วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
หลังจากวันที่กันต์ไปกินเหล้ากับบุ๊คและภูมิที่ร้านไก่ทอดในโคเรียนทาวน์วันนั้นแล้วเกิดเรื่อง ก็ดูเหมือนว่ากันต์จะไม่ค่อยได้คุยกับภูมิและบุ๊คอีก เขารู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อยที่ทั้งสองคนทำให้การสังสรรค์ในค่ำคืนนั้นเกือบจะกลายเป็นเวทีมวยไปเสียได้
มันเป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดแต่เขาก็เข้าใจดีว่าเวลาที่แอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกายแล้วหลายคนก็มักจะถูกเปลี่ยนให้กลายร่างไปเป็นอีกคนหนึ่งที่ในเวลาปกติมักจะไม่ค่อยได้เห็น นี่สินะเขาถึงได้เรียกพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่าเป็นน้ำเปลี่ยนนิสัย
กันต์รีบตื่นแต่เช้าเพราะวันนี้มีเวิร์กช็อปซีรีส์ตอนสิบเอ็ดโมง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมสัปดาห์นี้ทีมงานถึงได้นัดเวลาเช้านัก แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเพราะหน้าที่ของเขามีเพียงไปให้ทันเวลาก็เท่านั้น
“ไอ้คิม! ตื่นเร็ว” กันต์หันไปเขย่าร่างกายของเพื่อนที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะตื่นแม้เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือจะกำลังดังแค่ไหนก็ตาม
“อื้อออ!!” น้ำเสียงและท่าทางหงุดหงิดปรากฏขึ้นจากคนนอนหลับ ใบหน้ายู่บ่งบอกความหงุดหงิดได้เป็นอย่างดี
“ตื่นได้แล้วไอ้ควาย เดี๋ยวกูสายยยย!!” กันต์ออกแรงเขย่ามากกว่าเดิม คนที่กำลังนอนอยู่ก็คิ้วขมวดก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วมานั่งจ้องหน้าคนปลุกอย่างไม่สบอารมณ์ แววตายังคงงัวเงียอยู่
“เอออ!! ตื่นแล้ว!!!”
“ไม่ต้องมาทำหน้าหงุดหงิดเลย กูตื่นก่อนนาฬิกามึงจะปลุกอีก” กันต์บ่นพลางอมยิ้มเล็กน้อย
“กี่โมงละนะ” คิมถามแล้วหันหน้ามองหามือถือของเขาที่วางอยู่บริเวณหัวเตียงก่อนจะเอี้ยวตัวไปคว้าหยิบโทรศัพท์มาไว้ในมือ
“แปดโมง” กันต์ตอบแล้วลุกขึ้นยืน
“เชี่ยยย!!”
“ต้องออกจากนี่เก้าโมง” กันต์ย้ำ
“เออๆ โทษทีมึง” คิมรีบลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียงทันทีแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป ในขณะที่กันต์ได้แต่หัวเราะในท่าทีของอีกฝ่ายแล้วเดินไปยังบริเวณครัวเพื่อหาอะไรกินรองท้องสักหน่อย เพราะกว่าจะได้กินอีกทีก็คงช่วงหลังเลิกเวิร์กช็อปเลย
