วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
กันต์กุลีกุจอคว้ากระเป๋าวิ่งลงจากชั้นสี่ของบ้านเมื่อมีสายเรียกเข้าจากพี่ผู้จัดการดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาที่เขาจะต้องออกเดินทางไปกองถ่ายเสียที เขาเองก็เพิ่งจะมาสำนึกได้ว่าไม่รู้คิดถูกหรือคิดผิดที่ย้ายออกมาเช่าบ้านอยู่คนเดียวแทนที่จะเช่าคอนโดหรืออยู่กับไอ้คิมต่อ แถมบ้านที่เช่ายังเป็นทาวน์เฮ้าส์อีก การขึ้นลงบ้านสี่ชั้นทุกวันโดยเฉพาะในเวลาที่เร่งรีบแบบนี้ก็ทำให้เขาเหนื่อยอยู่ไม่น้อย
เขากระชับถุงผ้าใบโปรดที่ใช้ใส่บทสำหรับถ่ายซีรีส์และของใช้จิปาถะเข้าบ่า อีกมือยัดโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจบ้านที่วางไว้หลังตู้เย็นแล้วเดินออกไปหน้าบ้านทันที
รถยนต์คันคุ้นตาจอดรออยู่บริเวณหน้ารั้ว กันต์รีบเดินไปไขกุญแจที่ประตูรั้วแล้วเปิดออกไปและไม่ลืมที่จะปิดประตูแล้วล็อกเอาไว้เหมือนเดิม จากนั้นสองขายาวของเขาก็รีบเดินตรงไปเปิดประตูรถทันที
“หวัดดีครับพี่ซี” เขาเอ่ยทักผู้จัดการที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับรถด้วยน้ำเสียงร่าเริง แม้เปลือกตาของเขายังคงเปิดไม่เต็มที่
กันต์รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่หลังจากแคสติ้งซีรีส์ผ่านปุ๊บ ต้นสังกัดเก่าที่เขาเคยเป็นศิลปินฝึกหัดอยู่ก็ส่งคนดูแลอย่างพี่ซีมาช่วยงานเขาทันที เขารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เพราะไม่งั้นการที่ต้องเดินทางไปออกกองในเวลาเช้าตรู่แบบนี้จะต้องลำบากเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัวแน่นอน
“หวัดดีจ้า กินไรมั้ย” พี่ซีเอ่ยถามพลางหยิบถุงเซเว่นที่เต็มไปด้วยขนมปังและนมกล้วยที่กันต์ชอบกินมายื่นให้
“เดี๋ยวค่อยกินละกันพี่ เช้าอยู่ยังกินไม่ลงอะ” กันต์บอกปัดแต่ก็เก็บถุงขนมนั้นเข้ากระเป๋าผ้าแล้วหันไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดก่อนที่พี่ซีจะออกรถ
“หลับก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวถึงกองแล้วพี่ปลุก” พี่ซีบอกพร้อมยิ้มบาง
แม้พี่ซีจะพยายามทำตัวสดชื่นในเวลาเช้าตรู่แบบที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นพ้นขอบฟ้าแบบนี้ กันต์ก็รับรู้ได้ว่าผู้จัดการคนสวยของเขายังคงไม่ตื่นดีเหมือนกัน นั่นทำให้กันต์รู้สึกผิดทุกครั้งที่พี่ซีบอกให้เขานอนหลับไปก่อนในระหว่างที่พี่เขาขับรถ แต่พี่เขาก็ยืนยันว่าให้นอนได้เลยเพราะต้องใช้พลังงานในการถ่ายทำทั้งวัน ซึ่งระหว่างนั้นพี่ซีเขาพอจะมีเวลาที่แอบงีบได้ตลอดอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเขา
อันที่จริงกันต์ก็เข้าใจในสิ่งที่พี่ซีต้องการจะบอก แต่คนที่เด็กกว่าก็ยังเป็นห่วงและเกรงใจอยู่ดี เขาไม่ได้อยากจะหลับหรอกนะแต่ไอ้หนังตาเจ้ากรรมนี่สิดันหนักขึ้นมาเสียได้ ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะนั่งคุยเป็นเพื่อนพี่ซีไปจนถึงกองแท้ๆ
Zzz…
...
