วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
เสียงฝีเท้ากระทบพื้นบ้านเวลาเดินดังตึงตังเพราะกันต์วนเวียนเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมที่จะเข้ากรุงเทพไปในวันนี้เพื่อคลาสเวิร์กช็อปที่ทางซีรีส์ได้นัดเอาไว้ โดยที่เขาได้ไหว้วานให้คิมเป็นคนขับรถพาเขาไปส่งที่กรุงเทพสักหน่อยเนื่องจากเขาไม่อยากนั่งรถตู้โดยสาร เพราะใครๆ ก็รู้ว่าการเดินทางในลักษณะนี้ก็เปรียบเหมือนการทรมานตัวเองอยู่เหมือนกัน และเขาไม่อยากมีสภาพเหนื่อยอ่อนตอนที่ไปถึง
“เสร็จยังมึง” คิมเดินเข้ามาถามหลังจากที่ขับรถมาจอดไว้ที่หน้าบ้านของกันต์
“แป๊บนะ จะเสร็จละ”
“ให้ช่วยขนของขึ้นรถไหม”
“งั้นมึงเอากระเป๋าเสื้อผ้ากูขึ้นรถไปก่อนละกัน ที่เหลือเดี๋ยวกูหิ้วไปเอง”
“เคๆ”
“ขอบใจมากมึง”
กันต์พูดจบก็รีบเก็บพวกเอกสารสำคัญที่ต้องพกติดตัวไปด้วยใส่กระเป๋าเป้ใบเล็กแล้วรูดซิปปิดก่อนจะเหวี่ยงขึ้นไปสะพายหลัง จากนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะเอาขนมและกับข้าวที่แม่เตรียมใส่กล่องแล้ววางไปบนโต๊ะอาหารใส่ถุงผ้าแล้วถือไปขึ้นรถด้วย เพราะแม่บอกว่าให้เอาไปแช่ตู้เย็นไว้จะได้ประหยัดค่าอาหารไปได้บ้าง นอกจากกับข้าวแล้วก็ยังมีข้าวสารอีกหนึ่งถุงใหญ่ขนาดน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ก็เขาดันไปบอกแม่เอาไว้ว่าต้องไปอยู่ที่กรุงเทพตั้งสามเดือน แม่ก็เลยจัดเสบียงให้แบบจัดเต็ม
สองขาของกันต์รีบจ้ำอ้าวมาที่รถของคิมแล้วเปิดประตูหลังเพื่อเอาของทั้งหมดที่ตัวเองกำลังแบกอยู่วางไว้ที่เบาะคนนั่งด้านหลังรถ บางส่วนก็ยัดใส่ท้ายรถไป ดีที่คิมไม่ใช่คนที่ชอบทำให้รถยนต์กลายเป็นตู้เสื้อผ้า ก็เลยทำให้การขนของในครั้งมีพื้นที่ให้คนอย่างกันต์ได้หอบสมบัติติดตัวไปได้เยอะพอสมควร
“เรียบร้อย” กันต์เอ่ยบอกคนข้างๆ หลังจากที่เปิดประตูขึ้นมานั่งเบาะข้างคนขับแล้วปิดประตูรถดังปังก่อนจะเอื้อมมือขวาไปคว้าเอาเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอาไว้ที่ตัว
“เค พร้อมนะ”
“อื้อ ไปเลย”
“ไม่ลืมอะไรแน่นะ” คิมถามย้ำ
“เออ ไม่ลืมแล้ว”
“เคๆ”
บรื้นนน~!!