โชคดีที่วันนี้เขาสะดุ้งตื่นมาเข้าห้องน้ำในตอนเช้า พอเขาเห็นนาฬิกาว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงแล้วก็เลยตัดสินใจที่จะไม่นอนต่อ แต่ใช้เวลาช่วงนั้นในการอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่ว่าจะได้ไม่ต้องมารีบเร่งเอาในตอนหลัง เพราะเขารู้ดีว่าไอ้เพื่อนตัวดีของเขามันขี้เซาขนาดไหน ลำพังจะเดินทางไปห้องเวิร์กช็อปเองก็ทำได้เพราะสถานที่นั้นมันติดกับรถไฟฟ้า แต่เขาก็รู้สึกว่าการมีคิมไปด้วยกันช่วยเติมเต็มความสบายใจให้เขาได้มากกว่า แม้ว่าคิมจะบ่นเขาอยู่บ่อยๆ ว่าให้มานั่งรอเฉยๆ มันน่าเบื่อก็ตาม
“ตอนกูเวิร์กช็อปมึงไปเดินเล่นหรือหาหนังดูก่อนก็ได้นะ” กันต์เอ่ยบอกขณะที่เดินออกจากตัวอาคารคอนโดไปยังลานจอดรถพร้อมกับคิม
“อือ กูก็คิดอยู่ นั่งเฉยๆ มาสองสามครั้งกูเริ่มเบื่อละ”
“หรือจะไม่ไป”
“กวนตีนละ อุตส่าห์ตื่นแต่เช้า” คิมหน้ายู่ทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดแบบนั้น
“โอ๋ๆ กูหยอกเล่นน่า! ไปด้วยกันนี่แหละ” กันต์ยกยิ้มแล้วรีบเดินเข้าไปโอบไหล่คิมก่อนจะพาเดินตรงไปยังรถของคิม
พวกเขาเผื่อเวลาในการเดินทางไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมงเสมอหากต้องออกจากคอนโดไปทำธุระในที่ใดก็ตาม ถึงแม้ว่าระยะทางจะไม่ได้ไกลมาก เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่ากรุงเทพมีปัญหาในเรื่องรถติดขนาดไหน ถ้าเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเข้าไปในเมืองอันเป็นบริเวณที่ห้องเวิร์กช็อปตั้งอยู่นั้นคงใช้เวลาเพียงแค่ยี่สิบนาที แต่พอใช้รถยนต์แล้วล่ะก็อาจจะต้องบวกเวลาเดินทางเพิ่มไปอีกสิบหรือมากสุดถึงสี่สิบนาทีด้วยซ้ำ
แต่เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์และพวกเขาก็ออกเดินทางกันตั้งแต่ช่วงเช้า บนถนนจึงดูโล่งตากว่าปกติ กันต์และคิมต่างก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้เพราะนานๆ ทีจะได้เห็นถนนบนกรุงเทพปราศจากความหนาแน่นแบบนี้ พวกเขาทำความเร็วได้มากกว่าที่เคยแม้ระยะทางจะเท่าเดิมแต่ก็สามารถเดินทางได้ไวมากขึ้น
หากกรุงเทพเป็นแบบนี้ทุกวันก็คงจะดี...
เพียงชั่วขณะที่กันต์มองออกไปด้านนอกหน้าต่างระหว่างที่รถแล่น ช่วงเวลาในภวังค์เหล่านั้นทำให้เขาลืมตัวไปเสียสนิท กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คิมขับรถเข้ามาจอดในศูนย์การค้าที่อยู่ด้านข้างอาคารสถานที่สำหรับเวิร์กช็อปเสียแล้ว
“อ้าว! ถึงละเหรอ” กันต์หลุดอุทานออกมาเบาๆ
“เออ ถึงละ มึงมีไรปะเนี่ย”
“ไม่นะ ทำไมอะ”
“กูเห็นมึงเหม่อๆ เมื่อกี๊ นึกว่ามีเรื่องอะไร” คิมถามต่ออย่างเป็นห่วง
“อ่อ เปล่า ก็คิดไรไปเรื่อยอะ”
“มีไรก็บอกได้นะมึง อยู่กันแค่นี้ เผื่อกูช่วยไรได้” คิมตอบขณะที่คว้ารองเท้ามาใส่เพราะเขาถอดมันออกก่อนที่จะขับรถ
