วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
กันต์งัวเงียตื่นแต่เช้ามืดเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้ในโทรศัพท์มือถือตั้งแต่เมื่อคืน เป็นวันแรกที่มีคิวเขาออกกองถ่ายซีรีส์เรื่องใหม่ เขารีบอาบน้ำอย่างลวกๆ ก่อนจะคว้าเอาเสื้อยืดมาสวมและกางเกงขายาวยางยืดมาใสj เขาต้องการความสะดวกสบายมากที่สุด ไม่ได้เน้นความหล่อเนี้ยบอะไร เพราะเมื่อไปถึงกองถ่ายก็ต้องเปลี่ยนไปใส่ชุดอื่นที่จะต้องเข้าฉากถ่ายทำอยู่ดี
เขาลากสังขารที่เหมือนยังไม่ตื่นดีมาขึ้นรถแกร๊บที่เรียกมารับ เนื่องจากวันนี้พี่ผู้จัดการของเขาไม่ว่างมีงานที่ต้องตามไปดูแลเด็กในสังกัดคนอื่นที่มีงานอีเวนต์ต่างจังหวัด เขาจึงต้องไปออกกองด้วยตัวเองแต่ก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร เพราะที่ผ่านมาเขาก็ดูแลตัวเองมาตลอดอยู่แล้ว
จากบ้านของกันต์ไปจนถึงโลเคชั่นกองถ่ายใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เขาไปถึงกองถ่ายตามเวลานัดหมายคือหกโมงเช้า เมื่อไปถึงเขาไม่ลืมที่จะยกมือไหว้สวัสดีทุกคนที่เดินผ่านเพราะได้รับการสอนมาจากผู้จัดการอีกทีว่าให้เคารพทุกคนทุกหน้าที่ในกองถ่าย กันต์จึงทำตามอย่างว่าง่าย เขาเดินตรงเข้าไปด้านในเจอพี่เจี๊ยบยืนอยู่ เขาจึงยกมือขึ้นไหว้เพื่อทักทาย
“พี่เจี๊ยบหวัดดีครับ”
“อ้าว น้องกันต์ มาไวมาก ห้องแต่งหน้าแต่งตัวอยู่ทางนี้เลย” พี่เจี๊ยบยิ้มรับแล้วพาเดินนำเข้าไป
ด้านในยังไม่มีนักแสดงคนอื่นมาเลยสักคน มีแต่ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมกับพวกทีมคอสตูม กันต์จึงได้เข้าไปนั่งแต่งหน้าเป็นคนแรกเพราะเขาก็ไม่อยากจะให้เสียเวลา
“น้องกันต์กินข้าวหรือยังลูก” พี่ช่างแต่งหน้าเอ่ยถามขึ้นระหว่างที่กำลังจะเตรียมลงครีมบำรุงผิวให้กันต์
“ยังเลยครับ”
“อุ๊ย! งั้นไปกินก่อนไหมจ๊ะ แล้วค่อยมาแต่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ มันยังเช้าเกินไปครับ”
“โอเค งั้นพี่ลุยเลยนะ” พี่ช่างแต่งหน้าบอกก่อนจะแตะครีมลงบนผิวหน้าแล้วเกลี่ยจนทั่ว
กันต์รับรู้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของพี่ช่างแต่งหน้าเป็นอย่างดี แม้จะมีเคลิ้มไปบ้างบางทีแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาเผลอหลับไปแต่อย่างใด เขานั่งอยู่พักใหญ่ถึงจะได้ยินเสียงทักทายลอยแว่วมาเข้าหู เป็นน้ำเสียงที่คุ้นหูเขาเป็นอย่างดีแต่เขายังไม่สามารถลืมตาแล้วหันไปทักทายได้จึงต้องนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น
