เรียนไปก็ปวดหัว มีผัวก็ปวด... งั้นถ้าจะต้องทนปวด... ก็ขอปวดแบบได้เงินด้วยละกัน! เลิศๆๆๆๆ
ชาย-ชาย,ซาดิส & มาโซฯ,วัยว้าวุ่น,ยุคปัจจุบัน,ไทย,PWP,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เอิร์ธเด็กเอ็นท์เรียนไปก็ปวดหัว มีผัวก็ปวด... งั้นถ้าจะต้องทนปวด... ก็ขอปวดแบบได้เงินด้วยละกัน! เลิศๆๆๆๆ
เอิร์ธเด็กเอ็นท์
Mr. Host Club
[PWP]
Written by Darkriku93
เปิดเรื่อง 04/01/2023
ประกาศ!!!
นิยายเรื่องนี้เป็นแนว PWP ไม่เน้นความสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ อ่านเอาฟีลลิ่ง อ่านเอามันเฉยๆ น้าาาาา
ผมเองก็ไม่รู้ว่าวันเวลาบนเกาะแห่งนี้มันผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วตั้งแต่ที่มาถึงที่นี่ เพราะถูกยึดมือถือไปแถมทุกที่ที่ผมอยู่นั้นก็ไม่มีนาฬิกาหรือเครื่องมือสื่อสารอะไรที่จะทำให้ผมรู้ได้เลยว่าตอนนี้มันเป็นเวลาอะไร วันที่เท่าไหร่ เรียกได้ว่าหูหนวกตาบอดมาก ไม่รู้เลยว่าตอนนี้โลกภายนอกเข้าเป็นยังไงกันบ้าง
โดยเฉพาะที่ร้านเจ๊เปรี้ยว ไอ้มิค ไอ้ต่อ เจ๊เปรี้ยวก็ด้วย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง จะออกตามหาผมกันบ้างหรือเปล่า หรือว่ายังไม่รู้ว่าผมหายไป แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจในตัวเพื่อนสนิทของผมอย่างไอ้มิคมันนะ ยังไงมันก็ต้องออกตามหาผมอยู่แล้ว หายไปจนติดต่อไม่ได้ขนาดนี้ มันต้องรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาบ้างแหละ
ผมนั่งแช่อยู่บนเตียงนอนมาตั้งแต่เช้าเพราะวันนี้ไม่ได้มีแพลนจะออกไปไหน แถมยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรด้วยซ้ำ ก็เลยได้แต่หยิบหนังสือนิยายที่มันวางอยู่ในบนชั้นหนังสือในห้องนอนมาตั้งแต่วันแรกที่ผมเข้ามาอยู่ขึ้นมาอ่านเพื่อฆ่าเวลาและแก้เบื่อให้กับตัวเองบ้าง
เพราะทีวีที่นี่มีก็เหมือนไม่มี ทุกช่องเป็นรายการจากต่างประเทศทั้งหมด พูดแต่ภาษาอังกฤษแล้วก็ภาษาอะไรอีกก็ไม่รู้ คนโง่อย่างผมจะไปดูรู้เรื่องได้ยังไงกันล่ะ
ก๊อกๆๆ
“ครับ” ผมขานรับ
“คุณเอิร์ธครับ รับของว่างหน่อยมั้ยครับ” เสียงพี่ต้อมตะโกนเอ่ยถามผมผ่านบานประตูเข้ามา
“เดี๋ยวผมออกไปทานครับ”
“งั้นเดี๋ยวผมให้แม่บ้านรีบจัดโต๊ะให้นะครับ”
“ครับพี่ต้อม
