วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
ท่ามกลางอากาศร้อนและแสงแดดที่แรงจ้าทำให้ทั้งบุ๊คและกันต์เหงื่อไหลชุ่มไปทั่วทั้งตัว แม้ว่าอุณหภูมิจะสูงขนาดนี้ก็ไม่ได้ทำบรรยากาศของตลาดสุดสัปดาห์อย่างจตุจักรมีจำนวนลูกค้าลดน้อยลง ภาพผู้คนเดินขวักไขว่อย่างหนาตาอย่างไม่ยี่หระยังปรากฏให้เห็นเด่นชัด แต่ส่วนมากก็เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติแทบทั้งนั้น อย่างว่าแหละคนไทยแท้ไม่มีใครมาเดินตากแดดกันให้ตัวไหม้หรอก จะเห็นก็มีแต่กันต์กับบุ๊คนี่แหละที่สู้ชีวิตแบบสุดๆ ไปเลย
“ร้อนอะ” บุ๊คบ่นพลางยกมือขึ้นโบกพัดไปมาระดับใบหน้าเพราะหวังว่าลมโชยจะช่วยบรรเทาอาการร้อนได้บ้าง
“ไปหาร้านกาแฟนั่งไหมอะ” กันต์เสนอ เพราะเขาเองก็เริ่มจะเดินไม่ไหวแล้วเหมือนกัน รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด ต้องการของหวานเข้าร่างกายโดยด่วน
“เออ ก็ดี จะร่วงละ”
“แล้วตอนแรกนี่บอกให้ไปที่อื่นก็ไม่เชื่อไง” กันต์แกล้งบ่นอีกฝ่ายเล็กน้อย แต่มันก็เป็นเรื่องจริงเพราะเขาเตือนแล้วว่ามันร้อนให้มากลางคืน ไม่ก็ให้ไปที่อื่นที่มีแอร์แทน ไม่ใช่มาเดินจตุจักรตอนบ่ายสามแบบนี้
“ก็อยากมาเดินดูปลาอะ”
“จ้ะๆๆ” กันต์รีบรับคำเพราะไม่อยากจะมานั่งเถียงกับบุ๊ค เดี๋ยวจะตีกันไปเสียก่อน
นับตั้งแต่ที่เล่นซีรีส์ด้วยกันมานี่ก็แทบจะเป็นเวลาปีกว่าแล้วที่เขายังคงไปมาหาสู่กันตามปกติ ดูเหมือนจะเป็นนักแสดงเพียงคู่เดียวที่ยังคงสนิทกันในชีวิตหลังจากที่ซีรีส์ออนแอร์จบไปนานมากแล้ว อาจเพราะบุ๊คกับกันต์อายุไร่เรี่ยกันจึงทำให้คุยกันถูกคอจนกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด
บุ๊คเดินนำกันต์เข้าไปในร้านกาแฟชื่อดังในห้างที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดมากนัก ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปสั่งกาแฟที่เคาท์เตอร์ทันที โชคดีที่ไม่มีคิวทำให้พวกเขาไม่ต้องมายืนรออีก บุ๊คเอ่ยปากสั่งมัทฉะลาเต้เย็นไซส์ใหญ่ที่สุดส่วนกันต์สั่งอเมริกาโน่เย็นแก้วกลาง คนพี่อาสาที่จะจ่ายค่ากาแฟให้ ทำให้มื้อนี้กันต์ได้กินกาแฟไปฟรีๆ จากการสมนาคุณของพี่บุ๊ค โคยบุ๊คให้เหตุผลว่าเป็นค่าตอบแทนที่ยอมมาเหนื่อยร้อนด้วยกัน ฝ่ายคนน้องพอได้ยินแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปากใส่คนตรงหน้า เพราะหากรู้ว่าการซื้อกาแฟเลี้ยงนั้นเป็นการทำเพื่อแทนคำขอบคุณ เขาจะขอไปกินร้านที่แพงกว่านี้อีกสักหน่อยอาจจะคุ้มกว่ากาแฟแก้วแค่ไม่กี่ร้อย