เสียงสตาร์ทรถดังขึ้นพร้อมหัวใจที่เต้นรัวของกันต์ รถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านของเขา อันที่จริงกันต์รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านเพราะเป็นวันธรรมดาจึงต้องออกไปทำงานกันทั้งคู่ เขาอยากได้กำลังใจก่อนจะออกจากบ้านเพื่อไปเดินทางตามความฝันของตัวเอง แต่ก็เข้าใจเพราะมันเป็นเหตุสุดวิสัยเดี๋ยวค่อยโทรหาตอนเย็นก็ได้
รถยนต์ของคิมเคลื่อนตัวไปตามเส้นถนนที่กันต์เริ่มจะไม่คุ้นตา เพราะทั้งชีวิตตั้งแต่โตมายังไม่เคยได้ออกไปค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในต่างพื้นที่เลยสักครั้งนอกจากพื้นที่ในจังหวัดบ้านเกิดของตัวเอง การเป็นเด็กเนิร์ดที่เอาแต่ตั้งใจเรียนหนังสือ มีแอบทำกิจกรรมของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยบ้างแต่ก็ไม่เคยออกไปเที่ยวกับเพื่อนฝูงที่ไหนเพราะเรียนเสร็จก็ตรงกลับบ้านทันที ก็ชีวิตมันติดรายการเรียลลิตี้แข่งขันร้องเพลงที่ออกอากาศสด 24 ชั่วโมง เลยทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ไม่สนใจอะไรอีก นอกเสียจากการจดจ่ออยู่หน้าจอทีวีหลังเสร็จธุระจากการเรียน จนเพื่อนฝูงอดแซวไม่ได้ว่าไม่ต้องชวนกันต์ไปไหนเพราะมันจะกลับไปดูทีวี
ความใฝ่ฝันของกันต์ในการอยากทำงานในวงการบันเทิงมันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยที่เขาเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่ 2 แล้วครูประจำชั้นตัดสินใจเลือกเขาให้เป็นตัวแทนสายชั้นไปงานประกวดร้องเพลงลูกทุ่งตอนวันคริสต์มาสของโรงเรียน แต่เพราะในตอนนั้นเขายังรู้สึกเขินอายก็เลยทำให้ระหว่างที่ร้องประกวดอยู่บนเวทีเขาก็วิ่งหนีลงมาข้างล่างทันที ทั้งที่ยังร้องไม่ทันจะจบเพลงด้วยซ้ำ
และนั่นก็เป็นบาดแผลแรกที่ฝังอยู่ในใจของกันต์ในวัยเด็ก เพราะหลังจากลงมาเขาก็ถูกเพื่อนฝูงล้อเสียยกใหญ่ แถมยังโดนครูประจำชั้นตำหนิอีกต่างหาก ทำให้เขากลายเป็นเด็กที่กลัวการประกวดร้องเพลงไปเลย โชคดีที่พ่อแม่ของกันต์ยังคงสนับสนุนและให้กำลังใจเขามาโดยตลอด ทำให้กันต์ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับเด็กประถมคนหนึ่งมาได้แบบสดใส
พอขึ้นมัธยมต้นเขาก็ถูกเพื่อนฝูงบุลลี่อีกครั้งหลังจากที่มีหลานของอาจารย์ประจำชั้นได้โอกาสเข้าวงการบันเทิงเล่นละครจักรๆ วงศ์ๆ ที่ออกอากาศวันเสาร์อาทิตย์ทางช่องทีวีหลากสี กันต์ก็ดันไปบอกกับอาจารย์ว่าตัวเองก็อยากจะเข้าวงการบันเทิงเหมือนกัน พอเพื่อนๆ รู้ก็เลยโดนแซวยกใหญ่ แต่เพราะเขามีภูมิคุ้มกันในเรื่องนี้มาบ้างแล้ว เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เลยไม่ค่อยกระทบกระเทือนจิตใจของเขาสักเท่าไหร่นัก จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งนับได้ว่าเป็นวันที่เปิดประสบการณ์และช่วยล้างมลทินจากการถูกเพื่อนฝูงแซวไปได้อย่างสิ้นเชิง เมื่อโรงเรียนมัธยมต้นที่กันต์เรียนอยู่ในขณะนั้นจัดงานวิชาการประจำปีและมีการจัดประกวดร้องเพลงไทยสากลขึ้นมา เขาก็เลยตัดสินใจลงสมัครแข่งขันท่ามกลางความประหลาดใจของเพื่อนฝูงเพราะทุกคนไม่เชื่อว่าคนหน้าตาอย่างกันต์จะร้องเพลงได้ไพเราะ ถึงขนาดเอาไปพูดกันว่า ‘ตัวดำๆ หัวหยิกๆ ใส่แว่นหนาเตอะแบบนี้เนี่ยนะ จะร้องเพลงได้จริงๆ เหรอ อยู่เฉยๆ ให้ไม่อายขายขี้หน้าจะดีกว่ามั้ง’ ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นคำดูถูกจากกลุ่มเพื่อนในห้องที่เขาได้ยินแล้วเอามาเป็นแรงผลักดันในการฝึกฝนเพื่อการประกวดในครั้งนี้ เพราะเป้าหมายเดียวของเขาคือต้องได้ที่หนึ่งในการแข่งขันเท่านั้น