สิ้นเสียงตอบรับจากผม เสียงเท้าพี่ต้อมก็ค่อยๆ เดินออกห่างจากหน้าประตูห้องของผม อันที่จริงก็ยังไม่ค่อยอยากจะกินอะไรสักเท่าไหร่หรอกครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรแต่ว่าช่วงนี้มันรู้สึกค่อนข้างที่จะเบื่ออาหารมากกว่าปกติ แต่จะไม่กินเลยก็ไม่ได้อีก ไม่งั้นโรคกระเพาะได้ถามหาผมแน่ๆ ไม่อยากจะป่วยแล้วเพราะผมเองรู้ดีว่าหากเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาอีกครั้งระหว่างที่ยังอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ ผมก็ต้องกลับไปเจอหน้าไอ้พี่หมอคนนั้นอีก ถ้าเป็นแบบนั้นผมขอยอมตายดีกว่า แต่ก็นะอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ผมจะมาตายเพราะไม่อยากไปเจอหน้าไอ้พี่หมอนั่นได้ยังไงกันล่ะ ดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากอาการป่วยอาจจะเป็นทางออกที่ดีกว่า
ก๊อกๆๆ
ไม่นานเสียงเคาะประตูห้องนอนของผมก็ดังขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณเพื่อแจ้งเตือนว่าโต๊ะอาหารว่างที่พี่ต้อมเดินมาบอกก่อนหน้านี้พร้อมที่จะเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว ผมก็เลยวางหนังสือนิยายเล่มนั้นลงแล้วก้าวลงจากเตียงเพื่อเดินออกจากห้องไปในทันที
ระหว่างที่สองเท้าของผมก้าวเดินไปตามทางเดินของบ้านพี่กัน ความรู้สึกประหลาดก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของผม วันนี้รู้สึกว่าบ้านมันเงียบผิดปกติ ซึ่งที่ผ่านมามันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน วันนี้มันเงียบเหมือนกับว่าไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยสักคนเดียว ซึ่งโดยปกติอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีพวกลูกน้องของไอ้พี่กันเดินผ่านไปผ่านมาอยู่บ้าง แต่วันนี้กลับไม่เห็นใครเลยนอกจากพี่ต้อมที่เดินนำผมมาไกลๆ
ในห้องกินข้าวนั้นก็มีเพียงจานขนมหวานสไตล์ไทยๆ จัดเอาไว้พร้อมด้วยน้ำส้มคั้นเหยือกใหญ่ แต่ก็ไม่เห็นแม่บ้านที่เตรียมอาหารให้ผมเลยแม้แต่คนเดียว
“พี่ต้อมครับ” ผมหันไปเอ่ยเรียกบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง
“ครับคุณกัน”
“ทำไมวันนี้บ้านเงียบจังครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณเอิร์ธ”
“ไม่จริงอะ จะไม่มีอะไรได้ไงพี่ต้อม บ้านเงียบอย่างกับป่าช้าขนาดนี้ ปกติมีแต่คนเดินขวักไขว่เต็มไปหมด” ผมบ่นยาวยืดเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่คนอายุมากกว่าพูดนั้นมันฟังดูไร้สาระเป็นอย่างมาก จะมาปกปิดความลับอะไรกับผมก็ควรจะให้มันดูสมเหตุสมผลมากกว่านี้
“เอาเป็นว่า คุณเอิร์ธทานของว่างให้สบายใจดีกว่าครับ เรื่องอื่นอย่าไปสนใจเลย”
“...”