“ได้มึง ไม่ต้องห่วง ไม่มีไร” กันต์ยิ้มตอบก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไป
“เลิกละโทรมานะ” คิมบอกระหว่างที่ปิดประตูรถแล้วกระชับกระเป๋าสะพายบนไหล่
“อื้อ”
ทั้งสองคนพากันเดินเข้าไปด้านในห้างสรรพสินค้าก่อนที่จะแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง คิมเดินตรงไปขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อขึ้นไปยังโรงหนัง ส่วนกันต์ก็เดินออกไปอีกทางเพื่อไปยังห้องเวิร์กช็อปที่อยู่ตึกข้างๆ
เขามุ่งหน้าเดินตรงทะลุชั้น G ออกมายังบริเวณริมถนนใหญ่ก่อนจะค่อยๆ เดินเลียบถนนตามเส้นฟุตบาทมายังอาคารด้านข้างแล้วก้าวขึ้นบันไดไป ก่อนหน้านี้เขาเห็นตึกนี้อยู่บ่อยครั้งเวลามาเดินเล่นหรือช็อปปิ้ง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าด้านบนจะยังมีคนใช้งานอยู่ ด้วยภายนอกตึกที่ดูค่อนข้างเก่าและเหมือนปิดเอาไว้อยู่ตลอดเวลา
กันต์เดินผ่านประตูเข้าไปยังบริเวณหน้าลิฟต์แล้วยื่นมือไปกดปุ่มขึ้น ตัวเลขแสดงผลด้านบนบ่งบอกว่าลิฟต์ที่จอดอยู่บริเวณชั้น 6 กำลังเคลื่อนตัวลงมาชั้นล่างตามลำดับ
“หวัดดีครับ” เสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้นมาด้วยความสดใสทำเอากันต์ต้องรีบหันหน้ากลับไปมอง
“หวะ... หวัดดีครับน้องก้อง” กันต์ทักทายกลับอย่างงงๆ แม้จะไม่แน่ใจเรื่องชื่อแต่เขาก็จำหน้าได้ดีว่านี่คือหนึ่งในสมาชิกนักแสดงที่เล่นเรื่องเดียวกัน
“ถึงไวจังครับ”
“รถไม่ค่อยติดครับ เลยถึงไว” กันต์ยิ้มพร้อมเอ่ยตอบ
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ดังขึ้นเรียกให้กันต์ต้องหันหน้าไปมอง บานประตูลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนเปิดออก ด้านในมีชายหญิงคู่หนึ่งที่อยู่ในชุดที่ยูนิฟอร์มของพนักงานออฟฟิศที่มีโลโก้คุ้นตาเดินสวนออกมา
“เข้าก่อนเลยครับ” เสียงน้องก้องเอ่ยพูดขึ้นพลางผายมือเข้าไปด้านในลิฟต์ กันต์จึงยกยิ้มบางให้แล้วเดินเข้าไปด้านใน
เรียวนิ้วยกขึ้นกดปุ่มเปิดประตูค้างเอาไว้เพื่อให้น้องก้องเดินเข้ามาในลิฟต์ได้แบบที่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนประตูลิฟต์หนีบเข้า เพราะเขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นกับใครแน่นอน จากประสบการณ์ของตัวเองที่เคยโดนลิฟต์หนีบมาหลายครั้งจนจำฝังใจว่าการโดนประตูลิฟต์หนีบนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะมันค่อนข้างที่จะเจ็บเลยทีเดียว
กันต์ยื่นนิ้วไปกดที่ปุ่มชั้น 4 จากนั้นประตูลิฟต์ก็เคลื่อนตัวเข้าหากัน แต่ยังไม่ทันที่จะปิดดี สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าอันคุ้นตากำลังวิ่งเข้ามาพร้อมตะโกนดังลั่น
“ไปด้วยคร้าบบบ!!”