กันต์รีบกลับบ้านหลังจากที่เลิกเรียนในทุกวันเพื่อมาซ้อมร้องเพลงโดยซื้อแผ่นซีดีคาราโอเกะของศิลปินที่ชอบมาฝึกร้องทุกวัน ช่วงนั้นเขาซ้อมร้องจนคนเป็นพ่อแม่ต้องบอกให้พักบ้าง บางวันก็ให้ไปร้องบนเวทีตามงานบวชงานแต่งบ้างเพื่อสะสมประสบการณ์ เพื่อนบ้านเองก็เริ่มสนุกสนานกับเสียงเพลงที่กันต์ซ้อมร้องทุกวันจนบางครั้งก็เรียกให้มายืนร้องให้ฟังเวลาที่พวกเขาตั้งวงเหล้ากันในตอนเย็นๆ ซึ่งตัวของกันต์ก็ดูเหมือนจะเริ่มมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่
จนกระทั่งถึงวันแข่งขันกันต์ก็ได้ขึ้นเวทีเป็นคนสุดท้ายและเป็นยังเป็นผู้เข้าแข่งขันคนเดียวที่เป็นนักเรียนชายด้วย ตอนที่เขาเดินขึ้นไปบนเวทีนั้นมีแต่เสียงโห่แซวจากรุ่นพี่มัธยมปลาย ซึ่งก็แอบทำให้เขาตื่นเต้นอยู่เหมือนกันแต่ก็ควบคุมสติเอาไว้ได้ เมื่อเพลงขึ้นและเขาเริ่มร้องเสียงโห่ก็เงียบลงก่อนจะกลายเป็นเสียงหวีดร้องและปรบมือดังลั่น จวบจนเขาร้องเพลงจบเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ดก็ดังสนั่นหอประชุม นั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงการชื่นชมยินดีที่คนอื่นมอบมาให้ และผลการแข่งขันในวันนั้นกันต์ก็ได้รับอันดับหนึ่งมาตามที่เขาคาดหวังเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นคนดังของโรงเรียนในทันที
ช่วงมัธยมปลายกันต์ได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัด ที่นี่เองที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ถึงคำว่า ‘พรีวิลเลจของคนหน้าตาดี’ มันเป็นยังไง เขาในลุคผิวดำแดด ผมหยิก ใส่แว่นหนาเตอะถูกมองข้ามทุกครั้งในทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นของโรงเรียนแม้ว่าเขาจะมีความสามารถเหมาะสมมากแค่ไหนก็ตาม เพราะทุกคนมักจะเลือกเพื่อนสนิทของเขาอีกคนที่มีหน้าตาดีมีดีกรีเป็นหนุ่มป๊อปของโรงเรียน ซึ่งครองตำแหน่งมาตั้งแต่ตอนม.1 จนถึงม.4 ทุกคนก็ยังโหวตให้เขาได้ถือครองตำแหน่งนี้อยู่เหมือนเดิม ก็นับได้ว่าเป็นคนเดียวที่ได้พรีวิลเลจจากหน้าตาของแท้ ไม่ว่าเขาจะอยากทำอะไรก็ดูง่ายไปเสียหมด จนบางครั้งกันต์ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนคนนี้มาสนิทกับเขาได้ยังไง
ในช่วงเวลานั้นทำให้กันต์หมดไฟในการตามหาฝัน หมดไฟในการทำอะไรที่ตัวเองชื่นชอบแล้วหันไปสนใจแต่เรื่องเรียนเพียงอย่างเดียว เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการเรียนและเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะที่เขาต้องการให้ได้ จึงถือได้ว่าช่วงม.ปลายเป็นยุคมืดในการวิ่งตามความฝันของกันต์เลยทีเดียว กว่าจะได้มีเวลากลับมาใส่ใจให้กับสิ่งที่ชอบอีกครั้งก็ปาไปตอนเข้ามหาวิทยาลัยนั่นแหละ เพราะมีเวลาว่างมากขึ้นกันต์จึงหันกลับมาฝักใฝ่ให้กับความฝันของตัวเองอีกครั้ง
“ไอ้กันต์” เสียงจากคิมเอ่ยเรียกทำเอากันต์ที่กำลังนั่งมองวิวด้านนอกพลางคิดถึงเรื่องราวในอดีตสะดุ้งตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหน้าคนที่เรียก
“หื้ม?”