แต่กันต์ก็ได้แต่คิดเล่นๆ เท่านั้น ไม่กล้าที่จะทำจริงเพราะเขารู้ดีว่าแค่นี้ก็เพียงพอต่อการตอบแทนน้ำใจแล้วในฐานะพี่น้องที่สนิทกันแบบนี้ เขาไม่ได้ต้องการของมีค่าอะไรทั้งนั้น ขอแค่ได้มีพี่บุ๊คอยู่ข้างๆ แบบนี้ไปตลอดก็ดีที่สุดแล้ว เพราะในวงการบันเทิงการจะหามิตรแท้แบบนี้มันยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
กันต์หย่อนตัวลงนั่งที่ข้างๆ บุ๊คตรงส่วนที่เป็นบาร์หันหน้าออกถนน เพราะโต๊ะธรรมดาถูกจับจองโดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไปเสียหมด บุ๊คหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปบรรยากาศด้านนอกเอาไว้เล็กน้อยด้วยเพราะเขาเป็นคนที่ชอบถ่ายรูปมาก และรูปที่อัพส่วนใหญ่ในอินสตาแกรมก็ไม่ใช่รูปตัวเอง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกรูปบรรยากาศเสียมากกว่า กันต์เคยเอ่ยปากถามพี่บุ๊คว่าทำไมไม่ค่อยยอมอัพรูปตัวเอง คำตอบที่ได้กลับกลายเป็นว่าเขาไม่ได้มั่นใจในหน้าตาตัวเองเสียอย่างนั้น ทั้งที่ตัวเองก็เป็นดาราแท้ๆ
“ฮัลโหลครับ” พี่บุ๊คสะดุ้งเล็กน้อยเพราะมีสายโทรเข้ามาระหว่างที่นั่งพูดคุยอยู่กับกันต์
กันต์ละสายตาจากบุ๊คเพราะได้ยินเสียงเรียกคิวของตัวเองพอดีก็เลยลุกเดินไปยกกาแฟที่สั่งทั้งของเขาและของพี่บุ๊คมาวางไว้บริเวณที่ตัวเองนั่ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่บุ๊ควางสายพอดี
“แต๊งกิ้วมากน้อง” บุ๊คเอ่ยขอบคุณแล้วคว้าเอากาแฟมาดูด
“ใครโทรมาอะพี่” กันต์ถือวิสาสะเอ่ยปากถามอีกฝ่ายออกไป เขารู้ดีว่าจริงๆ ไม่ควรจะถามอะไรแบบนี้เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาถามออกไป อาจเพราะความอยากรู้ก็ได้มั้งว่าสายที่โทรมาหาพี่บุ๊คเมื่อกี๊นั้นเป็นสายจากกิ๊กของไอ้พี่บุ๊คมันหรือเปล่า
“พี่วันดีโทรมา” บุ๊คเอ่ยตอบเสียงนิ่ง
“ห้ะ!?” กันต์ได้ยินชื่อก็ถึงกับตกใจว่าทำไมอยู่ๆ พี่วันดีถึงได้ติดต่อมาหาพี่บุ๊คกะทันหันแบบนี้ “ทำไมอะ!?”
“พี่เขาบอกว่ากำลังจะทำซีรีส์เรื่องใหม่ แล้วอยากได้แคสเดิม เพราะว่ามีสปอนเซอร์เสนอมา ถ้าใช้นักแสดงชุดเดิมทั้งหมดเขาจะยอมลงทุนให้ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“อ่อ...”
