของเรื่องก็เดินเข้ามาในห้องนั้นด้วยท่าทีจริงจังเสียงพูดคุยของทุกคนเงียบลงในทันที บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาเสียอย่างนั้นทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

“สวัสดีครับทุกคน ยินดีต้อนรับเข้าสู่การเวิร์กช็อปครั้งแรกของละครเวทีเรื่อง รักลับใต้แสงจันทร์ นะครับ” ผู้กำกับเอ่ยต้อนรับด้วยน้ำเสียงเข้มพลางยกยิ้มเล็กน้อย

“...” ทุกคนนิ่งเงียบ ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี

“วันนี้เราจะเริ่มต้นด้วยการทำความรู้จักแต่ละคนก่อนเนอะแล้วหลังจากนั้นก็จะให้ทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมร่วมกัน”

วีร์ยิ้มและพยักหน้าตามระหว่างที่ฟังเจษพูด แม้ในใจเขายังคงสงสัยว่าบทบาทของนายเอก ใครจะมาเล่นคู่กับเขา เพราะเท่าที่สอดส่ายสายตามองดูตั้งแต่เข้ามาก็ยังไม่พบว่าใครที่พอจะรับบทบาทของวายุได้เลยแม้แต่คนเดียว

แต่ความสงสัยนั้นไม่นานก็ได้รับการตอบสนอง ระหว่างที่เจษกำลังพูดอธิบายข้อมูลโดยคร่าวของโปรเจ็กต์นี้อยู่ บานประตูห้องซ้อมก็เปิดออกพร้อมกับปรากฏร่างของชายหนุ่มที่ทำให้วีร์ถึงกับตาเบิกโตเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอ คนที่เพิ่งมาถึงรีบวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า

“ขอโทษที่มาสายครับ ผมหลง”

“ไม่เป็นไรๆ” เจษตอบรับด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหน้ามาทุกคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วแนะนำตัวให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาทันที “ทุกคน นี่โบ๊ทนะ จะมารับบทเป็นวายุครับ”

เชี่ยย! 

เสียงในหัวของวีร์ดังขึ้นฉับพลันหลังจากที่ได้ยินว่าโบ๊ทจะมารับบทนายเอกที่เล่นคู่กับเขา ใครมันจะไปคิดว่าชีวิตเขาจะโชคดีได้ขนาดนี้ จากทีแรกได้แค่แอบหวัง แต่ตอนนี้เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะเข้าข้างเขาเป็นพิเศษ ดลบันดาลให้เขาได้รับในสิ่งที่ต้องการแบบไม่ต้องรอแบบไร้ซึ่งความหวังอีกต่อไป

“สวัสดีครับ ผมโบ๊ทนะครับ เล่นละครเวทีเป็นครั้งแรก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เจ้าของชื่อแนะนำตัวพร้อมโค้งหัวลงเป็นการทักทาย ก่อนจะเดินมาหย่อนตัวลงนั่งที่ด้านข้างของวีร์

ในวินาทีนั้นวีร์รู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าที่กำลังไหลผ่านตัว การได้ทำงานกับโบ๊ทเป็นทั้งความตื่นเต้นและความหวาดหวั่นไปในคราวเดียวกัน

“ไงเจอกันอีกจนได้นะ” วีร์เริ่มกล่าวทักทายก่อนด้วยรอยยิ้ม

“หวัดดีครับพี่วีร์ ดีใจที่ได้ร่วมงานกันนะครับ” โบ๊ทตอบกลับด้วยเสียงนุ่ม

หัวใจของคนเป็นพี่เต้นแรงแบบที่แทบจะคุมเอาไว้ไม่อยู่ หลังจากได้เห็นหน้าคนข้างๆ สติของวีร์ก็ดูเหมือนจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป เจษพูดอะไรบ้างเขาก็แทบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ เพราะสายตาของเขาเอาแต่จดจ้องอยู่ที่คนน้องจนไม่เป็นอันทำอะไร

การเวิร์กช็อปเริ่มต้นขึ้น หลังจากที่ได้แนะนำตัวและทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมเสร็จสิ้น เจษก็ให้ทุกคนจับกลุ่มกันสามคนเพื่อจะทำกิจกรรมต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าวีร์คงไม่ปล่อยให้โบ๊ทไปอยู่กับกลุ่มอื่นอย่างแน่นอน เขาไม่มีทางยอมให้ตัวเองต้องอยู่ห่างจากคนที่ชอบหรอก