“มีไรเปล่า กูเห็นนั่งเหม่อ เงียบมาตั้งนานละนะ”
“เปล่าๆ คิดไรไปเรื่อย”
“กังวลเหรอ”
“ไม่นะ ตื่นเต้นมากกว่า” กันต์เอ่ยตอบแล้วยกยิ้มส่งให้อีกฝ่าย พอที่จะทำให้คิมเลิกเป็นห่วงขึ้นมาได้บ้าง
“อ่อ...” คิมตอบรับพร้อมพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับไปมองถนนด้านหน้าอีกครั้งเพราะกำลังขับรถอยู่ จากนั้นก็เอ่ยพูดต่อ “เดี๋ยวอีกแป๊บหนึ่งก็จะถึงคอนโดพี่กูแล้วนะ”
“เคๆ” กันต์ตอบรับพลางหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาซึ่งมันก็ยังพอมีเวลาให้เตรียมตัวอีกเล็กน้อยก่อนที่จะถึงเวลาที่พี่ทีมงานนัดเอาไว้
รถยนต์ขับผ่านเส้นทางที่สองฝั่งเต็มไปด้วยอาคารใหญ่โตขนาบข้างไปตลอดทาง กันต์ชะเง้อหน้ามองไปเรื่อยเพราะรู้สึกตื่นเต้นกับการเข้ากรุงเทพเป็นครั้งแรก อะไรๆ ก็ดูจะแปลกตาและแปลกใหม่สำหรับเขาไปเสียหมด คิมเห็นอาการเพื่อนของตัวเองเป็นแบบนั้นก็อดที่เอ็นดูไม่ได้ เขาอมยิ้มมาตลอดทางจนกระทั่งถึงคอนโดของพี่ชายเขา
กันต์และคิมช่วยกันขนของลงจากรถเพื่อเอาเข้าไปในห้อง อันที่จริงของที่เอามาก็ไม่ได้มากมายอะไรเพราะกันต์รู้สึกว่าบางอย่างค่อยมาหาซื้อที่กรุงเทพเอาก็ได้ ซึ่งคิมก็เห็นด้วยแถมยังบอกว่าพวกข้าวของเครื่องใช้ประจำวันจำพวกยาสีฟัน ยาสระผม สบู่อาบน้ำอะไรพวกนี้ให้ใช้ของพี่มันที่ซื้อตุนไว้ที่ห้องได้เลยเพราะพี่มันไปทำงานต่างประเทศอีกหลายเดือน ทีแรกกันต์ก็เกรงใจแต่พอคิมให้โทรคุยกับพี่ชายของเขาก็ทำให้กันต์สบายใจขึ้นมาได้บ้าง มาอยู่ห้องเขาเป็นเดือนๆ แล้วยังจะมาใช้ของที่เขาซื้อตุนเก็บไว้ที่ห้องอีก ถ้าแม่รู้ต้องโดนบ่นยับแน่ๆ
“เดี๋ยวกูขอแต่งหน้าทำผมก่อนนะ ไปเวิร์กช็อปจะได้หล่อ” กันต์เอ่ยบอกพลางหยิบกระเป๋าเสื้อผ้ามาเปิดออกเพื่อเอาเครื่องสำอางและอุปกรณ์ทำผมออกมาไว้ด้านนอก
“ให้กูช่วยทำผมให้เปล่า” คิมเสนอพลางเดินเข้ามานั่งข้างๆ
“เอาดิ”
“จะให้ทำทรงอะไรอะ”
“ทรงอะไรก็ได้ที่มึงคิดว่าทำให้กูแล้วกูจะหล่ออะ”
“โห ยากเลย” คิมแกล้งแซวก็เลยโดนกันต์เอามืดฟาดหัวไปฉาดใหญ่
ผัวะ!!
