เรียนไปก็ปวดหัว มีผัวก็ปวด... งั้นถ้าจะต้องทนปวด... ก็ขอปวดแบบได้เงินด้วยละกัน! เลิศๆๆๆๆ
ชาย-ชาย,ซาดิส & มาโซฯ,วัยว้าวุ่น,ยุคปัจจุบัน,ไทย,PWP,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เอิร์ธเด็กเอ็นท์เรียนไปก็ปวดหัว มีผัวก็ปวด... งั้นถ้าจะต้องทนปวด... ก็ขอปวดแบบได้เงินด้วยละกัน! เลิศๆๆๆๆ
เอิร์ธเด็กเอ็นท์
Mr. Host Club
[PWP]
Written by Darkriku93
เปิดเรื่อง 04/01/2023
ประกาศ!!!
นิยายเรื่องนี้เป็นแนว PWP ไม่เน้นความสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ อ่านเอาฟีลลิ่ง อ่านเอามันเฉยๆ น้าาาาา
หลังจากวันนั้นผมกับไอ้ต่อก็ไม่ได้ทำอะไรอย่างว่ากันอีก แต่เราทั้งสองคนก็ยังได้เจอหน้าและพูดคุยกันอยู่ทุกวันเพราะผมก็ยังต้องไปทำงานที่ร้านเจ๊เปรี้ยวอยู่ทุกคืน เราทั้งคู่ต่างก็พยายามที่จะทำตัวเป็นปกติแต่ดูเหมือนว่าจะมีอยู่หนึ่งคนที่รับรู้และสังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างผมกับไอ้ต่อได้เป็นอย่างดี
“มึงสองคนมีอะไรที่ไม่ได้บอกกูหรือเปล่า” ไอ้มิคเอ่ยถามระหว่างที่เรากำลังนั่งกินส้มตำร้านประจำกันอยู่
“เปล่าหนิ” ผมปฏิเสธ
“ไอ้ต่อ” ไอ้มิคหันไปกดดันคำตอบจากอีกคน
“ไม่นะ ปิดบังไรอะ” ไอ้ต่อแสร้งทำหน้างงใส่ก่อนที่มันจะหันมามองหน้าผมแล้วเราทั้งคู่ก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้
“เออ จำไว้ ไอ้พวกมีความลับ”
“เอ้า ก็บอกว่าไม่มีอะไร” ผมย้ำอีกครั้ง
“มึงสองตัวอย่าคิดว่ากูไม่รู้นะ แววตาเวลามึงมองกันมันไม่เหมือนเดิม มันเปลี่ยนไป...” ไอ้มิคพูดขณะที่วางส้อมลงในจาน
“...”
“กูถึงได้ถามพวกมึงไง ว่ามีอะไรที่กูยังไม่รู้อีกหรือเปล่า”
“จริงจังจังวะ” ผมบ่น
“แต่ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร เพื่อนกันมันก็วัดกันตรงนี้แหละ” ไอ้มิคหน้ามุ่ยแล้วใช้ส้อมตักส้มตำขึ้นมาเข้าปากแล้วเคี้ยวต่อ
“โอ๋ๆๆๆ ไม่มีอะไรจริงๆ มึง ถ้ามีกูจะรีบบอกเลย” ผมลุกขึ้นไปโอบกอดมันจากทางด้านหลังโดยมีไอ้ต่อนั่งมองด้วยสีหน้างงๆ แบบยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดี
“เออ”
“หายงอนยัง”
“กูไม่ได้งอน”
“พูดแล้วนะ”
“เออ”
“ค่อยสบายใจหน่อย รีบกินเหอะ เดี๋ยวเข้าร้านสาย” ผมเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเองก่อนจะหันไปบอกไอ้ต่อที่นั่งนิ่งมองผมกับไอ้มิคงอนง้อกันอยู่
พวกเราทั้งสามคนใช้เวลาอยู่ที่ร้านส้มตำนั้นต่ออีกเพียงไม่นาน แต่ในช่วงเวลานั้นมันช่างเต็มไปด้วยมวลความสุขแบบที่ผมขาดหายไปนาน ผมรู้สึกว่าถูกเติมเต็มชีวิตอีกครั้งจากเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของไอ้มิคและไอ้ต่อ หลังจากนั้นพวกเราทั้งสามคนก็เดินกลับมายังร้านเจ๊เปรี้ยว ไอ้มิคกับไอ้ต่อเดินนำเข้าไปในห้องพักก่อนส่วนผมขอตัวแวะไปเข้าห้องน้ำเพราะอยู่ๆ ก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันปวดท้องแบบไหน มันคล้ายว่าจะอยากถ่ายหนักแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนขนาดนั้น
ผมนั่งชักโครกอยู่พักใหญ่ก็ไม่ได้ถ่ายออกมาแม้จะยังรู้สึกปวดท้องอยู่ ผมนั่งเล่นมือถือวนไปววนมาจนครบทุกแอพแต่ก็ไม่ถ่ายสักทีจนเริ่มที่จะรู้สึกเมื่อยขึ้นมาบ้างแล้วก็เลยตัดสินใจว่าจะออกไปจากห้องน้ำเสียที สงสัยจะต้องไปหายาแก้โรคกระเพาะกินสักหน่อย สงสัยอาการจะกลับมากำเริบอีกครั้ง
“เอิร์ธ!! เป็นไรเปล่า” เสียงต่อตะโกนดังอยู่หน้าห้องน้ำ
“เปล่าๆ”
“โอเค เห็นมาเข้านานเลยมาตาม”
“ไม่เป็นไร เสร็จละๆ” ผมเอ่ยตอบมันก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วใส่กางเกง
โครมมม!!!