“ว่าไงกันต์ กินไรยัง” เสียงนั้นดังเข้ามาใกล้พร้อมฝ่ามือที่ยกมาวางแตะไหล่เพื่อทักทาย
“หวัดดีครับพี่บุ๊ค” กันต์เอ่ยทักทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น
“น้องบุ๊คไปกินข้าวก่อนเลยจ้ะ” เสียงพี่ช่างผมเอ่ยบอกขึ้น
“ได้ครับ” บุ๊คตอบรับก่อนที่กันต์จะได้ยินเสียงเปิดประตูห้องแต่งตัวแล้วเสียงฝีเท้าเดินออกห่างไปเรื่อยๆ
หลังจากบุ๊คเดินออกไปจากห้องแต่งตัวได้ไม่นาน กันต์ก็แต่งหน้าเสร็จพอดี พี่คอสตูมจึงสะกิดเรียกให้เขาเดินไปเปลี่ยนเสื้อที่จะต้องใส่เข้าฉากแรกเสียก่อนที่จะทำผม เพราะไม่อยากให้ผมเสียทรงตอนที่ต้องมาเปลี่ยนชุด กันต์ก็รับฟังอย่างง่ายดายเดินไปหยิบเสื้อยืดตัวที่ต้องใส่เข้าฉากแรกมาเปลี่ยนอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินกลับไปนั่งเก้าอี้ที่พี่ช่างทำผมเตรียมเอาไว้
พี่ช่างผมบรรเลงฝีมือในทันทีเพราะเวลามันเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีรีรอ เขาเองก็อยากจะประณีตแต่ในบางครั้งก็ไม่สามารถจะเชื่องช้าได้สักเท่าไหร่นัก ยิ่งเวลามีนักแสดงเข้าฉากพร้อมกันหลายคนยิ่งเหมือนทัวร์ลง ทำกันมือเป็นระวิง หลายครั้งที่พวกพี่ช่างหน้าผมร้องขอให้ทางผู้จัดช่วยเพิ่มจำนวนช่างแต่ก็ได้คำตอบกลับมาเพียงแค่ว่าต้องประหยัดงบ ใช้ช่างหน้าหนึ่งคน ช่างผมหนึ่งคนก็เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลยสักนิด นักแสดงแปดคนแต่ใช้ช่างเพียงแค่สองคน หากราคาสมน้ำสมเนื้อก็ยังไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่นอกจากจะโดนกดราคาแล้วยังโดนด่าว่าทำงานช้าอีกด้วย ทั้งที่จำนวนช่างมันไม่เพียงพอกับจำนวนนักแสดง
กันต์มักจะได้ยินพวกพี่ๆ ช่างหน้าผมบ่นอยู่บ่อยๆ เพราะชอบไปเร่งให้เขาทำเร็วๆ พอพวกเขาแต่งนักแสดงออกมาไม่ดีก็ไปด่าพวกเขา พอพี่ๆ เขาตั้งใจแต่งให้ดีแต่ใช้เวลานานอีก ก็โดนด่าอีก พวกพี่เขาก็เลยไม่รู้จะต้องทำยังไงเหมือนกัน ทำตัวไม่ถูก ก็น่าเห็นใจไม่น้อยเพราะไอ้คนที่ด่าที่บ่นส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มาอยู่หน้างานนักหรอก ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าทีมงานแต่ละฝ่ายทำงานกันยังไง เอาแต่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง คงจะมองเห็นพื้นล่างชัดเจนนักหรอก
กันต์เดินออกมายืดเส้นยืดสายข้างนอกหลังจากที่แต่งหน้าทำผมและแต่งตัวพร้อมสำหรับเข้าฉากเรียบร้อย เขาเดินออกมายังส่วนของสวัสดิการเพื่อต้องการที่จะหากาแฟกินสักแก้วหนึ่งให้รู้สึกสดชื่นและตื่นเต็มตามมากกว่านี้ เพราะแต่ละซีนที่เขาต้องถ่ายในวันนี้มีแต่ฉากที่ต้องใช้พลังงานทั้งนั้น หากไม่มีตัวช่วยเขาอาจจะร่วงไปก่อนหมดวันได้
