ความลับที่เก็บซ่อนไว้ ความสัมพันธ์ที่ถูกห้ามปราม และหัวใจที่แตกสลาย เขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก และก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกว่าผมไม่มีหัวใจ ผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นเองว่าหัวใจของผมมีอยู่จริง

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ - บทที่ 12 ทางเลือกที่ท้าทาย โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ยุคปัจจุบัน,ดราม่า,นิยายวาย,รักโรแมนติก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,ดราม่า,วัยว้าวุ่น,ยุคปัจจุบัน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,นิยายวาย,รักโรแมนติก

รายละเอียด

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความลับที่เก็บซ่อนไว้ ความสัมพันธ์ที่ถูกห้ามปราม และหัวใจที่แตกสลาย เขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก และก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกว่าผมไม่มีหัวใจ ผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นเองว่าหัวใจของผมมีอยู่จริง

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

เปิดเรื่อง 20/09/2024

 

ความลับที่เก็บซ่อนไว้ ความสัมพันธ์ที่ถูกห้ามปราม และหัวใจที่แตกสลาย เมื่อเขาเป็นคนที่ทำให้ผมรู้จักคำว่ารัก และก็เป็นเขาเองอีกนั่นแหละที่บอกว่าผมไม่มีหัวใจ จากคนไร้หัวใจ สู่คนที่เต็มไปด้วยความรัก แสงสว่าง และความอบอุ่น ในเมื่อเขาบอกว่าผมไม่มีหัวใจ ผมนี่แหละจะพิสูจน์ให้เขาเห็นเองว่าหัวใจของผมมีอยู่จริง

สารบัญ

เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-Intro บทนำ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 1 Love at first sight,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 2 พรหมลิขิตบันดาลชักพา,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 3 ดลให้มาพบกันทันใด,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 4 ไม่ต้องเครียด ทำได้อยู่แล้ว,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 5 ความท้าทายบนเส้นทางฝัน,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 6 ความลับที่ฉันซ่อนไว้,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 7 ใกล้วันแสดง,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 8 ค่ำคืนแห่งความทรงจำ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 9 ย้ำให้ชัดอีกสักครั้ง,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 10 เห็นแก่ตัว,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 11 ปมในใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 12 ทางเลือกที่ท้าทาย,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 13 ลองดูใหม่,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 14 เงาของความรู้สึก,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 15 เส้นทางหัวใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 16 ค่ำคืนที่ไม่อาจลืม,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 17 ค่ำคืนที่ไม่อาจลืม 2,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 18 ใกล้ชิดอีกครั้ง,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 19 ซ่อนไว้ในส่วนลึกของจิตใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 20 ความหลังที่ฝังใจ,เขาบอกผมไม่มีหัวใจ-บทที่ 21 ความรักที่เปิดเผย

เนื้อหา

บทที่ 12 ทางเลือกที่ท้าทาย

หลังจากที่วีร์ได้มีการพูดคุยกับเหมยและเหมือนฝันในครั้งก่อนเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับโบ๊ท สถานการณ์ระหว่างคนทั้งคู่ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ทั้งสองยังคงมีท่าทีห่างเหินกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องทำงานอยู่ด้านหลังโรงละครที่จะต้องขึ้นแสดงด้วยกัน บรรยากาศหลังม่านเวทีที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนิทสนมระหว่างวีร์และโบ๊ท ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นตรงข้าม เงียบสงัดเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ราวกับว่ามีความตึงเครียดที่ไม่สามารถมองเห็นได้ลอยอยู่ในอากาศเต็มไปหมด

ด้านหลังโรงละครที่ใช้เป็นสถานที่เตรียมตัวสำหรับการแสดงนั้นกว้างขวางเพียงพอสำหรับสมาชิกในทีมจำนวนมาก แม้ในเวลาปกติจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่กำลังเตรียมตัวสำหรับขึ้นแสดง แต่สำหรับวีร์และโบ๊ทในตอนนี้มันรู้สึกเงียบเชียบและน่าอึดอัด คนพี่ถอนหายใจแรงก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทางประตูด้านหลัง

“ไปไหนวะ” เหมือนฝันตะโกนไล่หลังวีร์ไป

“สูบบุหรี่”

วีร์ตอบมาเพียงแค่นั้นแล้วเดินออกไป แสงสว่างยังคงสาดส่องลงมาจากท้องฟ้าในเวลาบ่ายแก่ สะท้อนบนพื้นไม้สีน้ำตาลเข้มที่สะอาดสะอ้าน มุมหนึ่งมีม้านั่งตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่มักจะชอบออกมานั่งสูบบุหรี่ที่บริเวณนี้ เขาหย่อนตัวลงนั่งแล้วเอนหลังพิงกับพนักเพื่อผ่อนคลายตัวเองสักหน่อย วูบหนึ่งมีลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ เส้นผมที่ตกมาปรกหน้าผากพลิ้วไปตามสายลม ความคิดในหัวของเขาว่างเปล่า แม้จะมีความคับแค้นใจต่อโบ๊ทหลงเหลืออยู่ภายในเบื้องลึกของจิตใจอยู่บ้าง แต่เขาก็พยายามที่จะเคลียร์มันออกไปให้หมด ไม่อย่างนั้นอาจจะรบกวนการแสดงของเขาบนเวทีได้