“นั่นแหละ เขาเลยโทรมาหาพี่ ถามว่าสนใจไหม มีคิวว่างหรือเปล่าไรงี้”
“แล้วพี่ตอบไปว่าไง”
“ก็ต้องสนใจอยู่แล้ว น่าสนุกดีออก ซีรีส์เรื่องใหม่กับนักแสดงชุดเดิม ก็เหมือนได้รียูเนียนหรือเปล่า ไม่ต้องมานั่งทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ ด้วย” พี่บุ๊คพูดจบก็ยกแก้วชาเขียวขึ้นมาดื่มเล็กน้อย
“ก็จริง... แต่ไม่เห็นเขาโทรมาหากันต์บ้างเลยอะ หรือว่าเขาจะเอาแค่ตัวหลักๆ เหรอ” กันต์บ่นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่มีความน้อยใจแฝงอยู่ แม้ว่าจะพยายามเข้าใจในสถานะของตัวเองแต่มันก็อดคิดเสียดายไม่ได้หากว่าเขาจะพลาดไม่ได้เข้าร่วมในโปรเจ็กต์นี้
“เอาน่ะ... ถ้าเขาสนใจเดี๋ยวเขาก็โทรมาชวนเอง ไม่ต้องคิดมาก ทุกอย่างย่อมมีเหตุผลของมัน” พี่บุ๊คเอ่ยปลอบใจแล้วยกมือขึ้นตบไหล่ของกันต์เบาๆ เชิงให้กำลังใจ กันต์หันมายิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะก้มหน้างุดลงไปดูดกาแฟของตัวเอง
ความรู้สึกจุกอกตีขึ้นมาแบบงงๆ ทำให้กันต์รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่เหมือนกัน ทำไมโลกถึงไม่ค่อยแฟร์กับเขาบ้างเลย เพราะจากที่พี่บุ๊คเล่าว่าพี่วันดีอยากได้นักแสดงชุดเดิมกลับไปเล่นทุกคน ก็ควรจะต้องมีเขาด้วยสิ ทำไมถึงไม่มีการติดต่อมาหาเขาบ้าง ความคิดในหัวผุดแล่นขึ้นมาตีกันจนเจ้าของความคิดก็รู้สึกสับสนไม่น้อย ได้แต่นั่งน้ำตาตกในด้วยความเสียใจและน้อยใจ แต่เขาก็ไม่กล้าแสดงอาการอะไรออกไปมากนักเพราะกลัวจะทำพี่บุ๊คเสียบรรยากาศ
ครืดดด~ ครืดดดด~
พี่เจี๊ยบ!
รายชื่อสายที่โทรเข้ามาปรากฏเด่นชัดบนหน้าจอมือถือของกันต์ เขาหยิบขึ้นมาดูพร้อมความงุนงงเล็กน้อยว่าทำไมพี่เจี๊ยบถึงได้โทรหาเขาในเวลาแบบนี้ เพราะหลังจากที่ซีรีส์จบเขาก็ไม่ได้ติดต่อหรือพูดคุยอะไรกับพี่เจี๊ยบอีกเพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องสนิทสนมกันเหมือนตอนทำงานอีกแล้ว เขานั่งมองอยู่เพียงครู่หนึ่งก็ตัดสินใจใช้เรียวนิ้วสัมผัสที่หน้าจอเพื่อกดรับสาย
“ฮัลโหลครับพี่เจี๊ยบ”
(น้องกันต์... สะดวกคุยไหมจ๊ะ)
“สะดวกครับ”
(คืองี้... พอดีพี่วันดีเขาจะทำซีรีส์เรื่องใหม่ ได้ลูกค้ามา แล้วเขาอยากได้นักแสดงชุดเดิมกับเรื่องที่แล้วมาเล่น พี่ก็เลยลองโทรมาติดต่อน้องกันต์ดูว่าสนใจไหม ยังพอจะคิวว่างให้พี่ไหมไรงี้)
“สนใจสิครับพี่เจี๊ยบ” กันต์รีบตอบรับ หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที ความรู้สึกของเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างกายเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน คนตัวเล็กรีบหันไปมองหน้าคนข้างๆ ด้วยดวงตาเบิกโตทันที
(ดีเลยๆ ตอนนี้น้องซันกับน้องภูมิก็ตอบรับมาละ ยังไงเดี๋ยวค่อยมาคุยรายละเอียดกันอีกทีนะจ๊ะ)
“ได้ครับพี่เจี๊ยบ”
(จ้า ขอบคุณมากน้า)