“เอาไรดีน้องกันต์” เสียงป้าทีมสวัสดิการเอ่ยทักเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเดินเข้าใกล้
“กาแฟเย็นครับ”
“กาแฟสดหรือกาแฟซอง”
“กาแฟสดดีกว่าครับ” กันต์เอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างก่อนจะหันไปคว้าเอาคุกกี้ซองที่วางไว้เป็นของทานเล่นขึ้นกินรองท้อง
“กินข้าวไหมลูก เดี๋ยวจะหมดซะก่อนนะ” ป้าสวัสดิการเอ่ยถามอีกครั้งเห็นว่ากันต์กำลังเคี้ยวคุกกี้ตุ้ยๆ
“มีอะไรครับมื้อเช้า”
“ข้าวต้มหมูสับนี่แหละ ไปกินหน่อยมั้ย ข้าวต้มร้อนๆ จะได้คล่องคอ”
“ได้ครับป้า เดี๋ยวได้กาแฟแล้วผมเดินไปเอาครับ”
พูดจบไม่ทันขาดคำป้าก็ยื่นกาแฟเย็นแก้วใหญ่มาให้ในทันที กันต์รับไว้แล้วไม่ลืมที่จะขอบคุณ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากตรงนั้น เขาดูดกาแฟเข้าไปอึกแรงก็ถึงกับตาโตด้วยความเข้มแบบได้ใจ จากนั้นจึงเดินตรงไปยังมุมกินข้าวที่อยู่ไม่ไกล
“เอาข้าวต้มหมูชามหนึ่งครับ ไม่ต้องเยอะมากนะครับ” กันต์เอ่ยบอกป้าอีกคนที่ยืนตักข้าวต้มอยู่หน้าหม้อ
“ใส่ผัก ใส่กระเทียมได้ไหมลูก”
“ได้ครับ ใส่ได้หมดเลยครับ”
“นี่จ้ะ” ป้ายื่นชามข้าวต้มหมูมาให้ แม้ว่ากันต์จะได้เอ่ยปากบอกไปว่าเอาแค่นิดเดียวไม่ต้องเยอะ แต่ป้าก็เหมือนจะไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ เพราะปริมาณข้าวต้มในชามก็ยังดูเยอะมากสำหรับกันต์อยู่ดี
เขาเดินไปนั่งกินข้าวที่โต๊ะเงียบๆ คนเดียวเพราะคนอื่นๆ กินกันเสร็จหมดแล้วและเริ่มไปเตรียมตัวทำงานกันหมด แต่เพียงครู่เดียวพี่บุ๊คก็เดินตามมานั่งข้างๆ หยิบแก้วกาแฟมาดูดนิดหน่อย กันต์เห็นก็ได้แต่สงสัยเพราะตอนเช้าเท่าที่จำได้เหมือนว่าพี่บุ๊คจะกินข้าวไปแล้ว ทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้อีก
“พี่กินข้าวไปแล้วไม่ใช่เหรอ” กันต์เอ่ยถามอย่างสงสัย
“กินแล้วๆ มานั่งด้วยเฉยๆ ในนั้นมันวุ่นวาย คนเยอะ”
“อ่อ...” กันต์พยักหน้ารับแล้วก้มลงไปกินข้าวต้มในชามของตัวเองต่อ แม้ปกติในเวลาแบบนี้เขาไม่ค่อยจะกินข้าวเช้าสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าข้าวต้มร้อนๆ ตอนเช้าตรู่มันก็คล่องคอดีเหมือนกัน
“เอ้า! น้องซัน!!!” พี่บุ๊คตะโกนเรียกตอนเห็นซันเดินลงจากรถยนต์ของตัวเองที่เพิ่งขับเข้ามาจอด
“หวัดดีครับพี่” ซันเดินเข้ามายกมือไหว้ทักทายทั้งกันต์และบุ๊คก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งด้วยกัน