“น้องกันต์ถึงแล้ว” พี่ซีเขย่าตัวกันต์เบาๆ เพียงเสียงเรียกแค่ครั้งเดียวเจ้าของชื่อก็ขยับตัวก่อนจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เขาปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกแล้วคว้าหยิบเอากระเป๋าผ้ามาสะพายก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวลงไปอย่างไม่รีรอ
เช้าตรู่ตอนที่พระอาทิตย์เริ่มขึ้นเป็นเวลาทำงานของกองถ่ายที่แม้ว่าจะลำบากต่อการตื่นแต่กันต์ก็สู้ไม่ถอย เพราะลำพังนักแสดงที่ว่าถูกนัดเช้าเพราะมีคิวแรกก็ยังไม่สู้พี่ๆ ทีมงานที่ต้องมาถึงกองถ่ายเช้ากว่านักแสดงเป็นชั่วโมง
“สวัสดีคร้าบบ สวัสดีครับพี่ สวัสดีค้าบบบ” กันต์ยกมือไหว้แล้วเอ่ยทักทายรัวๆ ไม่ว่าจะเดินผ่านใครก็ตามที่ทำงานในกองถ่ายนี้ เพราะพี่ซีสอนเสมอว่าทุกคนในกองถ่ายมาทำงาน ทุกคนมีหน้าที่เป็นของตัวเองและสำคัญต่อกองถ่ายทั้งหมด ให้เคารพทุกคนเพราะทุกคนคือเพื่อนร่วมงาน
“น้องกันต์มาละเหรอ กินข้าวก่อนมั้ย” คุณป้าฝ่ายสวัสดิการเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว
“มีอะไรกินบ้างครับ” กันต์เดินยิ้มเข้าไปหาตรงซุ้มอาหารพลางมองดูว่าเช้านี้มีเมนูอะไร
“มีข้าวต้มหมูสับจ้ะ เอามั้ยเดี๋ยวป้าตักให้ร้อนๆ”
“เอาครับ แต่ว่าขอนิดเดียวนะครับ เช้าๆ ผมกินไม่เยอะ กลัวเหลือ”
“ได้ๆ ใส่ผักโรยกับกระเทียมเจียวได้เนอะ”
“ได้ครับ”
คุณป้าสวัสดิการคว้าเอาชามที่มีข้าวสวยกับหมูสับเตรียมไว้มาตักน้ำซุปร้อนๆ ที่ตั้งอุ่นไว้บนเตาแก๊สใส่ลงไปก่อนจะตักกระเทียมเจียวและผักโรยใส่ให้แล้วยื่นให้กับกันต์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ระวังร้อนนะลูก”
“ขอบคุณครับ” กันต์รับข้าวต้มหมูสับชามนั้นก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะว่างเพื่อนั่งกินแต่ก็พบว่ามีพี่ๆ ทีมงานนั่งกินอยู่จนเกือบเต็ม เขาเห็นโต๊ะหนึ่งมีเก้าอี้ว่างอยู่หนึ่งตัวจึงเดินเข้าไปเพื่อจะนั่ง แต่พอพี่ทีมไฟเห็นก็พากันจะลุกหนี ทำเอากันต์ตกใจไม่น้อย “เอ้ย! พี่ นั่งด้วยกันได้ๆ พี่นั่งเลย”
“ขอนั่งทานด้วยคนนะครับ” เสียงหนึ่งจากพี่ทีมไฟดังขึ้นอย่างเกรงใจ
“ครับ นั่งเลยพี่ นั่งกินด้วยกัน” กันต์ยิ้มกว้างตอบ
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่เขาได้ยินมาตลอดก่อนที่เขาจะเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะขนาดนี้จนกระทั่งมาเจอกับตัวเอง เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าที่ผ่านมาเรื่องชนชั้นในกองถ่ายนั้นมันรุนแรงขนาดไหน