การออกมานั่งเงียบๆ ข้างนอกแบบนี้ก็ทำให้จิตใจของเขาสงบขึ้นมามากอยู่เหมือนกัน

ในแต่ละวันทุกคนต่างก็มีหน้าที่ต้องทำก่อนขึ้นแสดง งานของแต่ละคนก็ดูเหมือนจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องของคนอื่นมากนักนอกจากสิ่งที่ตนเองต้องรับผิดชอบ จนไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็นว่าวีร์ที่ก่อนหน้านี้เคยทำงานร่วมกับโบ๊ทอย่างใกล้ชิด ตอนนี้กลับเลือกที่จะตีตัวออกห่างจากกัน ไม่ได้พูดคุยหรือให้ความช่วยเหลืออย่างที่เคยทำ

อันที่จริงโบ๊ทพยายามจะเข้าหาวีร์อยู่หลายครั้งในระหว่างวัน แต่ทุกครั้งที่เขาเริ่มต้นสนทนา วีร์ก็มักจะตอบกลับเพียงสั้นๆ แล้วหันไปสนใจเหมือนฝันแทน เหมือนฝันเองก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าควรจะต้องวางตัวยังไง เพราะเขาเห็นความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนทั้งสองคนมาตั้งแต่ต้น

เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ โบ๊ทรู้สึกถึงความไม่มั่นใจในตัวเองที่เพิ่มมากขึ้นทุกที เขาสูญเสียความมั่นใจที่เคยมีเมื่อวีร์ไม่ได้อยู่เคียงข้างเหมือนเดิม เมื่อก่อนวีร์เคยเป็นกำลังใจสำคัญที่ช่วยให้เขามีความมั่นใจในทุกๆ การแสดง แต่ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากขึ้นมาก

วีร์เองแม้จะตั้งใจตีตัวออกห่างจากโบ๊ทแต่นั่นก็ทำให้เขาก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาเช่นกัน เขาพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่ในใจลึกๆ เขารู้ว่าตัวเองก็ไม่พอใจกับสถานการณ์เช่นนี้เลย วีร์รู้สึกผิดหวังกับตัวเองที่ไม่สามารถให้อภัยโบ๊ทได้ เขายังคงสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง แต่เขารู้ว่าเขาต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองในฐานะนักแสดงมืออาชีพไว้

“เป็นไร” เหมือนฝันเดินเข้ามาทักวีร์ตอนที่เห็นเขากำลังนั่งเหม่ออยู่

“หื้ม?”

“กูถามว่ามึงเป็นไร ออกมานั่งเหม่ออยู่ข้างนอกคนเดียวเนี่ย”

“ก็นั่งมองอะไรไปเรื่อย”

“อ่อ...”

“ทำไม มีไร” วีร์เอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย

“เปล่า... กูเป็นห่วง มึงกังวลเรื่องโบ๊ทอยู่ใช่ไหม”

“อืม.. แต่ช่างมันเหอะ คนมันเหี้ย กูตีตัวออกห่างมาแบบนี้ก็ดีแล้วปะ” วีร์ยกยิ้มบางก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน

ไม่ใช่อะไรหรอก แต่นี่คือวิธีการที่เขากำลังจัดการตัวเองในเวลาที่กำลังจะร้องไห้ต่างหาก เขารู้ตัวดีว่าหากพูดเรื่องนี้ต่อไปอีกหน่อย น้ำตาคงไหลนองเต็มสองแก้มแน่ๆ เขาจึงตัดสินใจเลิกคุยแล้วเดินหนีออกไปเพื่อที่อย่างน้อยจะได้เป็นการหลอกความรู้สึกตัวเองให้เบี่ยงเบนไปสนใจเรื่องอื่นก่อนที่ตัวเองจะร้องไห้ออกมา

ในขณะที่การซักซ้อมบล๊อกกิ้งบนเวทีกำลังดำเนินไป ผู้กำกับละครเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติในตัวโบ๊ท ความไม่มั่นใจที่แสดงออกมาในทุกๆ ฉากที่โบ๊ท ต้องแสดง ทำให้การซ้อมดูไม่ราบรื่น เจษเดินเข้ามาใกล้และเริ่มตะโกนด่าโบ๊ทด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด

“โบ๊ท! มึงทำอะไรเนี่ย? วันนี้ดูไม่มีสมาธิเลยนะ! ห่วยแตกฉิบหาย” เจษพูดด้วยน้ำเสียงแข็งและไม่พอใจอย่างมาก

“ขอโทษครับ”