“กินไรยัง” กันต์เอ่ยถาม
“ยังเลยพี่ เดี๋ยวเดินไปเอาแป๊บ” ซันตอบพลางวางกระเป๋าใบเล็กไว้ที่เก้าอี้ก่อนจะเดินไปเอาชามข้าวต้มมานั่งกินด้วยกัน
“ไม่เจอนานมาก สบายดีไหมน้อง” พี่บุ๊คเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง
“เรื่อยๆ ครับ งานเยอะนิดหนึ่งแต่ก็หนุกดีพี่”
“งานเยอะก็ดีแล้วแก พวกฉันสิ ไม่มีงานไรเลย” พี่บุ๊คเอ่ยพูดอย่างติดตลกก่อนจะหันมองหน้ากันต์ เอาเข้าจริงไอ้ที่มองว่าตลกนั้น ไม่ใช่ตลกที่ไม่มีงาน แต่ตลกในโชคชะตาของพวกเขามากกว่า ทั้งที่ซีรีส์ก็ดังระเบิดขนาดนั้น ตัวภูมิและซันก็ขึ้นแท่นนักแสดงตัวท็อปแบบฉุดไม่อยู่ แต่นักแสดงสมทบแบบพวกเขากลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร แม้ว่าตอนซีรีส์ออนแอร์คนจะพูดถึงมากแค่ไหน แต่พอซีรีส์จบก็ถูกลืมเลือนไปอยู่ดี
ทั้งสามคนนั่งพูดคุยกันอยู่อีกพักใหญ่จนพี่เจี๊ยบเดินมาเรียกให้ซันไปแต่งหน้าแต่งตัว กันต์กับบุ๊คจึงเดินไปหาที่นั่งพักเพื่อรอทีมงานมาเรียกเข้าฉาก
ตามเบรคดาวน์นักแสดงทุกคนจะต้องพร้อมถ่ายในเวลาเจ็ดนาฬิกาตรง แต่ตอนนี้เจ็ดโมงครึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่านักแสดงจะพร้อมถ่ายเลยด้วยซ้ำ แต่ก็เข้าใจได้เพราะว่านอกจากกันต์ บุ๊ค และซันแล้ว ยังมีมินกับภัทรที่มาถึงหลังจากพี่บุ๊คได้ไม่นาน ด้วยจำนวนนักแสดงที่มีกับจำนวนช่างต่างหน้าทำผมก็คงต้องทำใจว่าพวกเขาก็พยายามเร่งมือกันแบบสุดๆ แล้ว
กว่าจะได้เริ่มเดินเข้าไปถ่ายฉากแรกก็แปดโมงนิดๆ บรรยากาศภายในกองไม่ได้ดูสดใสสักเท่าไหร่เพราะพี่เจี๊ยบวีนแตกไปเล็กน้อยด้วยเพราะมันเลทจากตารางที่วางเอาไว้มากแต่ก็จบลงเมื่อซันเดินออกมาจากห้องแต่งตัว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเราจะได้เริ่มถ่ายกันสักที
แอคชั่น!
เสียงผู้กำกับสั่งแอคชั่นเป็นสัญญาณเริ่มการถ่ายทำฉากแรกหลังจากที่เข้าไปบรีฟนักแสดงจนเสร็จสรรพเรียบร้อย นักแสดงทุกคนก็ทำหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายกันอย่างเต็มที่ แม้ว่าจะไม่ได้ออกกองมานานหลายเดือน แต่กันต์ก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนผิดหวัง เขานั่งท่องจำบทและตีความตัวละครอย่างขะมักเขม้นตั้งแต่ได้รับบทมา การแสดงในซีนนี้จึงราบรื่นและรวดเร็ว อันที่จริงก็ไม่ใช่แค่กันต์หรอกที่เตรียมตัวมาดี เพราะนักแสดงคนอื่นๆ ที่มาเข้าซีนด้วยกันก็รับผิดชอบในส่วนของบทตัวเองมาเป็นอย่างดี ทุกคนแสดงได้อย่างเข้าขากันอาจจะเพราะทำงานด้วยกันมาก่อนจึงรู้จังหวะรับส่งของแต่ละฝ่ายได้เป็นอย่างดี
คัททท!
