วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
หลังจากที่การแสดงทั้งหมดในงานแฟนมีตติ้งจบลง ทุกคนก็รีบวิ่งลงจากเวทีเนื่องจากว่างานในค่ำคืนนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้เพราะยังมีขั้นตอนของการแจกลายเซ็นและการจับมือกับแฟนคลับผู้โชคดีที่ซื้อตั๋วราคาแพงแล้วได้รับสิทธิประโยชน์เหล่านี้
นักแสดงทุกคนรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำทันทีที่ลงจากเวทีมา บรรดาช่างหน้าช่างผมก็แสตนบายรอที่ข้างเวทีเพื่อที่จะได้ซับหน้าและซ่อมผมให้เรียบร้อยก่อนจะขึ้นเวทีอีกครั้ง ในระหว่างที่ทีมงานกำลังเคลียร์พื้นที่บนนั้นเพื่อตั้งโต๊ะสำหรับงานแฟนไซน์ ทุกคนต่างเร่งรีบทำเวลาเพราะไม่อยากให้งานเลิกดึก เพียงไม่นาน นักแสดงทุกคนก็ยืนรอพร้อมขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง
เสียงประกาศจากทีมงานแจ้งเหล่าแฟนคลับที่ได้รับสิทธิประโยชน์นี้ดังขึ้นว่าให้เตรียมตัวเพราะขั้นตอนงานแฟนไซน์กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ความตื่นเต้นของกันต์น้อยลงกว่าก่อนหน้านี้มาก เพราะไม่จำเป็นต้องกลัวลืมท่าหรือบล็อกกิ้งอีกแล้ว งานนี้เขาต้องทำเพียงแค่ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับแฟนคลับแล้วก็เซ็นลายเซ็นลงบนโปสการ์ดเท่านั้น
พวกเขาทยอยพากันเดินขึ้นไปบนเวทีโดยที่มีทีมงานจัดแจงอีกทีว่าใครจะต้องนั่งในตำแหน่งใดบ้าง ซึ่งกันต์ได้นั่งข้างบุ๊คและภัทร แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่นักที่ต้องนั่งข้างภัทร แต่การได้มีพี่บุ๊คอยู่ข้างๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่เหมือนกันเพราะอย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องนั่งแกร่วแบบไม่มีคนพูดด้วย
และเพราะในช่วงนี้มีโรคประหลาดที่ระบาดไม่หยุด แม้ในไทยจะยังไม่มีรายงานคนติดเชื้อแต่พวกเขาก็ต้องระวังตัวเอาไว้ก่อน ทีมงานจึงจัดเตรียมเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือเอาไว้ให้ เพราะเชื้อโรคตัวนี้เกิดจากไวรัสที่สามารถแพร่ระบาดได้จากการสัมผัส งานจับมือแบบนี้จึงต้องระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะแฟนคลับต่างชาติที่เดินทางมาจากประเทศสุ่มเสี่ยง
กิจกรรมดำเนินไปอย่างยาวนานเกือบสองชั่วโมงแต่ก็ดูเหมือนว่าแฟนคลับจะหมดไปแค่ครึ่งเดียว สีหน้าของแต่ละคนเริ่มดูอิดโรยเพราะความอ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อยติดกันมาหลายวัน
กันต์สังเกตเห็นว่าสีหน้าของพี่ภูมิเริ่มดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เขาหันมองซ้ายมองขวาราวกับมีเรื่องที่จะต้องขอความช่วยเหลือ กันต์จึงหันไปสะกิดพี่สตาฟที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา
“พี่ครับ”
“คะ?”
“พี่ภูมิเขาเหมือนจะต้องการความช่วยเหลือนะครับ” กันต์ชี้นิ้วให้สตาฟหันมองตาม พี่สตาฟเห็นท่าทีของภูมิจึงรีบเดินเข้าไปหาทันที
กันต์เองก็ไม่รู้หรอกว่าพี่ภูมิต้องการอะไรแต่พอเห็นว่ามีสตาฟเดินเข้าไปหา พี่ภูมิก็สีหน้าเปลี่ยนทันที ดูโล่งอกขึ้นมากก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปกระซิบบางอย่างกับสตาฟคนนั้น
เดี๋ยวเราเบรกกันสักครึ่งชั่วโมงนะค้า~! ขอให้นักแสดงได้ไปเข้าห้องน้ำแล้วก็พักแป๊บหนึ่งนะคะทุกคน
เสียงประกาศดังขึ้นทำให้กันต์ได้รู้เหตุผลที่แท้จริงสักทีว่าเพราะอะไรพี่ภูมิถึงได้มีท่าทีแปลกๆ ทีแท้ก็อยากจะไปเข้าห้องน้ำนี่เอง แล้วทำไมพี่ภูมิถึงไม่ไปเข้าตอนที่ชาวบ้านชาวช่องเขาเข้ากัน
“เรื่องเยอะเรื่องแยะ แทนที่จะได้กลับบ้านไว” บุ๊คยื่นหน้ามาใกล้แล้วกระซิบเสียงเบาที่ข้างหูกันต์
“เรื่องห้องน้ำมันห้ามกันได้ที่ไหนล่ะพี่” กันต์เถียงกลับด้วยรอยยิ้มแม้ว่าสีหน้าของบุ๊คในเวลานี้จะรู้สึกไม่พอใจอยู่มากก็ตาม
“เหอะ! แล้วตอนคนอื่นเข้า ทำไมมันไม่ไปเข้าล่ะ พี่เห็นมันเอาแต่นั่งเล่นเกมในมือถือ”
“ช่างเขาเถอะพี่ อย่าทำหน้าเครียด เดี๋ยวแฟนคลับเห็นหมด”
“ชิ!” พี่บุ๊คส่งเสียงไม่พอใจเล็กๆ ออกมาแต่กันต์ก็ไม่ได้ถือสาอะไร เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิด การโดนขัดใจแบบนี้ก็คงทำให้อารมณ์เสียอยู่ไม่น้อย
กันต์เองก็ได้แต่นึกตำหนิพี่ภูมิอยู่ในใจเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะรู้ดีว่าตนเองไม่ได้อยู่ในจุดที่จะบ่นขิงบ่นข่าอะไรได้มากนัก คิดอีกแง่ก็นับว่าเป็นข้อดีอยู่เหมือนกัน ไอ้การที่นั่งเซ็นชื่อบนโปสเตอร์หลายร้อยใบทำเอานิ้วของเขาแทบจะล็อกอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่เซ็นตอนอยู่ในห้องแต่งตัวก็ตั้งสามร้อยใบละ ยังต้องมานั่งเซ็นบนเวทีอีกสองร้อยใบก็ทำเอาเหงื่อตกไม่น้อย นี่ยังไม่ถึงช่วงจับมือเลยด้วยซ้ำ ก็พอจะเข้าใจอยู่ว่าทำไมพี่ภูมิถึงเอ่ยปากขอเวลาเบรก ถ้าเป็นเขาเองคงไม่กล้าพูดแน่ๆ น้องๆ นักแสดงคนอื่นๆ ก็คงเหมือนกัน
“เมื่อยจัด” น้องเท่ยืนบิดขี้เกียจอยู่ข้างๆ ซัน ในขณะคนอื่นๆ บ้างก็ดื่มน้ำ บ้างก็ยืนถ่ายเซลฟี่เพื่อรอเวลาที่จะกลับขึ้นไปทำกิจกรรมบนเวทีอีกครั้ง
แต่ในขณะเดียวกันกับที่นักแสดงทุกคนมานั่งรอกันอยู่ที่ข้างเวทีแล้วนั้น แต่พี่ภูมิยังไม่ปรากฏตัวมาให้เห็นเลยสักที แม้ว่าเวลาพักที่ขอไว้สามสิบนาทีใกล้หมดลงเต็มทีแล้ว ทุกคนเตรียมแสตนบายเมื่อพี่ที่รันคิวเวทีหันมาแจ้ง พี่เจี๊ยบยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเมื่อเห็นว่าเกินเวลาพักมาสองนาทีแล้วจึงประกาศออกไมค์ทันทีว่าจะเริ่มกิจกรรมกันต่อแม้ว่าภูมิจะยังไม่โผล่หัวมาก็ตาม
ทีมสตาฟพานักแสดงทุกคนกลับขึ้นเวทีก่อนที่ภูมิจะวิ่งตามมาทีหลัง เขาเดินเข้ามาประจำที่ตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น งานทุกอย่างดำเนินต่อไปแม้หลายฝ่ายจะเริ่มหัวร้อนกับพฤติกรรมของภูมิก็ตาม
“ลำไย!” บุ๊คหันไปบ่นให้กันต์ฟังอีกรอบจนกันต์ต้องถองศอกใส่เป็นสัญญาณให้หยุดบ่นเสียที เพราะกลัวว่าแฟนคลับที่กำลังเดินขึ้นเวทีมาจะได้ยิน
กิจกรรมบนเวทีดำเนินต่อไปอีกเกือบสองชั่วโมง ทำเอานักแสดงหลายคนเริ่มมีอาการอ่อนเพลียออกมาอย่างชัดเจน เพราะพวกเขาตื่นกันตั้งแต่เช้ามืดจนตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว ร่างกายของพวกเขาก็แทบจะไม่หลงเหลือพลังงานอยู่ แววตาของพวกเขาดูเลื่อนลอยแม้ว่าใบหน้ายังคงประดับลอยยิ้มอยู่
“เรียบร้อยนะคะทุกคน ขอให้ทุกคนได้รับความสุข กลับบ้านดีๆ นะคะ” พี่เจียบเอ่ยพูดใส่ไมค์ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
เหล่าแฟนคลับไม่ยอมออกจากฮอล์จนทีมการ์ดต้องมาต้อนให้นักแสดงลงจากเวที ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครได้กลับบ้านเป็นแน่
นักแสดงทุกคนเดินลงจากเวทีด้วยท่าทางอิดโรย แต่ละคนรีบกลับบ้านในทันที โดยเฉพาะบุ๊คที่รีบคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไปทันทีแบบที่ไม่ได้ร่ำลาใครด้วยซ้ำ ส่วนกันต์ก็รีบหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาที่บ้านทันที เพราะวันนี้เขาส่งบัตรชวนให้พ่อแม่และน้องชายของเขา รวมถึงญาติผู้ใหญ่อีกสามสี่คนให้มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย แต่เขาก็ยังไม่ทันได้เห็นหน้าหรือถ่ายรูปเลยแม้แต่นิดเดียว เขารู้สึกเสียดายไม่น้อย ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย แต่พอไปบอกพี่สตาฟว่าให้เชิญพ่อแม่เข้ามาในนี้หน่อยกลับทำไม่ได้เสียอย่างนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าจะเกะกะการทำงานของทีม ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่หรอกเพราะเขาก็ยังเห็นอยู่ว่าพ่อแม่ของพี่ภูมิกับน้องซันยังเข้ามาได้ แต่ทำไมพ่อแม่ของเขากลับไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น เขานึกน้อยใจเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะรู้ดีว่าไม่ได้อยู่ในจุดที่จะสามารถเรียกร้องอะไรได้
เป็นแค่นักแสดงสมทบตัวเล็กๆ จะไปพูดอะไรได้...
“ฮัลโหล” กันต์เอ่ยพูดทันทีเมื่อปลายสายกดรับ
(ว่าไงจ๊ะลูก...)
“เพิ่งเสร็จ... กลับไปกันยัง” น้ำเสียงของกันต์ที่เอ่ยพูดออกไปนั้นรู้ดีว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็ยังหวังเล็กๆ ว่าจะได้มีโมเมนต์แห่งความสุขกับครอบครัวในวันที่เขาประสบความสำเร็จแบบนี้แม้ว่ามันจะดูเลือนลางมากก็ตาม
(ถึงบ้านนานแล้วลูก หลับกันไปหมดแล้ว)
“อ่อ...ครับ”
(เหนื่อยไหม...)
“อื้อ... นิดหนึ่งครับ”
(วันนี้เก่งมากเลยลูก แม่นั่งดูอยู่ พ่อก็เหมือนกัน รายนั้นยิ้มไม่หยุดเลย)
“ขอบคุณครับ...” กันต์เอ่ยตอบก่อนจะนิ่งเงียบไปนิดหนึ่งเพราะรู้สึกจุกอยู่ในอก แต่ก็พยายามจะเก็บเอาไว้ ไม่อยากให้แม่เป็นห่วง
(เป็นอะไรไหมลูก)
“เปล่าครับ แค่เสียดาย ไม่ได้ถ่ายรูปด้วยกันเลย”
(ใช่ๆ แต่ไม่เป็นไร แม่ถ่ายตอนลูกอยู่บนเวทีไว้เยอะเลย)
“อยากกอดแม่จัง”
(ไว้ค่อยกลับบ้านมากอดกันนะจ๊ะ)
“ครับ”
(ฝันดีจ้ะ)
“ฝันดีครับแม่”
กันต์วางสายแล้วทรุดตัวลงนั่งยองก่อนจะปล่อยโฮออกมาแบบไม่อายใครและไม่สนด้วยว่าจะมีใครมองเขาอยู่บ้าง น้องๆ หลายคนเดินเข้ามาหาเขารวมไปถึงมินด้วย ทุกคนดูเป็นห่วงกันต์อย่างมากแต่ก็ไม่มีใครถามไถ่อะไรออกไป ด้วยเพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าคงยังไม่พร้อมที่จะเล่าอะไรในตอนนี้
“มึงร้องออกมาเลย ร้องออกมาให้หมด กูจะอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง” มินนั่งลงข้างๆ แล้วโอบกอดกันต์เอาไว้แน่น เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำมันจะทำให้กันต์รู้สึกรำคาญหรือเปล่า แต่เขาเลือกแล้วว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่หนีไปไหนจนกว่าเพื่อนจะลุกยืนไหว
พี่ปูผู้จัดการของภัทรและมินเดินถือถุงกระสอบใบใหญ่ที่ใส่ของขวัญที่แฟนคลับให้ภัทรและมินเดินผ่านมาเห็นเข้าจึงหยุดดูด้วยใบหน้านิ่ง ภัทรที่เดินตามมาด้านหลังเห็นเข้าก็อดถามไม่ได้
“มีอะไรกันเหรอครับ”
“ไม่น่ามีไรหรอก ก็แค่พวกชอบเรียกร้องความสนใจ” พี่ปูเอ่ยพูดเสียงดังในชนิดที่ว่าทุกคนตรงนั้นถึงกับหันหน้ามามองเพราะเป็นคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรงต่อจิตใจผู้ที่ได้ฟังเป็นอย่างมากในเวลานี้
“พี่ปู ผมว่าพี่พูดแรงไปหน่อยนะพี่” มินลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น เขารู้สึกรับไม่ได้อยู่หน่อยๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้จัดการของตัวเองก็ตาม
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ แค่พูดลอยๆ ใครอยากรับก็รับไปสิ” พี่ปูพูดแล้วกระชับถุงกระสอบขึ้นก่อนจะหันหน้าไปพูดกับภัทร “เรากลับกันเถอะ”
“ครับ” ภัทรตอบรับ
“แกก็รีบกลับด้วยล่ะมิน ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องคนอื่นให้มาก” พี่ปูเอ่ยบอกเด็กในสังกัดของตัวเองอย่างไม่ได้ใยดีนัก เธอไม่ชอบให้ลูกๆ ของเธอไปยุ่งเกี่ยวกับพวกนักแสดงสมทบที่ไม่ได้มีหน้ามีตาสักเท่าไหร่เพราะมันไม่ได้ทำให้เด็กของเธอมีกระแสขึ้นมาได้
พี่ปูกับภัทรก้าวเดินออกไปโดยไม่สนใจอะไรอีก ส่วนมินก็ตัดสินใจเลือกที่อยู่กับกันต์โดยไม่สนใจว่าหลังจากนี้จะโดนพี่ปูด่าหรือไม่ เพราะเขารู้ดีว่าในเวลาแบบนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการได้มีคนคอยอยู่เคียงข้าง แม้ไม่อาจช่วยปลอบใจได้แต่ขอแค่มีคนอยู่เป็นเพื่อนก็พอ
ฝ่ายพี่วันดีเองก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกไปอีกลูกหลังจากที่งานแฟนมีตจบลง แม้จะมีเรื่องที่เกินความคาดหมายไปเยอะพอสมควรแต่โดยรวมก็ถือว่าประสบความสำเร็จอยู่บ้าง หลังจากนี้เธอก็คงจะต้องวางแฟนหาทางพูดคุยกับภูมิสักหน่อย ไม่อย่างนั้นอนาคตต้องแย่แน่ๆ เพราะดูทรงแล้วเหมือนกับว่าอีกฝ่ายจะเริ่มทำตัวแย่ลงๆ ตั้งแต่ที่ซีรีส์มีกระแส แม้เธอจะเพิ่งเคยร่วมงานกับภูมิเป็นครั้งแรก แต่เธอก็รู้สึกเอ็นดูภูมิราวกับเป็นน้องชายแท้ๆ ของเธอ การที่น้องชายทำอะไรผิดพลาดก็คงจะต้องมีการพูดคุยตักเตือนกันบ้าง เพราะอันที่จริงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันอาจจะหมายถึงอนาคตบริษัทของเธอด้วยเหมือนกัน เธอไม่อยากให้เกิดปัญหา ไม่อยากที่จะเสียผลประโยชน์ไป แต่คนอย่างภูมิจะรับฟังคำตักเตือนของเธอหรือไม่ก็คงต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรม ไม่อาจจะไปบังคับฝืนใจใครได้ทั้งนั้น