“ผมขอตัวก่อนดีกว่าครับ ทานให้อร่อยนะครับ” พี่ต้อมบอกแบบนั้นแล้วรีบเดินหนีหายออกไปจากห้องกินข้าวทันที สงสัยจะไม่อยากตอบคำถามของผม หรือไม่ก็คงกลัวว่าผมจะเซ้าซี้ถามต่อไม่หยุดก็เลยรีบถอยหนีออกไปล่ะมั้ง
ขนมหวานที่แม่บ้านเตรียมไว้ให้วันนี้ก็ยังคงเวอร์วังเหมือนเดิม ไอ้ที่บอกว่าเวอร์เนี่ย ไม่ได้หมายถึงตัวเมนูที่ดูอลังการหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะปริมาณของมันมากกว่าที่ทำเยอะเสียจนคิดว่ามีคนกินสิบคน ทั้งที่ก็มีผมนั่งกินอยู่คนเดียว แต่ก็ค่อนข้างที่จะชินแล้วล่ะครับเพราะที่นี่ดูเหมือนว่าจะชอบทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ
เมนูบัวลอยไข่หวานหนึ่งถ้วยถูกวางไว้ตรงหน้าเก้าอี้ตัวที่ผมนั่ง ส่วนโถข้างๆ ก็เป็นบัวลอยโถโตที่ยังไม่ได้ใส่กะทิลงไป และมีชามใบโตใส่ไข่หวานไว้อีกหลายฟอง ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรีบเอาออกมาเสิร์ฟพร้อมกันทำไม ในเมื่อเอาออกมาให้ผมกินแค่ถ้วยเดียวก็พอแล้ว
“จะทำมาทำไมเยอะแยะก็ไม่รู้” ผมบ่นโดยไม่กลัวว่าใครจะมาได้ยินเข้า เพราะตอนนี้ไม่เห็นจะมีใครอยู่เลยสักคน
แต่ก็เท่านั้น บ่นอยู่ทุกวี่ทุกวัน บ่นอยู่ในใจเพราะต่อให้บอกออกไปไอ้พี่กันมันก็ยังสั่งให้แม่บ้านทำออกมาเยอะแยะเหมือนเดิม โคตรสิ้นเปลือง ทำไมไม่นึกถึงคนที่เขาไม่ค่อยมีจะกินบ้างก็ไม่รู้ ก็นะเขาคงไม่มาสนใจเรื่องพวกนี้หรอกเพราะชีวิตประจำวันของเขามันก็สบายดีอยู่ละ จะเอาเรื่องคนอื่นมาวุ่นวายใส่ตัวทำไม
“คุณเอิร์ธครับ” เสียงต้อมเอ่ยเรียกระหว่างที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยทำเอาผมตกใจสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย
“ครับ”
“คุณกันโทรมาว่าหลังกคุณเอิร์ธทานของว่างเสร็จ ให้ผมพาคุณเอิร์ธออกไปหาที่สวนสาธารณะครับ”
“มีอะไรเหรอครับ” ผมถามด้วยความสงสัย
“คุณกันเตรียมกิจกรรมไว้ให้น่ะครับ” พี่ต้อมยิ้มบอกแล้วเดินถอยออกไป
“กิจกรรม?”
คำนี้ฟังดูเหมือนว่าจะซ่อนความหมายแฝงอะไรบางอย่างเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไหร่ ไอ้ที่ผ่านมามันก็พิสูจน์อยู่ตลอดแล้วว่ามันไม่เคยจะปกติเลยสักครั้ง ผมเองก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะไอ้เงินรางวัลจำนวนห้าล้านบาทมันค้ำคออยู่ แม้ว่าจะถูกหลอกและบังคับให้เข้าร่วม แต่ผมก็หลวมตัวมามากเกินกว่าจะถอยแล้วเพราะไอ้คำว่าเงินห้าล้านนี่แหละ
ผมตักบัวลอยเข้าปากแบบเชื่องช้าเพราะยิ่งกินหมดเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องไปหาไอ้พี่กันเร็วเท่านั้น ผมจึงใช้โอกาสนี้ถ่วงเวลาต่ออีกสักหน่อย เพื่อให้ตัวเองได้ทำใจเตรียมรับมือเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ แต่เพียงไม่นานบัวลอยในถ้วยที่ผมกินนั้นมันก็หมดลงอย่างรวดเร็ว ผมก็เลยเกิดไอเดียเตรียมที่จะตักบัวลอยมาเติมอีกสักหน่อยเพื่อแกล้งทำเป็นว่ายังกินไม่หมด ซึ่งพอเป็นแบบนี้ผมก็เอะใจขึ้นมานิดหน่อยว่าไอ้การที่เขาเตรียมของกินไว้เยอะๆ ทุกมื้อเนี่ย ก็เพราะรู้ว่าผมจะแบบนี้หรือเปล่านะ
หรือผมคิดไปเองก็ไม่รู้...