“โอ๊ย!! เจ็บนะเว้ย” คิมร้องลั่นพลางมองตาขวาง
“โทษๆๆๆ ไม่แกล้งละ”
“รีบๆ แต่งหน้าเลยมึง เดี๋ยวต้องทำผมอีก จะไม่ทันเอา” คิมบ่นอุบก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าครัวไปหยิบน้ำเปล่าออกมานั่งแล้วเปิดทีวีดูเพื่อรอเวลา
กันต์เริ่มลงมือแต่งหน้าทันทีด้วยทักษะที่สั่งสมมาจากการดูในยูทูป เครื่องสำอางที่ซื้อมาใช้ก็ไม่ใช่ของแพงอะไรเพราะซื้อจากเซเว่นมีบ้างที่สั่งพรีออเดอร์จากเกาหลีแต่ก็ไม่ใช่แบรนด์ที่ราคาแรงจนเกินไป การแต่งหน้าของกันต์เป็นไปแบบเรียบง่ายแถมยังไม่ได้มีเทคนิคอะไรมากมายนัก แค่ทำให้ผิวพรรณดูผ่องใสขึ้นและให้บนใบหน้าดูมีอะไรมากกว่าใบหน้าสดนิดหน่อย ซึ่งเขาก็ใช้เวลาเพียงไม่นานในการจัดการแต่งหน้าให้กับตัวเองทำเอาคิมก็แอบทึ่งไปเหมือนกัน
“เสร็จละ” กันต์หันไปบอกเพื่อนสนิทที่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา
“ฮะ? ไวจังวะ”
“ก็คนมันเก่งไง”
“ไหนหันมาดูชัดๆ หน่อยสิ” คิมเอ่ยบอกพลางยื่นมือไปจับเข้าที่คางของอีกฝ่ายแล้วออกแรงบิดเพื่อให้กันต์หันหน้ามาให้ดู “นี่มึงเรียกว่าแต่งแล้วเหรอ”
“โอ้โห นี่มันดูถูกกันชัดๆ มึงไม่รู้จักหรือไง แต่งหน้าแบบไม่แต่งอะ” กันต์สะบัดหน้าหนีแล้วบ่นอีกฝ่าย
“งั้นก็ไม่ต้องแต่งไปเลย จบ”
“กวนตีน แต่งแบบผู้ชายเกาหลีไง หน้าเนียนๆ ผิวใสๆ งี้”
“เออๆ ขยับมา กูจะได้ทำผมให้” คิมพูดแล้วหันไปหยิบเครื่องหนีบผมอันเล็กที่วางอยู่ไม่ไกลมากนักมาเสียบเข้ากับปลั๊กแล้วเปิดสวิตช์ทิ้งไว้เพื่อให้มันร้อน ระหว่างนั้นกันต์ก็ขยับตัวเข้ามานั่งใกล้
มือของคิมเริ่มจับผมเป็นช่อๆ แล้วเอากิ๊ฟปากเป็ดมาหนีบแบ่งเอาไว้แล้วค่อยๆ หนีบผมของกันต์ไปทีละส่วน จัดทรงตามที่เขาต้องการเพียงไม่นานผมของกันต์ก็ออกมาดูดีสไตล์เกาหลีแบบที่เขาชอบ
“ลองส่องกระจกดู” คิมยื่นกระจกอันเล็กให้กันต์เพื่อตรวจเช็กทรงผมของตัวเองว่าถูกใจมั้ย
“เชี่ย!! หล่อจัด” กันต์อุทานขึ้นมาหลังจากได้เห็นภาพทรงผมของตัวเอง
“ก็คนทำผมมันเก่งอะ”
“เออ กูยอมให้มึงวันหนึ่ง ไปเหอะ เดี๋ยวสาย” กันต์เอ่ยบอกพลางลุกขึ้นทันที คิมเห็นแบบนั้นก็เลยหันไปดึงปลั๊กที่หนีบผมออกแล้ววางมันไว้บนโต๊ะก่อนจะลุกเดินตามกันต์ไป
~~~~~ The Gossip of BL ~~~~~
สายตาของกันต์ดูเลิ่กลั่กและงุนงงอยู่ในที เมื่อเขามาถึงสถานที่นัดหมายซึ่งเป็นห้องสำหรับเวิร์กช็อปอยู่ใจกลางห้างดัง แต่เขาก็ยังไม่เห็นเลยว่าจะต้องไปติดต่อที่ใคร ระหว่างนั้นเขากับคิมก็เลยช่วยกันเดินหาจนกระทั่งมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาสะกิดเขาจากด้านหลัง
“น้องกันต์ใช่ไหมคะ?”