กันต์รีบยกนิ้วขึ้นกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ทันที เมื่อบานประตูเปิดกว้างขึ้น เขาจึงได้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน
“หวัดดีครับพี่กันต์ พี่ก้อง” เสียงทักทายจากหนุ่มน้อยคนใหม่ที่เดินเข้ามาพร้อมผู้จัดการดังขึ้น
“หวัดดีครับน้องซัน” กันต์เอ่ยทักซันก่อนจะหันไปยกมือไหว้ผู้จัดการที่เดินตามมาด้านหลัง ก้องที่ยืนอยู่ด้านหลังของกันต์ก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้เหมือนกัน
“ไปด้วยคนนะพี่” ซันยิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาภายในลิฟต์
“ได้ๆ เกือบไม่ทันแล้วไหมล่ะ” กันต์เอ่ยแซวพลางขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ทั้งซันและพี่ผู้จัดการเดินเข้ามาด้านในลิฟต์ได้สะดวก
ประตูลิฟต์เคลื่อนปิดลงก่อนที่มันจะค่อยๆ ทะยานตัวขึ้นสูงไปเรื่อยๆ ตัวเลขดิจิทัลสีแดงที่บอกเลขชั้นเริ่มเปลี่ยนไปทีละชั้น ภายในลิฟต์เงียบจนได้ยินเสียงเครื่องยนต์ทำงาน ทุกคนยืนนิ่งโดยไม่ได้สนทนาอะไรกัน ไม่นานหมายเลขชั้นก็เปลี่ยนเป็นเลขสี่พร้อมกับตัวลิฟต์ที่หยุดนิ่งแล้วประตูก็ค่อยๆ เปิดออก กันต์หันไปมองหน้าซันเพื่อส่งสัญญาณให้น้องเดินออกไปก่อน จากนั้นผู้จัดการของซันก็เดินตามออกไป ก้องกับกันต์เดินออกไปหลังจากนั้น
ทุกคนเดินตรงไปยังห้องด้านในสุดซึ่งเป็นห้องที่ใช้เวิร์กช็อปเป็นประจำในทุกสัปดาห์ ด้านหน้าห้องมีพี่เจี๊ยบยืนรออยู่ตรงนั้น
“หวัดดีครับพี่เจี๊ยบ” กันต์เอ่ยทักพร้อมยกมือไหว้ หลังจากที่ซันและผู้จัดการเดินนำเข้าห้องไปแล้ว
“หวัดดีจ้า มาไวมากกกกกวันนี้ เข้าไปนั่งรอในห้องก่อนนะ” พี่เจี๊ยบเอ่ยบอกพลางชี้นิ้วเข้าไปภายในห้อง กันต์กับก้องจึงเดินเข้าไปข้างในก่อนที่พี่เจี๊ยบจะปิดบานประตูลง
อาหารมากมายเรียงรายอยู่บนโต๊ะที่ตั้งอยู่ริมชิดติดผนังห้อง บนกล่องโฟม กล่องอาหารหรือแม้แต่ขวดเครื่องดื่มต่างก็มีสติกเกอร์รูปหน้าของพี่ภูมิติดไว้แทบทั้งนั้น ทำให้นักแสดงคนอื่นๆ เดาได้ไม่ยากว่าอาหารเหล่านี้มาจากแฟนคลับของใคร แต่นั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะทุกคนไม่เคยได้อดอยากเลยแม้แต่ครั้งเดียว เวิร์กช็อปครั้งใดก็อิ่มหนำกันเสมอ หลายคนจึงรู้สึกขอบคุณบ้านแฟนคลับของภูมิที่อุตส่าห์มีน้ำใจซื้อของกินมาเผื่อแผ่ให้ทุกคนแทนที่จะซื้อให้กับนักแสดงที่ตัวเองชื่นชอบเพียงคนเดียว
กันต์ ก้อง และซันเดินดูอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะเพราะอยากรู้ว่าวันนี้มีเมนูอะไรที่น่ากินบ้าง ซึ่งก็พบว่ายังคงเป็นเมนูอาหารญี่ปุ่นเหมือนเคยเนื่องด้วยตัวพี่ภูมิเป็นคนชอบกินอาหารญี่ปุ่นเป็นทุนเดิม ทุกสัปดาห์ฟู้ดซัพพอร์ตจึงไม่พ้นอาหารสัญชาตินี้ กันต์ดูตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษเพราะตอนอยู่บ้านต่างจังหวัดไม่ค่อยได้กินอาหารอะไรแบบนี้เขาจึงเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรก่อนดี
ครืนนนน~!
เสียงประตูบานเลื่อนดังขึ้นอีกครั้ง กันต์จึงหันหน้าไปมองพบว่ามิน ภัทรและพี่บุ๊คกำลังเดินเข้ามาในห้อง
“หวัดดีค้าบบบบ” เสียงมินนำโด่งมาเป็นคนแรกด้วยเป็นคนช่างพูดและมีบุคลิกร่าเริงเข้ากับทุกคนได้ง่าย เขาเดินเข้ามาทักทายทุกคนที่อยู่ในห้อง ส่วนภัทรก็เดินเข้ามาพร้อมผู้จัดการของตัวเองพร้อมยกมือไหว้ไปรอบๆ ส่วนพี่บุ๊คก็ทำเพียงยกยิ้มเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นโบกเล็กๆ เพื่อทักทายทุกคน ด้วยอายุที่เกือบจะมากที่สุดเขาจึงแทบไม่ต้องยกมือไหว้ใครเลย
“ซื้อไรมาเยอะแยะ” เสียงก้องเอ่ยทักพี่บุ๊คดังขึ้น กันต์จึงหันไปมองตามเห็นพี่บุ๊คถือถุงพลาสติกสีขาวที่สกรีนโลโก้สีแดงของร้านอาหารร้านหนึ่งอยู่ในมือ
“มื้อเที่ยงไง ก็เห็นบ่นหิวไม่ใช่เหรอ” พี่บุ๊คตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มก่อนจะยื่นถุงนั้นให้กับก้อง
“ขอบคุณงับ” ก้องยิ้มแป้นก่อนตอบเสียงแบ๊ว
หื้ม????
กันต์เห็นแบบนั้นก็นึกสงสัยขึ้นมาในใจ ท่าทางแบบนี้มันเรียกว่าปกติเหรอสำหรับบุคคลที่เป็นเพื่อนร่วมงานกัน แม้จะบอกว่าสนิทกันก็เถอะ เพราะขนาดเขากับไอ้คิมสนิทกันมานานยังไม่เคยมีท่าทีแบบนี้ด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าระหว่างพี่บุ๊คกับก้องมีกลิ่นแปลกๆ แต่เขาก็ไม่อยากจะตัดสินใจไปเองเพราะนี่อาจจะเป็นบุคลิกส่วนตัวของพวกเขาก็เป็นได้ เพียงแค่เขาไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนก็ไม่ได้หมายความว่าบนโลกจะไม่มีคนแบบนี้เสียหน่อย
มันต้องทำตัวน่ารักขนาดนั้นเลยเหรอวะ?
แอ๊บปะเนี่ย...
เขาส่ายหัวทันทีที่เผลอคิดออกไปแบบนั้น เขาไม่ได้ตั้งใจคิดร้ายเพียงแต่สงสัยก็เท่านั้น ก็แหม... เวลาที่เราเริ่มสนใจใครเราก็จะจับตาดูเป็นพิเศษใช่ไหมล่ะ มันก็ไม่ต่างอะไรกับที่กันต์กำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้ เขาเองก็รู้สึกว่าช่วงที่ผ่านมา เขาไปไหนมากับพี่บุ๊คออกจะบ่อย เรียกว่าน่าจะเริ่มสนิทกันมากกว่าใครในบรรดาทีมนักแสดงด้วยกัน แต่ทำไมตอนอยู่ด้วยกันกับเขา เขาถึงไม่เคยเห็นท่าทีของพี่บุ๊คในลักษณะนี้เลยสักครั้ง ความน่ารัก อบอุ่น ดูเอาใจใส่แบบที่พี่บุ๊คทำให้ก้อง
น่าอิจฉาเหมือนกันนะ...
หรือเพราะพี่บุ๊คไม่ได้รู้สึกสนิทกับเขาอย่างนั้นเหรอ
ยิ่งพยายามไม่คิดฟุ้งซ่านเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่ากันต์จะยิ่งคิดฟุ้งซ่านมากขึ้นเท่านั้น เขารีบดึงสติกลับมาแล้วพร่ำบอกตัวเองว่าให้เลิกสนใจ มันคงไม่มีอะไร มากไปกว่าการคิดจินตนาการไปเอง
ไม่นานหลังจากที่พวกเขานั่งพูดคุยพลางกินของว่างจากกองฟู้ดซัพพอร์ตเพื่อรอจนทุกคนมาครบ แอคติ้งโค้ชก็เดินเข้ามาพร้อมกับพี่ผู้กำกับซึ่งเป็นอันรู้กันว่าได้เวลาที่จะเริ่มเวิร์กช็อปกันเสียที ทุกคนก็ลุกขึ้นเดินมานั่งล้อมรอบกันเป็นวงกลมเหมือนกับทุกครั้ง จากนั้นครูก็เริ่มทักทายก่อนจะเริ่มสอนทันที
กิจกรรมการเรียนการสอนในวันนี้ดูสนุกกว่าในทุกครั้ง สัมผัสได้จากเสียงหัวเราะและใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนักแสดงแต่ละคน รวมถึงพลังงานที่ทุกคนต่างก็เต็มที่กับกิจจกรรมเป็นอย่างมาก ทำให้เวลาสามสี่ชั่วโมงดูเหมือนกับว่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้ว่าบรรยากาศของวันนี้จะครึกครื้นเพียงใด แต่ความรู้สึกบางอย่างก่อเกิดขึ้นในใจของกันต์จนไม่อาจจะร่วมสนุกไปอย่างเต็มที่กับเพื่อนๆ ได้มากนัก
ตลอดการเวิร์กช็อปเขาเอาแต่จ้องมองไปที่พี่บุ๊คและน้องก้องตลอดเวลา สมาธิที่จะต้องใช้ในการเรียนก็แตกกระเจิงเพราะมัวแต่สนใจท่าทีที่ทั้งสองคนปฏิบัติต่อกัน สายตาของเขาจับจ้องอยู่อย่างนั้น แม้จะพยายามไม่สนใจแต่เขาก็ปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ที่เห็นสองคนดูสนิทชิดเชื้อกันแบบนั้น มันน้อยใจแปลกๆ รู้สึกจุกอกยังไม่รู้
“ก้องกับบุ๊คนี่สนิทกันไวดีเนอะ” เสียงพี่เจี๊ยบดังขึ้นมาระหว่างที่กันต์เดินไปหยิบกระเป๋าสะพายข้าง เขาหยุดฟังแล้วหันมองแต่ไม่ได้พูดอะไรเพราะพี่เจี๊ยบเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดกับเขาขนาดนั้น เหมือนพูดขึ้นมาลอยๆ ให้ทุกคนได้ยิน
“จริงพี่ หนูว่ากลิ่นแปลกๆ นะ” น้องทีมงานคนหนึ่งพูดเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดูใส่ใจเป็นพิเศษ
“ใช่มะ”
“วันนี้ก็หนูเห็นตัวติดกันตลอดเลยแม่ มันแปลกเกินนนน”
“เห็นมั้ยล่ะ ชั้นไม่ได้คิดไปเอง จะว่าสนิทกันมันก็ใช่ แต่มันแบบตัวติดกันเกินไปอะ บุ๊คเดินไปไหน ก้องก็ตามติดเลย ชั้นว่าใช่แน่ๆ”
“ใช่อะไรแม่ เขาแอบกิ๊กกันเหรอ” น้ำเสียงตื่นเต้นของน้องทีมงานดูเพิ่มดีกรีมากกว่าที่เคย
"ชั้นก็ไม่รู้นะ แต่ชั้นว่าชั้นดูไม่ผิด”
เห้ออออ!
กันต์ได้แต่ส่ายหัว เขาไม่ใช่คนประเภทที่ว่าจะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นสักเท่าไหร่นัก และก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะนั่งนินทาคนอื่นไปเรื่อยด้วย แม้เขาจะรู้สึกแบบเดียวกันกับที่ทั้งสองคนนั้นพูด แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะต้องมานั่งคุยกับเพื่อนในเรื่องอะไรแบบนี้เพราะมันก็ดูจะเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่ไม่ควรจะเข้าไปยุ่ง ไม่ว่าเขาจะคบกันจริงหรือไม่ได้คบกันมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาสนใจ แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้กันต์รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ใจอยู่บ้างก็ตาม
“อ้าว! จะกลับแล้วเหรอน้องกันต์” พี่เจี๊ยบเอ่ยทักเมื่อเห็นผมเดินเงียบๆ เตรียมจะออกจากห้อง
“ชะ... ใช่ครับ”
“รีบไปไหนล่ะ ไม่ไปกินข้าวด้วยกันก่อนเหรอ”
“ไม่เป็นไรครับ” กันต์รีบปฏิเสธทันทีเพราะเขารู้ดีว่าหากไปกินข้าวต่อกับพี่ๆ ทีมงานคงต้องหนีไม่พ้นการเมาท์มอยในเรื่องของพี่บุ๊คกับก้องอย่างแน่นอน
เขารีบเดินออกจากบริเวณห้องเวิร์กช็อปทันทีแม้ว่าจะยังไม่ได้ร่ำลาใครเพราะเห็นทุกคนมัวแต่กำลังสนใจฟู้ดซัพพอร์ตบนโต๊ะ เขาจึงรีบปลีกตัวออกมาแบบเงียบๆ
สองมือของเขากระชับกระเป๋าสะพายข้างแน่นแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่บริเวณลิฟต์
“เชี่ย!!” กันต์เผลอร้องตกใจออกมาเมื่อพี่พงษ์ผู้จัดการของบุ๊คเดินสวนออกมาจากด้านใน “ขะ... ขอโทษครับ” เขารีบยกมือขึ้นไหว้ทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเพราะตกใจจนเผลออุทานคำหยาบคายออกไป
“ใจลอยเหรอ” พี่พงษ์แกล้งทัก
“แหะๆ กำลังคิดอะไรเพลินๆ น่ะครับ” กันต์หัวเราะแห้งก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำไป
เสียงคุ้นหูพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังเข้ามาใกล้ตัวเรื่อยๆ ระหว่างที่กันต์กำลังเข้าห้องน้ำ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากลุ่มเพื่อนนักแสดงกำลังทยอยออกมาจากห้องเวิร์กช็อปกันแล้ว เขาที่ทำธุระในห้องน้ำเสร็จจึงรีบรุดที่จะย้ายตัวเองออกจากตรงนั้นเพราะรู้สึกเหนื่อยที่จะต้องมานั่งร่ำลาเพราะกว่าจะได้กลับจริงก็คงต้องยืนสนทนากันอีกพักใหญ่
แกร๊ก!
เสียงกลอนประตูดังขึ้นเล็กน้อยเพราะกันต์ปลดล็อกประตูก่อนจะเปิดออกมา ก้องและบุ๊คยืนอยู่บริเวณอ่างล้างมือกันสองคน ยังไม่ทันที่กันต์จะได้ทักสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น มินก็เดินตามเข้ามาพอดี พอเห็นว่าบุ๊คกับก้องยืนอยู่ด้วยกัน เขาก็ออกอาการสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแซว
“แหมมมม ตัวติดกันตลอดเลยนะวันนี้”
“อะไรรรร” ก้องตอบกลับด้วยท่าทีเขินอาย
“อะไรของแก ไม่ต้องมาแซวเลย” พี่บุ๊คสวนกลับไปขณะที่กำลังล้างมือพลางส่ายหัว เขาดูไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ที่โดนมินแซวแบบนั้น
“ก็เปล๊า!!” มินปฏิเสธเสียงสูงก่อนจะหันมาเห็นว่ามีกันต์ยืนอยู่ตรงนั้น “อ้าว ยังไม่กลับอีกเหรอ เห็นเดินออกมาคนแรกเลย” เขาพูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไปในทันทีไม่ได้คิดจะรอคำตอบจากกันต์ด้วยซ้ำ เหมือนเป็นการทักทายทั่วไปเฉยๆ
กันต์ที่ยืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกอึดอัดที่จะต้องมาเห็นภาพแบบนี้ เขาจึงเลือกที่จะเดินออกไป แม้ว่าจะสงสัยในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่แต่มันก็ดูน่าอายเกินไปที่เขาจะเอ่ยถามออกมาตรงๆ เขาจึงเลือกที่จะเดินหลบออกมาจากบริเวณนั้นแต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นขอบประตูห้องน้ำเสียงของพี่บุ๊คก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
“กันต์”
เจ้าของชื่อหยุดกึกแล้วหันหน้ากลับไปหาทันที “ครับ?”
“กลับบ้านดีๆ นะ”
“ครับ”
แม้จะงงๆ แต่กันต์ก็ตอบรับพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหันหลังเดินออกมา เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมพี่บุ๊คถึงได้ทำแบบนั้น แต่ก็ทำให้เขาแอบอมยิ้มขึ้นมาได้บ้าง ถึงจะยังรู้สึกตึงๆ กับข่าวลือความสัมพันธ์ระหว่างพี่บุ๊คกับก้องก็ตาม
มือบางล้วงหยิบเอามือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อโทรหาคิม แต่ยังไม่ทันจะได้กดโทรคิมก็เดินเข้ามาหาเขาเสียก่อน
“เอ้า! มาละเหรอ” กันต์ทักด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“เออ หนังจบพอดีเลยเดินมานี่เลย” คิมตอบพลางยื่นแก้วน้ำที่กินเหลือจากตอนดูหนังให้อีกฝ่าย ซึ่งกันต์ก็ไม่ได้รีรอคว้าเอามาดื่มทันที
“เห้อออ” กันต์ถอนหายใจออกมาเสียงดังหลังจากที่ดูดน้ำเสร็จ
“เป็นไรวะ” คิมเอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดสงสัยไม่ได้ เพราะปกติเพื่อนสนิทเขาไม่เคยเป็นแบบนี้
“เปล่า ไม่มีไรหรอก”
“แน่นะ”
“เออ” กันต์บอกปัดอย่างเสียไม่ได้ เขารู้ว่าการโกหกมันไม่ดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะต้องมานั่งอธิบาย
“พร้อมเมื่อไหร่ค่อยเล่าละกัน” คิมบอกพลางยกมือขึ้นตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
บทสนทนาของทั้งคู่จบลงแค่นั้นก่อนที่จะพากันเดินหาขนมกินเพราะกันต์บ่นว่าอยากกินของหวานสักหน่อย ทั้งสองคนพากันกลับเข้าไปภายในบริเวณห้างสรรพสินค้าเพื่อตรงไปยังร้านขายขนมร้านประจำที่เขามักจะซื้อกินอยู่บ่อยๆ
ทั้งสองคนใช้เวลาเดินเล่นหลังจากที่ซื้อขนมอยู่ในสยามเป็นเวลาพักใหญ่ก่อนที่จะตัดสินใจพากันกลับบ้าน ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดเวลาในหัวของกันต์ยังคงแอบคิดวกวนอยู่แต่กับเรื่องของพี่บุ๊คอยู่บ้างเวลาที่เผลอ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้อยากจะนึกถึงสักเท่าไหร่
“มึง!” อยู่ๆ คิมก็สะกิดไหล่กันต์รัวๆ ในตอนที่พวกเขากำลังพากันเดินไปลานจอดรถ
“อะไร”
“ดูนู่นดิ หน้าคุ้นๆ ป้ะ?” คิมชี้นิ้วให้เพื่อนข้างกายหันไปมองตาม “ใช่พี่บุ๊คปะวะ”
กันต์หันไปมองตามคำบอกของอีกฝ่าย เขาเพ่งสายตาเล็กน้อยเพื่อที่จะมองให้ชัดว่าคนตัวสูงที่ยืนอยู่ไกลๆ นั้นใช่คนเดียวกันกับเจ้าของชื่อที่เพื่อนสนิทเขาเอ่ยถามถึงหรือเปล่า
“ใช่..”
“มากับใครวะ ที่เดินเกาะแขนเขาเป็นผีอยู่นั่นอะ”
“น้องก้อง ที่เล่นซีรีส์ด้วยกันนี่แหละ”
“เขาคบกันเหรอ” คิมหันมาถามกันต์
“ไม่รู้...” กันต์ตอบอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจนัก เขาก็อยากจะให้เป็นแบบที่เขาคิดอยู่เหมือนกัน แต่ดูจากพฤติกรรมในตอนนี้น่าจะตรงกันข้าม
ก้องติดหนึบเกาะแขนพี่บุ๊คอยู่ตลอดเวลาที่เดินอยู่ ตัวชิดติดกันชนิดที่ใครเห็นก็คงนึกว่าเป็นแฟนกันแน่นอน ไหนจะท่าทางกุ๊กกิ๊กดูขี้อ้อนของน้องก้องกับท่าทีเอาใจใส่ดูอบอุ่นของพี่บุ๊ค จะไม่ให้คนที่เห็นเขาคิดว่าสองคนนี้มีอะไรในกอไผ่กันได้ยังไง