เรียนไปก็ปวดหัว มีผัวก็ปวด... งั้นถ้าจะต้องทนปวด... ก็ขอปวดแบบได้เงินด้วยละกัน! เลิศๆๆๆๆ
ชาย-ชาย,ซาดิส & มาโซฯ,วัยว้าวุ่น,ยุคปัจจุบัน,ไทย,PWP,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เอิร์ธเด็กเอ็นท์เรียนไปก็ปวดหัว มีผัวก็ปวด... งั้นถ้าจะต้องทนปวด... ก็ขอปวดแบบได้เงินด้วยละกัน! เลิศๆๆๆๆ
เอิร์ธเด็กเอ็นท์
Mr. Host Club
[PWP]
Written by Darkriku93
เปิดเรื่อง 04/01/2023
ประกาศ!!!
นิยายเรื่องนี้เป็นแนว PWP ไม่เน้นความสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ อ่านเอาฟีลลิ่ง อ่านเอามันเฉยๆ น้าาาาา
ผมเดินลงจากห้องมาที่เซเว่นข้างคอนโดเพื่อหาอะไรกินในตอนเช้าเพราะร้านขายของในตลาดหลายร้านต่างพากันปิดเพราะใกล้ช่วงวันหยุดยาว ผมที่เป็นคนเรื่องมากด้านอาหารการกินก็เลยต้องพาตัวเองมายังร้านสะดวกซื้อเพื่อหาอะไรลงท้องในมื้อเช้าแทน ไอ้มิคก็ดันไม่ได้กลับห้องมาตั้งแต่เมื่อคืนผมจึงไม่มีคนเตรียมของอร่อยๆ ไว้ให้ เซเว่นจึงตอบโจทย์ที่สุดในการเป็นที่พึ่งแห่งสุดท้ายให้ผมผ่านพ้นยามเช้าไปได้อีกมื้อ
“กินไรดีวะ” ผมบ่นพึมพำในขณะที่สายตาก็มองหาอาหารที่แช่อยู่ในตู้เย็น
ผมยืนมองอยู่พักใหญ่ก่อนจะเลือกเอาข้าวผัดกะเพราหมูสับมาหนึ่งกล่องแล้วก็หยิบไส้กรอกค็อกเทลมาอีกซอง จากนั้นก็เดินไปหยิบนมและขนมหวานมาเพิ่มอีกนิดหน่อยเพราะกลัวว่ากินคาวแล้วไม่กินหวานจะกลายเป็นไพร่ตามคำโบราณว่าไว้
แต่เอาเข้าจริง แม้พวกเราจะกินคาวแล้วตามด้วยการกินหวานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานะไพร่ของพวกเราได้เลยแม้แต่น้อย ฮ่าๆๆ
ผมเอาของทั้งหมดไปยืนต่อคิวเพื่อจ่ายเงินที่แคชเชียร์ ซึ่งวันนี้เหมือนจะมีพนักงานอยู่ที่หน้าเคาท์เตอร์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น คนที่เหลือไปไหนผมก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ก็นั่นแหละอาจเพราะใกล้วันหยุดพนักงานก็อาจจะมีลาหยุดกันบ้าง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของผมที่จะต้องมานั่งคิดเรื่องนี้นี่หว่า
เงินสดในกระเป๋าของผมถูกใช้จ่ายไปกับของกินเมื่อครู่จากนั้นผมก็ขอให้น้องพนักงานที่แคชเชียร์ช่วยเอาของทั้งหมดที่ผมซื้อยัดใส่ลงในถุงพลาสติกให้หน่อยเพราะผมไม่สามารถถือด้วยมือเปล่าขึ้นได้หมดจริงๆ
ผมพาตัวเองก้าวเดินออกจากร้านด้วยความคิดที่ว่างเปล่าแต่อยู่ดีๆ ก็เหมือนมีเสียงเจ๊เปรี้ยวลอยกลับเข้ามาในหัวด้วยเรื่องที่เจ๊พูดถึงไอ้ต่อเมื่อสองวันก่อน ผมก็เลยกลับมากังวลอีกครั้งเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี เพราะครั้งล่าสุดที่ผมคุยกับไอ้ต่อ คำตอบของมันก็ยังคงเหมือนเดิม คือมันจะยังไม่ยอมกลับบ้านจนกว่าจะถึงวันเปิดเทอม แม้ว่าความเป็นจริงกำหนดเดิมที่มันต้องกลับคือหนึ่งอาทิตย์ก่อนที่จะเปิดเทอมก็ตาม
ครืดดดดด ครืดดดดด....
เสียงมือถือของผมสั่นดังขึ้น ผมจึงได้สติกลับมาแล้วพบว่าตัวเองเดินมาถึงหน้าคอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นี่ผมล่องลอยได้ขนาดนี้เลยเหรอ ดีนะไม่ถูกรถชนไปเสียก่อน ผมล้วงเอามือถือขึ้นมาจึงพบว่าที่หน้าจอโชว์รายชื่อคนโทรเข้าเป็นคนที่คุ้นเคยและกำลังนึกถึงอยู่พอดี
ไอ้ต่อ!
“ฮัลโหล” ผมเอ่ยพูดทันทีหลังจากกดรับสาย
(อยู่ไหนอะ)
“คอนโด”
(กินไรยัง)
“กำลังจะกินอะ เพิ่งซื้อจากเซเว่นมา”
(อ่อ)
“มีไรเปล่า”
(ว่าจะชวนไปกินข้าวด้วยกัน)
“ซื้อมาแล้วอะดิ มึงไปกินเลยๆ”
(ไม่อะ งั้นเดี๋ยวซื้อเข้าไปกินด้วยที่คอนโดนะ)
“ไม่ต้องมาก็ได้” ผมพยายามที่จะบอกปัด
(จะถึงละเนี่ย)
“เอ้า! อะไรของมึงวะ”
(เหอะน่า เดี๋ยวขึ้นไปกินด้วย)
“เออๆ ถึงละบอก เดี๋ยวลงไปรับ”
(อาเค)
จริงๆ แม้ว่าผมจะบอกมันไปว่าเดี๋ยวลงมารับถ้ามันมาถึง แต่ผมก็ไม่ได้ขึ้นห้องหรอกครับ ผมหย่อนตัวนั่งลงที่โซฟาตรงลอบบี้ด้านล่างคอนโดเพื่อที่ว่าจะได้รอไอ้ต่อมาแล้วขึ้นพร้อมกันทีเดียวไม่ต้องๆ ขึ้นๆ ลงๆ ให้เหนื่อย แม้ใจผมเองจะยังกังวลเรื่องที่คุยกับเจ๊เปรี้ยวไว้ก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่อาจที่จะลงมือทำได้แบบทันทีทันใดเหมือนกัน อยู่ๆ จะให้ห่างกับไอ้ต่อไปเลยเพราะมันไม่ยอมกลับต่างจังหวัดก็จะกระไรอยู่ เพราะผมก็อาจจะทำใจไม่ได้เหมือนกัน เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันยิ่งน้อยๆ อยู่ จะทำอะไรผมยิ่งต้องคิดแล้วคิดอีก
ผมนั่งเล่นมือถืออยู่ที่โซฟาตัวนั้นอยู่ไม่นาน ไอ้ต่อก็ปรากฏตัวแล้วเดินเข้ามาหาผมพร้อมถือถุงกับข้าวที่แวะซื้อติดตัวมาด้วย มันเดินเข้ามาใกล้โดยไม่พูดไม่จาอะไร ผมที่เงยหน้าไปมองทีแรกก็คิดว่ามันจะเอ่ยทักผมก่อน แต่มันก็ไม่พูดอะไรเลย ผมก็เลยต้องเป็นฝ่ายทักมันก่อน
“ทำไมไม่โทรมาบอกว่าจะถึงแล้ว”
“อ่าว... ก็เห็นว่ามึงนั่งอยู่ลอบบี้อะเลยเดินเข้ามาเลยไง”
“อือ ขี้เกียจขึ้นห้องเลยนั่งรอตรงนี้”
“แล้วทำไมไม่รอบนห้อง สบายกว่าตั้งเยอะ”
“ไม่อยากขึ้นๆ ลงๆ อะ ขี้เกียจ” ผมบ่นแล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินนำไอ้ต่อเข้าไปยังโถงหน้าลิฟท์เพื่อจะพาขึ้นไปบนห้องเสียที หิวจะแย่ละ
ของทั้งหมดถูกวางไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟา ทีวียังคงเปิดค้างเอาไว้ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะลงไปข้างล่าง ผมเดินเข้าครัวไปหยิบจานชามและช้อนส้อมออกวางไว้ที่โต๊ะนั้นด้วย ส่วนไอ้ต่อก็เป็นคนคอยแกะทุกอย่างแล้วเทลงในจานชามเพราะผมไม่ชอบที่จะกินข้าวในกล่องพลาสติก ทุกครั้งที่ซื้ออาหารสำเร็จรูปจึงต้องเอาออกมาใส่ไว้ในจานทุกที ไม่งั้นกินข้าวไม่อร่อย
“มึงกินแค่นี้จะอิ่มเหรอ” ไอ้ต่อเงยหน้ามาถามผมเมื่อเห็นว่าผมซื้อข้าวกะเพรามาแค่กล่องเดียว ไอ้ที่เหลือดูเหมือนจะเป็นของกินเล่นเสียมากกว่า
“อิ่มดิ”
“ถึงว่า...”
“ทำไม”
“ก็มึงผอมลงไปตั้งเยอะนี่หว่าช่วงนี้”
“เวอร์ น้ำหนักก็เท่าเดิม เอาอะไรมาผอมอะ” ผมแย้งกลับเพราะผมก็ชั่งน้ำหนักดูอยู่ทุกวัน เท่าเดิมเป๊ะๆ เอาที่ไหนมาผอมอะ
“แต่มึงดูซูบลงจริงๆ นะ” ไอ้ต่อย้ำ
“สงสัยช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับมั้ง”
“เป็นอะไร ทำไมนอนไม่ค่อยหลับ” คนตัวสูงถามอย่างสายตาเป็นห่วง
“ไม่มีหรอก ก็ก็คิดไรไปเรื่อย แดกข้าวเหอะ เดี๋ยวเย็นหมด” ผมรีบบอกปัดเพราะไม่อยากจะบอกเหตุผลที่แท้จริงให้มันรับรู้
เพราะไอ้สาเหตุที่ว่าก็เป็นเรื่องของมันนั่นแหละที่ผมคอยกังวลอยู่ทุกวี่วัน เพราะเหมือนมีเจ๊เปรี้ยวเวียนวนอยู่ในหัวและความคิดของผมอยู่ตลอดเวลา ผมเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนักหรอก ก็ยังคงหาวิธีที่จะพูดกับมันอยู่รื่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร โดยเฉพาะไม้ตายสุดท้ายที่เจ๊เปรี้ยวบอก ผมไม่มั่นใจว่าจะทำได้มากน้อยขนาดไหน
ให้ห่างกันมันไม่ได้ทำง่ายนะโว้ยยย!!!
เราสองคนนั่งกินข้าวไปดูหนังไปแบบนั้นโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันต่อ เพราะมันมีมวลความอึดอัดบางอย่างที่พวกเราต่างก็รับรู้ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่เราไม่พูดถึงมันก็เท่านั้น เวลาของมื้อเช้านี้ดูเหมือนจะรวดเร็วแต่มันก็รู้สึกนานพอสมควรเมื่อทั้งผมและมันต่างก็ไม่คุยกันเลย สายตาประสานกันในบางครั้งแต่ก็ไม่ได้ทำให้เราสนทนากันมากขึ้นกว่าเดิมนัก
ใจผมน่ะอยากเอ่ยพูดกับมันอีกสักครั้งเรื่องกลับไปบ้านที่ต่างจังหวัดได้แล้ว แต่ก็กลัวว่าพูดไปจะทำให้วันนี้กลายวันที่แย่ไปซะก่อน ก็เลยทำได้แค่เงียบเอาไว้แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป
“ไปดูหนังกันมั้ย” ไอ้ต่อเอ่ยถามผมขึ้นมาในระหว่างที่พวกเรากำลังช่วยกันเก็บจานไปไว้ที่อ่างล้างจาน
“หื้ม?”
“วันนี้ไปดูหนังกันมั้ย”
“เอ่อ...”
“ทำไม ไม่อยากไปเหรอ” ไอ้ต่อสีหน้าเปลี่ยนทันทีเหมือนเห็นว่าผมกำลังจะปฏิเสธ
“เปล่า กำลังคิดอยู่ กลัวไปทำงานไม่ทัน”
“ทันนนนน ก็เนี่ยเก็บจานเสร็จก็ออกไปเลยไง”
“เอางั้นเหรอ” ผมถามย้ำ
“เออ น้า~ ไปดูหนังกัน นะๆๆ” คนเด็กกว่าทำหน้าอ้อน ผมเห็นแบบนั้นก็ใจสั่นทันที เพราะปกติมันไม่เคยทำหน้าแบบนี้เลยสักครั้ง พอเจอแบบนี้ไปก็แอบไปไม่ถูกเหมือนกัน อยู่ๆ ก็มาทำตัวน่ารักใส่ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย น่ารักจังวะ
“เออๆ ไปก็ไป”
“เย่!!” ไอ้เด็กมันร้องดีใจซะลั่นห้องทำเอาผมตกใจไปด้วย เพราะกลัวว่าข้างห้องจะเดินมาด่าเอา
“รีบเก็บ จะได้รีบไป” ผมบ่นมันอีกรอบที่มัวเอาแต่ดีใจ
ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดที่ใส่อยู่บ้านเป็นชุดที่เตรียมพร้อมสำหรับเข้าทำงานในเย็นนี้ไปด้วยเลย เพราะดูหนังเสร็จคงไม่มีเวลากลับมาเปลี่ยนชุดที่คอนโดแน่ๆ น่าจะต้องตรงเข้าไปที่ร้านเลย ไม่อยากเข้างานสายเพราะช่วงนี้เจ๊เปรี้ยวยิ่งจับตามองผมอยู่ แม้จะเป็นลูกรักแต่ก็ยังเป็นพนักงานภายใต้การดูแลของเจ้าของร้านอยู่ดี
พอไปถึงที่ห้างเราทั้งสองคนก็รีบตรงดิ่งขึ้นไปยังชั้นบนสุดเพื่อไปยังโรงหนังทันที ผมกับไอ้ต่อได้คุยกันมาก่อนหน้านี้แล้วระหว่างที่นั่งรถมาที่นี่ว่าเราจะเลือกหนังรอบที่ไวที่สุดโดยไม่สนใจว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร เลือกมากไม่ได้ ไม่งั้นถ้าหนังจบไม่ทันผมจะไปทำงานสาย ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็เห็นตรงกัน เราก็เลยเลือกหนังรักโรแมนติกของญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่กำลังจะถึงรอบฉายอีกเพียงแค่ 15 นาทีเท่านั้น
ผมเดินถือถังป๊อปคอร์นเข้าไปในโรงเดินนำไปยังที่นั่งที่ระบุไว้ในตั๋วโดยมีไอ้ต่อเดินตามหลังถือแก้วน้ำอัดลมเข้ามาด้วย ทีแรกก็ว่าจะไม่ซื้อเพราะเพิ่งจะข้าวมื้อเช้ากันมา แต่ไอ้เด็กที่ตามหลังมันดันงอแงว่าไม่ชอบนั่งดูหนังเฉยๆ ก็เลยต้องจัดสินใจซื้อเข้ามาด้วย จะได้เลิกวุ่นวายสักที
ตัวอย่างหนังเริ่มต้นขึ้นเป็นอันรู้ว่าใกล้ได้เวลาหนังฉายเต็มที พวกเรานั่งกันอยู่แบบนั้นยาวๆ ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งหนังเรื่องที่พวกเราเลือกซื้อตั๋วเข้ามาดูเริ่มดำเนินเรื่องราวไปตามเส้นเรื่องของมัน ผมกับไอ้ต่อนั่งดูกันแบบเงียบกริบเพราะต้องใช้สมาธิจดจ่อกับคำบรรยายภาษาไทยใต้ภาพ ก็ดันไปเลือกดูหนังเรื่องที่เป็นเสียงซาวน์แทร็กต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นเลยต้องอาศัยความสามารถทางสายตาในการอ่านคำแปลแทน
“หื้ม?” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่ไอ้ต่อก็เอามือของมันมากุมที่มือของผมเอาไว้
“ขอจับมือหน่อย” มันกระซิบบอก
“อืม”
ผมพยักหน้ารับแล้วเอ่ยตอบด้วยเสียงเบาๆ ในลำคอก่อนจะหันกลับไปดูหนังที่ฉายบนต่อไป ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อเกิดในหัวใจของผมอีกครั้งแต่มันไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะมันดันมาคู่กันกับคำพูดของเจ๊เปรี้ยวซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกสับสนไม่น้อย ใจก็ชอบอยู่หรอกกับการกระทำของอีกฝ่ายในตอนนี้ แต่อีกใจก็ยังต้องคอยพะวงว่าเรื่องราวระหว่างเราสองคนมันจะต้องจบลงในไม่ช้านี้ เพราะดูๆ ไปแล้วก็ไม่เห็นหนทางที่ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ต่อจะไปกันได้รอด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่เพราะผมก็ไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาดูเลยแม้แต่น้อยเพราะในหนังที่พวกเราเข้ามาดูนั้นมันสนุกจนน่าเหลือเชื่อ ผมไม่ล่อกแล่กไปทำอย่างอื่นหรือคิดเรื่องอื่นเลยแม้แต่น้อย ภาพของคนสองคนทั้งพระเอกและนางเอกกำลังจูบกันทำเอาผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่และใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าเขินคนในจอหรือเพราะผมกำลังเห็นเป็นภาพตัวเองกับไอ้ต่อจูบกันอยู่ก็ไม่รู้
“มึง” ไอ้ต่อหันหน้ามาหาผม
“หื้ม?”