กันต์กดวางสายด้วยท่าทีดีใจแตกต่างกับก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก จากที่นั่งน้อยใจในโชคชะตากลับกลายเป็นว่าต้องเปลี่ยนมาเป็นขอบคุณโชคชะตาแทน
“เป็นไง” บุ๊คเอ่ยถามพลางอมยิ้มเล็กๆ เพราะอดที่จะเอ็นดูน้องชายตรงหน้าไม่ได้
“เรื่องเดียวกับพี่นั่นแหละ”
“เห็นไหมล่ะ พี่บอกแล้วว่าเดี๋ยวเขาก็โทรมา”
“แหะๆ” กันต์ยิ้มเจื่อน
“ยิ้มออกสักทีเนอะ เมื่อกี๊นั่งทำหน้าบูดเป็นตูดเลย ของพวกนี้มันมีเหตุและผลของมันอยู่ การที่เขาจะเอาหรือไม่เอาเราเข้าไปเล่นในแต่ละโปรเจ็กต์มันก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่ผู้จัดเขาวางเอาไว้นั่นแหละ มันไม่ได้เกี่ยวว่าเราดีหรือไม่ดี เก่งหรือไม่เก่งไปเสียทั้งหมด พี่เลยบอกแกว่าไม่ต้องคิดมากไง ถ้าเขาจะเอาไปเล่น เดี๋ยวเขาก็โทรมาเองแหละ” บุ๊คอธิบายเสียยาวยืดเพราะอยากให้อีกฝ่ายสบายใจ เขาเองก็ไม่ค่อยชอบใจนักหรอกที่กันต์เป็นแบบนี้ เขาไม่อยากให้น้องจะต้องมานั่งเสียใจหรือน้อยใจกับเรื่องที่ตัวเองควบคุมไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่อง
“แล้วทำไมของพี่ พี่วันดีโทรมาด้วยตัวเองเลยอะ ของผมทำไมเป็นพี่เจี๊ยบโทรมา...” กันต์ยังคงสงสัยต่อเพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นการแบ่งแยกชนชั้นหรือเปล่า ทำไมถึงไม่เท่าเทียมกันสักหน่อย
โป๊กกก!
พี่บุ๊คยกมือขึ้นมากำมะเหงกแล้วเขกหัวกันต์ไปเบาๆ ก่อนจะบ่นออกมา คนโดนเขกถึงทำหน้ายู่พลางยกมือขึ้นมาลูบหัวตัวเองเบาๆ “หยุดความคิดนั้นเดี๋ยวนี้เลย”
“เจ็บนะพี่”
“ก็มันสมควรจะโดนไหมล่ะ ทำไมชอบคิดอะไรไร้สาระแบบนี้ แกก็รู้ดีว่าบริษัทพี่วันดีมีพนักงานอยู่กี่คน เขาก็คงจะแบ่งกันล่ะมั้งว่าใครโทรหาใครบ้าง”
“อ่อ...”
“นั่นแหละ แกไม่จำเป็นต้องไปคิดอะไรเยอะ แค่ได้กลับมาเล่นในโปรเจ็กต์นี้ก็ดีแล้วไหม ที่เหลือก็แค่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง แกไม่ต้องไปคิดอะไรให้มันปวดหัวแล้ว”
“ครับ...”
พอจบบทสนทนาเหล่านั้นบุ๊คก็ชวนให้กันต์ลุกออกไปข้างนอกเพราะอยากจะเดินดูของอีกสักหน่อย แถมตอนนี้ฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มขึ้นมาเล็กน้อย แดดไม่แรงจ้าเหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับว่าอีกไม่นานฝนจะตก เขาจึงคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะออกมาเดินเตร็ดเตร่เพื่อดูนั่นดูนี่อีกสักหน่อย
แล้วมันก็จริงดังที่บุ๊คคาดไว้ไม่มีผิด เพราะพวกเขาทั้งสองคนออกไปเดินตลาดได้เพียงครึ่งชั่วโมง เม็ดฝนก็เริ่มตกลงมาปรอยๆ จนพวกเขาต้องตัดสินใจเดินไปขึ้นรถของบุ๊คที่จอดอยู่ไม่ไกลมากนักเพราะกลัวว่าหากปล่อยให้ฝนตกหนักกว่านี้แล้วจะต้องใช้เวลายืนรออีกนานกว่าจะได้กลับบ้านกัน
“แกจะไปไหนต่อเปล่า” พี่บุ๊คเอ่ยถามขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่ขึ้นมานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว
“ถ้าไปก็ได้แค่ในห้างปะพี่ ฝนตกมันเริ่มตกหนักแล้วอะ”
“ก็จริง...”
“กลับเลยไหม”
“ก็ได้นะ แกจะไปลงไหนอะ” พี่บุ๊คเอ่ยถามพลางสตาร์ทรถ เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นเล็กน้อยตอนเริ่มต้นก่อนที่พี่บุ๊คจะกดเชื่อมสัญญาณบลูทูธเพื่อเปิดเพลงจากโทรศัพท์มือถือ
“ลงรถไฟฟ้าข้างหน้านี่ก็ได้พี่”
“แล้วแกจะไม่เปียกเหรอ”
“นิดเดียวไม่เป็นไรมั้ง”
“หรือให้พี่วนไปส่งในห้างไหม แกจะได้ไม่ต้องตากฝน เดินทางเชื่อมออกจากในห้างน่าจะง่ายกว่าปะ” พี่บุ๊คเสนอทางเลือกเพื่อหาทางออกให้กับรุ่นน้องคนสนิท เพราะเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาเปียกฝน กลัวว่าจะไม่สบายเอาได้
“ไม่เป็นไรพี่ พี่ส่งกันต์แค่ตรงหน้าสถานีรถไฟใต้ดินก็พอ เดี๋ยวกันต์วิ่งเข้าไป แป๊บเดียวไม่น่าเปียกมาก”
“เอางั้นนะ”
“ครับ”
พอตกลงกันได้พี่บุ๊คก็เคลื่อนรถออกจากลานจอดรถแล้ววนรถไปส่งกันต์ยังจุดที่ได้พูดคุยกันเอาไว้ โชคดีที่ตอนนี้สายฝนเริ่มเบาบางลงบ้างเล็กน้อย ทำให้ไม่น่ากังวลเท่าตอนแรก พอรถยนต์ของบุ๊คจอดเทียบท่า กันต์ก็ปลดสายเข็มขัดนิรภัยออกในทันที
“ขอบคุณมากพี่” กันต์เอ่ยพร้อมยกมือขึ้นไหว้
“เจอกันน้อง กลับดีๆ ถึงละบอกด้วย”
“โอเค”
กันต์พูดจบก็เปิดประตูรถแล้วกระโดดลงจากรถก่อนจะวิ่งเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินทันที
~~~~~~~~~~ The Gossip of BL ~~~~~~~~~~
หลังจากวันที่ได้รับการติดต่อจากพี่เจี๊ยบเรื่องโปรเจ็กต์ซีรีส์เรื่องใหม่ กันต์ก็รู้สึกตื่นเต้นมาโดยตลอด ขั้นตอนต่างเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่เขาเริ่มเซ็นสัญญาไปเมื่อไม่กี่วันก่อน จากที่มีวันว่างเขาก็เริ่มที่จะมีตารางงานแทรกเข้ามาให้ได้รู้สึกชีวิตมีอะไรทำขึ้นมาบ้าง
วันนี้เป็นวันแรกของการเวิร์กช็อปซีรีส์เรื่องใหม่ เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะได้ยินมาว่านักแสดงชุดเก่ากลับมากันเกือบหมด แถมยังมีนักแสดงใหม่เพิ่มมาอีกด้วย ความรู้สึกเก่าๆ เมื่อครั้งที่เริ่มเวิร์กช็อปวันแรกของซีรีส์เรื่องก่อนผุดขึ้นมาไม่หยุด วันนั้นตื่นเต้นยังไง วันนี้ก็ยังตื่นเต้นแบบนั้น แม้ว่าจะเคยมีประสบการณ์มาแล้วก็ตาม
กันต์เดินเข้าไปยังห้องเวิร์กช็อปทันทีที่มาถึง เสียงทักทายจากใบหน้าของคนคุ้นเคยดังขึ้นทั่วบริเวณห้อง กันต์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นแบบนั้น เขาเดินไปหย่อนตัวลงนั่งที่ด้านข้างบุ๊ค ส่วนภูมิกับซันก็แยกกันนั่งอยู่คนละมุมห้อง
“มานานยังพี่” กันต์เอ่ยถาม
