วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
“สำหรับวันนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้มาเจอกัน ต้องบอกว่าประทับใจหลายๆ คนมาก ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ทีเดียวสำหรับความสามารถทางด้านการแสดง ส่วนใครที่ได้รับคอมเมนต์อะไรไป ก็เอากลับไปทำเป็นการบ้านเนอะ จะได้แก้ไขในส่วนที่ยังบกพร่องอยู่ แล้วเดี๋ยวเวิร์กช็อปครั้งหน้ามาเจอกันใหม่ค่ะ” เสียงแอคติ้งโค้ชกล่าวบรรยายสรุปท้ายชั่วโมงเวิร์กช็อปเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากิจกรรมวันนี้ได้จบสิ้นลงแล้ว กันต์ได้แต่ถอนหายใจเพราะวันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เรียนการแสดงแบบจริงๆ จังๆ ก็เลยยังตามไม่ค่อยทันสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเรื่องการเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง
ครูสอนแอคติ้งบอกว่ากันต์ต้องซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองมากกว่านี้ รู้สึกอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ซึ่งเขาเองก็ยังไม่เข้าใจนักหรอกว่าสิ่งที่ครูพูดหมายถึงอะไร เพราะเขาก็รู้สึกว่าเขาทำตามที่หัวใจบอกทุกอย่างแล้ว แต่ครูก็บอกว่าให้ลองฝึกดูใหม่ ลองตั้งสติแล้วนึกดูดีๆ ว่าความต้องการของตัวเองคืออะไร เพราะจากแบบฝึกหัดในวันนี้เขายังมีอาการรู้สึกอย่างหนึ่งแต่กระทำออกมาอีกอย่างหนึ่งซึ่งตรงกันข้าม ถามว่าครูรู้ได้อย่างไรก็คงต้องตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าก็เพราะเขาเป็นครูไง เลยดูออกว่าสิ่งที่กันต์ทำนั้นมันเรียนว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก ซึ่งครูก็ทิ้งท้ายเอาไว้ว่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่แท้จริงแล้วก็ค่อนข้างที่จะยากอยู่เหมือนกัน เพราะบางครั้งเราอาจจะติดพฤติกรรมแบบนี้มาจนเคยชิน ไอ้พฤติกรรมที่เรียกว่าปากไม่ตรงกับใจนั่นแหละถือเป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง แต่มันปรับกันได้เพียงแค่ต้องใช้เวลากับมันก็เท่านั้นเอง
กันต์เดินออกจากห้องเวิร์กช็อปมาอย่างใจลอยเพราะในหัวยังวนเวียนอยู่กับคำสอนของครูในคลาสที่ผ่านมาเมื่อครู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้โทรหาคิมเลยว่าเสร็จธุระแล้ว เขารีบล้วงหยิบมือถือในกระเป๋ากางเกงด้านหลังออกมาแล้วปลดล็อกหน้าจอก่อนจะเปิดหาเบอร์ของอีกฝ่ายแล้วโทรออกทันที
(เสร็จแล้วเหรอ) คิมเอ่ยถามทันทีเมื่อกดรับสาย
“ใช่ เสร็จแล้ว”
(อยู่ตรงไหนอะ เดี๋ยวเดินไปหา)
“เจอกันร้านกาแฟก็ได้นะ”
(ได้ๆ มึงจะกินไรอะ จะได้สั่งไว้ให้ก่อน)
“วาเลนเซียเพิ่มกาแฟ 2 ช็อต”
(ว่าละ แทงหวยไม่ถูกวะกูเนี่ย)
“ทำไม”
(ก็คิดไว้อยู่แล้วว่ามึงต้องสั่งเมนูนี้)
“ก็ของโปรดนี่หว่า”
(มึงต้องขอบคุณกูนะที่แนะนำเมนูนี้ให้มึงรู้จักอะ)
“เออๆ เจอกันมึง” กันต์หัวเราะเบาๆ พร้อมเอ่ยบอกปลายสายแล้วกดวางก่อนจะเก็บมือถือลงที่กระเป๋ากางเกงตรงด้านหลังเหมือนเดิม
สองขาของกันต์เดินล่องลอยมาตามทางเดินในห้างแบบไม่ได้มีสติมากนัก ร้านกาแฟเดียวที่เขารู้จักและชื่นชอบก็เห็นจะเป็นร้านกาแฟเจ้าดังที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศและเขาก็มั่นใจว่าคิมก็ต้องรู้เหมือนกันว่าเขาหมายถึงร้านกาแฟร้านไหน ถึงแม้ว่ากันต์จะเพิ่งเคยมากรุงเทพเป็นครั้งแรกก็ตาม เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาสองคนมาถึงที่นี่ สายตาของกันต์ก็เอาแต่มองไปยังร้านกาแฟนั้นอย่างจดจ่อพลางบอกคนที่เดินอยู่ข้างๆ ว่าอยากกินแต่ด้วยเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นชิดจึงทำให้ยังไม่สามารถแวะกินได้
ประตูร้านเปิดออกอย่างอัตโนมัติเมื่อกันต์เดินมาถึงที่หน้าร้าน ลูกค้าจำนวนมากต่อคิวเป็นแถวยาวจนแทบจะล้นออกมาด้านนอกของร้านอาจเพราะวันนี้เป็นวันหยุดจึงทำให้ผู้คนมีจำนวนเยอะขนาดนี้ เขาชะเง้อหาเพื่อนสนิทของตัวเองที่ก่อนหน้านี้บอกว่าหาที่นั่งรอไว้แล้วอยู่มุมในสุดของร้าน ไม่นานสายตาของกันต์ก็หันไปเห็นคิมที่นั่งเล่นมือถืออยู่ที่โต๊ะด้านในสุด เขาจึงเดินตรงดิ่งเข้าไปหาทันที
“มาละมึง” กันต์เอ่ยทักพลางหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“เป็นไงมั่ง”
“จะบ้าตาย”
“ทำไมอะ” คิมถามกลับอย่างสงสัย
“โดนด่าอย่างเยอะ” กันต์บอกต่อพลางทำหน้าเซ็ง
“หื้ม? ด่าเลยเหรอ”
“อือ”
“เขาว่าไงบ้าง” คิมถามต่อด้วยสีหน้าอยากรู้
“บอกให้กูกลับไปทำการบ้านมาเยอะๆ ให้ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง เวลาแสดงอย่าคิดเยอะไรงี้”
“แล้วเขาเรียกว่าด่าตรงไหน แบบนี้เขาเรียกว่าคอมเมนต์เหอะ เพื่อให้มึงได้พัฒนาตัวเองขึ้นไง” คิมเอ่ยด้วยใบหน้าเซ็ง เพราะเพื่อนของตัวเองยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอันไหนด่าอันไหนคือแนะนำ
“แต่คนอื่นไม่เห็นโดนคอมเมนต์เยอะแบบกูเลย” กันต์บ่นพลางยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม
“เอาน่า ก็คิดซะว่าจะได้พัฒนาได้ถูกจุดไง”
“อือ”
กันต์กับคิมนั่งกินกาแฟอยู่ที่ร้านต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะที่กันต์จะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตัวเองได้เจอเรื่องตื่นเต้นหนึ่งเรื่องซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับวันนี้เลยก็ว่าได้ ก็เลยสะกิดเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ตรงข้ามก่อนจะเล่าให้ฟัง
“เออมึง วันนี้กูได้เจอพี่ภูมิด้วยนะเว้ย” กันต์เอ่ยพูดด้วยแววตาเบิกโตแสดงความดีใจ
“พี่ภูมิ? ภูมิไหนวะ”
“พี่ภูมิพระเอกซีรีส์อะ ที่ช่วงก่อนกูหวีดเขาหนักๆ”
“อ๋ออออ เล่นเรื่องเดียวกับมึงเหรอ?”
“เออดิ เพิ่งเจอกันตอนเวิร์กช็อปเมื่อกี๊”
“เป็นไงบ้างวะ” คิมเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
“หล่อสัตว์ๆๆๆๆๆ!!”
“เชี่ยยยยย อิจฉามึงว่ะ”
“ใจดีด้วยมึง เขาพากูไปหยิบข้าวจากฟู้ดซัพด้วยมึง แงงงง” กันต์ยิ้มกว้างเพราะดีใจจนเนื้อเต้น เขาตีมือลงไปที่แขนของคิมหลายครั้งด้วยความตื่นเต้นจนคิมต้องคว้ามือของอีกฝ่ายเอาไว้เพราะรู้สึกเจ็บ
“กูเจ็บ อิเหี้ย!” คิมอุทานออกมาพลางฟาดกลับไปบ้าง อีกฝ่ายจะได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เขาได้รับ
“นิดหน่อยเองมึง ก็กูดีใจอะ”
“เอออออออ!!! กูรู้ๆ”
ทั้งสองคนนั่งคุยกันต่ออีกไม่นานก็พากันลุกแล้วเดินออกจากร้านไป เพราะกันต์ดันบอกว่าอยากเดินเที่ยวสักหน่อย เจ้าบ้านที่ดีอย่างคิมก็เลยอาสาว่าจะพากันต์เดินเที่ยวสยามให้ชุ่มปอด ให้รู้ทุกตรอกซอกซอยกันไปเลย ซึ่งกันต์ก็เห็นด้วยแต่มีข้อแม้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คืออย่าพาไปซื้อหรือกินของแพงเพราะว่าเขาไม่ค่อยมีเงินติดตัวมาเยอะสักเท่าไหร่ แม่ก็ให้ติดตัวมาบ้างนั่นแหละแต่ก็ไม่กล้าขอมาเยอะเพราะเกรงใจ
~~~~~ The Gossip of BL ~~~~~
หลังจากวันนั้นที่เวิร์กช็อปเสร็จไป กันต์ก็กลับมาทำการบ้านอย่างหนักเพื่อแก้ไขจุดบกพร่องที่ได้รับการคอมเมนต์มาจากครูสอนแอคติ้งเมื่อครั้งก่อนเพราะเขามีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าครั้งต่อไปครูจะต้องได้เห็นพัฒนาการของเขาและจะต้องเอ่ยชมเหมือนกับที่ชมเพื่อนคนอื่นบ้าง ทำให้เขามุ่งมั่นเป็นอย่างมาก เฝ้าหาคลิปสอนการแสดงในยูทูบดูอยู่เสมอ ทีแรกคิมก็แนะนำโรงเรียนสอนแอคติ้งให้แต่ราคามันเกินงบประมาณของกันต์ไปสักหน่อยก็เลยทำได้แค่มานั่งเรียนผ่านคลิปออนไลน์ที่มีเผยแพร่ให้ดูกันฟรีๆ แทน
กันต์ใช้เวลาอย่างหนักหน่วงในการฝึกฝนตัวเองเพื่อที่จะลบคำสบประมาทให้ได้ ซึ่งคิมก็เห็นความตั้งใจนั้นมาโดยตลอด เขาเองก็อยากจะช่วยเหลือให้มากกว่านี้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกไปจากคอยให้กำลังใจและคอยเป็นฝ่ายเสบียงที่หาซื้อของกินมาตุนไว้เพื่อให้กันต์ได้เติมเต็มกระเพาะยามที่เขาหิว
“เป็นไงมั่งมึง” คิมเดินเข้าไปหากันต์ที่กำลังนั่งดูคลิปแนะนำการแสดงของครูสอนการแสดงชื่อดังอยู่ สองมือของเขาถือจานใส่ผลไม้สดเข้าไปด้วย
“ก็ดี นั่งดูรอบสองแล้วเนี่ย”
“เออไง กูก็ว่ามึงเคยดูไปแล้วนี่หว่า”
“อือ กูอยากเก็บรายละเอียดให้ครบๆ อะ” กันต์กดหยุดคลิปวิดีโอชั่วคราวแล้วหันมาหยิบแอปเปิลชิ้นโตในจานที่คิมถือมาให้
“อร่อยมะ” คิมถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งนั่นเป็นความตั้งใจของเขาที่อยากจะให้เพื่อนสนิทได้มีช่วงเวลาผ่อนคลาย หรือช่วงเวลาที่คิดถึงเรื่องอื่นๆ บ้าง ไม่อย่างนั้นก็กลัวว่าเพื่อนจะเครียดตายไปเสียก่อนจะได้ออกกองถ่ายซีรีส์
“อือ อร่อยดี หวานจัดๆ”
“เออ เติมความหวานเข้าไปบ้าง ร่างกายจะได้ไม่เพลีย แล้วก็หัดพักผ่อนสายตาบ้างนะมึง จ้องคอมนานๆ เดี๋ยวตาเบลอหมด”
“ขอบใจมากมึง เดี๋ยวจบคลิปนี้ก็ว่าจะพักสักหน่อยเหมือนกัน”
“เค แล้วตอนเย็นมึงจะกินอะไร กูจะได้เตรียมไว้ให้” คิมถามต่อเพราะดูจากนาฬิกาแล้วอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลามื้อเย็นแล้ว
“อะไรก็ได้ มึงทำเลย” กันต์เอ่ยตอบก่อนจะหันไปดูคลิปในคอมต่อ
“เห้อ... สรุปนี่เพื่อนหรือเมียก็ไม่รู้เนอะ ไอ้ห่า” คิมบ่นพลางส่ายหัวแต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนไม่ได้สนใจ ทำเพียงแค่หันมามองหน้าแล้วอมยิ้มก่อนส่ายหัวเบาๆ แล้วหันกลับไปโฟกัสที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
แล้ววิถีชีวิตของคนทั้งคู่ก็วนลูปอยู่จนครบหนึ่งอาทิตย์ สภาพของคิมและกันต์ดูเหมือนคนที่ผ่านศึกช่วงสอบไฟนอลของมหาลัยยังไงยังงั้น อาจเพราะความเครียดสะสมด้วยส่วนหนึ่งที่ทำให้กันต์ดูอิดโรยไม่น้อย คิมเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะต้องพูดอะไรกับเพื่อนสนิทของตัวเองสักหน่อย
“ไอ้กันต์”
“หื้ม?”
“มึงรู้ตัวมั้ยมึงโทรมมากเลยตอนนี้”
“กูนอนน้อยอะ” กันต์เอ่ยตอบพลางหาวปากกว้าง
“ก่อนไปเวิร์กช็อป มึงแต่งหน้าทำผมไปด้วยนะ เผื่อเขาถ่ายรูปจะได้ออกมาดูดีหน่อย ขืนไปสภาพนี้เขาได้ปลดมึงออกจากทีมนักแสดงแน่นอน” คิมบ่นยาวยืดแต่ก็ด้วยความเป็นห่วงไม่อยากให้เพื่อนตัวเองดูไม่ดีในสายตาคนอื่น
“เออๆ ขอบใจมากมึง” กันต์ตอบก่อนจะเดินกลับขึ้นห้องนอนไป
พอคิมเห็นว่ากันต์หันหลังเดินกลับไปบนห้องนอนก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาเบาๆ เพราะอดหนักใจกับเพื่อนคนนี้ไม่ได้เพราะเขารู้ดีว่ากันต์เป็นคนยังไง หากได้ตั้งเป้าหมายไว้แล้วเขาก็มักจะไปจนสุดทางแบบไม่มีตรงกลางเลยด้วยซ้ำ ไม่ซ้ายไปเลย ก็ขวาไปเลย จนบางครั้งเขาก็อยากจะสอนให้มันได้เรียนรู้การเดินทางสายกลางดูบ้าง ชีวิตจะได้ไม่หนักหนาจนเกินไป ขืนมันใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคตก็มีแต่จะส่งผลเสียให้กับตัวมันเอง
ทุกวันนี้คิ้วของกันต์ก็แทบจะขมวดผูกกันเป็นโบว์อยู่แล้ว...
สองมือของเขาหยิบอาหารที่สั่งจากแอพลิเคชันเดลิเวอรีมาแกะใส่จานเตรียมไว้ให้เรียบร้อยก่อนที่กันต์จะลงมาแล้วเขาทั้งคู่ก็จะได้กินข้าวพร้อมกันก่อนจะออกไปส่งกันต์เพื่อไปเวิร์กช็อป
“เป็นไง ใช้ได้ไหมไอ้คิม” กันต์เดินลงมาแล้วยิ้มกว้างก่อนจะหมุนตัวโชว์หลังจากที่แต่งตัว แต่งหน้า และทำผมมาเรียบร้อยตามบรีฟจากคิมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เออ ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนหน่อย เมื่อกี๊อย่างกับผี”
“กวนตีน” กันต์พูดพลางขำเบาๆ
“ก็จริงอะ เมื่อกี๊นะหน้าซีดยิ่งกว่าไก่ต้มอีก” คิมเอ่ยย้ำก่อนจะยกจานข้าวมาวางที่โต๊ะอาหาร
“สั่งไรมาวะ”
“ข้าวมันไก่พิเศษ เนื้อหนัง ไม่เอาเครื่องใน” คิมเอ่ยบอกพลางยักคิ้วใส่อีกฝ่าย
“เยี่ยม!!”
“รีบแดก เดี๋ยวไม่ทัน เผื่อรถติดด้วย” คิมพูดขณะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ สองมือหยิบเข้าที่ช้อนส้อมแล้วตักข้าวเข้าปากทันที
ทั้งสองคนใช้เวลากินข้าวอยู่เพียงไม่นานก่อนจะพากันขึ้นรถแล้วขับออกจากบ้านไป ความตื่นเต้นก่อเกิดขึ้นภายในตัวของกันต์แล้วในตอนนี้ ทีแรกก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะค่อนข้างมั่นใจว่าไอ้ที่ผ่านมาทั้งอาทิตย์นั้นคือการบ้านที่เขาตั้งใจทำเป็นอย่างมาก ดังนั้นการเวิร์กช็อปในสัปดาห์นี้ครูสอนการแสดงจะต้องเห็นพัฒนาการในตัวเขาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็นั่นแหละเขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ทุ่มเทมาขนาดนี้จะเข้าตาคนอื่นบ้างหรือเปล่า
ความกังวลนั้นถูกส่งออกมาผ่านสีหน้าและลมหายใจที่เพียงแค่เขาเดินเข้าไปยังห้องเวิร์กช็อปปุ๊บพี่สต๊าฟที่เห็นหน้าเขาก็เอ่ยทักปั๊บ
“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าคะน้องกันต์” พี่เจี๊ยบเอ่ยทัก
“อ่อ... เปล่าครับพี่”
“เห็นหน้าเครียดๆ”
“ไม่มีอะไรครับ กลัววันนี้ทำได้ไม่ดีเฉยๆ ครับ”
“ไม่ต้องซีเรียสน้า ทำให้เต็มที่ก็พอ การเวิร์กช็อปมันคือพื้นที่ให้เราได้ลองผิดลองถูกนะ ถ้าไม่ดีก็ยังมีเวลาปรับปรุงเนอะ พอเปิดกล้องน้องกันต์ก็เก่งพอดี”
“ขอบคุณครับพี่เจี๊ยบ”
กันต์ยิ้มแป้นหลังจากได้ยินคำพูดของพี่เจี๊ยบ กำลังใจดีๆ ก่อนเริ่มคลาสแบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกปลื้มใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ถือซะว่าเป็นเรื่องดีๆ ของวันนี้ก่อนที่จะต้องไปเผชิญความเครียดในคลาสเวิร์กช็อปต่อไป
โอเค...
อันที่จริงตอนแรกเขาอาจจะคิดมากไปเสียหน่อย
แต่ว่าตอนที่เริ่มเรียนกันจริงๆ มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากที่คิดสักเท่าไหร่ อย่างน้อยระหว่างทำเวิร์กช็อปวันนี้ครูสอนแอคติ้งเอ่ยชมเขาเป็นระยะ แถมยังบอกอีกด้วยว่าเป็นคนที่มีพัฒนาการโดดเด่นที่สุดด้วย ได้ยินแบบนี้ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ไม่เสียแรงที่ทุ่มเทมาตลอดทั้งอาทิตย์ เป็นการเหนื่อยที่โคตรจะคุ้มค่า
ระหว่างเบรกก็ได้อาหารที่เป็นฟู้ดซัพพอร์ตของพี่ภูมิมาแก้หิว รู้สึกเป็นบุญคุณมากทีเดียวเพราะมีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแซลมอน อาหารญี่ปุ่น ขนมนมเนยราคาแพงๆ กันต์เลือกหยิบกินมันทุกอย่างเพราะปกติก็ไม่มีเงินที่จะซื้อกินมากสักเท่าไหร่นัก
“ไอ้หนุ่ม หยิบน้ำให้พี่แก้วหนึ่งดิ” เสียงทุ้มเอ่ยทัก กันต์ได้แต่เงยหน้าขึ้นมามอง
“...”
“หยิบน้ำส้มให้พี่หน่อย”
“ครับ” กันต์ตอบรับแล้วยื่นมือไปคว้าหยิบแก้วน้ำส้มที่วางอยู่ข้างๆ ก่อนจะยื่นไปให้อีกฝ่าย
“ขอบใจมากน้อง มานั่งกินหนมด้วยกันเปล่า”
“อ่อ ครับ” คนตัวเล็กกว่าตอบกลับแบบงงๆ แล้วพี่เขาก็เอื้อมมือมาคว้าแขนกันต์แล้วลากให้ไปนั่งด้วยกัน
พี่เขาพาเดินมานั่งที่มุมห้องตรงที่ไม่มีคน ในขณะที่คนอื่นก็นั่งรวมกลุ่มกันกินข้าวกันเฮฮาสนุกสนาน กันต์ก็ได้แต่มองไปที่คนกลุ่มนั้นแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้าหายังไงเพราะก็ไม่ใช่คนที่เข้าหาคนอื่นเก่งขนาดนั้น
“อยากคุยกับเพื่อนๆ เหรอ” พี่คนข้างๆ เอ่ยถาม
“นิดหนึ่งครับ”
“แต่ไม่รู้จะเข้าหายังไงสินะ”
“...” กันต์ไม่ได้ตอบเพียงแต่พยักหน้ากลับไป
“พี่เข้าใจ พี่ก็เคยเป็นแบบน้องมาก่อน เลยมาชวนน้องนั่งด้วยกันนี่แหละ จะได้มีเพื่อนๆ”
“ครับ”
“พี่ชื่อบุ๊คนะ น้องชื่อไรนะ”
“ชื่อกันต์ครับ”
“เออ ครั้งก่อนพี่ไม่ได้มาเลยไม่ได้เจอกัน” พี่บุ๊คพูดแล้วเอาหลอดมาเจาะน้ำส้มก่อนยกเข้าปากแล้วดูด
“ใช่ครับ”
“มีอะไรก็บอกพี่ได้เลยนะ ไม่อยากให้รู้สึกว่าต้องอยู่คนเดียว
“ได้เลยพี่ ขอบคุณมากนะครับ”
“ยินดีๆ”
“เด็กๆ จ๊ะ เดี๋ยวถ้ากินเสร็จแล้วมารวมตัวกันตรงกลางห้องน้า เดี๋ยวจะได้เริ่มเวิร์กช็อปกันต่อ” เสียงพี่เจี๊ยบดังขึ้นในขณะที่กันต์ยังไม่ได้กินอะไรเลยเพราะมัวแต่คุยอยู่กับพี่บุ๊คแต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี อย่างน้อยวันนี้เขาก็ได้เพื่อนเพิ่มอีกหนึ่งคน แถมยังดูท่าทางใจดีแล้วก็อบอุ่นอีกด้วย
กันต์รีบยัดซาลาเปาที่พี่บุ๊คยื่นให้เข้าปากทีเดียวจนหมดลูก ในปากแน่นไปหมดจนเกือบจะเคี้ยวไม่ได้แต่ก็พยายามรีบเคี้ยวแล้วกลืนลงไปเพราะไม่อยากจะต้องกลายเป็นคนสุดท้ายที่กินข้าวยังไม่เสร็จสักทีจนทำให้คนอื่นต้องรอ จากนั้นเขาก็คว้าเอาน้ำเปล่ามายกระดกหลายอึกเพื่อให้เป็นตัวช่วยในการไหลลื่นส่งซาลาเปาก้อนโตนั้นลงไปในกระเพาะได้อย่างงาย
คลาสเวิร์กช็อปช่วงบ่ายเริ่มต้นขึ้นพร้อมความง่วงนอนของกันต์ พอเมื่อหนังท้องตึงหนังตามันก็เริ่มหย่อนเป็นธรรมดา หลายคนเริ่มหาวกันหวอดๆ จนครูแอคติ้งอดขำไม่ได้ กันต์ก็เผลอสัปหงกไปด้วยเหมือนกันแต่ก็ได้พี่บุ๊คมาช่วยสะกิดเอาไว้ และมันก็เป็นอย่างนั้นไปตลอดจนจบคลาส
“อะ เลิกละกลับไปนอนกันได้” ครูแอคติ้งแกล้งแซวขำหลังจากที่พี่เจี๊ยบมากระซิบบอกว่าหมดเวลาแล้ว
“ขอบคุณค้าบบบบ” เสียงเด็กหนุ่มในห้องเอ่ยดังขึ้นพร้อมกัน
กันต์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าที่วางไปหลังห้องมาสะพายแล้วเตรียมหยิบมือถือออกมาโทรออกหาคิมเพื่อที่จะบอกว่าเสร็จธุระแล้ว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ปลดล็อกหน้าจอมือถือด้วยซ้ำ พี่บุ๊คก็เดินเข้ามาหาแล้วสะกิดที่ไหล่ของกันต์เบาๆ
“เลิกแล้วไปไหนต่อไหมอะน้อง” พี่บุ๊คเอ่ยถามกันต์
“ไม่มีครับ”
“งั้นไปหาอะไรกินกันเปล่า”
“ก็...ได้นะครับ”
“โอเค”
“แต่ผมขอโทรบอกเพื่อนก่อนได้ไหมครับ พอดีตอนแรกให้เพื่อนมารอรับอะครับ”
“อ่อ ได้ๆ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จพี่ไปส่งบ้านก็ได้นะ”
“ครับ” กันต์ยิ้มให้พี่บุ๊คหลังจากที่พี่เขาอนุญาตแถมพ่วงด้วยการจะขับรถไปส่งที่คอนโดคิม จากนั้นเขาก็เปิดมือถือขึ้นมาอีกครั้งแล้วปลดล็อกหน้าจอก่อนจะเปิดหน้าแอพลิเคชั่นไลน์แล้วกดโทรออกหาคิม
(ฮัลโหล)
“มึงอยู่ไหน”
(ร้านกาแฟ ร้านเดิม มึงเสร็จแล้วเหรอ)
“อือ แต่กูว่าจะไปกินข้าวกับพี่ที่เวิร์กช็อปด้วยกันอะ”
(อ่อ งั้นให้กูรอไหม)
“มึง...กลับก่อนเลยก็ได้นะ เดี๋ยวพี่เขาไปส่ง”
(เคๆ งั้นเดี๋ยวกูส่งโลเคชั่นทิ้งไว้ให้นะ จะได้ไม่หลง)
“โอเค ขอบคุณมากมึง”
(เค เจอกันที่ห้อง)
“อื้อ”
กันต์กดวางสายมือถือแล้วยัดลงในกระเป๋ากางเกงแล้วหันไปมองพี่บุ๊คที่ยืนมองอยู่ข้างๆ พี่บุ๊คพยักหน้าให้เป็นสัญญาณว่าให้ไปกันได้แล้ว จากนั้นพี่เขาก็เดินนำหน้าออกไปโดยมีกันต์เดินตามต้อยๆ แม้ว่าจะรู้สึกผิดต่อเพื่อนอยู่นิดหน่อยที่ปล่อยให้มันนั่งรออยู่ตั้งนานแล้วก็มาเทมันกะทันหันแบบนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ โอกาสที่จะได้รู้จักเพื่อนใหม่มันมาอยู่ตรงหน้าก็ต้องคว้าเอาไว้ก่อน กับคิมแม้ว่าจะสนิทกันอยู่แล้วแต่ตอนที่ต้องมาทำงาน มาออกกองก็คงไม่ได้มาอยู่ด้วยตลอด แต่กับพี่บุ๊คที่เล่นซีรีส์เรื่องเดียวกันรีบตีสนิทเอาไว้ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรเพราะอย่างน้อยก็จะได้มีเพื่อนไว้คุยเวลามาทำกิจกรรมกับทางซีรีส์
“กันต์อยากกินอะไร” พี่บุ๊คหันมาถามขณะที่กำลังเดินวนดูร้านอาหารอยู่ที่ชั้นสี่
“ผมกินอะไรก็ได้ครับ แล้วแต่พี่เลย”
“โห่... ยากเลย พี่อะไรก็ได้เหมือนกัน”
“ฮ่าๆๆ งั้นอยากกินเป็นแนวไหนดีครับ เผื่อผมช่วยคิด”
“อยากกินอะไรร้อนๆ อะ”
“ราเม็งไหมครับ น่าจะไวดี”
“เอ้อ! ก็ดีนะ” พี่บุ๊คเห็นด้วยก่อนจะลากกันต์เดินไปยังร้านประจำของเขาที่มากินอยู่บ่อยๆ สมัยเรียน
ทั้งสองคนเดินเข้าไปนั่งด้านในของร้านราเม็งเจ้าดัง โชคดีที่วันนี้ลูกค้าไม่เยอะมากเท่าทุกทีก็เลยนั่งรอเพียงแค่ไม่กี่คิวก็ได้โต๊ะ พี่บุ๊คสั่งอาหารเมนูประจำโดยไม่ต้องเปิดเมนูดูด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นสิ่งตอกย้ำว่าเขาเป็นลูกค้าประจำร้านนี้ตัวจริง ในขณะที่กันต์ยังคงพลิกหน้าเมนูไปมาเพราะไม่รู้จะเลือกสั่งอะไรดี
“สรุปจะกินอะไร” พี่บุ๊คเอ่ยถาม
“เอ่อ... งั้นเอาแบบพี่คนนี้อีกที่หนึ่งครับ” กันต์หันไปสั่งอาหารกับพนักงานเสิร์ฟ
“เอ้า! แล้วก็เลือกซะนานเลย” พี่บุ๊คเอ่ยแซว
“ก็ผมไม่เคยมากินนี่ครับ”
“พี่แซวเล่นๆ”
กันต์ทำหน้ายู่งอนใส่อีกฝ่ายทำเอาพี่บุ๊คหลุดหัวเราะออกมาเพราะอดที่จะเอ็นดูคนตัวเล็กตรงหน้าไม่ได้ พวกเขานั่งกันอยู่แบบนั้นพักใหญ่ก่อนที่อาหารทั้งสองชามจะถูกนำมาเสิร์ฟ ควันลอยฉุยบนชามราเม็งบวกด้วยกลิ่นหอมที่ลอยโชยขึ้นมาเตะจมูกยิ่งเป็นตัวการันตีได้เป็นอย่างดีว่ามื้อนี้ต้องมีรสชาติที่พิเศษถูกใจเขาแน่ๆ
“วันนี้แกเล่นดีมากนะ” จู่ๆ พี่บุ๊คก็เอ่ยพูดขึ้นทำเอากันต์ที่กำลังใช้ตะเกียบคีบเส้นเข้าปากต้องหยุดชะงักแล้วเงยหน้ามอง
“อะไรนะครับ?” กันต์ถามกลับด้วยใบหน้างง
“พี่บอกว่าตอนที่ทำซีนเวิร์ก แล้วแกเล่นฉากแนตตี้ขี้บนรถของเรื่องไดอารี่ตุ๊ดซีส์อะ แกทำได้ดีมากเลย พี่เซอร์ไพรส์มาก สงสัยเพราะเห็นเป็นครั้งแรกด้วยมั้ง”
“ขะ...ขอบคุณครับ” กันต์รู้สึกเขินขึ้นมาทันทีเพราะว่าไม่เคยมีใครชื่นชมต่อหน้าขนาดนี้มาก่อน เขาก็เลยเกิดอาการทำตัวไม่ถูกสักเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เวิร์กช็อปในห้องก็โดนครูสอนแอคติ้งติมาโดยตลอด แม้วันนี้จะได้รับคำชมมาบ้างแต่สุดท้ายก็ต้องมีข้อติเพื่อให้มาแก้ไขอยู่ดี ครั้งนี้พอได้ยินคำชมที่จริงใจจากปากของพี่บุ๊คก็เลยทำให้กันต์รู้สึกแปลกๆ
“เขินอะดิ”
“เปล่าพี่”
“แหม หูแดงขนาดนั้น แถมยังทำตัวเลิ่กลั่กอีก” พี่บุ๊คเอ่ยแซว นั่นยิ่งทำให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ตรงข้ามยิ่งรู้สึกเขินเพิ่มมากขึ้นไปอีก “อะๆๆ พี่ไม่แซวละ กินต่อเถอะ”
พี่บุ๊คมองหน้ากันต์แล้วยิ้มอยู่พักหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงไปกินราเม็งในชามของตัวเอง ส่วนกันต์ก็รู้สึกหัวใจเต้นแรงแบบแปลกๆ ไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกอะไรกับพี่บุ๊คหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเขาประทับใจกับคำชมเหล่านั้นที่ออกมาจากปากอีกฝ่ายต่างหาก หัวใจเขามันถึงได้เต้นแรงแบบนี้
เอาล่ะ! อย่างน้อยที่เขาทุ่มเทมาทั้งสัปดาห์ก็ไม่ได้เสียเปล่าสักเท่าไหร่ และดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะออกมาน่าสนใจไม่น้อย