“น้องกันต์... เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วเข้าไปแต่งหน้าทำผมได้เลยนะจ๊ะ” พี่อิ๋วเดินยิ้มมาแต่ไกลเข้ามาหากันต์ จะว่าไปตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นนักแสดงคนอื่นๆ เลยแม้แต่คนเดียว
“คนอื่นยังไม่ถึงเหรอครับ” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย ไม่ใช่อะไรหรอก เขาไม่อยากอยู่คนเดียวมันเหงา
“ช่าย แต่อีกเดี๋ยวคงถึงละล่ะ”
“อ่อครับ”
“ถ้ากินเสร็จแล้วเข้าไปเลยนะ พี่ๆ ช่างหน้าผมเขาพร้อมละ”
“ได้ครับ” กันต์พยักหน้ารับก่อนจะรีบก้มลงไปกินข้าวต้มตรงหน้าเพราะไม่อยากจะให้พี่ๆ ช่างหน้าผมต้องรอนาน
การทำงานเริ่มต้นขึ้นเมื่อมื้อเช้าสิ้นสุดลง กันต์เดินเข้าไปหาช่างแต่งหน้า ทีมงานฝ่ายอื่นๆ ก็เริ่มทำงานในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบ เสียงเริ่มดังครึกครื้นไปทั่วบริเวณ กันต์นั่งสัปหงกอยู่หน้ากระจกกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่บุ๊คเดินมาจับของเขาให้อยู่เฉยๆ แล้วพี่ช่างหน้าก็หัวเราะออกมาดังคิกคัก
“หืมมม” กันต์ส่งเสียงงัวเงียออกมาขณะที่กำลังลืมตาตื่นขึ้น
“นั่งดีๆ พี่เขาแต่งหน้าให้ไม่ได้เนี่ย” บุ๊คแซวพลางประคองหน้าของกันต์เอาไว้
“เอ้า! หวัดดีครับพี่บุ๊ค” กันต์ยกมือขึ้นไหว้แบบไวๆ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติแล้วขยับตัวนั่งตรง
“นอนน้อยเหรอ” บุ๊คถามต่อก่อนจะปล่อยมือทั้งสองข้างที่ช่วยประคองศีรษะกันต์เอาไว้แล้วเดินไปนั่งที่โซฟาด้านหลัง
“นิดนึงครับ อ่านบทเพลินไปหน่อย”
“โห.... พูดงี้พี่รู้สึกผิดเลย”
“เอ่า... ทำไมอะพี่” กันต์ถามต่ออย่างสงสัย
“ก็น้องนอนดึกเพราะอ่านบท ส่วนพี่นอนดึกเพราะติดซีรีส์ไง พูดละก็เขินเลย”
“เหมือนได้ยินใครบอกไม่ได้อ่านบทมานะ” พี่อิ๋วที่เข้ามาในห้องแต่งตัวเอ่ยพูดขึ้น ทุกคนในที่นั้นเงียบกริบ “น้องบุ๊ค เธอไม่ได้อ่านบทมาเหรอ มาให้พี่ตีซะดีๆ เลย” หญิงสาวทำท่าง้างมือเดินเข้าไปหาบุ๊คหมายจะตีแต่บุ๊คก็ยันตัวจากที่พิงโซฟาขึ้นมานั่งหลังตรงพร้อมด้วยใบหน้าขึงขังก่อนจะเอ่ยพูดออกมาเสียงแข็งดังเสียจนทุกคนหันหน้ามามองกันหมด
“ผมอ่านมาพี่!!! แค่คุยเล่นกับน้องว่านอนดึกเพราะดูซีรีส์เฉยๆ ใครจะไม่อ่านมาล่ะครับ ไม่ได้ไม่มีความรับผิดชอบขนาดนั้น”
“แหม... พี่ก็แค่แซวเล่น”
“ไม่ตลกครับ”
“อารมณ์ไม่ดีแต่เช้าเลยน้า... อะๆๆ พี่ไม่กวนละ ไปทำงานกันต่อดีกว่าเนอะ” พี่อิ๋วพูดหยอกด้วยท่าทีร่าเริงแบบไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรก่อนจะเดินออกจากห้องแต่งตัวไป ทิ้งให้ทุกคนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ
“เป็นบ้าปะเนี่ย” พี่บุ๊คเอ่ยบ่นพึมพำแต่ด้วยห้องที่ทุกคนกำลังเงียบจึงทำให้เสียงพึมพำในลำคอกลับดังจนทุกคนได้ยิน เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นทำให้บรรยากาศภายในห้องจากที่เคร่งเครียดกลายเป็นผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง
กันต์เดินย้ายมาอีกห้องหนึ่งหลังจากที่แต่งหน้าทำผมและเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับถ่ายทำเรียบร้อย เพราะในห้องแต่งตัวตอนนี้เต็มไปด้วยเพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ ที่รอคิวแต่งหน้าทำผม ค่อนข้างที่จะแออัด เขาจึงเลือกที่จะย้ายมานั่งรออีกห้องแทน
เขาหยิบขนมและบทซีรีส์จากในกระเป๋าผ้าขึ้นมา เขาแกะขนมปังที่พี่ซีซื้อให้ตั้งแต่เช้ามากินในระหว่างที่ตั้งใจว่าจะอ่านบทรอเวลา แต่ทันทีที่ขนมปังเข้าปากเขายังไม่ทันที่จะได้เคี้ยว พี่อิ๋วก็เดินโผล่เข้ามาในห้องนั้นพร้อมกับพี่เจี๊ยบด้วยท่าทีแปลกๆ กันต์เงยหน้าขึ้นไปเห็นแต่ไม่อยากที่จะสนใจจึงทำเป็นก้มหน้าลงไปอ่านบท แต่ก็ไม่วายที่สองคนนั้นจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ ทำเอาเขาต้องแอบบ่นอยู่ในใจและพยายามที่จะควบคุมสีหน้าไม่ให้แสดงความไม่พอใจออกไป
“ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะน้องกันต์” พี่เจี๊ยบเอ่ยถามทันทีหย่อนตัวลงนั่ง
“ห้องแต่งตัวคนเยอะครับ ผมเลยหนีมานั่งคนเดียว”
“อ่อ... มากคนก็มากความเนอะ” พี่อิ๋วพูดเสริมขึ้นมาทันควัน แม้กันต์จะไม่ค่อยชอบใจแต่ก็พยายามที่จะไม่แสดงอาการอะไรออกไป
“ใช่ครับ เลยหนีมาอ่านบทตรงนี้คนเดียว แล้วนี่... พี่ๆ มาทำไรตรงนี้กันครับ” กันต์ถามด้วยท่าทีสงสัย แต่ความเป็นจริงแล้วนัยยะของประโยคนี้คือเขาต้องการไล่ทั้งสองคนให้ออกไปจากตรงนี้อย่างสุภาพ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจนัก
“หนีมาเมาท์อะสิ” พี่เจี๊ยบชิงพูดขึ้นมาทันทีด้วยท่าทางช่างจ้อ สีหน้าของเธอดูอัดอั้นตันใจหากไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมา
เพี๊ยะ!
พี่อิ๋วตีเข้าที่ต้นขาของพี่เจี๊ยบราวกับจะแกล้งแต่น้ำหนักและเสียงที่ออกมานั้นเดาได้ไม่ยากว่าคงสร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่โดนตีได้บ้างเหมือนกัน
“แม่!! ตีหนูทำไมมม” พี่เจี๊ยบบ่นอุบพลางลูบต้นขาตัวเองไปมา
“แกก็พูดไป เห็นไหมว่าน้องกันต์เขานั่งอยู่” พี่อิ๋วยกนิ้วชี้ชูขึ้นมาแตะที่ปากพลางทำหน้าบอกให้คนข้างหยุดพูดเพราะไม่อยากให้กันต์ได้ยิน
กันต์เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แวบแรกเขาเกือบจะกลอกตามองบนแต่ก็ยังดีที่ยั้งตัวเองไว้ได้ทัน “พูดมาขนาดนี้แล้ว ก็เล่ามาเถอะครับ ผมไม่เล่าให้ใครฟังต่อหรอก พี่เห็นผมเป็นคนยังไง”
“แหม... น้องกันต์ เราก็ชอบใส่ใจเรื่องคนอื่นเหมือนกันนะเนี่ย” พี่อิ๋วแซวกลับ
“งั้นผมออกไปข้างนอกก็ได้ครับ” กันต์แสร้งทำเป็นงอน เก็บข้าวของเตรียมจะลุกขึ้นแต่พี่อิ๋วก็รีบคว้าแขนของกันต์เอาไว้แล้วรีบดึงให้นั่งลง
“จะรีบไปไหนล่ะ คุยกันมาขนาดนี้ละ ใช่มั้ยยัยเจี๊ยบ”
“จริงน้องกันต์ อยู่เมาท์กันก่อน”
กันต์ยิ้มอ่อนก่อนจะหย่อนตัวนั่งลง เขารู้ดีว่าคนแบบนี้แค่อยากจะเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากมาย อันที่จริงการที่ภาพลักษณ์ของเขาดูเป็นเด็กบ้านนอกน้องใหม่ในวงการซีรีส์วายแบบนี้ก็มีข้อดีอยู่เยอะเหมือนกัน เพราะใครๆ ก็มักจะตายใจว่าจะเป่าหูเขาได้ง่ายๆ
“สรุปจะเมาท์เรื่องอะไรกันครับ”
“ก็เรื่องบุ๊คกับก้องไง รู้เรื่องกับเขายังเนี่ย” พี่เจี๊ยบเป็นคนกระซิบเพื่อเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
“ทำไมเหรอครับ” กันต์ถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย เขาก็พอจะรู้มาบ้างเรื่องที่คนในกองเขาเมาท์กันให้แซ่ดว่าสองคนนี้แอบคุยแอบกิ๊กกันอยู่ ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหม่อะไร แต่เขาก็คิดว่าจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไปก่อนเผื่อว่าจะมีข้อมูลอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง
“มีคนเขาพูดกันมาว่าบุ๊คไปนอนคอนโดน้องก้องน่ะสิ เห็นว่าขึ้นไปด้วยกันตอนหัวค่ำ กว่าบุ๊คจะลงมาก็เกือบเช้าเลยนะ ไม่รู้ทำอะไรต่อมิอะไรกันไปบ้าง” พี่อิ๋วเล่าให้ฟังยาวเหยียดราวกับว่าตัวเองเป็นคนเห็นเหตุการณ์นั้นมากับตา
“มันขนาดนั้นเลยเหรอแม่!” พี่เจี๊ยบดูตื่นเต้นขึ้นมาทันที แววตาเบิกโตเท่าความอยากรู้ของเธอ
“เอ้า! ก็ไหนบอกว่ารู้เรื่องสองคนนี้แล้วไง”
“ก็รู้แล้ว แต่ไม่ได้รู้เรื่องนี้ไงแม่ หนูรู้แค่ว่าสองคนนี้เขาคุยๆ กันอยู่ เห็นว่าคุยกันทุกวันเลย หนูไม่คิดว่าจะไปถึงขั้นนั้นกันแล้วอะ”
“จริงแก ตอนชั้นได้ยินยังตกใจเลย”
เห้อออ~
