วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
บุ๊คเดินนำหน้ามาที่ลานจอดรถโดยมีกันต์วิ่งดุ๊กดิ๊กตามมาข้างหลัง หลังจากที่พวกเขาร่ำลาทุกคนในกองถ่ายเรียบร้อยก็รีบปลีกตัวออกมาทันที เพราะวันนี้พวกเขาเสร็จงานเร็ว ปกติจะเลิกกองเวลาสี่ทุ่มแต่วันนี้พวกเขาหมดซีนที่ต้องถ่ายทำตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ๆ หลายคนในกองถ่ายจึงเอ่ยแซวและพยายามจะชักชวนให้อยู่ต่อ ซึ่งสำหรับพวกเขามันเป็นเรื่องที่แอบก่อความรำคาญใจอยู่เหมือนกัน แม้จะรู้ว่าเป็นการแซวกันเล่นแต่พอเจอแบบนี้หลายครั้งเข้าก็ทำให้เกิดความหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ทางออกเดียวของปัญหานี้หากแก้ที่คนอื่นไม่ได้ ก็แก้ที่ตัวเองด้วยการเสร็จงานปุ๊บร่ำลาแล้วรีบหนีออกมาจากกองถ่ายให้ได้ไวที่สุด
“ไม่ลืมอะไรใช่มั้ย” บุ๊คตะโกนถามระหว่างที่เห็นคนน้องวิ่งมาที่รถ
“ไม่ลืมครับ” กันต์ตอบกลับในเวลาเดียวกับที่เดินมาถึงรถพอดี
“ไปเหอะ พี่หิวมากตอนนี้” บุ๊คยิ้มบอกก่อนจะเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นไป คนน้องก็ไม่รอช้ารีบเปิดประตูแล้วกระโดดขึ้นรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับตามไปทันที
รถยนต์ของบุ๊คขับออกจากลานจอดรถแทบจะในทันทีที่กันต์ปิดประตูรถ ความหิวที่เกิดขึ้นทำเอาบุ๊คแทบจะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ เพราะเวลาที่เขาหิวมักจะอ่อนไหวเป็นพิเศษ หากมีอะไรกระทบขึ้นมาสักหน่อยล่ะก็เขาจะสติหลุดและด่ากราดอยู่เหมือนกัน
คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงได้แต่กักเก็บความอยากรู้เอาไว้ก่อน แม้ว่าข่าวลือที่ได้ยินมามันจะเป็นตัวกระตุ้นความอยากรู้ภายในตัวเขามากแค่ไหนก็ตาม
“กินส้มตำมั้ยแก” บุ๊คถามขึ้นมาเมื่อขับรถออกมาได้ระยะหนึ่ง
“ได้พี่ กันต์ได้หมดเลย”
“อาเค ดีมาก พี่อยากกินมาก ร่างกายต้องการปลาร้า แกกินปลาร้าได้ใช่ปะ”
“ได้พี่ สบายมาก”
“เยี่ยม!” บุ๊คตอบพลางหันมายิ้มให้กันต์ก่อนจะหันกลับไปตั้งใจมองถนน
บรรยากาศบนรถในเวลานี้ดูจะเป็นไปได้ด้วยดี บุ๊คเอื้อมมือไปกดเปิดเพลงแล้วร้องตามเสียงดังลั่นรถ บางจังหวะก็ทำเอากันต์หัวเราะออกมาไม่หยุดเมื่อคนตัวโตกว่าร้องเพี้ยนจนฟังไม่ได้ แต่นั่นก็สร้างความสนุกสนานให้ทั้งสองในระหว่างการเดินทางได้เป็นอย่างดี
เพียงไม่นานรถยนต์ของบุ๊คก็เลี้ยวหัวเข้าไปยังอเวนิวที่อยู่ริมถนนใหญ่ย่านราชพฤกษ์ เป็นครั้งแรกที่กันต์ได้มาแถวนี้เพราะอยู่ห่างจากบ้านที่เขาเช่าอยู่มากแถมยังไม่มีรถโดยสารสาธารณะผ่านอีก จึงเป็นไปได้ยากมากหากว่าเขาจะมาที่นี่ด้วยตนเอง
“มีร้านส้มตำในนี้ด้วยเหรอพี่” กันต์เอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะมันดูไม่น่าร้านส้มตำแบบที่เขาคุ้นเคยอยู่ในสถานที่แบบนี้
“มีนะ อร่อยด้วย พี่มากินบ่อย”
อาจเพราะยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เย็นมาก การหาที่จอดรถของบุ๊คจึงค่อนข้างง่ายกว่าปกติ เพียงแค่เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถก็แทบจะเจอในทันที ทั้งคู่ลงจากรถก่อนที่บุ๊คจะเป็นคนเดินนำ แล้วกันต์รีบก้าวเท้าเดินตามไปข้างๆ ทันที
สองขายาวก้าวเดินฉับๆ ไปยังร้านส้มตำที่กันต์ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน เมื่อมาถึงกันต์ก็แอบประหลาดใจอยู่หน่อยๆ เพราะการตกแต่งหน้าร้านนั้นดูไม่เหมือนร้านส้มตำเลยสักนิด บริเวณหน้าร้านตกแต่งในลักษณะเป็นเหล็กดัดสีเงิน มีประตูเข้าร้านขนาดประมาณพอดีหนึ่งคนเดินผ่าน และมีคนรอคิวอยู่ที่หน้าร้านเป็นจำนวนมาก
“โห ร้านดังเหรอพี่ คนเยอะจัง” กันต์อดสงสัยไม่ได้ เพราะตัวเขาเองไม่เคยได้ยินชื่อร้านมาก่อน
“ช่าย อร่อยด้วย แกรอแป๊บนะ พี่ไปเอาคิวก่อน”
“ครับ” กันต์พยักหน้ารับแล้วหย่อนตัวลงนั่งบริเวณเก้าอี้หน้าร้านที่เหลือว่างอยู่
บุ๊คเดินออกมาด้วยใบหน้าตึงไม่ยิ้มแย้มเหมือนกับตอนที่เดินเข้าไป ราวกับได้รับความผิดหวังมา กันต์ถึงกับลุกขึ้นยืนทั้งที่เพิ่งได้นั่งไปเพียงครู่เดียว
“ต้องรอหลายคิวเหรอพี่” เขาเอ่ยถามทันทีเมื่อบุ๊คเดินมาใกล้
“รอ 17 คิวอะ” บุ๊คเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเศร้า
“โห เยอะจัด”
“แกหิวมากปะ ถ้าหิวมากจะได้ย้ายร้าน”
“ไม่นะพี่ พี่อยากกินไม่ใช่เหรอ กันต์รอได้นะ”
“โอเค พี่ว่าไม่น่าจะรอนาน เพราะคงมีคนทิ้งคิวกันบ้างแหละ” บุ๊คบอกพลางหยิบมือถือขึ้นมากดดูนาฬิกาที่หน้าจอ “อยากหาอะไรรองท้องก่อนมั้ย”
“ก็ได้นะพี่ แบบกรุบกริบพอ กลัวอิ่มก่อน”
“งั้นเดินดูก่อนละกัน สักสิบห้านาทีค่อยวนกลับมา พนักงานบอกว่าถ้าเรียกคิวแล้วไม่อยู่หน้าร้านจะเรียกคิวต่อไปเลย แล้วเราต้องมารับคิวใหม่”
“อ่อ งั้นเราก็หาพวกขนมกินมั้ยแบบที่ซื้อละเดินกินได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก ไม่อิ่มเกินด้วย” กันต์เสนอ บุ๊คเองก็มีท่าทีเห็นด้วย ทั้งคู่จึงไม่รีรอเดินออกไปจากหน้าร้านส้มตำทันที
ทั้งคู่เดินเล่นไปทั่วอเวนิวนั้น ตอนแรกต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าจะกินอะไรดีเพราะดูเหมือนว่าคนจะเริ่มเยอะในทุกๆ ร้าน อาจเพราะด้านข้างเป็นโรงเรียนนานาชาติจึงทำให้ในเวลาหลังเลิกเรียนแบบนี้ ทั้งผู้ปกครองทั้งนักเรียนก็เลยพลุกพล่านกันอยู่เต็มในทุกร้าน
ระหว่างนั้นกันต์หันไปเห็นร้านไอศกรีมร้านหนึ่งที่มีป้ายแปะหน้าร้านว่าทำจากผลไม้แท้ เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในทันที
“กินมั้ยพี่” กันต์หันไปถามคนพี่ที่เดินตามเข้ามาทีหลัง
“สั่งเลย พี่เอาไอติมมังคุด”
“โอเค” กันต์หันกลับไปหาพนักงานในร้าน “เอามังคุดหนึ่ง แล้วก็ลิ้นจี่หนึ่งครับ”
“รอสักครู่นะคะ” พนักงานสาวตอบรับก่อนจะคิดเงินแล้วหันไปตักไอศกรีมมาเสิร์ฟให้
กันต์กับบุ๊ครับไอศกรีมนั้นมาก่อนจะเดินออกมาเพราะบุ๊คเปิดหน้าจอมือถือให้กันต์ดูว่าตอนนี้ใกล้จะครบเวลาสิบห้านาทีแล้ว ควรจะรีบเดินกลับไปที่หน้าร้านส้มตำเสียที
พอเดินมาถึงก็เหมือนกับสวรรค์จะประทานพร เพราะพนักงานด้านหน้าร้านประกาศเรียกคิวของบุ๊คพอดี พวกเขาทั้งคู้จึงมีท่าทีดีใจออกนอกหน้าก่อนจะเดินเข้าร้านไป
พี่บุ๊คสั่งอาหารอย่างช่ำชองเป็นเพราะมาร้านนี้บ่อยจนจำเมนูได้เกือบหมด กันต์จึงมีหน้าที่นั่งดูแค่อย่างเดียว ให้อีกฝ่ายสั่งอาหารได้ตามสบาย เขาไม่รู้จะสั่งอะไรแค่เห็นรายชื่อบนหนังสือเมนูก็ตาลายไปหมด
บรรดาส้มตำและอาหารต่างๆ ที่พี่บุ๊คสั่งไว้ถูกนำมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะหลังจากที่นั่งรอไปเกือบครึ่งชั่วโมง แม้ว่าเขาจะรู้สึกหิวมาก แต่ก็ยังพอจะทนไหว เล่นทนมาได้เป็นชั่วโมงๆ กับอีกแค่แป๊บเดียวก็ไม่ได้ยากสักเท่าไหร่
“แกลองตำลาว อร่อยมาก” พี่บุ๊คดันจานตำลาวมาตรงหน้า กันต์มองด้วยสีหน้างุนงงเพราะไม่เคยกินมาก่อน
“แล้วมันต่างกับตำไทยยังไง”
“เส้นมะละกอมันจะหนากว่าอะ” พี่บุ๊คว่าพลางใช้ส้อมเกี่ยวเส้นมะละกอขึ้นมาให้คนน้องดู
“อ๋อออ งี้นี่เอง แต่รสชาติก็ไม่ต่างกันป้ะ”
“พี่ว่าก็ไม่ค่อยต่างนะ แต่รู้สึกว่าตำลาวจะนัวกว่า ไม่รู้คิดไปเองมั้ย” พี่บุ๊คเอ่ยพูดพลางหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะตักส้มตำลาวกลับไปที่จานของตัวเอง
กันต์เห็นแบบนั้นก็ไม่วายอยากจะลองชิมขึ้นมาบ้าง แม้ว่าจะกลัวเผ็ดอยู่นิดหน่อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่กล้ากิน เขาได้ยินพี่บุ๊คสั่งพนักงานไปว่าเอาเผ็ดน้อย ก็คงจะพอกินได้อยู่มั้ง
“เป็นไง” บุ๊คเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ากันต์ตักตำลาวเข้าปาก
“อืมม... อร่อยดีนะพี่ แต่เผ็ด” กันต์หน้ายู่เล็กน้อยก่อนจะยกน้ำเย็นในแก้วมาดื่ม
“ใช่มั้ย พี่ชอบตำลาวมาก มันมีอะไรให้เคี้ยวดี”
“จริง เคี้ยวนัวมากกก แต่รสชาติก็ไม่ต่างจากส้มตำบ้านเราเท่าไหร่” กันต์ตอบก่อนจะเอื้อมมือไปเด็ดผักในตะกร้ามาเคี้ยวแก้เผ็ด
เมนูอาหารบนโต๊ะที่พี่บุ๊คสั่งมาเยอะจนกันต์ก็ตกใจว่านี่ปริมาณสำหรับสองคนกินหรือสิบคนกินกันแน่ เพราะมันแน่นเสียจนพนักงานต้องเดินมาถามว่าอยากย้ายโต๊ะไหมกลัวว่าพวกเขาสองคนจะนั่งไม่สะดวก แต่บุ๊คก็ปฏิเสธไปแถมหัวเราะลั่นเพราะเพิ่งจะสำนึกว่าตัวเองสั่งอาหารเยอะเกินไป
ทั้งคู่นั่งกินส้มตำแบบที่ไม่ได้คุยกันอยู่พักใหญ่ด้วยอาการหิวมันเล่นงานแบบเต็มกำลัง ทุกจานที่วางอยู่บนโต๊ะจึงถูกจัดการเรียบแบบแทบไม่เหลือซาก จากที่ตอนแรกคิดว่าจะกินกันไม่หมด
กันต์เหล่มองหน้าของบุ๊คเล็กน้อยเพื่อเช็คว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายในตอนนี้อยู่ในความรู้สึกแบบไหน เพราะเขามีสิ่งหนึ่งที่ยังติดค้างอยู่ในใจและอยากรู้คำตอบแต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามสักที พอเห็นว่าบุ๊คค่อนข้างที่จะอารมณ์ดีจึงตัดสินใจถามสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจออกไป
“พี่บุ๊ค กันต์ถามอะไรหน่อยดิ”
“ว่าไง”
“เรื่องพี่กับก้องอะ” กันต์พูดต่อแบบไม่เต็มเสียงนักเพราะเขาเองก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะโกรธเอา
“อ่อ จะถามว่าคบกันหรือเปล่าอะเหรอ”
“ไม่ใช่...”
“หื้ม? แล้วจะถามไร” พี่บุ๊คมีสีหน้าฉงนเล็กน้อยว่าสิ่งที่ตัวเองคิดไม่ใช่สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะถาม
“พอดีมีคนพูดกันว่าพี่ได้กับก้องแล้วอะ เขาบอกว่าเห็นพี่ไปขึ้นคอนโดก้อง”
“เห้ออออ!! เอาอีกละเหรอ”
“...” กันต์ได้ยินเสียงถอนหายใจจากบุ๊คก็ถึงกับหวั่นใจอยู่ไม่น้อย เพราะมันเหมือนมีน้ำเสียงของความรำคาญอยู่เล็กๆ เขาจึงนั่งมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ไม่พูดอะไรต่อด้วยรอฟังว่าคนตรงหน้าจะบอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังว่ายังไง
“พี่ไปคอนโดก้องมันจริงๆ”
ประโยคดังกล่าวทำเอากันต์รู้สึกตัวชาอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ได้คาดคิดว่าคำตอบจะออกมาในทิศทางแบบนี้ คิดว่าคนตรงหน้าจะปฏิเสธข่าวลือที่ว่าแต่กลับกลายเป็นยอมรับด้วยใบหน้าซื่อเสียอย่างนั้น
“อย่าเพิ่งตกใจ” บุ๊ครีบเอ่ยทักเมื่อเห็นสีหน้าของกันต์เปลี่ยนไป “พี่ไปคอนโดก้องจริง แต่เราไม่ได้มีอะไรกัน”
“อ่อครับ”
“วันนั้นน้องมันโทรมาปรึกษาเรื่องแอคติ้ง เพราะมันไปได้ยินว่าคนในกองเอามันไปด่าเรื่องนี้ มันเครียดก็เลยให้ช่วยหาครูสอนแอคติ้งให้หน่อย” เสียงของบุ๊คฟังดูเครียดเล็กน้อย
“แล้วก้องไปได้ยินมาจากไหนอะพี่” กันต์ถามกลับด้วยความสงสัย
“แกคิดว่าคนที่เล่าให้แกฟัง เขาจะไม่เล่าให้คนอื่นฟังเหรอ” บุ๊คถามกลับให้กันต์ได้ฉุกคิด
มันก็จริงอย่างที่บุ๊คว่า คนที่มาเล่าให้เขาฟังก็คือพี่อิ๋ว ก่อนหน้านี้ก็มานินทาก้องให้เขากับพี่บุ๊คฟัง ตอนที่เขาอยู่คนเดียวก็จับมือกับพี่เจี๊ยบมานินทาพี่บุ๊คกับก้องให้เขาฟัง พอมานั่งนึกดูก็คงเป็นดังที่พี่บุ๊คบอก พี่อิ๋วคงไม่ได้มาเล่าให้เขาฟังแค่คนเดียวแน่ๆ ดีไม่ดีตอนไปนินทาให้คนอื่นฟัง หนึ่งในเรื่องที่พูดอาจมีเรื่องของกันต์อยู่ด้วยก็เป็นได้
“แล้วพี่ไม่คิดจะอธิบายหน่อยเหรอ แบบนี้คนอื่นเข้าใจผิดหมด” กันต์บอกด้วยความเป็นห่วง
“แล้วพี่ต้องไปนั่งอธิบายทุกคนเลยเหรอ มันใช่หน้าที่พี่มั้ย”
“ถ้าคนอื่นเขาเชื่อว่าพี่ได้กับก้องขึ้นมาจริงๆ ล่ะพี่” คนน้องย้ำถามอีกครั้ง เขาเป็นห่วงคนตรงหน้าอย่างมากเพราะเรื่องที่นินทากันมันไม่ได้ฟังดูเป็นเรื่องเล็ก เขาจึงไม่อยากให้พี่บุ๊คต้องมาเจอกับข่าวเสียหายแบบนี้
“พี่ไม่เดือดร้อนอะไรนะ ในเมื่อมันไม่ใช่เรื่องจริง พี่ไม่รู้จะดิ้นทำไม ไว้รอใครมาถามพี่ค่อยบอกเขาแล้วกันว่าไม่จริง” พี่บุ๊คเอ่ยตอบเสียงนิ่งก่อนจะยิ้มเบาๆ ให้กับกันต์ สีหน้าดูไม่ได้เป็นกังวลอะไรมากนัก
“เอางั้นเหรอ”
“อือ แกไม่ต้องคิดมากหรอก พี่คิดว่าเรื่องนี้พี่เอาอยู่”
กันต์ได้ฟังแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เขาไม่รู้ว่าจะเครียดหรือจะไม่เครียดดี ภาพลักษณ์มันก็สำคัญแต่ถ้าเจ้าตัวยืนยันมาแบบนั้นก็คงต้องปล่อยไป เขาแค่รู้สึกว่าการถูกเอาไปพูดในเรื่องที่ไม่จริงมันน่ากลัว หากว่าคนจำนวนมากเลือกเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา อาจจะส่งผลเสียต่อตัวคนที่ถูกพูดถึงก็เป็นได้ แต่การที่ตัวพี่บุ๊คพูดแบบนั้นก็เข้าใจอยู่ว่าการจะไปไล่แก้ตัวกับทุกคนที่เข้าใจผิดดูจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป หากไม่ใช่เรื่องจริงเราก็ไม่จำเป็นต้องแคร์ขนาดนั้น
“แต่พี่รู้นะว่าใครปล่อยข่าวนี้” อยู่ๆ บุ๊คก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบหลังจากที่พวกเขาจบบทสนทนาก่อนหน้าไปได้ครู่หนึ่ง
“ใครอะพี่”
“พี่ปั๊บไง”
“พี่ปั๊บ?”
“พี่ปั๊บ ผู้จัดการไอ้ก้องนั่นแหละ” พี่บุ๊คอธิบายต่อด้วยสีหน้าเอือมเล็กน้อย หลังจากที่เขาพอจะคาดเดาออกว่าข่าวเรื่องที่เขาได้กับก้องนั้นหลุดมาจากใคร
“แล้วพี่รู้ได้ไงว่าเป็นพี่เขา”
“ก็เรื่องนี้มีแค่พี่ปั๊บที่รู้ วันที่ก้องโทรหาพี่ว่าให้ช่วยหาครูสอนแอคติ้งให้หน่อย ก็เป็นเพราะพี่ปั๊บแนะนำ แล้วเรื่องนี้พี่ก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ถ้ามันจะหลุดก็หลุดมาจากไอ้ก้องไม่ก็พี่ปั๊บนั่นแหละ”
“...” กันต์นั่งฟังเงียบกริบ พยายามคิดตาม เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมพี่บุ๊คถึงได้มั่นใจนักว่าคนปล่อยข่าวเป็นพี่ปั๊บ ทำไมไม่สงสัยว่าเป็นน้องก้องบ้าง
“สงสัยล่ะสิว่าทำไมพี่คิดว่าเป็นพี่ปั๊บ”
“ใช่ พี่ดูมั่นใจมากอะ”
“ก่อนหน้านี้เขาเคยมาคุยกับพี่ เรื่องที่ว่าอยากจะให้เป็นคู่จิ้นกับก้อง แต่พี่ก็เงียบๆ ไปไม่ได้ให้คำตอบอะไร จะปฏิเสธก็กลัวว่าน้องมันจะเสียใจ เดี๋ยวจะพาลคิดว่าพี่ไม่โอเคกับมันไรงี้ พี่เลยเฉยๆ ไว้” บุ๊คเล่าให้ฟังต่อก่อนจะยกน้ำขึ้นมาดื่มหลังจากที่พูดมาพักใหญ่ “แล้ววันนั้นเรื่องขึ้นคอนโดก้องก็มีแค่พี่ ก้อง แล้วก็พี่ปั๊บที่รู้ จากที่พี่รู้จักก้องมาพักใหญ่ ไอ้ก้องมันไม่ใช่คนที่จะชอบเอาเรื่องคนอื่นไปเล่าอะ มันเรียนหมออย่างเดียวก็ยุ่งจะตายห่าละ ไม่ได้หลับได้นอน จะเอาเวลาไหนไปปล่อยข่าว”
“แสดงว่าพี่ก็ต้องสนิทกับก้องมากเหมือนกันนะ พี่ถึงได้มั่นใจขนาดนี้” กันต์เอ่ยพูดขึ้นมาในระหว่างนั้น แม้จะรู้สึกไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการที่พี่บุ๊คยืนกรานว่าก้องไม่ใช่คนปากสว่างได้ก็ต้องรู้จักกันดีมากทีเดียว
“พี่คุยกับมันทุกวันอะแก คุยทุกเรื่อง ก็ค่อนข้างสนิทแหละ”
โอเค จบ!
พอได้ยินแบบนั้นกันต์ก็รู้สึกเหมือนมีหนามแหลมปักลงกลางใจทันที มันเจ็บจี๊ดแต่เขาก็พยายามที่จะไม่สนใจอะไร สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ควรที่จะแสดงอาการอะไรออกไปทั้งนั้น
“แล้วพี่จะเอาไงต่อ”
“ก็ปล่อยไป จากนี้ก็คงห่างๆ กับก้องบ้าง จะได้ไม่เป็นข่าวอีก จริงๆ พี่ก็รู้แหละว่าพี่ปั๊บทำแบบนี้ทำไม เขาคงอยากจะมัดมือชกพี่ล่ะมั้ง อีกอย่างพี่ก็แอบคิดว่าการที่ก้องเข้ามาตีสนิทกับพี่เนี่ยเพราะถูกพี่ปั๊บบอกมาหรือเปล่า พอมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น มันก็กลายเป็นว่าเหมือนพวกเขาเข้าหาพี่เพราะผลประโยชน์อะ คือที่ผ่านมาก้องเป็นน้องที่ดีนะ แต่หลังจากนี้อาจจะต้องระวังหน่อย ไม่รู้ว่าจะไว้ใจได้มากน้อยแค่ไหน คือพี่ไม่เชื่อหรอกว่าผู้จัดการกับนักแสดงจะไม่คุยกัน มันเป็นไปไม่ได้” บุ๊คอธิบายให้กันต์ฟังเสียยืดยาวราวกับว่าได้ปลดล็อกอะไรบางอย่าง เขาจึงพูดออกมาได้อย่างสบายใจมากขึ้น
“ก็จริง...” กันต์พยักหน้าเห็นด้วย
“อีกอย่างนะ คอนเนคชั่นของพี่ปั๊บก็น่าจะหาครูสอนแอคติ้งดีๆ ได้ไม่ยากเปล่า ทำไมจะต้องเจาะจงให้พี่ช่วยหาให้ พอมาคิดแบบนี้มันก็แปลกจริงอะ ทั้งที่พี่เพิ่งจะเข้าวงการมาแท้ๆ ทำไมต้องเป็นพี่”
“ก็คงเพราะอยากจะให้พี่จิ้นกับก้องจริงๆ นั่นแหละ เขาถึงได้ทำแบบนี้ เผื่อต่อยอดขายงานอื่นๆ ให้เด็กตัวเองหลังซีรีส์เรื่องนี้จบไง” กันต์เริ่มมองเห็นภาพอนาคตจากสิ่งที่เกิดขึ้น พอเขาได้ฟังเรื่องที่พี่บุ๊คพูดก็ยิ่งเข้าใจภาพรวมมากขึ้น
“ใช่ วงการนี้ทุกอย่างมันมีผลประโยชน์ทั้งนั้นแหละ เหมือนที่พี่บอกแกคราวก่อน ให้ระวังตัวให้ดี อย่าไปใจดีมากนัก เพราะมันมีแต่คนจ้องจะเอาเปรียบเรา” แววตาของบุ๊คยังคงเต็มไปด้วยความห่วงใยเหมือนกับครั้งก่อนตอนที่พูดเรื่องนี้ เขาอดเป็นห่วงกันต์ไม่ได้จริงๆ
เรื่องการมองคนได้ขาด เขามั่นใจในตัวเองมากและเขาก็คิดว่าเขามองกันต์ไม่ผิด ความใสซื่อ มีจิตใจดี และเปิดรับทุกคนอย่างจริงใจนั้น เป็นเหตุผลว่าทำไมพี่บุ๊คถึงยิ่งรู้สึกเป็นห่วงกันต์มากกว่าเดิม