“ไอ้เอิร์ธ!!!” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่โลกทั้งใบของผมจะดับมืดไป
...
...
...
“เอิร์ธ!! ไอ้เอิร์ธ!!” ผมได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้นแต่ยังไม่มีแรงที่จะขยับตัวไปไหน
“...”
“เอิร์ธ มึงได้ยินกูมั้ย” ได้ยินแล้ว ครั้งนี้ได้ยินแล้ว เป็นเสียงไอ้ต่อแล้วก็มีเสียงคนอื่นด้วยดังวุ่นวายไปหมด
ผมค่อยๆ ขยับเปลือกตาให้เปิดขึ้น ภาพตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนจากเบลอเป็นชัดขึ้น ตอนนี้สิ่งที่ผมเห็นคือหน้าของไอ้ต่อ ไอ้มิค เจ๊เปรี้ยว และน้องๆ ในร้านยืนมุงอยู่ล้อมรอบตัวของผม ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อที่จะนั่งไอ้ต่อกับไอ้มิคก็เลยเข้ามาช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้น
“ค่อยๆ ลุกนะมึง”
“ขอบใจมากมึง” ผมเอ่ยบอก
ไอ้ต่อหยิบยาดมยื่นมาให้ผม พอได้กลิ่นของสมุนไพรที่หอมๆ เย็นๆ ก็ช่วยให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นได้มาก ผมพยายามยันตัวเพื่อลุกขึ้นยืนโดยมีเพื่อนทั้งสองคนคอยพยุงอยู่ไม่ห่าง พวกมันพาผมกลับเข้าไปที่ห้องพัก แม้จะยังรู้สึกไม่ค่อยมีแรงสักเท่าไหร่แต่ก็ยังพอที่จะช่วยตัวเองได้อยู่บ้าง
“ไปหาหมอมั้ย” ไอ้ต่อเอ่ยถามผมอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพักหน่อยก็โอเคแล้ว”
“แน่นะ”
“อืม” ผมตอบพลางหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ของตัวเอง
ระหว่างนั้นไอ้ต่อก็เดินออกไปข้างนอกส่วนไอ้มิคก็นั่งเซตผมพลางใช้คุชชั่นขึ้นตบๆ ที่ใบหน้ากลบพวกรอยดำจากสิว เพราะยิ่งผิวดูดีเท่าไหร่ก็ยิ่งจะดูหล่อมากขึ้น ตามความคิดของไอ้มิคอะนะ ส่วนผมก็นั่งพักหายใจหายคอหลังจากที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ใจก็อยากจะแต่งหน้าทำผมอะนะแต่คิดว่าคืนนี้ถ้าอยู่ทำงานต่อคงไม่น่าไหว มีหวังได้เป็นลมสลบเหมือดต่อหน้าลูกค้าแน่ๆ
“เอิร์ธ” เสียงเจ๊เปรี้ยวดังขึ้นผมจึงหันไปมอง
“ครับเจ๊”
“วันนี้แกกลับไปพักที่บ้านก็ได้นะ”
“จะดีเหรอเจ๊”
“เอาเหอะ ตั้งแต่แกกลับมา เจ๊ก็ยังไม่เห็นแกหยุดพักเลย ทั้งๆ ที่ควรจะพักเพื่อให้ร่างกายรักษาตัวสักหน่อย”
“ผมไม่เป็นอะไรเลยเจ๊”
“เดี๋ยวก็เขกกะโหลกให้ แล้วใครเป็นลมล้มตึงไปเมื่อกี๊ ห้ะ?”
“เจ๊ก็...”