“ขอจูบหน่อยดิ”
“เชี่ย อะไรของมึงเนี่... อื้อ!!!” ผมยังไม่ทันพูดจบ ไอ้ต่อมันก็กดจูบลงมาที่ริมฝีปากของผมทันที ยังไม่ทันที่ผมจะได้อนุญาตเลยด้วยซ้ำ
เสียงของหนังบนจอก็ยังคงดังคลอไปอย่างต่อเนื่อง ส่วนไอ้ต่อก็บดจูบลงมาอย่างหิวกระหายจากทีแรกมันเริ่มด้วยความอ่อนโยนแต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามเอามือประคองถังป๊อปคอร์นเอาไว้เพราะกลัวว่ามันจะหก เพิ่งกินไปได้นิดเดียว ถ้ามันหกหมดเพราะมัวแต่จูบมันก็ดูจะน่าโมโหไปสักหน่อย ลิ้นร้อนของไอ้ต่อเริ่มสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากของผมหลังจากที่ผมเผลออ้าปากขึ้นเล็กน้อยตอนที่ตอบรับจูบของมัน
สองลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันอยู่แบบนั้นพักใหญ่ ลมหายใจของเราทั้งคู่สอดประสานเป็นจังหวะเดียวกันได้อย่างน่าประหลาด ลมร้อนที่พ่นออกจากทางจมูกของไอ้ต่อปะทะเข้ากับใบหน้าของผม ทำให้ผมรับรู้จากจังหวะการหายใจของมันได้เลยว่า อารมณ์ภายในตัวมันเริ่มปะทุมากขึ้นจนเกินกว่าที่มันจะควบคุมตัวเองได้แล้ว และถ้าผมยังไม่อยากจะให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้ก็ควรจะต้องรีบยับยั้งชชั่งใจทั้งของตัวเองและของมันเอาไว้เพียงเท่านี้ เพราะเรากำลังอยู่ในโรงหนังที่มีทั้งคนดูจำนวนมากและกล้องวงจรปิดที่กำลังจับตามดูเราอยู่ทุกมุมห้อง
“พอก่อน” ผมผละออกจากจูบนั้นแล้วดันตัวไอ้ต่อออก
“อะไรว้า” แววตาของมันส่องประกายความเสียดายออกมาอย่างชัดเจน
“ดูหนังก่อน ในนี้คนเยอะ”
“ชิ!” ไอ้ต่อจิ๊ปากแล้วหันกลับไปดูหนังเหมือนเดิม
ผมเองก็ได้แต่ส่ายหัวเพราะอีกฝ่ายดันกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจไปซะงั้น แต่ก็นั่นแหละคนมันกำลังมีอารมณ์ความใคร่อะเนอะ พอไปขัดจังหวะก็อาจจะทำให้เสียความรู้สึกอยู่หน่อยๆ
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่ฉายอยู่บนจอ คนข้างๆ ก็ยื่นมือหนามาจับมือของผมเอาไว้แล้วดึงไปสัมผัสที่เป้ากางเกงของมัน
“เชี่ย!” ผมร้องอุทานออกมาเบาๆ “แข็งจังวะ”
“อือ” มันพยักหน้า
“มึงอยากขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมกระซิบเสียงเบาเพราะกลัวคนอื่นจะได้ยิน
“ช่วยหน่อย”
“ไอ้เหี้ย นี่มันในโรงหนังนะเว้ย”
“ไม่มีใครเห็นหรอกน่า มืดขนาดนี้” ไอ้ต่อกระซิบบ่นด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างเต็มที ผมก็เลยรู้ว่าไอ้ต่ออดทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว