วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
“ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวอะพี่” กันต์เดินตามมายังมุมหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่จึงได้เจอกับบุ๊คที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งใต้ต้นไม้นั้น ท่าทีดูเบื่อหน่ายอย่างน่าประหลาด
“มันว่างนานอะ กว่าจะมีซีนถ่ายของพี่อีกก็เกือบเย็นเลย”บุ๊คตอบพลางโยนหินก้อนเล็กที่อยู่ในมือลงในบ่อน้ำที่อยู่ด้านหน้า
กันต์ขยับตัวเดินเข้าไปใกล้แล้วหย่อนตัวนั่งลงที่ว่างด้านข้างคนตัวสูง บุ๊คหันมายิ้มให้กันต์เล็กน้อย คนตัวเล็กกว่าจึงยกยิ้มตอบก่อนที่ทั้งคู่จะนั่งมองบ่อน้ำขนาดใหญ่ประจำมหาวิทยาลัยที่พวกเขายกกองมาถ่ายทำซีรีส์กันที่นี่
“แล้วแกทำไมเดินมานี่” บุ๊คเอ่ยถามกันต์หลังจากที่พวกเขานั่งเงียบกันมาครู่หนึ่ง
“ก็เหมือนพี่นั่นแหละ ถ่ายเสร็จแล้ว มีอีกทีก็ซีนสุดท้ายเลย”
“โห... แล้วใครเขาจัดเบรกดาวน์ให้แกเนี่ย รอจนเบื่อแน่” บุ๊คถึงกับบ่นเมื่อได้ยินแบบนั้นกว่าจะซีนสุดท้ายก็สามทุ่มกว่านู่น แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเที่ยงเลย กว่าที่กันต์จะได้เข้าซีนอีกทีก็อีกตั้งหลายชั่วโมง
“จริงพี่ จะกลับบ้านก่อนก็ไม่ได้ ไกลเกิน” กันต์พูดพลางทำหน้าเซ็ง “นั่งอยู่ตรงนั้นก็น่าเบื่อ มีแต่คนเมาท์มอยกัน กันต์เบื่อเลยออกมาเดินเล่น”
“จริง น่าเบื่อเกิน พี่ไม่ชอบเลยสังคมแบบนี้”
“นั่นดิ พี่รู้ปะวันก่อนกันต์บังเอิญเจอพี่เจี๊ยบ รู้ไหมเขาถามอะไร” กันต์หันหน้ามาพูดกับบุ๊คด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่อยากเล่าเต็มทีราวกับอึดอัดมาหลายวัน
“อะไรอะ”
“พี่เจี๊ยบถามกันต์เรื่องพี่ภูมิกับน้องซัน”
“ห้ะ? แล้วเขาไปถามแกทำไม มันมีอะไร” บุ๊คไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เจี๊ยบถึงต้องไปถามเรื่องคนอื่นกับกันต์ด้วย
“ก็ไอ้เรื่องที่มีแฟนคลับถ่ายรูปพี่ภูมิกับซันลงในเอ็กซ์ไงพี่”
“อ๋อ เออ พี่เห็นละ ก็ไม่เห็นมีอะไรหนิ”
“ก็ใช่ไง กันต์ก็คิดว่าปกติ แต่พี่เจี๊ยบดันคิดว่าไม่ปกติ ตามสไตล์สาววายอะนะ เขาก็มาถามว่าแบบกันต์พอจะรู้ไหมว่าคู่นั้นเขาไปถึงไหนกันแล้ว อยากรู้ว่าแอบกิ๊กกั๊กกันจริงหรือเปล่า”
“แล้วมันเรื่องอะไรของพี่เจี๊ยบอะ” บุ๊คถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะถึงพี่เจี๊ยบจะรู้เรื่องนี้ไปก็ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตของเธอ
“นั่นแหละ กันต์ก็ตอบไปแค่ว่าไม่รู้”
“ดีแล้ว”
“พี่เจี๊ยบก็เค้นถามอยู่นั่น บอกว่ากันต์สนิทกับพี่ภูมิน้องซัน ต้องรู้สิว่าพวกเขาไปถึงขั้นไหนกันแล้ว... พี่นึกออกปะ? ว่ามันน่ารำคาญแค่ไหน” กันต์สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเมื่อเล่ามาเรื่อยๆ เหมือนอารมณ์ในวันนั้นกลับมาปะทุอีกครั้ง
“พี่เข้าใจแก...”
“งงมาก มาถามกันต์ทำไม อยากรู้เรื่องสองคนนั้นก็ไปถามเจ้าตัวเอาเองดิ จะมาถามกันต์เพื่อ” กันต์พูดจบก็ถอนหายใจแรง เพราะเมื่อครู่เผลอบ่นยาวออกมาแบบไม่ทันได้หายใจ พอพูดจบก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมานิดหน่อย บุ๊คที่นั่งอยู่เห็นท่าทีของกันต์ก็หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
“แต่ที่แกบอกพี่เจี๊ยบเขาแบบนั้นก็ดีแล้ว ตอบไม่รู้ไปก็คือจบ”
“แต่อีกคนเขาไม่ยอมจบไง จะต้องรู้ให้ได้งี้”
“พี่รู้ว่าแกทำได้ แค่มีสติ แล้วก็ต่อไปเวลาจะพูดอะไรก็ระมัดระวังคำพูดของตัวเองด้วย จะได้ไม่ซวยทีหลัง” บุ๊คเอ่ยเสริมขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะเขารู้จักดีว่าน้องชายของเขาเป็นคนช่างเจรจาและเป็นคนคุยเก่ง บางครั้งอาจหลงลืมตัวเองไปได้เวลาคุยสนุกสนาน หากขาดสติแล้วพลั้งเผลอพูดอะไรออกไป คำพูดเหล่านั้นอาจจะวนมาทำร้ายตัวของกันต์ในภายหลังได้ เขาจึงแนะนำในฐานะพี่ชายคนหนึ่งเพราะไม่อยากให้น้องต้องมาลำบากแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา
“เข้าใจครับ” กันต์พยักหน้ารับ
ลมพัดมาวูบหนึ่งทำเอาใบไม้บนต้นไม้ใหญ่สั่นไหวส่งเสียงแว่วไปทั่วบริเวณนั้น นกที่เกาะอยู่บนต้นไม้พากันบินหนีออกไป กันต์ยกมือขึ้นมาขยี้ตาเล็กน้อยเพราะลมที่พัดมาเมื่อครู่นำพาฝุ่นผงลอยมาเข้าตาเขา
บุ๊คเห็นแบบนั้นจึงอาสาช่วยดูให้ เขายื่นใบหน้ามาใกล้แล้วประคองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเพ่งสายตามองไปยังดวงตาด้านซ้ายของกันต์แล้วใช้นิ้วโป้งแตะไปที่เปลือกตาแล้วขยับเบาๆ เพื่อดูว่ามีอะไรติดอยู่ด้านในหรือไม่ แต่อาจเพราะฝุ่นมีขนาดเล็กเกินกว่าจะมองได้ด้วยสายตา บุ๊คจึงเป่าลมอย่างแผ่วเบาไล่ฝุ่นในดวงตานั้นแทน
“ดีขึ้นไหม” บุ๊คเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“โอเคขึ้นแล้วครับ”
“อืมมม... พี่ว่าเราออกไปข้างนอกกันดีไหม เหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมง” บุ๊คถามต่อพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู
“ไปไหนอะพี่ กันต์ไม่เคยมาแถวนี้ด้วย”
“ใกล้ๆ ม. มีห้างอยู่นะ ขับรถไปประมาณสิบห้านาที อยากไปไหมล่ะ เดินเล่นหาไรกินงี้ หรือจะดูหนังฆ่าเวลาก็ได้” บุ๊คเสนอซึ่งกันต์ได้ฟังก็ดูมีท่าทีที่สนใจ
“ก็ได้นะ”
“งั้นไปขึ้นรถเลย จอดอยู่หลังตึก” บุ๊คบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะวาดมือขึ้นโอบไหล่คนน้องแล้วพากันก้าวเดินออกไปจากใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น
~~~~~~~~~~ The Gossip of BL ~~~~~~~~~~
ช่วงเวลากลางวันของวันธรรมดาผู้คนก็พลุกกล่านอยู่ไม่น้อยในโซนร้านอาหารของห้างสรรรพสินค้าที่บุ๊คและกันต์เลือกมา อาจเพราะอยู่ใกล้แหล่งออฟฟิศและโรงเรียนรวมไปถึงมหาวิทยาลัยที่พวกเขามาถ่ายทำซีรีส์จึงทำให้บรรยากาศผิดจากที่พวกเขาคาดเอาไว้เล็กน้อย จากที่คิดว่าห้างในต่างจังหวัดตอนเที่ยงของวันธรรมดาจะไม่ค่อยมีลูกค้าสักเท่าไหร่ กลับกลายเป็นหนาตาไม่ต่างอะไรกับห้างในกรุงเทพเลยด้วยซ้ำ
กันต์กับบุ๊คเลือกที่จะเข้าร้านเสต๊กที่มีสลัดบาร์แถมฟรีในทุกรายการเมนูเพราะคิดว่าน่าจะคุ้มและสามารถใช้เวลานั่งอยู่ในร้านนานๆ ได้ กันต์เลือกกินเมนูฟิชแอนด์ชิป ส่วนบุ๊คสั่งเสต๊กไก่ย่างบาร์บีคิว หลังพนักงานรับออเดอร์เสร็จก็บอกให้พวกเขาเดินไปตักสลัดที่บาร์ได้ระหว่างรออาหารจานหลัก ทั้งคู่ก็พากันเดินไปยังบริเวณนั้นก่อนจะแยกย้ายไปคีบผักและวัตถุดิบสลัดตามที่ตัวเองอยากกินลงจานแล้วเดินกลับมาโต๊ะของตัวเองที่ในตอนนี้มีขนมปังปิ้งอันเลื่องชื่อถูกเสิร์ฟวางเอาไว้ก่อนแล้ว
พวกเขานั่งกินสลัดอยู่ได้ไม่นานอาหารจานหลักอย่างเสต๊กก็ถูกหุ่นยนต์พนักงานขับเคลื่อนตัวเองมาเสิร์ฟให้ถึงตรงหน้า กันต์ยกจานอาหารของตัวเองออกมาก่อนจะยกของบุ๊คออกมาให้ แวบหนึ่งกันต์รู้สึกเหมือนว่าถูกนักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่อีกโต๊ะซึ่งไม่ได้ไกลมากนักจับตามองอยู่แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างเรียบง่ายและไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก ต่างฝ่ายต่างก็โฟกัสกับการกินอาหารของตัวเองอาจเพราะความหิวที่เล่นงานพวกเขาตั้งแต่ตอนอยู่ที่กองถ่าย แม้จะได้กินมื้อเช้าไปแล้วบ้างแต่การกินข้าวที่กองถ่ายก็ไม่ได้เต็มอิ่มมากนัก โดยเฉพาะกับกันต์ที่มื้อเช้าของเขามักกินไม่ค่อยลงสักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
“พี่รู้สึกไหมว่ามีคนแอบมองพวกเราอยู่” กันต์สะกิดคนตรงหน้าแล้วกระซิบถาม
“หื้ม? ไม่นะ ใครอะ”
“พี่อย่าเพิ่งหันไปนะ น้องผู้หญิงโต๊ะนู้นที่อยู่ข้างหลังพี่”
“อ่อ แกไม่ได้คิดไปเองใช่เปล่า” บุ๊คถามกลับอย่างติดตลก บางทีน้องอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้
“จะบ้าเหรอพี่ เขามองจริงๆ ผมเงยหน้าไปมองทีไรก็เห็นเขามองมาที่พวกเราตลอดเลย”
“อาจจะรู้จักพวกเราก็ได้มั้ง” บุ๊คตอบพลางยกไหล่แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาเริ่มจะเคยชินกับเหตุการณ์อะไรแบบนี้อยู่บ้าง ตั้งแต่เปิดตัวซีรีส์ก็เหมือนจะมีแฟนคลับบางส่วนที่เริ่มจำหน้าค่าตาของพวกได้ แม้จะรู้สึกแปลกในช่วงแรกแต่ก็เริ่มชินขึ้นมาบ้าง
“เหรอ งั้นน่าจะจำพี่ได้อะแหละ ไม่น่าใช่กันต์”
หลังจากพูดคุยกันจบทั้งคู่ก็นั่งอาหารทุกอย่างบนโต๊ะจนหมด พลางเดินไปหยิบผลไม้และของหวานมากินอีกนิดหน่อยเพื่อจบมื้ออาหารนั้น บุ๊คอาสาที่จะจ่ายค่าอาหารมื้อนั้นให้เองเพราะถือว่าเป็นค่าจ้างที่กันต์ยอมออกมาข้างนอกเป็นเพื่อนระหว่างที่รอถ่ายซีนต่อไป
พอจ่ายเงินเสร็จยังไม่ทันจะได้เดินออกจากร้าน กลุ่มของนักศึกษาสาวที่กันต์แอบสงสัยว่าคอยจ้องมองพวกเขาอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ในร้านก็วิ่งเข้ามาหาทันที
“ขอโทษนะคะ ใช่พี่บุ๊คกับพี่กันต์ไหมคะ”
“ใช่ครับ” บุ๊คเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
“พวกหนูขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ”
“ได้ครับ มาเลยๆ” บุ๊คกวักมือให้สาวๆ เหล่านั้นเข้ามายืนตรงกลางระหว่างเขากับกันต์
เหล่านักศึกษาผลัดกันเดินเข้าออกเพื่อถ่ายรูปกับนักแสดงหนุ่มทั้งคู่ ท่าทางตื่นเต้นและดีใจที่พยายามจะปกปิดเอาไว้แต่ก็ไม่มิดจนแสดงออกมาอย่างชัดเจน มือไม้ที่สั่นเทาทำเอากันต์ต้องบอกให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ เพราะกลัวว่าน้องจะเป็นลมไปเสียก่อน
“ขอบคุณมากเลยนะคะ พวกหนูรอดูซีรีส์อยู่นะ”
“ขอบคุณครับ” บุ๊คตอบกลับจากนั้นกลุ่มนักศึกษาสาวก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนพวกเขาก็เดินออกจากร้านไป
กันต์และบุ๊คใช้เวลาอยู่ที่ห้างสรรพสินค้านั้นอยู่นานพอสมควร เพราะหลังจากที่พวกเขากินข้าวกันเสร็จก็พากันเดินเล่นดูเสื้อผ้ากันไปเรื่อยเปื่อย ตอนแรกพวกเขาจะขึ้นไปดูหนังเพื่อฆ่าเวลาแต่เรื่องที่พวกเขาอยากดูกลับไม่มีรอบฉายที่อยู่ในช่วงเวลาใกล้ๆ นั้นเลย ต้องรออีกหนึ่งชั่วโมงกว่าจึงจะถึงรอบฉายนั้น กว่าหนังจะจบก็อาจจะไม่ทันกลับไปถ่ายซีนของบุ๊ค ทั้งคู่จึงตัดสินใจเดินเล่นไปเรื่อยๆ แทน
~~~~~~~~~~ The Gossip of BL ~~~~~~~~~~
พี่เจี๊ยบเริ่มกระวนกระวายเมื่อเธอหาบุ๊คและกันต์ไม่เจอ แถมตอนแรกที่เธอโทรหาทั้งคู่ก็ดันไม่รับสายเหมือนกันอีก เธอจึงยิ่งว้าวุ่นไปกันใหญ่เพราะอีกเพียงซีนเดียวก็ถึงซีนที่บุ๊คจะต้องเข้าฉากแล้ว ในระหว่างที่เธอกำลังกังวลอยู่คนเดียวเงียบๆ เพราะกลัวว่าหากเรื่องนี้ไปถึงหูผู้กำกับแล้วจะโดนผู้กำกับด่าเอาได้ กันต์กับบุ๊คก็เดินเข้ามาในห้องแต่งตัว นั่นทำให้พี่เจี๊ยบรู้สึกเหมือนยกความหนักอึ้งออกจากบ่า เธอถอนหายใจออกมากเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก
“ไปไหนมาเนี่ย!!! พี่ก็ตามหาอยู่ อีกซีนเดียวถึงคิวน้องบุ๊คแล้วนะ ไปซับหน้า ซ่อมผมหน่อย แล้วก็รีบเปลี่ยนชุดด้วยนะคะ”
“ครับพี่เจี๊ยบ”
บุ๊ครีบเดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะแต่งหน้าทันที เหล่าช่างหน้าผมก็ไม่รอช้ารีบทำหน้าที่ของตัวเองกันอย่างเต็มที่ ฝ่ายคอสตูมก็หยิบชุดที่บุ๊คต้องใส่ในซีนต่อไปมาแขวนเอาไว้ให้ ส่วนกันต์ก็เดินไปนั่งที่โซฟาแล้วหยิบหูฟังมาใส่ก่อนจะเปิดเพลงจากมือถือฟัง นิ้วเรียวไล่ดูรูปในไอจีไปเรื่อยเปื่อยเพราะยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงคิวของเขา
‘หน้าเซ็ตพร้อมแล้ว พี่บุ๊คมาแสตนบายหน้าเซ็ตได้เลยน้า’
เสียงผู้ช่วยผู้กำกับเอ่ยพูดดังผ่านวอ บุ๊คที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จจึงรีบเดินออกจากห้องแต่งตัวไปในทันทีโดยมีพี่เจี๊ยบเดินตามหลังออกไปติดๆ
พอนักแสดงไปเข้าฉากกันเกือบหมด ภายในห้องแต่งตัวก็เงียบสนิทอีกครั้งเหลือเพียงพี่ช่างแต่งหน้าทำผมและทีมคอสตูมที่ถือโอกาสพักเบรค ส่วนกันต์ก็กำลังเคลิ้มหลับเพราะเริ่มเพลิดเพลินกับเพลงที่บรรเลงอยู่ในหู
“พี่เจี๊ยบหนูรู้แล้วว่าบุ๊คหายไปไหนมา” พี่อิ๋วเอ่ยพูดขึ้นในระหว่างที่เดินกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวพร้อมกับพี่เจี๊ยบ
เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กันต์ได้สติตื่นขึ้นมาจากอาการเคลิบเคลิ้ม แถมเพลงที่เล่นอยู่ในหูฟังก็ดันจบลงพอดี ความเงียบทำให้เขาได้ยินสิ่งที่พี่อิ๋วพูดเข้าอย่างชัดเจน เขาจึงแอบกดหยุดเครื่องเล่นเพลงในมือถือแล้วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินว่าทั้งคู่กำลังคุยอะไรกัน ทั้งๆ ที่เขาได้ยินแบบเต็มสองหู
“มันไปไหนมา” พี่เจี๊ยบย้อนถามด้วยความอยากรู้
“นี่ไง” พี่อิ๋วยกมือถือที่เปิดรูปในแอพลิเคชั่นเอ็กซ์ให้พี่เจี๊ยบดู “ออกไปกินข้าวที่ห้างกันมาสองต่อสองไงพี่”
“พี่ว่าละไง แปลกๆ ละนะสองคนนี้” พี่เจี๊ยบเอ่ยพูดอย่างประหลาดใจ กันต์รู้สึกได้เลยว่าเขากำลังถูกจ้องมองอยู่
“จริงงง น้องบุ๊คกับน้องกันต์ดูสนิทกันผิดปกตินะช่วงนี้” พี่ช่างแต่งหน้าได้ยินแบบนั้นก็เลยเดินเข้าเสริมบทสนทนาทันที
ในวินาทีนั้นกันต์ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ฉิบหายแน่แล้วหากพี่ช่างแต่งหน้าเข้ามาร่วมวงด้วย เพราะปกติสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในกองถ่ายก็คือพี่ๆ เหล่านี้นี่แหละ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรพี่เขาจะเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้กับเราเอง บางครั้งเรื่องก็ถูกเมาท์ยาวไปจนถึงกองถ่ายอื่นๆ หรือไม่ก็รู้กันทั้งวงการ เพราะช่างแต่งหน้ากับการเมาท์นี่มันเป็นของคู่กันแบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
“เห็นไหมล่ะ หรือมีอะไรที่พวกเรายังไม่รู้” พี่เจี๊ยบตั้งข้อสงสัยขึ้นมาในทันทีแบบที่ไม่คิดจะถามกันต์ที่นั่งอยู่ตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ
กันต์ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เพราะเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเวลามีเรื่องอะไรแบบนี้เกิดขึ้นถึงไม่คิดจะถามเจ้าตัว แต่ไปคิดกันเอาเองหมดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็สรุปกันเอาเองว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกแม้ว่าในความเป็นจริงคำตอบจะตรงกันข้ามก็ตาม
“แอบกิ๊กกันแน่...” พี่อิ๋วทำเป็นกระซิบแต่ก็ไม่รอดพ้นความหูไวขอกันต์ไปได้ แม้จะมีหูฟังที่ไม่ได้เปิดเพลงเสียบคารูหูไว้แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสามารถในการแอบฟังของกันต์ลดลงเลยแม้แต่น้อย
เห้อ...
กันต์ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ นี่ขนาดเขานั่งอยู่ตรงนี้นะเนี่ย พี่อิ๋วกับพี่เจี๊ยบยังกล้าเมาท์เขาได้แบบหน้าตาเฉย ไม่คิดว่าเขาจะได้ยินเลยมั้ง หรือไม่ก็คิดว่าเขาใส่หูฟังอยู่คงจะไม่ได้ยินอะไรที่ทั้งคู่นินทาสินะ
“โหยยย ต้องสืบนะ ถ้าจริงล่ะก็กรี๊ดแตกแน่”
กันต์รู้สึกว่าเรื่องที่พวกนั้นเมาท์กันก็ไม่ได้ต่างไปจากครั้งก่อนเลยด้วยซ้ำ ที่บอกว่าพี่บุ๊คเลือกทิ้งน้องก้องเพื่อมาคบกับกันต์ ทั้งที่ไม่มีมูลแต่ก็มโนนั่งเทียนเขียนข่าวกันขึ้นมาได้แบบง่ายดาย ไม่คิดจะหาคำตอบของความจริงด้วยซ้ำ ครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากตอนนั้นสักเท่าไหร่ เพราะหัวข้อในการนินทาก็ยังหนีไม่พ้นความสัมพันธ์ระหว่างบุ๊คกับกันต์อยู่ดี
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เรื่องราวแบบนี้จะจบลง การที่ผู้ชายสองคนสนิทกัน มันจะเป็นแค่เพื่อนกันไม่ได้เลยเหรอ ทำไมจะต้องพยายามยัดเยียดให้พวกเขามีความสัมพันธ์ที่เกินเลยมากกว่านั้นด้วย จริงๆ กันต์ค่อนข้างที่จะโอเคที่ใครๆ จะพากันจิ้นเขากับบุ๊คเพราะเห็นว่าสนิทกัน แต่ที่เขาจะไม่โอเคก็คือการเอาเรื่องความสนิทสนมระหว่างเขากับบุ๊คไปพูดในเชิงลบหรือใส่ไข่จนทำให้พวกเขาดูเสียหาย แบบที่พี่อิ๋ว พี่เจี๊ยบกำลังพูดกันอยู่ในตอนนี้ คือถ้าจะจิ้นก็จิ้นกันไปสนุกสนานได้ แต่ไม่ใช่มาเอาเป็นจริงเป็นจังจนทำให้พวกเขาใช้ชีวิตลำบาก หรือพาลไปทำให้เขาต้องกลายเป็นขี้ปากคนอื่นไปทั่ว แบบนั้นคงไม่น่าสนุกสักเท่าไหร่นัก
บางทีนี่อาจเป็นเวรกรรมของกันต์หรือเปล่าที่ก่อนหน้านี้พยายามพูดจาสองแง่สองง่ามจนทำให้คนอื่นเข้าใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างภูมิและซันมันมีอะไรที่เกินเลยมากไปกว่าพี่น้องและเพื่อนร่วมงาน พอมาเจอเรื่องนี้กับตัวเองเข้าหลายครั้งจึงทำให้เขาเริ่มรับรู้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันสร้างความไม่สบายใจให้กับตัวเองได้ไม่น้อยอยู่เหมือนกัน หลังจากนี้อาจจะต้องลดการพูดจาแบบนั้นเพื่อให้คนฟังได้รับรู้ในสิ่งที่เป็นความจริงน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดและดีกว่าการปั่นกระแสด้วยคำพูดที่ดูมีลับลมคมในจนทำให้คนฟังพากันเอาไปคิดต่อ เพราะนั่นอาจสร้างความทุกข์ใจให้กับภูมิและซันโดยที่เขาไม่ตั้งใจก็ได้