วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
เป็นอีกเช้าที่กันต์ต้องตื่นแต่เช้าเพราะวันนี้คืองานอีเวนต์งานแรกหลังจากที่ซีรีส์เริ่มเปิดตัวไป เขาค่อนข้างแปลกใจเพราะการตอบรับมันเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้มากทีเดียว ทั้งที่ซีรีส์ยังไม่ออนแอร์ด้วยซ้ำ เขาไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสไปออกงานอีเวนต์อะไรแบบนี้อาจเพราะเขาเป็นแค่เพียงนักแสดงสมทบในเรื่อง แต่โชคชะตาคงเห็นใจจึงทำให้นักแสดงทีมหลักบางคนคิวไม่ได้ในวันนี้ โอกาสจึงตกมาถึงเขา
เขารีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อลงมารอที่ด้านล่างของบ้านเพราะพี่ซีบอกว่ากำลังเข้ามารับ ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานรถยนต์ของผู้จัดการก็ขับมาจอดที่หน้าบ้านแบบตรงเวลาเป๊ะ ที่พวกเขาต้องรีบออกแต่เช้าก็เพราะโลเคชั่นการจัดงานในวันนี้อยู่ที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง หากไม่เผื่อเวลาเดินทางอาจเจอรถติดแบบมหันต์ได้
ซึ่งเขากับพี่ซีก็คิดถูกเพราะขนาดที่เขาออกมาแต่เช้าก็ยังหนีไม่พ้นขบวนรถแน่นขนัดที่พากันออกมาเที่ยวในวันหยุด แต่ก็ยังดีที่มันยังพอจะเคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้ติดแหง็กอยู่กับที่เป็นชั่วโมง
เมื่อมาถึงพี่ซีกับกันต์ก็รีบเดินขึ้นไปที่ห้องแต่งตัวในทันที ทั้งคู่แอบหลงนิดหน่อยเพราะเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก แม้จะโทรหาพี่เจี๊ยบแล้วเดินไปตามทางที่เธอบอกก็ตาม แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไปถึงห้องแต่งตัวได้ทันเวลานัด
“สวัสดีครับ!” กันต์ยกมือขึ้นไหว้แล้วเอ่ยทักทุกคนในห้องทันทีที่เข้าไป ทุกคนหันมาทักทายกลับด้วยความยิ้มแย้ม
“น้องกันต์!! มานั่งนี่เลยจ้า” พี่เจี๊ยบร้องทักแล้วเดินเข้ามาคว้าแขนเจ้าของชื่อก่อนจะพาเดินไปนั่งยังหน้าโต๊ะแต่งหน้าที่มีกระจกบานใหญ่และไฟส่องสว่างอยู่
“สวัสดีครับ” กันต์ยกมือไหว้พี่ช่างแต่งหน้าที่อยู่ตรงนั้น พี่เขาก็ยิ้มให้ก่อนที่จะเริ่มลงมือแต่งหน้าให้กับกันต์ทันที
กันต์นั่งแต่งหน้าอยู่ได้พักใหญ่ พี่บุ๊ค พี่ภูมิ และน้องซันก็ตามมาสมทบ ทุกคนมาถึงก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า มานั่งประจำที่ให้ช่างแต่งหน้าและทำผมทันที กันต์ได้ยินแต่เสียงทักทายแต่ก็ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นไปมองเพราะพี่ช่างแต่งหน้ากำลังลงอายแชโดว์บนเปลือกตาให้อยู่
อีเวนต์วันนี้เป็นครั้งแรกที่นักแสดงในเรื่องทุกคนได้มาออกงานร่วมกัน จึงทำให้ทั้งพวกเขาทั้งแฟนคลับต่างก็ตื่นเต้นกันมากเป็นพิเศษ แถมงานนี้ยังเป็นงานประกาศรางวัลอีกด้วย นับว่าเป็นงานแรกที่เป็นงานใหญ่จึงทำให้ดูพิเศษมากขึ้นกว่าเดิม
“กินไรยังพี่” น้องซันหันมาเอ่ยทักหลังจากที่เห็นว่ากันต์แต่งหน้าทำผมเสร็จเรียบร้อย ในขณะที่ตัวน้องซันเองยังทำผมไม่เสร็จ
“ยังไม่ได้กินเลยน้อง ว่าจะหาอะไรกินอยู่”
“ผมซื้อของกินมาหลายอย่างเลยพี่ แบ่งไปกินได้นะ”
“ขอบใจมากน้อง เดี๋ยวพี่ไปเดินดูก่อน”
“ครับ”
กันต์ยิ้มร่าหลังจากที่น้องซันบอกแบบนั้น เขายังคงมองว่าน้องซันเป็นเด็กที่น่ารักแบบเสมอต้นเสมอปลาย เจอกันวันแรกเป็นยังไงตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น แต่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากที่ซีรีส์ออนแอร์ไปแล้วน้องซันจะยังเป็นคนเดิมอยู่หรือเปล่า
เขาไม่ได้จะใส่ความใครแต่ก็แค่คิดเอาไว้ล่วงหน้าเฉยๆ เพราะชื่อเสียงและความโด่งดังมักจะทำให้คนลืมตัวอยู่เสมอ
“อันนี้กินได้ไหมครับ” กันต์เห็นข้าวกล่องจำนวนมากวางอยู่ที่โต๊ะหน้าขาวมุมห้องแต่งตัวจึงเอ่ยถามพี่สต๊าฟที่อยู่แถวนั้น แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบเขาได้ ทำได้แค่เพียงตอบว่าไม่รู้ เขาถึงกับถอนหายใจจนหันไปเจอพี่เจี๊ยบเดินเข้ามาพอดีเขาจึงตะโกนเรียกแล้วเอ่ยถาม “พี่เจี๊ยบครับ ข้าวบนโต๊ะกินได้ไหมครับ”
“กินได้ๆ กินเลย”
“อาเคครับ” กันต์ยิ้มรับแล้วหันหลังกลับไปหยิบข้าวกล่องบนโต๊ะ ชั่วขณะหนึ่งเขาสบตากับพี่สต๊าฟคนเก่าที่ก่อนหน้านี้ส่ายหัวตอบว่าไม่รู้ว่าข้าวบนโต๊ะนั้นสามารถกินได้ไหม แม้กันต์จะแอบเคืองอยู่เล็กน้อยแต่เขาก็พยายามจะเก็บอารมณ์เหล่านั้นเอาไว้แล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้างก่อนจะขยับปากบอกอีกฝ่ายแบบไร้เสียงว่า ‘มันกินได้ครับ’ แต่กลายเป็นว่าพี่สต๊าฟคนนั้นดูจะกลัวเขาขึ้นมามากกว่าเดิม
“เดี๋ยวกินเสร็จแล้วไปเปลี่ยนชุดนะ” พี่ซีเดินเข้ามากระซิบบอกพร้อมยื่นกาแฟเย็นแก้วโตจากยี่ห้อดังให้กับเขา
“ครับพี่ซี”
กันต์ตอบรับพลางรับกาแฟแก้วนั้นมาวางไว้ใกล้ๆ ส่วนพี่ซีก็เดินออกไปข้างนอกเพราะพี่เขาไม่อยากจะอยู่เกะกะในห้อง เดี๋ยวจะต้องกลายเป็นขี้ปากให้ทีมงานเมาท์อีก กันต์ค่อยๆ แกะกล่องข้าวเปิดออกภายในเป็นข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาวทั่วไปแต่ดูจากพริกที่ใส่มานั้นก็คงเดาได้ไม่ยากว่ามีรสชาติเผ็ดแน่นอน เขาบรรจงเอาช้อนและส้อมเขี่ยพริกออกเพราะคิดเอาว่าจะช่วยบรรเทารสเผ็ดไปได้บ้าง
“ไม่กินเผ็ดเหรอ” พี่ภูมิที่เพิ่งแต่งหน้าทำผมเสร็จเดินมานั่งลงข้างๆ พร้อมข้าวกล่องที่หยิบมาจากที่เดียวกัน
“ใช่พี่”
“กินเผ็ดน้อยได้ไหม หรือไม่กินเผ็ดเลย” พี่ภูมิถามต่อ แม้ว่ากันต์จะงงๆ เล็กน้อยแต่ก็ยินดีที่จะตอบ
“ถ้าเผ็ดแบบนิดหน่อยก็ยังพอได้อยู่พี่ บางอย่างถ้าไม่เผ็ดก็ไม่อร่อยอะ” กันต์ยู่หน้าเล็กน้อยตามอารมณ์ที่พูดพลางตักข้าวกะเพราในกล่องมาเข้าปาก
“เป็นไง” พี่ภูมิถามพลางยกยิ้ม
“เผ็ดอยู่ครับ แต่พอกินได้”
“ดีแล้วๆ” พี่ภูมิเห็นแบบนั้นก็เลยหันไปกินข้าวของตัวเองบ้าง เพราะเวลาเหลืออีกไม่มากก็จะใกล้เวลาเริ่มงาน ไหนจะต้องเปลี่ยนชุดอีก
กันต์นั่งกินข้าวอยู่ตรงนั้นกับพี่ภูมิอยู่พักใหญ่ ซันและพี่บุ๊คก็ตามมาสมทบโดยทั้งคู่ลากเอาข้าวที่ตัวเองซื้อติดมือมานั่งร่วมวงแล้วบอกให้ภูมิกับกันต์ลองชิมของที่ตัวเองซื้อมาด้วย
ในนั้นมีอาหารญี่ปุ่นหลายอย่างเพราะพี่บุ๊คชอบกิน ส่วนน้องซันจะเน้นเป็นพวกไก่ทอดเสียมากกว่า ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้กันต์ได้มีอะไรกินแก้เผ็ดบ้าง ไอ้ผัดกะเพราที่ตอนแรกว่าเผ็ดพอจะทนได้กลับกลายเป็นว่าพอกินไปนานๆ มันก็เผ็ดขึ้นเรื่อยๆ เสียอย่างนั้น
“เด็กๆ กินกันเสร็จยังจ๊ะ” พี่เจี๊ยบเดินเข้ามาถามหลังจากเวลาผ่านไปได้พักใหญ่
“เสร็จละครับ” พี่บุ๊คเป็นตัวแทนในการเอ่ยตอบบสนทนานั้น ก่อนจะคว้าหยิบเอาบรรดากล่องเปล่าที่พวกเขากินสิ่งที่อยู่ด้านในกันหมดแล้วทิ้งลงถุงขยะ จนพี่สต๊าฟที่อยู่ใกล้ๆ ต้องวิ่งเข้ามาหาแล้วบอกว่าให้วางทิ้งไว้เดี๋ยวพวกเขาจะเป็นคนเก็บไปทิ้งให้เอง
“เดี๋ยวไปเปลี่ยนชุดเลยนะ ใกล้เวลางานเริ่มละ” พี่เจี๊ยบพูดจบก็เดินออกไป โดยทิ้งให้น้องสต๊าฟอีกคนวิ่งเข้ามาดูแลและพากลุ่มนักแสดงไปเปลี่ยนชุดแทน
ทั้งหมดเปลี่ยนไปใส่ชุดสูทธีมสีเหลืองตามที่งานกำหนดเอาไว้ โดยที่พี่ภูมิกับน้องซันใส่สูทสีเหลืองนวล ในขณะที่พี่บุ๊คกับกันต์ใส่สูทสีเทาแล้วเชิ้ตด้านในเป็นสีเหลืองอ่อน พอทุกคนเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยมายืนรวมกันก็ดูโดดเด่นขึ้นมาในทันที
“หล่อมากทุกคน” พี่เจี๊ยบเดินกลับเข้ามาเห็นเข้าก็อดตะลึงไม่ได้จนถึงกับหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ก่อนจะเช็คดูความเรียบร้อยของแต่ละคนอีกครั้งแล้วเอ่ยบอก “เรียบร้อยเนอะ พร้อมมั้ย”
“ครับ” เสียงของซันดังขึ้นพร้อมยิ้มกว้าง พี่เจี๊ยบจึงพยักหน้าให้ทุกคนเดินตามออกไป
พวกเขาเดินตามหลังพี่เจี๊ยบและสต๊าฟในงานไปตามทาง ระหว่างนั้นกันต์หันไปเห็นพี่ซีเดินตามมา จึงหันไปถามว่าตัวเองดูดีแล้วหรือยัง พี่ซีได้แต่พยักหน้าให้แล้วยกนิ้วโป้งแถมชมว่าหล่อมาก ทำให้กันต์รู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
ยิ่งเดินมาใกล้ทางออกเมื่อไหร่ พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น เสียงอื้ออึงด้านนอกดังลอดเข้ามาภายใน บริเวณที่พวกเขายืนแสตนบายเพื่อรอที่จะเดินพรมแดงนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเป็นสต๊าฟ ทีมงาน กลุ่มนักแสดงศิลปิน หรือทีมรักษาความปลอดภัย ทุกคนกำลังดูยุ่งกับหน้าที่ของตัวเอง
“รอตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่มา” พี่เจี๊ยบหันมาบอกทุกคนก่อนจะพุ่งตัวไปหาทีมงานคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนักก่อนจะเดินกลับมาหาพวกเขา “พร้อมนะ พี่จะได้ให้ไปแสตนบายเลย”
“ครับ” ทุกคนส่งเสียงตอบออกมาพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย
พี่เจี๊ยบเดินนำทุกคนไปยังจุดแสตนบาย ความตื่นเต้นยิ่งทวีคูณขึ้นไปใหญ่เมื่อกันต์เริ่มได้ยินเสียงพิธีกรที่พูดผ่านไมโครโฟน เสียงผู้คนที่มายืนรอส่งเสียงเชียร์นักแสดงและศิลปินที่ตนเองชื่นชอบ นี่เป็นครั้งแรกที่กันต์จะได้เดินพรมแดงในงานประกาศรางวัลที่ใหญ่โตขนาดนี้ เขาเคยได้แต่ฝันไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้ทำมันจริงๆ
“ตื่นเต้นอะ” กันต์หันไปกระซิบบอกบุ๊คที่ยืนอยู่ข้างๆ
“พี่ก็เหมือนกัน” บุ๊คตอบพลางยกมือขึ้นมาโอบไหล่กันต์ๆ เหมือนต้องการจะให้กำลังใจคนข้างๆ หรือไม่ก็อาจจะเรียกกำลังใจให้ตัวเองตื่นเต้นน้อยลง
หลังจากนั้นไม่นานทีมงานก็เดินมาแจ้งว่าถึงคิวของทีมพวกเขา พวกเขาจึงเดินตามพี่ทีมงานคนนั้นไป ยืนรอจนกระทั่งได้ยินเสียงพิธีกรประกาศชื่อของพวกเขา พวกเขาจึงก้าวเดินผ่านบานประตูไป เสียงกรี๊ดและเสียงตะโกนเรียกชื่อของทุกคนดังสนั่นทำเอาจังหวะหัวใจของกันต์เต้นแรงมากขึ้นกว่าเดิม เขายิ้มกว้างแล้วโบกมือให้แฟนคลับที่ยืนอยู่ด้านนอก ก่อนจะเดินตามภูมิและซันไปตามทางเดินที่ปูพรมแดงเอาไว้
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่กันต์ก็ไม่ได้มีสติมากมายนัก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพิธีกรสัมภาษณ์อะไรบ้าง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เดินเข้ามาในงานแล้ว
“คนเยอะมาก” กันต์ได้ยินซันเอ่ยปากคุยกับภูมิ
“จริง ตกใจเลยอะ” ภูมิตอบแล้วหันมาหาทุกคน
ยังไม่ทันที่กันต์กับบุ๊คจะได้ร่วมสนทนาด้วยก็มีทีมงานเดินมาพาไปยังที่นั่งเสียก่อน โดยตำแหน่งที่นั่งของพวกเขาก็อยู่ด้านหลังถัดจากกลุ่มนักแสดงชื่อดังมาเพียงแถวเดียว จึงทำให้ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เพราะทุกอย่างดูใหม่สำหรับพวกเขาทั้งหมด
งานประกาศรางวัลเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางเสียงเชียร์จากแฟนคลับบ้านต่างๆ ที่เฝ้าลุ้นอยากให้คนของตัวเองได้รับรางวัล รวมไปถึงโชว์พิเศษจากศิลปินหลายๆ คน ทำให้งานในวันนี้น่าสนใจมากกว่าที่คิด ทั้งกันต์ บุ๊ค ภูมิ และซันก็ดูสนุกสนานร่วมไปกับงานด้วย
หลังจากจบงานพี่เจี๊ยบก็เดินมากระซิบบอกพวกเขาว่ามีแฟนคลับรอเจออยู่ เดี๋ยวจะให้อยู่รวมพลเพื่อเจอแฟนคลับประมาณยี่สิบนาที พวกเขาก็รับทราบตามนั้นก่อนจะลุกเดินตามออกไป
จุดนัดรวมพลอยู่บริเวณไม่ไกลจากงานมากนัก พวกเขารู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเดินมาถึงแล้วพบว่ามีแฟนคลับกลุ่มใหญ่นั่งรอพวกเขาอยู่ แถมบางคนยังถือป้ายเชียร์เป็นชื่อพวกเขาอีกด้วย
“สวัสดีคร้าบบบ” กันต์ บุ๊ค ภูมิ ซัน ยกมือขึ้นไหว้แล้วเอ่ยทักทายแฟนคลับพร้อมกัน ก่อนจะเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางบริเวณด้านหน้ากลุ่มแฟนคลับ
เสียงกรี๊ดดังขึ้นจนพวกเขาตกใจก่อนที่พี่เจี๊ยบจะวิ่งเข้ามาแล้วบอกให้กลุ่มแฟนคลับเบาเสียงนิดหนึ่งเพราะตอนขออนุญาตใช้สถานที่นั้นถูกห้ามเอาไว้ว่าห้ามส่งเสียงดัง ทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
กันต์ บุ๊ค ภูมิ ซัน ยืนแยกกันโดยมีระยะห่างประมาณหนึ่งช่วงแขนหลังจากที่ยืนรวมกลุ่มเพื่อทักทายและให้แฟนคลับถ่ายรูปรวมไปแล้ว เพราะเป็นช่วงเวลาที่จะให้แฟนคลับได้ต่อคิวเพื่อมอบของขวัญหรือถ่ายรูปกับศิลปินที่เป็นเมนของตัวเอง ซึ่งความนิยมก็วัดได้จากจำนวนประชากรที่ต่อแถวนั่นแหละ
แถวของภูมิและซันมีคนต่อยาวที่สุดในขณะที่ของบุ๊คก็พอสูสี ส่วนแถวของกันต์นั้นมีจำนวนสั้นที่สุด มีแฟนคลับต่อแถวอยู่ไม่ถึงสิบคน กันต์เห็นแบบนั้นก็รู้สึกน้อยใจอยู่นิดหน่อยแต่ก็เข้าใจว่าเขาเป็นเพียงนักแสดงสมทบในเรื่อง ความนิยมย่อมน้อยกว่าคนอื่นอยู่แล้ว เขาจึงหันกลับมาสนใจแฟนคลับที่อยู่ตรงหน้าของเขามากกว่า เพราะอุตส่าห์เสียเวลามารอเจอเขา เขาก็อยากจะพูดคุยกับแฟนคลับตรงหน้าให้เต็มที่เพื่อตอบแทนความรักที่มอบให้กับเขา
“หมดเวลาแล้วนะคะ ขอบคุณทุกคนมากเลยน้า เดี๋ยวไว้เจอกันใหม่ครั้งหน้านะคะ” เสียงพี่เจี๊ยบดังขึ้นทำเอาแฟนคลับบางส่วนโห่ร้องออกมาด้วยความเสียดาย เพราะยังไม่ทันถึงคิวที่ตัวเองจะได้ถ่ายรูปกับศิลปินของตัวเองก็หมดเวลาเสียแล้ว แต่เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นกับแถวของกันต์เนื่องจากแฟนคลับในแถวได้ถ่ายรูปคู่กันครบตั้งแต่ห้านาทีแรก
พี่เจี๊ยบพาพวกเรากลับมาที่ห้องแต่งตัวเพื่อเก็บข้าวของส่วนตัวและเปลี่ยนชุดกลับไปเป็นชุดของตัวเอง เพราะชุดที่ใส่เข้างานจะต้องนำไปคืนให้กับร้าน ภูมิเปลี่ยนเสร็จเป็นคนแรกจึงขอตัวกลับบ้านก่อน
“กลับก่อนนะครับทุกคน หวัดดีครับ”ภูมิยกมือไหว้แล้วส่งยิ้มให้ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องแต่งตัวไป
หลังจากนั้นไม่นานกันต์ บุ๊ค ซันก็เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วส่งคืนให้กับพี่เจี๊ยบก่อนที่แต่ละคนจะคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายแล้วเดินออกจากห้อง
“กลับไง” บุ๊คหันมาถามกันต์
“บีทีเอสครับ”
“งั้นไปหาไรกินด้วยกันก่อนมั้ย”
“ได้พี่ เดี๋ยวผมไปบอกพี่ซีแป๊บนึง” กันต์บอกก่อนจะเดินออกไปหาพี่ซีที่กำลังเดินเช็คว่ามีของอะไรที่กันต์ลืมวางทิ้งเอาไว้อีกไหม
“น้องซัน จะไปด้วยกันไหมครับ” บุ๊คหันไปถามซันที่กำลังยืนคุยอยู่กับผู้จัดการของตัวเอง
“ไม่น่านะครับ พอดีเดี๋ยวผมมีรวมพลเดี่ยวต่อครับ” ซันยิ้มแหยเมื่อบุ๊คถามแบบนั้น ใจจริงเขาเองก็อยากจะกลับบ้านแล้ว แต่เพราะผู้จัดการแนะนำว่าควรจะต้องรวมพลสำหรับแฟนคลับที่เป็นบ้านเดี่ยวของซันเสียหน่อย เขาจึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องทำตาม
“อ่อ โอเค ได้ๆ งั้นพี่ไปละ” บุ๊คเอ่ยบอกพลางหันไปส่งสัญญาณให้กับกันต์ว่าถึงเวลาที่จะต้องไปหาอะไรกินสักที
“พี่ไปก่อนนะน้องซัน” กันต์วิ่งกลับมาก่อนจะยกมือโบกลารุ่นน้องตรงหน้าพลางยิ้มกว้างแล้วหันหลังเดินออกจากห้องแต่งตัวไปพร้อมกับบุ๊ค
บุ๊คกับกันต์พากันเดินไปยังลานจอดรถที่อยู่ติดกับตัวอาคารห้องแต่งตัว ทั้งคู่ขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างไม่รอช้า ปลายทางเป็นร้านอาหารอีสานที่บุ๊คมักจะไปกินอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่สมัยเรียน กันต์ได้รับฟังประสบการณ์ความอร่อยจากเจ้าของรถตั้งแต่ขึ้นรถมาจนถึงร้านที่อยู่ห่างออกไปเพียงสองสถานีรถไฟฟ้าเท่านั้น ก็ยิ่งรู้สึกอยากจะลิ้มรสอาหารของร้านนี้เหลือเกินว่ามันจะสมคำร่ำลือที่พี่บุ๊คได้เล่าให้ฟังไหม
ลานจอดรถมีรถจอดอยู่แน่นขนัดแต่ก็ยังไม่ถึงกับเต็ม บุ๊คได้ที่จอดแบบพอดิบพอดีหลังจากที่เลี้ยวรถเข้ามาก็มีรถคันที่จอดอยู่ก่อนหน้าถอยออก ต้องขอบคุณเจ้าที่เจ้าทางที่เห็นใจคนหิวทั้งสองคน
บุ๊คเดินนำลิ่วเข้าไปด้านในทันทีหลังจากที่ลงจากรถ เป็นเพราะความหิวโซของเขา ส่วนกันต์ก็ได้แต่เดินตามต้อยๆ มาด้านหลัง ไม่รู้หรอกว่าไอ้ร้านที่คนพี่บอกมันอยู่ตรงไหน
“สองคนครับ” บุ๊คเอ่ยบอกพนักงานที่ยืนอยู่หน้าร้านอย่างชำนาญด้วยความที่มากินที่ร้านนี้บ่อยตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี
บุ๊คพากันต์เดินเข้ามานั่งในร้านที่มีลูกค้าแค่พวกเขาเพียงโต๊ะเดียว กันต์ถึงกับงุนงงมองไปรอบๆ ร้าน ไหนพี่บุ๊คบอกว่าอร่อยแต่ทำไมถึงไม่มีลูกค้าสักโต๊ะ
“มันอร่อยจริงเหรอพี่ ทำไมไม่มีลูกค้าเลย”
“แกลองกินดูก่อน หอยแครงลวกที่นี่อร่อยมาก” พี่บุ๊คเอ่ยบอกพลางหยิบกระดาษกับปากกาที่วางอยู่บนโต๊ะออกมาจดเมนูหอยแครงลวกลงไป “แกจะกินไร”
“ยำหมูยอ แล้วก็ต้มแซ่บกระดูกอ่อน” กันต์ตอบระหว่างที่เปิดดูเมนูอาหาร
“โอเค ข้าวเหนียว 2 เนอะ”
“ครับ”
“จบ น้องครับ สั่งอาหารหน่อยครับ” พี่บุ๊คยกมือเรียกพนักงานแล้วยื่นกระดาษที่จดเมนูให้
ครืดดดด~~
เสียงมือถือของกันต์สั่นดังขึ้น กันต์หยิบขึ้นมาดูก็ต้องแปลกใจเพราะเป็นรายชื่อที่เขาไม่คิดว่าจะโทรมาหา เขาจึงรีบกดรับสายทันที
“ฮัลโหลครับพี่ภูมิ”
(กันต์อยู่ไหนอะ)
“กินข้าวอยู่กับพี่บุ๊คครับ”
(ทำไมถึงปล่อยให้ซันไปรวมพลเดี่ยวอะ)
“หื้ม? กันต์ไม่รู้เหมือนกันครับ เหมือนว่าพี่ผู้จัดการของซันจะบอกนะครับ”
(งงอะ ก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่แยกไปรวมพลเดี่ยว แบบนี้แฟนคลับจะมองว่าพี่เป็นคนยังไงเนี่ย)
กันต์ถึงกับทำหน้างงเมื่อได้ยินภูมิพูดด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์แบบนั้น เขาตัดสินใจเปิดลำโพงเพื่อให้พี่บุ๊คได้ฟังด้วย
“พี่ภูมิหมายถึงอะไรนะครับ”
(ก็คุยกันไว้ว่าเราจะรวมพลด้วยกัน เสร็จแล้วก็แยกย้าย ไม่มีไปรวมพลเดี่ยว แต่ทำไมน้องซันถึงไปรวมพลเดี่ยวอยู่คนเดียว แล้วแบบนี้คนอื่นเขาจะไม่มองว่าพี่หนีแฟนคลับ ไม่รู้จักให้เวลากับแฟนคลับเหรอ ไอ้ซันก็ได้ซีนไปเต็มๆ เลยดิ)
“เอ่อ... ผมว่าพี่ภูมิน่าจะคิดมากไปนะครับ ของน้องซันผู้จัดการเขาเป็นคนบอกให้ทำครับ”
(แล้วทำไมไม่บอกน้องมันอะ ประเด็นคือเราคุยกันแล้วไง)
“ก็ผู้จัดการเขาเป็นคนจัดแจง จะให้ไอ้กันต์มันไปพูดได้ยังไงล่ะ ไม่ใช่หน้าที่มันซะหน่อย” พี่บุ๊คเริ่มทนไม่ไหวที่ภูมิดูงี่เง่าเกินเหตุ กับเรื่องแค่นี้ทำไมถึงได้เป็นเดือดเป็นร้อนนักก็ไม่รู้
(โว้ะ!!) ภูมิอารมณ์เสียขึ้นมาเสียอย่างนั้นแล้วก็กดตัดสายไปทำเอาทั้งบุ๊คและกันต์ต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก
“เขาเป็นไรของเขาอะ” กันต์เอ่ยพูดพลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า
“ไม่รู้ แต่พี่ว่าเขาแปลก เริ่มรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตาละ” บุ๊คเอ่ยบอกพลางหัวเราะออกมาเบาๆ
“นั่นดิพี่ แล้วไอ้ที่บอกว่า ‘ไอ้ซันได้ซีนไปเต็มๆ’ นี่กันต์ว่ามันแรงไปหน่อยไหม ก็ทำงานด้วยกันแท้ๆ แบบนี้เหมือนมองว่าน้องเป็นคู่แข่งมากกว่า”
“ก็คงจะยังงั้นล่ะมั้ง แต่ก็อย่าเพิ่งไปตัดสินเขาเลย รอดูไปก่อน แต่จากที่เห็นวันนี้ก็คงไม่พ้นแบบที่แกบอกนั่นแหละ”