ตอนนี้มีสองคน ขาดสมาชิกไปอีกหนึ่ง วีร์หันมองซ้ายขวาพบว่ามีชายหนุ่มหนึ่งคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล มีท่าทีงุนงง ไม่รู้ว่าจะไปอยู่กับใคร เขาจึงใช้โอกาสและความไวในการลากตัวอีกฝ่ายให้เข้ามาร่วมทีมเดียวกัน เพราะหากเขาหาสมาชิกทีมให้ครบไม่ได้ เขาและโบ๊ทก็มีโอกาสที่จะถูกจับแยกกันก็ได้

“หวัดดี กูชื่อเหมือนฝันนะ เรียกฝันก็ได้” เพื่อนใหม่ในทีมเอ่ยแนะนำตัวกับวีร์และโบ๊ท

อันที่จริงก่อนจะเริ่มกิจกรรมทั้งหมด เจษก็ให้แต่ละคนแนะนำตัวกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละถ้าไม่ใช่คนที่วีร์สนใจก็ออกจะยากไปสักหน่อยที่จะทำให้เขาจดจำชื่อได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน

“อ่อ...”

“ผมโบ๊ทครับ” หนุ่มตี๋ข้างกายวีร์รีบแนะนำตัวกลับในทันที

“กูวีร์นะ”

“อื้อ” เหมือนฝันพยักหน้ารับพร้อมยิ้มกว้าง ก่อนที่ทั้งหมดจะหันไปฟังคำอธิบายจากเจษที่กำลังพูดถึงกิจกรรมต่อไปว่าพวกเขาต้องทำอะไรบ้าง

กิจกรรมเวิร์กช็อปเริ่มต้นขึ้นด้วยความร่วมมือจากทุกคน แต่ละกลุ่มก็ตั้งใจทำแต่ละกิจกรรมในวันนี้เป็นอย่างมาก ความทุ่มเทฉายชัดผ่านความพยายามของทุกทีมที่ทำแบบฝึกหัดโดยไม่ให้เกิดข้อบกพร่องแม้แต่น้อย

แต่ก็อย่างที่ว่าไปข้างต้น การที่วีร์เอาแต่ใจจดใจจ่ออยู่กับโบ๊ทตลอดการเวิร์กช็อปนั้นมันทำให้เหมือนฝันเองก็สังเกตเห็นได้ไม่ยากว่าวีร์กำลังรู้สึกดีกับโบ๊ทเป็นแน่

ตลอดระยะเวลาการทำเวิร์กช็อปทั้งวันทำให้วีร์ โบ๊ท และเหมือนฝันสนิทกันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะวีร์กับเหมือนฝันที่ตอนนี้ดูราวกับว่าเคยสนิทกันมานมนาม ด้วยท่าทีของเหมือนฝันที่ค่อนข้างเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย ทำให้วีร์ค่อนข้างที่จะเปิดใจให้กับเหมือนฝันได้ไม่ยาก และด้วยบุคลิกหลายอย่างที่คล้ายคลึงกัน ทำให้พวกเขาทั้งคู่เริ่มสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว

“เอาล่ะ วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนเนอะ เดี๋ยวมาเจอกันใหม่ครั้งหน้าครับ ใครที่ได้รับคอมเมนต์อะไรไปก็เอากลับไปฝึกมาเพิ่มนะ เจอกันครั้งหน้าครับ” เจษเอ่ยบอกหลังจากจบคลาสเวิร์กช็อปแรกก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องซ้อมไป

ทุกคนเริ่มทยอยกันแลกไอจีและไลน์ไว้ติดก่อนกัน ยกเว้นก็แต่วีร์ที่ไม่ได้สนใจใครทั้งนั้นนอกจากบุคคลตรงหน้า

“โบ๊ท เสร็จแล้วไปไหนปะ” วีร์หันไปเอ่ยถามคนข้างๆ

“ไม่มีนะพี่”

“ไปกินข้าวกันปะ”

“ได้นะ พี่ฝันไปด้วยกันไหมครับ” คนถูกชวนหันไปเอ่ยปากถามรุ่นพี่อีกคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน

“เอาดิ กำลังหิวเลย”

“งั้นเดี๋ยวผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” คนน้องพูดจบก็รีบสาวเท้ายาวก้าวตรงไปทางห้องน้ำทันที

“ทำไมมึงไม่ปฏิเสธ” วีร์หันขวับมาทำตาขวางใส่เหมือนฝัน

“เอ้า! ก็กูหิวนี่หว่า ทำไม!? อยากจะไปสวีทกับน้องโบ๊ทมันสองต่อสองล่ะสิ”

จึ้กก!!