กันต์ได้ฟังก็ได้แต่ถอนหายใจเพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงในเวลานี้ จะต้องร่วมนินทาไปกับพวกเขาหรือควรจะเดินหนีออกไปดี เขารู้สึกอึดอัดไม่น้อย ไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่พี่เจี๊ยบกับพี่อิ๋วกำลังคุยกันอยู่เป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาคุยกันแบบสนุกปาก ถ้าพี่บุ๊คกับน้องก้องมาได้ยินเข้าก็คงไม่ได้รู้สึกสักเท่าไหร่
“อันนี้เรื่องจริงเหรอครับพี่อิ๋ว” กันต์ถามกลับไปเพราะรู้สึกว่าไม่ควรจะนั่งอยู่เฉยๆ อย่างน้อยเขาก็ควรจะต้องปกป้องเพื่อนของเขาบ้าง
“น่าจะจริงนะน้องกันต์ แหล่งข่าวพี่ก็เชื่อถือได้อยู่น้า~” พี่อิ๋วพูดจาแบบมีลับลมคมใน สีหน้าของเธอบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเธอเชื่ออย่างจริงจังว่าสิ่งที่เธอได้ยินมานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
“แซ่บเกินนะแม่”
“จริงแก”
‘พี่อิ๋วอยู่ห้องแต่งตัวมั้ยครับ มาหน้าเซ็ตหน่อยครับ’
เสียงวอดังขึ้นทำเอาทั้งพี่อิ๋วและพี่เจี๊ยบสะดุ้งโหยงรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากตรงนั้นไปในทันที อันที่จริงการที่ทั้งสองคนมานั่งอยู่ตรงนี้จุดประสงค์นอกจากการที่จะมาเมาท์มอยเรื่องคนอื่นแล้วนั้น หลักๆ คือพวกเขาแอบมานั่งอู้งานกันมากกว่า
บรรยากาศภายในห้องนั้นเงียบลงทันทีซึ่งเป็นสิ่งที่กันต์เฝ้าฝันถึง การเดินหนีจากห้องแต่งตัวมานั่งในห้องนี้เพราะต้องการความสงบ พอเจอสองคนนั้นเข้ามาสมาธิก็เตลิดเปิดโปงไปหมด เขาถึงส่ายหัวด้วยความเบื่อหน่าย ไม่รู้ว่ากว่าจะถ่ายจบเขาจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง
กันต์เก็บความสงสัยที่ตัวเองได้ยินเหล่านั้นเอาไว้ใจตลอดทั้งวัน เพราะตอนแรกตั้งใจว่าจะถามบุ๊คตอนที่ว่างแต่พอเริ่มถ่ายทำก็ไม่มีช่วงเวลาให้เขาได้ว่างเลยแม้แต่นิดเดียว ถ่ายเสร็จหนึ่งซีนก็วิ่งไปเปลี่ยนเพื่อกลับมาถ่ายต่อซีนใหม่ เขาจึงปล่อยเลยตามเลยไว้ค่อยถามตอนมีโอกาสทีหลัง
ตลอดทั้งวันกันต์ทุ่มเทกับการถ่ายทำเป็นอย่างมาก เหมือนที่บอกว่านี่คือซีรีส์เรื่องแรกของเขา ความพยายามทั้งหมดที่เขาจึงถูกทุ่มเทลงไปอย่างไม่มีกั๊ก เพื่อนนักแสดงคนอื่นๆ ก็ด้วยเหมือนกัน การทำงานในวันนี้ก็ดูจะราบรื่นดี ยกเว้นก็เพียงตอนที่พี่อิ๋วกับพี่เจี๊ยบเข้ามานั่งเมาท์นั่นแหละ
“เลิกกองกลับไง” พี่บุ๊คเดินเข้ามาถามกันต์ระหว่างที่ยืนรอเข้าซีนถัดไป
“น่าจะกลับกับพี่ซีผู้จัดการแหละพี่”
“น้องเหลือกี่ซีนอะ”
“ซีนสุดท้ายละพี่”
“อ่อ ว่าจะชวนไปหาไรกินด้วยกัน แต่ไม่เป็นไร”
“ได้นะ เดี๋ยวคุยกับพี่ซีได้”
“เหรอ พี่ได้หมด ยังไงบอกนะ”
“ได้ครับ อันนี้แป๊บเดียวน่าจะเสร็จ ซีนสั้นๆ เอง”
“อื้อ เดี๋ยวพี่ไปนั่งรอในห้องแต่งตัว” บุ๊คตอบพร้อมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป
ไม่นานผู้ช่วยผู้กำกับก็ส่งเสียงเรียกนักแสดงให้เข้าฉากเพราะหน้าเซ็ตพร้อมสำหรับการถ่ายทำแล้ว กันต์วางบทซีรีส์ไว้ข้างนอกก่อนจะรีบเดินเข้าไปเพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องเสียเวลารอ พอนักแสดงทุกคนที่ต้องเข้าซีนมากันพร้อมที่หน้าเซ็ต ผู้กำกับก็เดินเข้ามาบรีฟแต่ละคนว่าควรจะต้องทำอะไรยังไง ตำแหน่งที่ต้องยืนอยู่ตรงไหนบ้าง จากนั้นก็เดินกลับไปที่หน้ามอนิเตอร์ก่อนที่ผู้ช่วยผู้กำกับจะเป็นคนสั่งแอคชั่น
การถ่ายทำใช้เวลาเพียงแค่ประมาณสิบห้านาที เนื่องจากเป็นซีนสั้นๆ ทันทีที่ผู้กำกับสั่งคัท กันต์ก็รีบยกมือไหว้ขอบคุณทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นแล้วเดินออกมาจากหน้าเซ็ต เขารีบก้าวยาวกลับไปที่ห้องแต่งตัวเพราะกลัวว่าพี่บุ๊คจะต้องรอนาน
ครืดด~!
เขาเปิดประตูบานเลื่อนห้องแต่งตัวออกแล้วเดินเข้าไปด้านใน พี่ซีที่กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่ในห้องเงยหน้าขึ้นมาเห็นเข้าก็รีบยันตัวลุกนั่งแล้วเก็บมือถือยัดลงในกระเป๋ากางเกงทันที
“น้องกันต์ ถ่ายเสร็จละเหรอ” พี่ซีเอ่ยถามขึ้น
“ช่ายพี่”
“งั้นกลับเลยมั้ย กระเป๋าน้องอยู่นี่ พี่ไปหยิบมาให้ละ” พี่ซีชูกระเป๋าผ้าของกันต์ขึ้นมาให้ดู “เดี๋ยวพี่เอาไปเก็บบนรถให้ก่อน น้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จละตามมานะ”
“เออ พี่ซี กันต์ลืมบอก พอดีพี่บุ๊คชวนไปกินข้าวต่ออะ”
“อ่อ งั้นเอาไง ถ้าจะไปกับน้องบุ๊ค กระเป๋าผ้าฝากไว้บนรถพี่ก่อนมั้ย จะได้ไม่ต้องถือไป มันหนัก”
“ได้พี่ งั้นกันต์ฝากไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยเอาวันหลัง ขอบคุณนะครับ”
“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่กลับเลย น้องกันต์ถ้าเสร็จธุระกลับถึงบ้านก็ทักบอกพี่หน่อยนะ จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ได้ครับพี่ซี”
บุ๊คเดินเข้ามาในระหว่างที่พี่ซีกำลังจะเดินออกจากห้อง เขาจึงไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ลาพร้อมเอ่ยขอนุญาตพอเป็นพิธี “ขอยืมตัวน้องสักวันนะครับพี่ซี”
“ได้จ้า! ฝากน้องด้วยนะ พี่กลับละ” พี่ซียิ้มกว้างก่อนจะเดินออกจากห้องแต่งตัวไป
“ไปรีบเปลี่ยนชุดเร็ว พี่หิวจะแย่ละ” บุ๊คสะกิดเตือนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะดูเหมือนว่าจะลืมไปเสียสนิทว่าตนเองยังไม่ได้เปลี่ยนชุด
“เอ้อ! จริงด้วย พี่บุ๊ครอแป๊บนะครับ” กันต์สะดุ้งเล็กน้อยพอบุ๊คสะกิดบอก เขายิ้มแห้งระหว่างที่พูดก่อนจะวิ่งเข้ามุมห้องคว้าหยิบเอาชุดตัวที่ใส่มากองตอนเช้าแล้วเดินเข้าเต๊นท์เปลี่ยนเสื้อผ้าไป