“ชะ...ใช่ครับ”
“พี่เจี๊ยบนะคะ ทีมงานของซีรีส์ค่ะ”
“อ้อ! สวัสดีครับ”
“ตามพี่มาเลยค่ะ” พี่เจี๊ยบเอ่ยบอกกันต์ก่อนจะหันหลังแล้วเดินนำไป
กันต์เลยหันมาคิมที่ยืนอยู่ข้างๆ “มึงไปเดินเล่นก่อนก็ได้ เดี๋ยวเสร็จแล้วกูโทรหา”
“ได้ๆ ยังไงบอกนะ”
“เคๆ” กันต์พยักหน้ารับก่อนจะรีบเดินตามหลังพี่เจี๊ยบไปในทันที
คนตัวเล็กรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะนี่คือสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอด สองขาก้าวไปด้วยใจที่สั่นแรง สายตาสอดส่องไปตามทางเดินนั้น ยิ่งเข้าใกล้ห้องเวิร์กช็อปเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนจะเป็นลมขึ้นทุกที
“ถึงแล้วค่ะ” พี่เจี๊ยบหันมายิ้มบอก
“ขะ..ขอบคุณครับ”
“เอ่อ... น้องกันต์โอเคมั้ยคะ ป่วยตรงไหนหรือเปล่า หน้าซีดเชียว”
“เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไรครับ”
“เข้าไปด้านในได้เลยนะคะ” พี่เจี๊ยบบอกอีกครั้งก่อนจะยื่นมือไปเลื่อนบานประตูเพื่อเปิดให้กับเขา
“ขอบคุณครับ”
กันต์หันไปขอบคุณพี่เจี๊ยบแล้วค่อยๆ เดินย่องเข้าไปด้านในเพราะกลัวว่าจะรบกวนคนที่อยู่ในห้องนั้นก่อนแล้ว แต่เมื่อเขาพาตัวเองเข้าไปอยู่ภายในห้องนั้น ความตื่นเต้นที่เคยมีก็ยิ่งทวีคูรเข้าไปอีกเมื่อพบว่าทุกสายตาในห้องจดจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว เขาทำตัวไม่ถูกก็เลยเดินไปนั่งเก้าอี้ว่างที่อยู่มุมในสุดของห้อง ไม่รู้จักใครเลยแม้แต่คนเดียว แต่คนอื่นๆ ดูเหมือนจะรู้จักกันมาก่อนเพราะนั่งคุยกันแบบสนิทสนม ทำเอากันต์ทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนกัน
ครืดดด~~
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นอีกครั้ง เสียงพูดคุยในห้องที่กำลังดังเซ็งแซ่เงียบสงัดจนทำให้กันต์ต้องเงยหน้าขึ้นมามองว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี๊ทุกคนยังเมาท์กันดังลั่นอยู่เลย ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเงียบกริบขนาดนี้ สายตาของเขาหันมองซ้ายทีขวาทีเพื่อตรวจเช็กว่ามีอะไรจนสุดท้ายสายตาของเขาก็หันไปสะดุดอยู่ที่ชายหนุ่มตัวสูง ผิวขาวออร่า หน้าตาหล่อจนกันต์อดสะดุ้งไม่ได้ตอนที่เห็น
เชี่ยยยยยยย!!!!
นั่นมันพี่ภูมินี่หว่า!!!!
กันต์ได้แต่หวีดร้องอยู่ในใจเพราะพี่ภูมิคือดาราในดวงใจของเขาที่เขาแอบปลื้มมานานและยังไม่เคยได้เจอตัวจริงเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่าตอนที่เรียนอยู่พี่ภูมิเขาจะมีงานอีเวนต์ของโชว์รูมรถยนต์ในจังหวัดบ้านเกิดแต่กันต์ก็ไม่ได้มีโอกาสไปเจอเพราะพ่อกับแม่ไม่ยอมขับรถพาไป ครั้งนั้นก็เลยดับฝันเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ที่อยากจะได้เจอพี่ภูมิสักครั้ง
คนตัวเล็กได้แต่หวีดอยู่ในใจเพราะไม่กล้าที่จะแสดงออกมากนักกลัวคนอื่นจะหาว่าไม่มืออาชีพ เขาก้มหน้างุดเล่นมือถือเพราะไม่กล้าสู้หน้าพี่ภูมิ ก็มันเขินจนเกินจะห้ามใจนี่นา ใครจะไปรู้ว่าจะได้เจอ ได้ร่วมงานกับดาราในดวงใจแบบใกล้ชิดขนาดนี้ล่ะ
“สวัสดีครับ”
ฮะ? นี่พี่ภูมิเขาทักกูก่อนเหรอ?