คำพูดของเหมือนฝันพุ่งตรงเข้าแทงใจดำของวีร์อย่างจัง เจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมเพื่อนใหม่ที่อยู่ข้างเขาถึงดูออกไปขนาดนั้น ทั้งที่เขาก็พยายามจะกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ ไม่ได้แสดงท่าทีออกไปสักหน่อย ทำไมอีกฝ่ายถึงดูออก...

“มึงชอบน้องมันสินะ” 

“มะ... มึงรู้ได้ไง” วีร์แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“เห้อ! แววตามึงชัดขนาดนี้ เป็นใครจะดูไม่ออกบ้าง สายตามันหลอกกันไม่ได้นะเว้ย”

วีร์รู้สึกว่าเหมือนฝันช่างเป็นคนที่น่ากลัวเสียเหลือเกิน ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันเป็นวันแรก แต่กลับดูเขาออกได้อย่างหมดจดขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถปิดบังอะไรอีกฝ่ายได้เลย ราวกับแค่เพียงสบตาก็อาจทำให้เหมือนฝันอ่านจิตใจออกได้ในทันที

“เออ...” วีร์เอ่ยตอบอย่างไม่เต็มน้ำเสียงนัก

“เออ อะไร?” เหมือนฝันเค้นถามต่ออย่างอยากรู้

“กูชอบน้องโบ๊ท” วีร์พูดด้วยเสียงอายๆ ขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนรอคนที่ถูกพูดถึงเข้าห้องน้ำ

“ก็แค่เนี้ย”

“ทำไงดีวะ กูอยากรู้จักน้องมากกว่านี้อะ กูชอบน้องมากจริงๆ นะเว้ย” สรรพนามแทนตัวเองเปลี่ยนจากคำว่าเราเป็นกูมึงในทันที 

“เดี๋ยวกูช่วยเอง มึงห้ามปล่อยให้หลุดมือเด็ดขาดนะ มึงกล้าๆ จีบไปเลย”

ไม่ทันที่จะได้พูดคุยอะไรกันต่อ โบ๊ทก็เดินกลับมาจากห้องน้ำ ทำให้ทั้งวีร์และเหมือนฝันต่างพากันเงียบไปโดยปริยาย จากนั้นทั้งสามคนก็พากันเดินออกจากห้องเวิร์กช็อปไป

เป็นครั้งแรกที่วีร์รู้สึกได้ถึงความภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่เพียงแต่เขาจะได้รับบทบาทสำคัญในละครเวทีเรื่องนี้ แต่เขายังได้เพื่อนใหม่ และได้รับความรู้สึกที่ทำให้ใจของเขาได้เต้นแรงอีกครั้ง ระหว่างทางที่เขากำลังเดินกลับบ้านหลังจากที่ไปกินข้าวกับโบ๊ทและเหมือนฝันมา เขาฉุกคิดขึ้นมาท่ามกลางแสงไฟฟ้าที่กำลังส่องสว่างไปตามเส้นถนนว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นได้

ในค่ำคืนนั้น วีร์นั่งลงที่ระเบียงห้องนอนที่อยู่ชั้นสองของบ้าน แสงจันทร์ส่องลงมาเป็นประกายสวยงามในท้องฟ้ายามราตรี เสียงสายลมที่พัดเบาๆ เพิ่มความสงบให้กับบรรยากาศ ภาพของโบ๊ทฉายชัดขึ้นมาในห้วงความคิดถึงของวีร์และนั่นทำให้เขารู้ดีว่าความรู้สึกที่เขามีต่อโบ๊ทในตอนนี้มันชัดเจนมากขนาดไหน

“รอพี่หน่อยนะน้อง พี่จะไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปแน่ๆ”