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตักบัวลอยถ้วยที่สองเข้าปากเลย เสียงฝีเท้าของคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ห้องกินข้าวดังขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้จังหวะหัวใจของผมมันเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้นอยู่ด้วยเหมือนกัน
อย่าบอกนะว่า...
“คุณเอิร์ธ ได้เวลาไปแล้วครับ”
“เอ้า! ไหนบอกว่ารอผมกินหมดก่อนไง”
“แต่คุณกันโทรมาตามแล้วครับ” พี่ต้อมย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ครับ ไปก็ไป” ผมตอบไปด้วยใบหน้าเจื่อน อะไรวะเอาแต่ใจฉิบหาย เมื่อกี๊บอกว่ารอกินให้เสร็จค่อยพาไป แต่อยู่ดีๆ ก็มาบอกว่าให้ไปเลยซะงั้น ปวดหัวกับมันจริงๆ
ก็นั่นแหละ อยู่ที่นี่แม้จะมีช่วงเวลาว่างที่ดูเหมือนจะมีอิสระอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ใช่อิสระอย่างแท้จริงเพราะสุดท้ายมันก็ยังถูกควบคุมโดยคนอย่างไอ้พี่กันอยู่ดี
ผมเดินตามหลังพี่ต้อมไปเหมือนกับทุกครั้ง ทางเดินเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ มาขึ้นรถตู้คันเดิมที่มีคุณลุงคนขับรถคนเดิม ภาพแบบนี้คือผมก็เดาได้อยู่แล้วแหละว่ากำลังจะถูกพาไปเชือด ก็นะมันชินไปหมดละ ถูกกระทำเหมือนเดิมแค่เพิ่มเติมด้วยการเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ วันนี้ก็เหมือนกัน ผมก็คงถูกเอาเหมือนเดิมแค่ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง แต่ที่พอจะคาดเดาได้บ้างก็คงจะเป็นที่สวนสาธารณะนั่นแหละ ก็เล่นนัดไปที่นั่นซะขนาดนั้น
อันที่จริงสวนแห่งนี้ผมก็เคยแวะมาเดินเล่น นั่งเล่นอยู่บ้างตอนที่ว่างๆ คนก็ค่อนข้างเยอะทีเดียวเพราะบรรยากาศค่อนข้างดี มีต้นไม้เยอะ แถมยังมีคนชอบมานั่งปิกนิกกันอยู่เป็นประจำอีกด้วย เป็นบรรยากาศที่หาได้ยากในกรุงเทพ ทุกคนดูมีความสุขแถมอากาศก็ไม่ได้ร้อนมากจนเกินไปอีกด้วย พอเห็นแบบนั้นก็แอบรู้สึกว่าในขุมนรกแห่งนี้ก็ยังแอบซ่อนมุมดีๆ เอาไว้บ้าง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันมีไว้เพื่อลวงตาหรือเปล่านะ
รถตู้ขับมาจอดยังลานจอดรถด้านหน้าสวนสาธารณะซึ่งในระหว่างนั้นผมก็เห็นบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างล่างจำนวนหลายสิบคนรีบวิ่งมาต่อแถวรอต้อนรับผมอย่างเต็มที่ คนทั่วไปก็เลยหันมามองผมกันเป็นแถบ ก็คงจะแปลกใจนั่นแหละว่าเป็นใครมาจากไหนทำไมถึงได้ใหญ่โตกันขนาดนี้
ผมลงจากรถแล้วเดินตามพี่ต้อมไปในทันที โดยไม่ได้สนใจว่ารอบข้างจะมีใครมอง เอาจริงๆ คือไม่กล้ามอง เพราะถ้าหันไปเห็นว่ามีสายตาจากคนภายนอกจับจ้องอยู่ผมอาจจะเกิดความรู้สึกประหม่าขึ้นมาก็เป็นได้
“มาแล้วครับคุณกัน” พี่ต้อมเอ่ยทักหัวหน้าของตัวเองเมื่อเดินมาถึงบริเวณมานั่งที่อยู่กึ่งกลางสวนสาธารณะที่มีน้ำพุอันใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง
“ขอบใจมากต้อม” ไอ้พี่กันหันมาบอกพี่ต้อมแล้วยิ้มให้
ส่วนผมก็ทำแค่เพียงเดินไปหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ พี่กัน แม้จะมีแสงแดดแยงตาอยู่บ้างแต่ด้วยลมที่พัดโชยอยู่ตลอดเวลาเลยไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่ามันร้อนสักเท่าไหร่
“มีอะไรเหรอครับ” ผมเอ่ยถามไปตรงๆ เพราะไม่อยากที่จะคิดสงสัยไปเองคนเดียว
“มิชชั่นสุดท้ายมาละ”
“เหรอครับ” แม้ในใจจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากของไอ้พี่กัน แต่ผมก็ต้องพยายามที่จะเก็บความรู้สึกเอาไว้แล้วแสดงออกเพียงท่าทางนิ่งเฉยเพราไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าผมกำลังดีใจ
“อื้ม ผลโหวตออกมาละ”
“ว่ายังไงครับ”
“มั่นใจมั้ยว่าจะทำ” ไอ้พี่กันถามเสียงนิ่ง
“พี่กันก็บอกผมมาก่อนสิครับว่าต้องทำอะไร” ผมเล่นแง่กลับ เพราะเอาเข้าจริงไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องง้อผมอยู่ดีนั่นแหละ
“ตอบพี่มาก่อน” พี่กันพูดเสียงแข็งพร้อมด้วยแววตาดุดันทำเอาผมไม่กล้าที่จะต่อกรด้วย
“ครับ”
“ครับ หมายถึงอะไร”
“ทำครับ” ผมยืนยัน
“โอเค”
“ว่าแต่ มันคือมิชชั่นสุดท้ายจริงๆ ใช่มั้ยครับ” ผมเอ่ยถามย้ำ เพราะอยากที่จะมั่นใจว่าจะไม่โดนหลอกอีก
“อืม พี่สัญญา นี่คือมิชชั่นสุดท้ายจริงๆ ถ้าทำได้ ห้าล้านจะเป็นของน้องไปเลย” พี่กันเอ่ยบอกแล้วจ้องตาผมนิ่ง
“โอเคครับ เริ่มเลยพี่”
สิ้นเสียงพูดของผม ไอ้พี่กันมันก็หันไปส่งสัญญาณให้พี่ต้อม ซึ่งพี่ต้อมพอเห็นแบบนั้นก็หยิบวอล์กกี้ทอร์กกี้ที่เหน็บไว้ที่เอวขึ้นมากดพูดอะไรบางอย่างจากนั้นไอ้ผู้คนจำนวนมากที่เดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะนั้นก็เริ่มทยอยมารวมตัวกันที่ลานน้ำพุล้อมรอบพวกผมเอาไว้เป็นวงกลมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยตามจำนวนที่เดินเข้ามา
“สรุปมิชชั่นวันนี้คืออะไรกันแน่ครับ” ผมเอ่ยถามพี่กันอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะผู้คนมันเพิ่มมากเรื่อยๆ จนผมรู้สึกว่ามันเริ่มจะยิ่งใหญ่กว่าครั้งไหนเสียแล้ว
มาดูคอนเสิร์ตกันหรือเปล่าเนี่ย...
“มิชชั่นวันนี้คือ น้องเอิร์ธกับพี่ต้องมีอะไรกันกลางสวนสาธารณะให้ทุกคนดู ถ้าคนดูถูกใจจนคะแนนโหวตเกิน 50% ก็ถือว่ามิชชั่นสำเร็จ เอาเงินรางวัลกลับบ้านไป”
“ก็ไม่ได้ยากนี่ครับ”
“แต่มันมีข้อแม้ไง”
“ข้อแม้อะไรครับ” ผมถามต่อด้วยความอยากรู้ ไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะครับเพราะเจอมาทุกรูปแบบละ
“ไม่ว่าคนดูจะขอให้ทำอะไรต้องทำตามทั้งหมด”
“...”