กันต์เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา แล้วหันมองไปทางซ้ายทีขวาทีจึงพบว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณเดียวกันกับเขาเลยแม้แต่คนเดียว กันต์จึงยกนิ้วขึ้นมาชี้ที่ตัวเองเป็นสัญญาณว่าอีกฝ่ายกำลังเอ่ยทักทายเขาอยู่เหรอ
“ใช่ พี่ทักน้องนั่นแหละ”
“สะ...สวัสดีครับ”
“ชื่ออะไรอะเรา”
“กันต์ครับ”
“พี่ชื่อภูมินะ” ดาราหนุ่มเอ่ยต่อพร้อมยิ้มกว้าง
“ครับพี่ภูมิ”
“ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียว”
“ผมไม่รู้จักใครเลยครับ” กันต์เอ่ยตอบพลางยิ้มแห้งๆ แม้ในใจจะยังตื่นเต้นจนหัวใจเต้นโครมครามแค่ไหนก็ตาม
“งั้นพี่ขอนั่งด้วยคนนะ”
“ครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะน้องกันต์”
มึงงงง!! เขาเรียกกูว่าน้องกันต์!!
“คะ...ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับพี่ภูมิ”
บทสนทนาระหว่างกันต์กับพี่ภูมิจบลงแค่นั้นเพราะคนตัวเล็กเขินจนกว่าที่จะชวนคุยต่อได้ ซึ่งพี่ภูมิเองก็ดูเหมือนจะเดินเข้ามาทักทายตามมารยาทเหมือนกันเพราะหลังจากที่คุยกับกันต์เสร็จเขาก็เดินไปทักทายคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องต่อ ส่วนกันต์ก็ทำได้เพียงนั่งอยู่เงียบๆ แบบตัวเล็กลีบในซอกหลืบของห้องเพราะยังใจสั่นกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่หาย
ไม่นานก็มีพี่ทีมงาน 2-3 คนเดินถือถุงใส่อาหารรวมถึงกล่องโฟมใบโตอีกหลายกล่องเข้ามาวางในห้องแล้วบอกว่ามันคือฟู้ดซัพพอร์ตจากแฟนคลับพี่ภูมิ ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มร่าแล้วลุกเดินไปหยิบมากินทันที ส่วนกันต์ก็ยังเหมือนเคยนั่งนิ่งไม่กล้าขยับไปไหน เพราะไม่รู้ว่าอะไรควรทำหรือไม่ควรทำ
“หิวไหมครับ” พี่ภูมิเดินเข้ามาทักกันต์ที่นั่งเงียบอยู่
“นิดหน่อยครับ”
“มานี่มา”
เชี่ยยย!!!!
กันต์ตกใจที่พี่ภูมิพูดจบก็ยื่นมือของตัวเองมาคว้าจับเข้าที่แขนของเขาแล้วออกแรงดึงให้เขาลุกขึ้นก่อนจะพาเดินไปเอาฟู้ดซัพพอร์ตที่วางรวมกันอยู่ทันที
“อยากกินอะไรก็หยิบเลยนะ แฟนคลับพี่ซื้อมาให้ทุกคนเลย”
“ขอบคุณครับพี่ภูมิ”
เป็นครั้งแรกที่กันต์รู้สึกดีใจเสียยิ่งกว่าถูกหวยแม้ว่าความเป็นจริงเขาจะยังไม่เคยถูกหวยมาก่อนก็ตาม ใครจะไปคิดว่านอกจากจะได้ทำตามความฝันของตัวเองที่อยากทำงานในวงการบันเทิงแล้วนั้น ก็ยังจะได้มาทำงานใกล้ชิดกับดาราที่ตัวเองชื่นชอบอีก แถมเขายังจัดโมเมนท์ให้เต็มๆ แบบนี้ กว่าจะได้ถ่ายซีรีส์จนจบเรื่อง คนอย่างไอ้กันต์จะไม่หัวใจวายตายไปเสียก่อนเพราะความหล่อและความดีของพี่ภูมิใช่ไหมนะ