เรียนไปก็ปวดหัว มีผัวก็ปวด... งั้นถ้าจะต้องทนปวด... ก็ขอปวดแบบได้เงินด้วยละกัน! เลิศๆๆๆๆ
ชาย-ชาย,ซาดิส & มาโซฯ,วัยว้าวุ่น,ยุคปัจจุบัน,ไทย,PWP,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เอิร์ธเด็กเอ็นท์เรียนไปก็ปวดหัว มีผัวก็ปวด... งั้นถ้าจะต้องทนปวด... ก็ขอปวดแบบได้เงินด้วยละกัน! เลิศๆๆๆๆ
เอิร์ธเด็กเอ็นท์
Mr. Host Club
[PWP]
Written by Darkriku93
เปิดเรื่อง 04/01/2023
ประกาศ!!!
นิยายเรื่องนี้เป็นแนว PWP ไม่เน้นความสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ อ่านเอาฟีลลิ่ง อ่านเอามันเฉยๆ น้าาาาา
ไม่นานแท็กซี่คันนั้นก็ขับเข้ามาจอดที่ด้านหน้าประตูลอบบี้ของคอนโดผม ไอ้ต่ออาสาจ่ายเงินค่ารถให้ ส่วนผมก็หันไปเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไปก่อนจะเดินเอาแก้วพลาสติกที่ผมดูดน้ำมะพร้าวจนหมดไปทิ้งถังขยะใกล้ๆ
“จะซื้ออะไรขึ้นไปเผื่อกินบนห้องมั้ย” ไอ้ต่อเดินตามมาเอ่ยถามผม
“ไม่รู้จะกินไรอะ”
“เค งั้นเดี๋ยวค่อยกดสั่งแกร๊บเอาละกันถ้าหิว”
“อื้อ”
ผมกับไอ้ต่อพากันเดินขึ้นไปยังห้องของผม ระหว่างก่อนจะเดินไปที่ลิฟท์ไอ้ต่อก็ขอแวะกดน้ำหวานจากตู้เต่าบินสักหน่อยซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าเมื่อกี๊ก็เพิ่งจะกินน้ำมะพร้าวไป ทำไมตอนนี้ถึงอยากจะได้น้ำหวานอีก ผมยืนมองมันอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรในมากเพราะในเมื่อมันอยากกินก็ต้องปล่อยมันไป จะไปห้ามได้ยังไงล่ะ
ติ๊ง!
เสียงลิฟท์ดังขึ้นเมื่อมันมาจอดยังชั้นลอบบี้ที่พวกเรายืนรอกันอยู่ ผมยืนรอให้คนด้านในเดินออกมาก่อนแล้วผมจึงเดินเข้าไป เอาคีย์การ์ดแตะที่ช่องที่กำหนดแล้วเอานิ้วกดชั้นที่ต้องการไปส่วนอีกนิ้วก็กดปุ่มเปิดประตูค้างเอาไว้เพื่อรอให้ไอ้ต่อเดินตามเข้ามาด้านใน
ประตูลิฟท์เปิดออกเมื่อมาถึงยังชั้นที่ผมกดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ผมเดินนำออกไปก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องของผมทันที มันอยู่ริมสุดของชั้นนี้ ผมกดรหัสเพื่อปลดล็อกเปิดประตูห้องแล้วพาไอ้ต่อเดินเข้าไปในห้องทันที
“เห้ออออ” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาทันทีพลางถอนหายใจยาวออกมาเพราะรู้สึกว่าการเดินทางจากร้านเจ๊เปรี้ยวมาถึงคอนโดมันก็แอบเหนื่อยเหมือนกันในเวลาที่ผมรู้สึกป่วยแบบนี้
“ขอดูหนังได้เปล่า” ไอ้ต่อเอ่ยถามผมขณะที่หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ แล้วเอนตัวไปวางแก้วน้ำหวานที่โต๊ะเล็กๆ หน้าโซฟา
“เอาเลย อยากทำไรก็ทำ”
“จริงเปล่า” ไอ้ต่อตอบพลางมองผมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
“เดี๋ยวจะโดนทุบ อย่ามาคิดทะลึ่งนะ”
“รู้ได้ไง”
“หน้าหื่นออกมาซะขนาดนั้น”
“กูล้อเล่น”
“กูไม่เชื่อมึงหรอก” ผมบ่นพลางหยิบรีโมทขึ้นมากดเปิดทีวีแล้วยื่นรีโมทนั้นให้อีกฝ่าย “เลือกเอาแล้วกันว่าอยากดูอะไร”
“เคๆ”
ไอ้ต่อรับรีโมทจากผมไปแล้วกดเลือกหนังในเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งปกติผมเองก็ไม่ได้ค่อยได้ดูสักเท่าไหร่หรอก มีแต่ไอ้มิคนั่นแหละที่เป็นคนเลือกหนังในการดูแต่ละครั้งเพราะว่ามันเป็นคนเรื่องมาก ผมก็เลยปล่อยให้มันเลือกเอาตามใจ ไม่อยากมานั่งเถียงกันคนอย่างผมมันสบายๆ อยู่แล้ว
เสียงภาพยนตร์ตะวันตกที่ไอ้ต่อเลือกดังขึ้น ผมก็เลยเลิกสนใจหน้าจอมือถือแล้วหันไปสนใจหน้าจอทีวีแทน มันเปิดดูแบบซาวน์แทร็กซึ่งนั่นก็เลยทำให้ผมต้องใช้สมาธิอย่างสูงในการดูเพิ่มมากขึ้น คนไม่ตั้งใจเรียนอย่างผมเจอภาษาอังกฤษเข้าไปก็ทำให้รู้สึกโง่เอามากเหมือนกัน และก็เพราะการต้องตั้งใจดูนี่แหละเลยทำให้ผมรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับเนื้อเรื่องจนเผลอหลับไป
หรือจริงๆ อาจเป็นเพราะร่างกายมันเพลียจากอาการป่วยก็ไม่รู้...
ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหนแต่พอตื่นมาอีกทีฟ้าข้างนอกที่ผมมองเห็นผ่านบานกระจกหน้าต่างออกไปก็มืดสนิทไปเสียแล้ว ภาพยนตร์ในเน็ตฟลิกซ์ที่ฉายบนหน้าจอทีวีก็หยุดเล่นไปแบบอัตโนมัติโดยค้างหน้าจอที่มีข้อความเอ่ยถามว่าคุณยังดูอยู่หรือไม่ ในขณะที่คนข้างๆ ผมนั้นนอนหลับไปเสียแล้ว
“ไอ้หมาเอ้ยย” ผมเอ่ยแซวเบาๆ พลางยิ้มให้เมื่อเห็นใบหน้าอีกฝ่ายที่กำลังนอนหลับอยู่แล้วอดที่จะเอ็นดูไม่ได้
ผมขยับตัวเพื่อจะลุกไปเข้าห้องน้ำเพราะรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมานิดหน่อย แต่พอผมกำลังจะลุกขึ้นยืนถึงได้สังเกตเห็นว่าไอ้ต่อมันนอนหลับพร้อมกับโอบแขนมากอดไว้รอบตัวผม
“ไอ้ต่อ กูจะไปฉี่”
“...”
“ไอ้ต่อ”
“หือ...” เสียงงัวเงียของมันดังขึ้น
“ปล่อย.. กูปวดฉี่”
“อ่อ” มันตอบแล้วปล่อยมือจากผมแล้วพลิกตัวไปอีกฝั่งก่อนจะหลับต่อ
ผมเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟานั้นแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ พอจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินกลับมาที่โซฟาตัวนั้นเพื่อที่จะปลุกอีกฝ่ายให้เข้าไปนอนให้ห้องดีๆ แต่พอเดินเข้าไปใกล้ก็เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัว เพราะยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยเรียก ไอ้ต่อมันก็ยกแขนขึ้นมาดึงผมให้ลงไปกอดแน่นทำเอาผมตกใจไม่น้อย
“เชี่ย!!”
“ขอกอดหน่อย” มันกระซิบที่ข้างหูผม
“อะไรของมึงเนี่ย”
“...”
“ลุกไปนอนบนเตียงดีๆ ไป” ผมบอกมันพลางขยับตัวออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
“ขออีกแป๊บหนึ่ง”
เห้อ...
ผมถอนหายใจอีกครั้งเพราะคนตรงหน้ามันเอาแต่ใจไม่น้อย ผมก็เลยต้องจำใจนอนนิ่งอยู่ในอ้อมอกของไอ้ต่ออยู่อีกพักใหญ่เพราไอ้ลูกหมามันไม่ยอมที่จะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย แถมยังส่งเสียงกรนใส่หน้าผมอีก
จุ๊บ!
ผมตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่ออยู่ๆ ไอ้คนตัวสูงที่นอนแน่นิ่งอยู่นานยื่นปากเข้ามาหอมแก้มผมเสียฟอดใหญ่ ทำเอาผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่จ้องหน้าที่อยู่ใกล้จนแคบกว่าคืบแบบนั้นนิ่งไม่เป็นอันทำอะไร
“แก้มนิ่มจัง” ไอ้ต่อเอ่ยแซวก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วยกยิ้มบางๆ
“เป็นอะไรของมึงเนี่ย”
“ไม่รู้ ก็แค่อยากหอม”
“...” ผมเงียบไม่ตอบอะไร
“ทำไมอะ ไม่ได้เหรอ”
“เปล่า... กูเขิน”
พอผมตอบไปแบบนั้นก็ดูเหมือนว่าจะถูกใจไอ้ต่ออยู่ไม่น้อย เพราะมันฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิมแถมแววตาก็ดูสดชื่นขึ้นมากด้วย แต่นั่นก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นคำอนุญาตไปเสียแล้ว ไอ้ต่อก็เลยได้ใจหอมแก้มผมฟอดใหญ่อีกหลายรอบจนผมหัวเราะลั่นออกมาเพราะรู้สึกจั๊กจี๋จนต้องบอกให้มันหยุดหอมเสียก่อน ผมยังไม่อยากตายด้วยอาการบ้าจี้จนหายใจไม่ทัน
ค่ำคืนนั้นเป็นอีกครั้งที่ทำให้ผมกับไอ้ต่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแบบส่วนตัว ได้มีเวลาเรียนรู้กันและกัน ผมเองก็รู้สึกว่าอาการป่วยเมื่อตอนบ่ายมันดีขึ้นมากแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเพราะได้คนดูแลที่ส่งผลดีต่อจิตใจล่ะมั้ง อาการที่มีมาก่อนหน้ามันเลยค่อยๆ ดีขึ้นด้วย ตอนนี้รู้สึกสดชื่นเหมือนไม่เคยป่วยมาเลยสักนิด
นี่สินะที่คนมักจะบอกกันว่าป่วยกายยังไม่เท่าป่วยใจ เพราะป่วยกายหายได้เมื่อหาหมอหรือพักผ่อน แต่อาการป่วยใจนี่สิ คงจะมีแต่กำลังใจดีๆ จากคนใกล้ตัวนั่นแหละที่จะช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี...
เหมือนผมในตอนนี้ไง!