“กลับไปพักบ้านเหอะ ไอ้ต่อไปส่งเอิร์ธมันหน่อยไป” เจ๊เปรี้ยวพูดกับผมก่อนจะหันไปมองหาไอ้ต่อที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาในห้องพักของพวกผม
“ได้ป้า เดี๋ยวผมดูแลให้”
“โอเค ชั้นไปเตรียมเปิดร้านก่อนละ” เจ๊เปรี้ยวยิ้มให้ผมทีหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องพักไป
ส่วนผมก็นั่งอยู่ตรงนั้นพลางหยิบยาดมกระปุกเขียวที่วางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งประจำตำแหน่ง ไอ้ต่อเดินเข้ามาใกล้พลางสะกิดแล้วบอกให้ผมลุกขึ้นเพราะจะพาไปส่งที่คอนโด แต่ผมก็ยังรู้สึกเพลียๆ นิดหน่อยเลยยังไม่อยากที่จะไปไหน
“ยังไม่ดีขึ้นเหรอ” ไอ้ต่อเอ่ยถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้
“เวียนหัวหน่อยๆ อะ”
“ลองไปหาอะไรหวานกินดูมั้ย” ไอ้มิคเสนอขึ้นมาพลางมองหน้าผมกับไอ้ต่ออย่างมีเลศนัย “ออกไปข้างนอกเถอะ อยู่ในนี้เดี๋ยวจะเป็นขี้ปากคนเสียเปล่าๆ”
“อะไรเล่า!” ผมเสียอาการเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเหมือนจะดูออกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ต่อมันไม่เหมือนเดิม
ผมเลยลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามไอ้ต่อออกไป เราสองคนเดินออกไปทางประตูหลังของร้านเหมือนเคย โชคดีที่อากาศวันนี้ไม่ได้ร้อนเหมือนที่เคย ลมเย็นพัดโชยมาเอื่อยๆ อยู่ตลอดเวลาหลังจากที่ผ่านมาสองสามวันอุณหภูมิลดลงอย่างน่าประหลาด ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าประเทศไทยจะได้สัมผัสอากาศเย็นแบบนี้บ้าง
“เอาน้ำมะพร้าวมั้ย” ไอ้ต่อถามผมขณะที่เราเดินผ่านร้านขายน้ำมะพร้าวที่เปิดขายอยู่ริมถนนในซอย
“อื้อ”
“เอาน้ำมะพร้าวปั่นแก้วหนึ่งครับ” ไอ้ต่อหันไปสั่งแม่ค้า
“ใส่นมมั้ยคะ”
“แก้วหนึ่งใส่ อีกแก้วหนึ่งไม่ใส่ครับ”
“รอแป๊บหนึ่งนะจ๊ะ” แม่ค้ายิ้มหวานในขณะที่เอ่ยบอกก่อนจะหันกลับไปตั้งใจทำเมนูที่ไอ้ต่อสั่ง
ผมกับมันยืนรออยู่แบบนั้นไม่นานน้ำมะพร้าวปั่นที่สั่งไปก็ถูกนำมาวางไว้ที่ด้านหน้าของพวกเราสองคน ไอ้ต่อเป็นคนจ่ายเงิน ส่วนผมเป็นคนกินฟรี ผมรีบเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำมะพร้าวปั่นแบบไม่ใส่นมมาดูดทันที ความหวานธรรมชาติแบบไม่ได้ใส่น้ำเชื่อมทำเอาผมรู้สึกสดชื่นทันทีหลังจากที่ปลายลิ้นได้สัมผัสเข้ากับน้ำมะพร้าวที่ดื่มเข้าไป
“เป็นไง” ไอ้ต่อหันมาถามผม
“อร่อย”
“หรือจริงๆ ที่มึงเป็นลมเพราะน้ำตาลตก?”
“ไม่รู้อะ”
“เอาไง จะไปหาหมอมั้ย”
“ไม่เอา กลับไปนอนที่ห้องสักตื่นเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
“ตามใจ”
ไอ้ต่อพยักเพยิดหน้าหลังจากที่ได้ยินผมตอบแบบนั้น เราทั้งสองคนพากันเดินดูดน้ำมะพร้าวที่เพิ่งซื้อมาไปเรื่อยๆ จนถึงป้ายรถเมล์ ในช่วงเวลาแบบนี้ผู้คนเริ่มที่จะเยอะขึ้นเพราะเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มเลิกเรียนหรือเลิกงาน ทีแรกที่ว่าจะนั่งรถเมล์ชิลๆจึงต้องเปลี่ยนแผนไปนั่งแท็กซี่แทน ไม่งั้นมีหวังผมได้อาการหนักกว่าเดิมแน่
บนรถแท็กซี่ผมกับไอ้ต่อไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนักเพราะผมบ่นกับมันว่าผมรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย มันก็เลยปล่อยให้ผมได้นั่งอยู่เงียบๆ แล้วชมวิวด้านนอกตามเส้นทางบนถนนที่กำลังมุ่งหน้าไปยังคอนโดของผม ซึ่งก็เป็นวิวเดิมๆ แต่ไม่รู้ทำไมเวลานั่งรถแล้วมองออกไปถึงได้รู้สึกสบายใจแบบบอกไม่ถูก
อาจเพราะผมห่างจากความรู้สึกปลอดภัยเวลาอยู่ที่บ้านของตัวเองไปนานล่ะมั้ง...