“เพิ่งถึงไม่นานอะ กลัวเดี๋ยวจะโดนทำโทษเหมือนเมื่อก่อนอีก จำได้ปะ ตอนเวิร์กช็อปครั้งแรกเรื่องก่อน มาสายวันแรกโดนให้เต้นไก่ย่างอะ ประสาทจะแดก โคตรไร้สาระเลย” บุ๊คบ่นอุบเมื่อนึกขึ้นมาได้ กันต์ฟังแล้วก็หัวเราะตามเพราะภาพจำในวันนั้นยังคงชัดเจนไม่น้อย
“สวัสดีจ้ะเด็กๆ” พี่วันดีเดินเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยทักทายทุกคนในห้องนั้น
เด็กๆ ทุกคนยกมือไหว้แล้วทักทายพี่วันดีกันอย่างพร้อมเพียง หลังจากนั้นพี่เจี๊ยบและน้องๆ สตาฟอีกสองคนก็เดินตามเข้ามา
“ดีใจมากเลยนะจ๊ะที่ได้เจอทุกคนอีก เดี๋ยววันนี้พี่มีสมาชิกใหม่มาแนะนำให้รู้จักด้วยนะจ๊ะ” พี่วันดีพูดจบ พี่เจี๊ยบก็ใช้ให้น้องสตาฟคนหนึ่งวิ่งไปเปิดประตูก่อนที่จะมีชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามา
“สวัสดีครับ” ทั้งสองคนยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวสวัสดีพร้อมกัน
ภาพแรกที่กันต์เห็นทั้งคู่เดินเข้ามานั้นก็ทำเอาอดตะลึงไม่ได้ เพราะความหล่อเหลาของทั้งสองคนมันปะทะเข้ามาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้า คนหนึ่งตัวสูงโปร่ง ส่วนอีกคนตัวเล็กกว่าส่วนสูงเพียงติ่งหูของคนแรก ดูแล้วก็รู้ในทันทีว่าต้องเล่นคู่กันแน่ๆ
“แนะนำตัวกับเพื่อนหน่อยจ้ะ” พี่วันดีหันไปยิ้มบอกน้องทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“สวัสดีครับ ผมฮันครับ” คนตัวเล็กกว่าทักทายพร้อมรอยยิ้ม ท่าทางของเขาดูเป็นคนสนุกสนานแล้วก็ดูน่าทำความรู้จักไม่น้อย
“สวัสดีครับ ผมชื่อไจ๋ครับ” คนตัวสูงแนะนำตัวด้วยท่าทางนิ่งๆ เท่ๆ แต่ก็โคตรหล่อ จนกันต์ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปกระซิบกับบุ๊คเพื่อชื่นชม
“สำหรับไจ๋กับฮันเนี่ยก็จะมาเล่นเป็นคู่ที่สองในซีรีส์เรื่องนี้นะ เดี๋ยวค่อยไปไล่เรียงกันอีกทีว่าแต่ละคาแรกเตอร์มีความสัมพันธ์กันยังไงในเรื่องเนอะ” พี่วันดีอธิบายต่อพลางผายมือให้ไจ๋กับฮันเดินเข้าไปนั่งร่วมวงกับเพื่อนๆ นักแสดงคนอื่น
“หวัดดีครับ” กันต์หันไปทักทายฮันด้วยน้ำเสียงอันเบา เพราะกลัวจะโดนตำหนิว่าไม่ตั้งใจฟังผู้ใหญ่พูด
“หวัดดีครับพี่” น้ำเสียงและท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของฮันตกหัวใจของกันต์เข้าเต็มๆ
ทีแรกเขาก็แค่ชื่นชมว่าน้องฮันดูน่ารักดี แต่พอได้มาอยู่ใกล้ๆ แถมได้รอยยิ้มสดใสกระแทกเข้ามาแบบนั้น ก็ทำเอากันต์ใจสั่นอยู่ไม่น้อย เพราะน้องฮันนั้นเป็นไทป์ที่เขาสามารถเรียกได้ว่าติ๊กถูกทุกข้อ ตรงใจเขาทั้งหมด!
“พี่ชื่อกันต์นะครับ”
“ครับผม” ฮันยิ้มกว้างหลังจากที่รุ่นพี่อย่างกันต์หันมาชวนคุยก่อนที่ทั้งคู่จะถูกบุ๊คสะกิดให้หันไปตั้งใจสิ่งที่พี่วันดีกำลังพูดอยู่
การเวิร์กช็อปในวันแรกไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษมากนักนอกไปจากการละลายพฤติกรรมระหว่างนักแสดงชุดเก่าและนักแสดงชุดใหม่ เพื่อที่จะทำลายกำแพงบางอย่างออกไปให้ทุกคนได้สนิทสนมและเชื่อใจกันมากขึ้น จะได้ทำงานด้วยกันง่ายขึ้นโดยเฉพาะเวลาที่ต้องทำการแสดงด้วยกัน หากไม่สนิทใจกันอาจจะทำให้เข้าถึงคาแรกเตอร์ของตัวละครได้ยากขึ้น
อันที่จริงบรรยากาศก็ดูเหมือนว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่กันต์ก็รู้สึกทะแม่งๆ อยู่ไม่น้อยเพราะแววตาของพี่ภูมินั้นเหมือนซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ตลอดเวลา ราวกับว่าไม่อยากจะเข้าใกล้ทั้งไจ๋และฮัน แม้ว่าในแบบฝึกหัดละลายพฤติกรรมตอนเวิร์กช็อปพี่ภูมิจะลงมือทำอย่างเต็มที่ไม่มีอิดออด แต่ช่วงเวลาพักกันต์ก็สังเกตเห็นได้ชัดว่าพี่ภูมินั้นมีท่าทีที่ดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับเด็กใหม่ทั้งสองคนสักเท่าไหร่
“พี่ภูมิเขาเป็นอะไร” กันต์เอ่ยปากถามบุ๊คหลังจากที่ออกมาหาข้าวกินตอนเวิร์กช็อปเสร็จ
“รับบทขี้อิจฉามั้ง” บุ๊คตอบส่งๆ เพราะเขาก็ไม่ได้อยากจะพูดถึงอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก คนไม่ชอบหน้ากันไม่รู้จะไปพูดถึงทำไม
“ทำไมอะพี่”
เห้อออ~
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของบุ๊คดังขึ้นทำเอากันต์หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย เขารู้ดีว่าสองคนนี้ไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไหร่ แล้วก็รู้ด้วยว่าพี่บุ๊คไม่ชอบที่จะต้องมาคอยนั่งพูดถึงพี่ภูมิ แต่จะทำยังไงได้ก็ในเมื่อเขาอยากรู้และดูเหมือนพี่บุ๊คจะเป็นบุคคลเดียวในตอนนี้ที่พอจะให้คำตอบแก่เขาได้
“ก็ไจ๋กับฮันเป็นเด็กนายทุนไง แกดูไม่ออกเหรอว่าทำไมเขาถึงมาลงทุนแถมสั่งให้พี่วันดีเอานักแสดงชุดเก่ากลับมาเล่นให้หมด”
“...” กันต์นั่งเงียบหลังจากได้ยินสิ่งที่พี่บุ๊คพูด เพราะเขาเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไม
“ลำพังเขามีเงินอยู่ในมือ จะไปทำซีรีส์เองก็ได้ แต่เพราะกลัวว่ามันจะไม่ดัง ไม่ทำเงิน ก็เลยมาใช้กระแสคู่จิ้นของภูมิซันเพื่อที่จะได้ผลักดันไจ๋กับฮันที่เป็นเด็กของตัวเองให้ดังขึ้นมาบ้างไง วิธีนี้มันง่ายกว่ากันเยอะ...”
“อ่อ...” กันต์พยักหน้าหงึกๆ ขณะที่ฟังพี่บุ๊คอธิบาย
“เข้าใจยังทีนี้”
“แจ่มแจ้ง!” กันต์ถึงบางอ้อเสียทีว่าท่าทางของพี่ภูมิที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาการเวิร์กช็อปในวันนี้มันหมายถึงอะไร
ก็อย่างว่าแหละ สุดท้ายพี่ภูมิกับน้องซันก็เหมือนจะเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่นายทุนหยิบยืมมาใช้เดินเกมส์เพื่อส่งเสริมให้ไจ๋กับฮันได้หน้า คงไม่แปลกที่พี่ภูมิจะรู้สึกไม่โอเคกับเด็กใหม่ทั้งสองคน แต่กับกันต์เรื่องพวกนี้ไม่ได้ส่งผลกับชีวิตของเขามากเท่าไหร่นัก การที่ยังได้มาเล่นซีรีส์กับเพื่อนๆ ก็นับว่าเป็นโชคดีมากแล้ว โดยเฉพาะการได้มาเจอน้องฮันอีก ของดีตรงสเปกแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเจอกันได้ง่ายๆ