โบ๊ทรู้สึกเหมือนถูกกดดันอย่างหนัก เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ดีเหมือนที่เคยเป็นมา เพราะเขาไม่สามารถละทิ้งความกังวลในใจได้ การเอ่ยปากขอโทษผู้กำกับออกไปแบบนั้นเป็นวิธีเดียวที่เขานึกออกในตอนนี้ที่พอจะเป็นวิธีแก้ความรู้สึกผิดในใจของเขาได้

หลังจากการแสดงในคืนนั้นสิ้นสุดลง โบ๊ทยังคงรู้สึกไม่สบายใจ เขาเดินออกจากโรงละครไปพร้อมกับความคิดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความไม่มั่นใจ เขารู้ว่าถ้าปล่อยให้ความรู้สึกแบบนี้ดำเนินต่อไป มันอาจจะส่งผลต่อการแสดงบนเวทีของเขาในอนาคตได้

“เห้อ...” โบ๊ทถอนหายใจยาวเมื่อพาตัวเองเดินมาถึงคาเฟ่แห่งหนึ่งที่เขาเดินผ่านระหว่างกลับบ้าน ตอนแรกเขาก็ไม่ได้อยากจะแวะสักเท่าไหร่ เพราะมันมีภาพความทรงจำระหว่างเขากับวีร์ที่นี่ พวกเขาเคยมาด้วยกันและช่วงเวลาเหล่านั้นมันยังคงเด่นชัดในความรู้สึกของเขา แต่ก็นั่นแหละเมื่อเทียบกับการกลับไปอยู่ที่บ้านเงียบๆ คนเดียว การแวะนั่งพักผ่อนจิบเครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้วอาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

บรรยากาศในคาเฟ่ช่วงกลางคืนค่อนข้างเงียบสงบและเป็นส่วนตัว มีเพียงไม่กี่โต๊ะที่ถูกจับจองด้วยนักศึกษาที่มานั่งอ่านหนังสือ เป็นร้านเพียงร้านเดียวในย่านนี้ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

เหมือนฝันเดินเข้ามาในร้านเพราะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการการแสดงละครเวที เขาเห็นหน้าโบ๊ทนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักจึงเดินเข้าไปหา

“โบ๊ท!”

“เอ้า! พี่ฝัน ผมนึกว่าพี่กลับไปแล้ว”

“กำลังกลับ แต่หิวเลยแวะหาไรกินอะ”

“อ่อครับ นั่งด้วยกันไหมครับ”

“อื้อ”

เหมือนฝันหย่อนตัวลงนั่งพลางสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม สีหน้าของอีกคนเต็มไปด้วยความกังวลทำเอาเขาอดเห็นใจไม่ได้ เขารู้ว่าโบ๊ทกำลังต้องการที่ปรึกษา แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองอาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะช่วยโบ๊ทในเรื่องนี้

“หน้าเครียดๆ เป็นไรหรือเปล่า?” เหมือนฝันเริ่มต้นเอ่ยถามทันที เพราะไม่อยากให้บรรยากาศตรงหน้าดูอึดอัดไปมากกว่านี้

“คือ...” โบ๊ทนิ่งคิดไปนิดหนึ่งก่อนจะเริ่มเล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในระหว่างการซ้อม เขารู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีพอ เขาไม่สามารถมีสมาธิและไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะสิ่งที่มารบกวนสมาธิของเขาก็มีแต่เรื่องของวีร์

เหมือนฝันนั่งฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “พี่ว่าถ้าแกมีปัญหาเกี่ยวกับการแสดงจริงๆ บางที... แกอาจจะต้องไปปรึกษาไอ้วีร์ดูนะ เพราะมันเรียนการแสดงมาโดยตรง และมันน่าจะช่วยแกได้มากกว่าพี่”

โบ๊ทนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คำพูดของเหมือนฝันทำให้เขารู้สึกสับสน เขารู้ดีว่าวีร์มีความสามารถในด้านการแสดง แต่ในตอนนี้เขาไม่มั่นใจเลยว่าอีกฝ่ายจะยอมช่วยเขา

“ผมไม่แน่ใจเลยว่าพี่วีร์จะยอมช่วยผมหรือเปล่า” โบ๊ทพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล

เหมือนฝันยิ้มให้กับโบ๊ทอย่างใจเย็น “บางทีแกอาจจะต้องลองดูก่อน แกไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว ลองเปิดใจแล้วคุยกับวีร์มันตรงๆ บางทีมันอาจจะเข้าใจแล้วก็ยอมช่วยแกก็ได้”

คำพูดของเหมือนฝันทำให้โบ๊ทรู้สึกว่าตัวเองควรจะลองทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้ แม้ว่าจะรู้สึกกลัว แต่เขาก็รู้ว่าเขาต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้การแสดงที่เขาตั้งใจซ้อมมาตลอดหลายเดือนต้องมาล้มเหลวเพียงเพราะว่าปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับวีร์