วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ

วายบันเทิง - บทที่ 11 เคลียร์ใจ โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

วายบันเทิง

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ

รายละเอียด

วายบันเทิง โดย Run_Kantheephop @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ

ผู้แต่ง

Run_Kantheephop

เรื่องย่อ

วายบันเทิง

The Gossip of BL

Run_Kantheephop

เรื่องแต่ง 99%  อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง

ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)

ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ

********************************************************************************

มีทั้งหมด 5 เล่ม

E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB

สารบัญ

วายบันเทิง-Intro บทนำ,วายบันเทิง-บทที่ 1 เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง,วายบันเทิง-บทที่ 2 ผลลัพธ์ที่ดี,วายบันเทิง-บทที่ 3 ทริปมิตรสัมพันธ์,วายบันเทิง-บทที่ 4 สังสรรค์หรือสงคราม,วายบันเทิง-บทที่ 5 ยังไงกันแน่,วายบันเทิง-บทที่ 6 แต่ความจริงคือ...,วายบันเทิง-บทที่ 7 ระมัดระวัง,วายบันเทิง-บทที่ 8 ข่าวลือ,วายบันเทิง-บทที่ 9 มันจริงมั้ย?,วายบันเทิง-บทที่ 10 คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ,วายบันเทิง-บทที่ 11 เคลียร์ใจ,วายบันเทิง-บทที่ 12 มีซัมติงไหม?,วายบันเทิง-บทที่ 13 นี่ว่าใช่ ไม่ได้มโน,วายบันเทิง-บทที่ 14 โดนกับตัว,วายบันเทิง-บทที่ 15 ไม่พอใจ,วายบันเทิง-บทที่ 16 ต้องเลือก,วายบันเทิง-บทที่ 17 เมามาย 1,วายบันเทิง-บทที่ 18 เมามาย 2,วายบันเทิง-บทที่ 19 ทำไมทำงี้!?,วายบันเทิง-บทที่ 20 โอกาสเดียว,วายบันเทิง-บทที่ 21 หมดความอดทน,วายบันเทิง-บทที่ 22 ไม่จบไม่สิ้น,วายบันเทิง-บทที่ 23 โดนปลด,วายบันเทิง-บทที่ 24 เกาะกระแส,วายบันเทิง-บทที่ 25 ข่าวล่ามาไว,วายบันเทิง-บทที่ 26 เพื่อนใหม่,วายบันเทิง-บทที่ 27 งงไปหมด,วายบันเทิง-บทที่ 28 คนใหม่?,วายบันเทิง-บทที่ 29 มันเอาอีกละ,วายบันเทิง-บทที่ 30 สามหนุ่มเปิดใจ,วายบันเทิง-บทที่ 31 ก้าวใหม่,วายบันเทิง-บทที่ 32 คลาสแอคติง,วายบันเทิง-บทที่ 33 ไปแคสติงกัน,วายบันเทิง-บทที่ 34 ช่วยมาคุมความประพฤติอีสันดานนี่ที,วายบันเทิง-บทที่ 35 ข่าวเก่าเล่าใหม่,วายบันเทิง-บทที่ 36 ไม่เป็นไร,วายบันเทิง-บทที่ 37 รียูเนียน?,วายบันเทิง-บทที่ 38 เลิฟซีนเป็นเหตุ,วายบันเทิง-บทที่ 39 นั่นปากเหรอ!?,วายบันเทิง-บทที่ 40 เอาแล้วหัวใจ,วายบันเทิง-บทที่ 41 ระยะปลอดภัย,วายบันเทิง-บทที่ 42 เรื่องของฮัน,วายบันเทิง-บทที่ 43 หัวใจเจ้ากรรม หวั่นไหวง่ายจัง,วายบันเทิง-บทที่ 44 แค่พี่น้อง?,วายบันเทิง-บทที่ 45 ไปเชียงใหม่กันไหม,วายบันเทิง-บทที่ 46 เริ่มเลย,วายบันเทิง-บทที่ 47 เริ่มเลย 2,วายบันเทิง-บทที่ 48 ยินดีต้อนรับ,วายบันเทิง-บทที่ 49 ม่อนแจ่ม,วายบันเทิง-บทที่ 50 ไปขึ้นเขากัน,วายบันเทิง-บทที่ 51 กิ่วแม่ปาน,วายบันเทิง-บทที่ 52 เบื่อจริงๆ ไอ้พวกปากแข็ง,วายบันเทิง-บทที่ 53 ขอสักหน่อย หายไปหลายคืน,วายบันเทิง-บทที่ 54 กลับไป ไม่กลับใจ,วายบันเทิง-บทที่ 55 ความพยายาม,วายบันเทิง-บทที่ 56 อดีตช่วยย้ำเตือน,วายบันเทิง-บทที่ 57 เริ่มต้นเปิดใจ,วายบันเทิง-บทที่ 58 บททดสอบ,วายบันเทิง-บทที่ 59 ความลับที่ฉันซ่อนไว้,วายบันเทิง-ตอนที่ 60 ตอนจบที่มีความสุข

เนื้อหา

บทที่ 11 เคลียร์ใจ

เสียงอื้ออึงของคนทำงานดังไปทั่วบริเวณ การถ่ายทำเริ่มต้นอีกครั้งในสัปดาห์นี้หลังจากที่พักเบรคกันไปสามสี่วัน ตามตารางการถ่ายทำที่วางแพลนไว้คือจะออกกองช่วงวันพฤหัสบดีถึงวันอาทิตย์ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ถ่ายครบทุกวัน บางครั้งอาจใช้แค่สามในสี่วันที่กำหนดไว้ ส่วนวันจันทร์ถึงพุธก็จะถือว่าเป็นช่วงหยุดพักผ่อน 

สำหรับกันต์อาจจะใช่ แต่สำหรับทีมงานอย่างเช่นพวกพี่ตากล้อง ช่างไฟ ทีมอาร์ต ทีมคอสตูม พี่ๆ ช่างหน้าช่างผม หรือแม้กระทั่งตัวผู้กำกับเอง อาจจะไม่ได้หยุดแบบเขา เพราะก็ยังต้องวิ่งไปทำงานกองอื่นๆ อยู่ดี ชีวิตคนเรามันต้องกินต้องใช้ แต่ละคนต่างก็ต้องทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ หรือแม้แต่นักแสดงคนอื่นๆ ที่พอจะเริ่มมีชื่อเสียงและมีกระแสหน่อย วันที่ไม่ได้ออกกองก็เริ่มมีงานเล็กๆ น้อยๆ ให้ไปทำกัน ส่วนกันต์ก็ได้แต่นั่งนอนดูทีวีอยู่ที่บ้านเพราะว่างเกินและไม่ได้ทำงานอะไร

เขารู้สึกเสียดายเหมือนกันอยากจะไปหาอะไรทำ แต่ก็อย่างว่า เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรดี เพราะยังไม่เคยได้ลองใช้ชีวิตแบบออกไปทำงานเลยสักครั้ง การเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่คอยดูแลประคบประหงมเป็นอย่างดีก็ทำให้เขานั้นใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาจนเคยตัว การต้องออกไปหางานพาร์ทไทม์ทำเพื่อเลี้ยงตัวเองก็ออกจะดูลำบากไปสักหน่อย เขาได้แต่นอนคิดว่าคงจะพอมีงานอะไรบางอย่างที่สามารถจะหาเงินให้เขาได้บ้างแบบที่ไม่ต้องเหนื่อยเกินไป แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี

ชีวิตของกันต์เริ่มวนลูปเมื่อออกกองมาได้พักใหญ่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีคิวการถ่ายทำเยอะนักแต่ในทุกวีคอย่างน้อยต้องมีถ่ายหนึ่งครั้ง เขาเริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศการทำงานในกองถ่าย เริ่มสนิทกับพี่ๆ ทีมงาน ไม่ว่าจะเป็นแม่สวัสดิการ พี่ตากล้อง พวกน้าๆ ช่างไฟ เพราะกันต์ชอบไปนั่งคุยด้วยเวลาที่เขาได้พักเบรคระหว่างซีนที่เขาไม่มีถ่าย

แต่บรรยากาศในกองถ่ายวันนี้กลับไม่เหมือนที่เคย แม้ว่าจะยกกองมาถ่ายกันในห้างที่กว้างขวาง มีอากาศเย็นสบายแต่ความรู้สึกมันดูอึดอัดและมาคุยังไงชอบกล โดยเฉพาะท่าทีระหว่างพี่ภูมิกับซันที่ดูจะห่างเหินกันผิดปกติ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เวลาออกกองทั้งคู่ก็ดูสนิทสนมใกล้ชิดกัน คุยเล่นกันตามประสา แต่วันนี้กลับตรงกันข้าม หน้าบึ้งตึงแถมยังไม่เห็นคุยกันเลยสักคำตั้งแต่ตอนเช้า

“เขาเป็นไรกันอะ ไม่คุยกันเลยวันนี้” พี่ซีหันมากระซิบถามกันต์หลังจากที่กันต์ไปหยิบผลไม้จากโต๊ะสวัสดิการกลับมานั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง

“ไม่รู้ดิพี่ ทะเลาะกันมั้ง”

“เหรอ เรื่องไรอะ” 

“กันต์ก็ไม่รู้อะ”

อันที่จริงเขารู้... 

แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดเพราะรู้สึกว่าหากบอกไป คนอื่นจะต้องมองพี่ภูมิว่าเป็นคนงี่เง่าแน่ๆ แม้ว่าอนาคตอาจจะมีคนอื่นเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปพูดก็ตาม ปต่กันต์ขอแค่เรื่องเหล่านั้นไม่ได้ออกจากปากเขาก็พอ อย่างน้อยเขาจะได้ยืดอกรับได้อย่างเต็มปากว่าไม่ใช่เขาที่เป็นคนเอาไปเล่า

‘ซีนนี้มันต้องน่ารักๆ หยอกล้อกัน สนิทกันหน่อยอะ อันนี้มันดูฝืนๆ พี่ขอใหม่อีกทีนะ’

เสียงบรีฟของผู้กำกับดังผ่านมาทางวอ ซึ่งเป็นปกติที่ทุกคนในกองจะได้ยินกันหมด กันต์หันไปมองบุ๊คกำลังนั่งอ่านบทเงียบๆ อยู่อีกมุมหนึ่ง สายตาของทั้งคู่จ้องมองกันอย่างรู้ความหมายแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

พวกเขารู้ดีว่าการที่สถานการณ์มันเป็นแบบนี้เพราะเรื่องอะไร แต่ก็เป็นปัญหาที่คนก่อเรื่องจะต้องตามแก้ไขเอาเอง พวกเขาแค่มีส่วนในการรับรู้เพียงเท่านั้น

‘คัท!!! มันยังไม่ได้ว่ะ วันนี้พวกเอ็งสองคนเป็นไรกันเนี่ย เล่นไม่ได้เลย หลายเทคละนะ มันเสียเวลา ตั้งใจหน่อย พี่ขออีกรอบ’

เสียงผู้กำกับแข็งกร้าวขึ้นมากกว่าเดิมบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เริ่มปะทุขึ้น พี่ๆ ช่างแต่งหน้าถึงกับหันมามองหน้านักแสดงที่นั่งอยู่ในห้องนั้นพลางเบ้ปากแล้วเอ่ยแซวว่าผู้กำกับวีนละนะ พวกแกโดนด่าแน่วันนี้ ก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะกันเพราะเป็นอันรู้ดีว่าหากวันใดที่ผู้กำกับอารมณ์เสียตั้งแต่เช้าแล้วล่ะก็ วันนั้นทั้งวันทุกคนในกองเตรียมโดนวีนได้เลย

ปกติเวลาที่ภูมิกับซันเข้าซีนด้วยกันก็มักจะใช้เวลาในการถ่ายทำเพียงไม่นาน อย่างมากที่สุดก็ 20 นาที แต่วันนี้ในซีนดังกล่าวที่เป็นซีนเป็นง่ายๆ แค่หยอกล้อแบบเพื่อนที่สนิทสนมกันดันใช้เวลาไปกว่าสี่สิบนาทีแล้ว ซึ่งทำให้เกินเวลาถ่ายทำที่วางแผนเอาไว้มากทีเดียว 

ผู้กำกับเริ่มหงุดหงิดทุกคนรู้ดีเพราะทุกครั้งที่เสียงวอดังขึ้น น้ำเสียงของผู้กำกับนั้นเริ่มทวีความโมโหขึ้นทุกที จนบรรยากาศภายในกองเริ่มมาคุอย่างเห็นได้ชัด ทีมงานทุกฝ่ายเริ่มอยู่กันไม่สุข

‘คัททท!!! พักเบรกสิบห้านาที ภูมิกับซันมาคุยกับพี่หน่อย’

เสียงพี่ผู้กำกับดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนที่ได้ยินวอต่างหันมองหน้ากันเพราะการที่ถูกเรียกคุยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ มันหมายถึงว่านักแสดงเล่นไม่ได้จริงๆ ต้องเรียกมาคุยกันใหม่สักหน่อย

ปัง!!!

“พวกเอ็งเป็นอะไรกันวะ!!” ผู้กำกับเปิดบานประตูห้องแต่งตัวแล้วผลักเข้ามาอย่างแรง ทำเอาช่างแต่งหน้า ทีมคอสตูมและนักแสดงคนอื่นๆ รวมถึงกันต์ต่างก็ตกใจไม่น้อย แต่ละคนรีบเดินหนีออกจากห้องนั้นทันที เพราะคิดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาควรจะอยู่ตรงนี้ ผู้กำกับเองก็เหล่ตามองไปรอบห้อง ยิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะปรากฏตัวอยู่ในนั้น

“ไหนเล่ามาดิ๊ ว่าเป็นอะไร ทำไมวันนี้เล่นไม่ได้เลย ทะเลาะอะไรกัน”

“เปล่าครับ” ภูมิตอบเสียงนิ่ง

“เปล่าได้ไง ก็มันเห็นๆ อยู่อะ พวกเอ็งไม่คุยกันเลย ขนาดตอนต่อบทก็ยังไม่ค่อยจะอยากต่อกัน แยกแยะหน่อย เรื่องงานกับส่วนตัวอะ ไม่ใช่มาทำแบบนี้ คนอื่นเขาเสียเวลา เข้าใจไหม”

“ครับ” ภูมิตอบรับก่อนจะหันไปมองหน้าซัน แต่ซันก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไร

“สรุปใครจะเล่า เป็นอะไร มีปัญหาอะไรกัน จะได้รีบเคลียร์ รีบกลับไปทำงาน” ผู้กำกับถามย้ำพลางมองทั้งคู่ด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

“ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ” ซันเอ่ยตอบด้วยใบหน้านิ่ง “แต่พี่ภูมิผมไม่รู้”

“อย่ามาโยนความผิดให้พี่” ภูมิสวนกลับทันที นั่นทำให้ซันสีหน้าเปลี่ยน

“ก็ไม่จริงเหรอ ตั้งแต่เช้าผมพยายามจะคุยกับพี่ แต่พี่แม่งเลือกที่จะไม่สนใจผมอะ เลือกที่เงียบ ไม่คุยกับผมสักคำ” น้ำเสียงติดโมโหของซันเอ่ยพูดขึ้น 

“แล้วเราไปทำอะไรไว้ล่ะ” ภูมิย้อนถาม ใบหน้าของเขาในตอนนี้ใครเห็นก็รู้ดีว่าโกรธมาก เส้นเลือดบริเวณขมับปูดนูน ดวงตาแข็งกร้าวที่จ้องมาก็ดูน่ากลัวไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ซันรู้สึกอะไรเท่าไหร่ เพราะคนน้องก็ยืนหยัดในความคิดของตัวเองว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด

“ผมทำอะไรพี่ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“แน่ใจนะ... ต้องให้พี่พูดจริงๆ เหรอ” ภูมิย้ำถาม

อันที่จริงไม่ใช่ว่าซันจะไม่รู้ว่าพี่ภูมิโกรธเรื่องอะไร แต่เขาคิดว่าสิ่งนั้นที่มันเกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา และภูมิก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาโกรธในสิ่งที่เขาทำ เพราะเรื่องการแยกไปรวมพลเดี่ยวของเขาเกิดขึ้นหลังจากที่จบงานเรียบร้อยแล้ว และผู้จัดการของเขาก็ยืนยันว่าให้ทำได้ ทางทีมงานก็ไม่ได้ห้ามอะไร แล้วทำไมพี่ภูมิถึงต้องโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น หรือว่างอนเหรอ?

“ผมรู้ว่าพี่หมายถึงเรื่องไหน แต่ผมไม่เข้าใจว่าพี่มาโกรธผมทำไม”

“ก็เราคุยกันแล้วไง”

“ใช่พี่ เราคุยกันแล้ว ผมก็ทำตามแล้ว แต่ตอนผมจะกลับบ้าน ผู้จัดการบอกว่ามีน้องๆ แฟนคลับหลายคนมาไกล แล้วยังไม่ได้ถ่ายรูปด้วยเลย เขาเสียดาย ผมเห็นยังพอมีเวลาก็เลยคุยกับผู้จัดการว่าให้แฟนคลับได้เจอได้เห็นหน้าสักหน่อยก็ได้ เราเองก็ยังไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้น ผมว่ามันก็เหมือนเป็นการตอบแทนน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่แฟนคลับเขามีให้เราอะ” ซันเอ่ยพูดยาวเหยียดจากที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูดอะไร แต่เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้ผิด และต้องการที่จะอธิบายให้พี่ภูมิฟังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันมีเหตุและผลของมัน แต่การที่พี่ภูมิกำลังทำตัวแบบนี้คือการกระทำที่ไม่มีเหตุผล จะมาโกรธเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยจนเสียการเสียงาน โดนผู้กำกับเรียกมาด่าเขาก็ไม่ค่อยโอเคเหมือนกัน แล้วแบบนี้อนาคตจะทำงานร่วมกันได้ยังไง

“แต่เราคุยกันแล้วว่ารวมพลด้วยกันเสร็จจะไม่มีแยกไปรวมเดี่ยวไง คือถ้าเราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนั้นพี่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่การที่น้องทำแบบนี้ คนอื่นเขาจะมองพี่ว่ายังไง ทำไมน้องรวมพลแยกได้ แต่พี่ทำไม่ได้งี้ เกิดพวกเขาเข้าใจผิดขึ้นมา พี่ก็แย่ดิ น้องก็ได้ซีนคนเดียวไปเต็มๆ เลยนะ” ภูมิเอ่ยพูดต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แต่บทสนทนาที่เขาพูดออกมานั้นทำเอาคนฟังถึงกับเครียดยิ่งกว่าเพราะฟังดูเหมือนว่าภูมิห่วงแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น

“งั้นผมขอโทษครับ วันหลังจะไม่ทำอีก” ซันรับจบเมื่อได้ยินแบบนั้น เพราะเขารู้ดีว่าการเถียงกับภูมิในเวลานี้คงไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไหร่ จากที่ได้ฟังแค่ประโยคเดียวก็ทำให้เขาสรุปได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง เรื่องผลประโยชน์ส่วนตนคงต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง การชิงขอโทษก่อนเพื่อให้เรื่องมันจบ แล้วจะได้ไปทำงานกันต่อคงเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ก็แค่นั้นแหละ อย่าทำอีกแล้วกันวันหลังอะ” ภูมิตอบกลับพลางมีสีหน้าที่ดูผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาผู้กำกับหันมามองหน้าซันในทันที 

“อะ ถ้าเคลียร์กันลงตัวแล้วก็ไปตามช่างมาซับหน้าซับตา จะได้ถ่ายกันต่อ” ผู้กำกับถึงกับถอนหายใจก่อนจะวอเรียกให้ช่างแต่งหน้ากลับเข้ามาซ่อมหน้าผมให้นักแสดงภายในห้องแล้วตัวเองก็เดินกลับไปยังหน้ามอนิเตอร์

‘อีกสิบนาทีพร้อมถ่ายนะ’

เสียงผู้กำกับดังขึ้นที่วอของทุกฝ่าย ทุกคนเดินกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวเริ่มทำหน้าที่ของตัวเองกันต่อ ช่างแต่งหน้าและช่างผมเดินมาซ่อมหน้าผมให้กับภูมิและซัน ส่วนบุ๊คกับกันต์ก็เดินเข้ามาพร้อมไส้กรอกแดงทอดที่แอบไปบอกแม่สวัสดิการไว้เมื่อคิวก่อน พอวันนี้มีถ่ายแม่สวัสดิการก็เลยทอดให้ ทุกคนต่างสบตากันเหมือนอยากจะเมาท์เรื่องของซันและภูมิกันอย่างเต็มที่แต่ก็ต้องเก็บอาการเพราะตัวต้นเรื่องยังไม่ออกจากห้องไปไหน

ภูมิและซันเดินออกจากห้องแต่งตัวไปหลังจากที่ซับหน้าและซ่อมผมเรียบร้อย ทันทีที่ประตูห้องปิดลงในเวลานั้นทุกคนต่างก็วิ่งกรูเข้าหากันด้วยท่าทางที่อยากจะเมาท์เต็มแก่

“สรุปยังไง” พี่ช่างแต่งหน้าเป็นคนเปิดประเด็น

“ไม่รู้หนูไม่ได้ยินอะไรเลยแม่” ซีเอ่ยตอบด้วยความรู้สึกเสียดาย เมื่อกี๊เธอพยายามอย่างมากที่จะเงี่ยหูแอบฟัง แม้จะได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายแต่ก็จับใจความไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่นัก

“โอ๊ย! รู้งี้ฉันเป็นคนแอบฟังเองดีกว่า ไม่ได้เรื่องเลยเธอเนี่ย”​ พี่ช่างทำผมแกล้งบ่นซีก่อนที่จะพากันหันหน้ามามองที่กันต์กับบุ๊ค “แต่พวกเธอรู้เรื่องนี้ใช่ไหม”

กันต์กับบุ๊คถึงกับเลิ่กลั่กหันมามองหน้ากัน พวกเขาก็ไม่ได้อยากจะโกหกนักหรอกแต่ว่าก็ไม่อยากจะพูดเยอะเพราะมันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

“เอาจริงๆ ก็รู้ครับ แต่เล่าไม่ได้” บุ๊คบอกพร้อมยิ้มบาง ทำเอาพี่ๆ ทั้งหลายหน้ายู่เพราะอดรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น

“นิดนึงก็ไม่ได้เหรอคะ”

“ไม่เล่าดีกว่าครับ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขาสองคนอะพี่” 

“ว้าย!!! เอาดีๆ ข่าวเมาท์แล่บซุ่บ (แซ่บ) เหรอ” พี่ช่างแต่งหน้าร้องกรี๊ดเพราะท่าทีพิรุธของบุ๊ค ทุกคนจึงมโนไปว่าต้องเป็นเรื่องราวข่าวฉาวระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นแน่

“เขาแอบแซ่บกันเหรอ” น้ำเสียงของพี่ช่างทำผมดูอยากรู้มากกว่าที่เคย ทำเอาบุ๊คถึงกับส่ายหัว เพราะดูอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดไปไกลไม่น้อย

“ไม่ใช่หรอกครับ แค่เพื่อนทะเลาะกันอะแหละ ไม่มีไรมากหรอกพี่ ไว้รอน้องๆ มันมาเล่าเองละกัน” บุ๊คบอกปัดเพราะกลัวว่าเดี๋ยวอีกสักพักจะหลุดโป๊ะเอา เขาจึงตัดสินใจเดินออกจากห้องแต่งตัวไปโดยอ้างว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่กันต์รู้ดีว่าเขาต้องการหนีจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดในตอนนี้มากกว่า

“อ้าว! น้องบุ๊คไปไหนล่า!! พี่ยังไม่ทันได้รู้เรื่องเลย” พี่ช่างแต่งหน้าตะโกนเรียกเมื่อเห็นคนตัวสูงปลีกตัวออกไป สายตาเปลี่ยนทิศทางกลับมาที่กันต์ทันที ซึ่งเจ้าตัวก็ดูจะรู้ชะตากรรมของตัวเอง เขาจึงเลือกที่จะวิ่งตามอีกฝ่ายออกไป

กันต์เดินออกไปทางห้องน้ำเพราะได้ยินพี่บุ๊คบอกว่าแบบนั้น แต่พอเดินไปถึงก็ไม่เจอใคร เขาจึงตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความไลน์ไปหาอีกฝ่าย

 

Kan : พี่บุ๊คอยู่ไหน

Book : พี่อยู่ร้านชานมไข่มุก ตรงหน้าลิฟต์

Kan : โอเค เดี๋ยวกันต์เดินไปหา

 

กันต์ยัดมือถือลงกระเป๋าหลังของกางเกงตัวที่ใส่อยู่ก่อนจะออกเดินไปยังบริเวณที่อีกฝ่ายบอกทันที

ร้านขายชานมไข่มุกที่พี่บุ๊คยืนซื้ออยู่นั้นไม่ได้ไกลจากหน้าเซ็ตที่ทุกคนกำลังถ่ายทำมากเท่าไหร่ เขาเห็นภูมิและซันกำลังถ่ายทำซีนเดินชอปปิ้งอยู่ในโซนเครื่องนอนของห้างสรรพสินค้า ดูผ่อนคลายขึ้นมาก และรอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งคู่ก็ไม่ได้ดูฝืนยิ้มเหมือนตอนที่เขาเห็นเมื่อเช้านี้

“พี่บุ๊ค!” กันต์เอ่ยเสียงเรียกอีกฝ่ายตอนที่เดินเข้าไปใกล้

“กินไรไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยง”

“ชาพีชไข่มุกครับ”

กันต์กับบุ๊คยืนรอเครื่องดื่มที่ตัวเองสั่งอยู่ไม่นานพนักงานก็ยื่นแก้วเครื่องดื่มที่พวกเขาสั่งมาให้ จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินไปดูหน้าเซ็ตเพราะไม่อยากจะอยู่ในห้องแต่งตัว

การถ่ายทำดูราบรื่นขึ้นมาก จากซีนที่มีปัญหาก่อนหน้าตอนนี้ก็ผ่านมาสองซีนแล้ว อาจเพราะเป็นซีน Montage ที่เน้นการเก็บภาพบรรยากาศรวมๆ ไม่ได้มีบทพูดอะไร จึงทำให้การถ่ายทำผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว

“ท่าทีของสองคนนั้นดูโอเคขึ้นนะ” บุ๊คเอ่ยพูดขึ้นมาระหว่างที่กำลังยืนดูภูมิกับซันถ่ายซีนเลือกซื้อที่นอนด้วยกัน

“ใช่พี่ ดูไม่ตึงเหมือนเมื่อเช้าอะ”

“เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ” บุ๊คบ่นพลางส่ายหัว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมแค่เรื่องเล็กน้อยภูมิถึงได้ทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ 

“แต่ไอ้เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ทำให้เราได้เห็นนิสัยของใครบางคนไม่ใช่เหรอพี่” กันต์บอกพลางยกยิ้มเล็กน้อย มันอาจฟังดูตลกแต่ก็เพราะไอ้เรื่องเล็กน้อยนี่แหละที่ทำให้กันต์ บุ๊ค และซันได้เห็นถึงธาตุแท้บางอย่างในตัวของพี่ภูมิกันหมด 

“ก็จริงอย่างที่แกบอก ดีแล้วที่เราได้รู้อะไรตั้งแต่เนิ่นๆ แบบนี้ อนาคตเราจะได้ระวังตัวได้ถูก” 

“จริงพี่ น่ากลัวเนอะ” กันต์รู้สึกขยาดขึ้นมาเสียอย่างนั้นเมื่อได้เรียนรู้ว่าผลประโยชน์ส่วนตนมันมีโอกาสทำให้กลายเป็นคนนิสัยเสียได้เหมือนกัน

บุ๊คหันมาเห็นท่าทางของกันต์ก็อดยิ้มไม่ได้ เขารู้สึกเอ็นดูรุ่นน้องตรงหน้าไม่น้อยจึงได้แต่พูดปลอบใจ “แต่มันก็เรื่องปกติแหละแก วงการบันเทิง มันคือวงการแห่งการแก่งแย่งชิงดีกันอะ ถ้าบังเอิญเจอเพื่อนร่วมงานที่ดีก็ดีไป แต่ถ้าไปเจอคนที่คิดแต่ว่าทุกคนคือคู่แข่ง เราก็อาจจะเหนื่อยหน่อย พื้นที่สื่อกับแสงสปอร์ตไลท์มันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็อยากได้ การที่ภูมิคิดแบบนั้นก็อาจจะไม่ได้ผิดเสียทีเดียว แต่จะว่าถูกมันก็ไม่ใช่ ทุกคนทำเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดเท่านั้นแหละ ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปละกัน”

“ครับพี่บุ๊ค”

“คนแบบนี้จริงๆ ก็มีทุกวงการนั่นนะ ไม่ใช่แค่ในวงการบันเทิงหรอก”