เสียงสั่งคัทดังขึ้นจากปากของผู้กำกับที่นั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์ผ่านมาทางวอที่ติดอยู่กับตัวของผู้ช่วยผู้กำกับ นักแสดงทั้งหมดจึงหยุดนิ่งแล้วออกจากคาแรกเตอร์กลับมาเป็นตัวเอง ก่อนจะได้ยินผู้กำกับสั่งว่าให้เปลี่ยนคัทหรือหมายถึงเปลี่ยนมุมกล้องได้เลย ทุกคนก็แปลกใจเป็นอย่างมากที่ถ่ายเพียงแค่เทคเดียวก็ผ่านแล้ว พี่บุ๊คอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงถ่ายแค่เพียงเทคเดียวผ่านจึงหันไปถามผู้ช่วยผู้กำกับที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะอยากรู้เหตุผลที่แท้จริง
“พี่ ถามจริง เทคเดียวผ่านจริงเหรอ” น้ำเสียงเอ่ยถามอย่างอยากรู้
“อื้อ! พี่ผู้กำกับเขาอยากได้ภาพกว้างเก็บไว้เฉยๆ อะ ซีนนี้นักแสดงหลายคน เดี๋ยวไปถ่ายเจาะตอนพูดไดอะล็อกอีกที จะได้ไว”
“อ่อครับ”
หลังจากถามจบพี่บุ๊คก็ดูจะเลิกสงสัยในทันที ก่อนจะหันกลับมาสนทนากับเพื่อนๆ ในฉากแทน กันต์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่บุ๊คถึงต้องมาสงสัยเรื่องอะไรแบบนี้ ทั้งที่ปล่อยให้มันผ่านไปก็ได้ การถ่ายทำผ่านไปแบบรวดเร็วก็นับว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ ทำไมจะต้องมานั่งสงสัยว่าผู้กำกับถ่ายเร็วให้ผ่านไวมันเกิดจากอะไร เพราะส่วนตัวกันต์คิดเพียงแค่ว่าผู้กำกับพอใจที่จะให้ผ่านแสดงว่ามันใช้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมานั่งหาเหตุผลในรกสมอง บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจในการกระทำของพี่บุ๊คจริงๆ
การถ่ายทำดำเนินไปจนถึงช่วงเที่ยง ทุกคนเบรกกินข้าวกันด้วยท่าทีอ่อนล้ากว่าตอนเช้าเล็กน้อย กันต์ที่เดินมาต่อแถวรอคิวกินข้าวรวมกับพวกพี่ทีมงานยืนหันมองซ้ายขวาเพราะไม่เห็นว่าจะมีนักแสดงคนอื่นๆ มาต่อคิวด้วยจึงอดแปลกใจไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากขนาดนั้นเพราะอยากจะรีบกินแล้วรีบไปเปลี่ยนชุดเผื่อจะมีเวลาว่างเหลือมากพอให้งีบได้สักตื่นก่อนจะไปเข้าฉากในช่วงบ่าย
“อ้าวพี่กันต์” เสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้น
กันต์หันไปมองตามเสียงจึงได้เห็นว่าคนที่ร้องเรียกเข้าไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นน้องซันนั่นเอง “ว่าไงน้อง”
“มื้อเที่ยงมีไรครับ” ซันเอ่ยถามขณะที่เดินมาต่อคิวอยู่หลังกันต์
“ต้มข่าไก่กับหมูกรอบผัดพริกเผาอะ”
“โห ของชอบเลยหมูกรอบ”
“จริง เออ! แล้วคนอื่นอะ” กันต์ถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“นั่งกินอยู่ข้างในนู่น พี่เจี๊ยบบอกว่าเตรียมของนักแสดงไว้ให้ในห้องแต่งตัวแล้วครับ”
“อ้าว! ไม่เห็นมีใครบอกพี่เลย” กันต์ได้ยินก็อดงุนงงไม่ได้ เพราะไม่มีใครบอกเขา ไม่งั้นเขาก็คงเดินเข้าไปนั่งกินข้างในแล้ว
“อ่าว ผมนึกว่าเขาบอกทุกคน”
“แล้วทำไมซันไม่ไปนั่งกินข้างในอะ”
“ผมเบื่ออะดิ คนเยอะ มาอยู่ข้างนอกแบบนี้ดีกว่า อากาศถ่ายเทกว่าเยอะ มานั่งคุยกับพวกพี่ๆ เขาด้วย” ซันเอ่ยบอกพลางหันไปมองพวกพี่ๆ ทีมไฟที่หันมายิ้มให้พร้อมโบกมือทักทาย
“อ่อ เออว่าแต่ยังไม่เห็นพี่ภูมิเลย ยังไม่มาเหรอ” อยู่กันต์ก็เอ่ยถามขึ้นเพราะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ซีรีส์เรื่องนี้จะขาดพระเอกไปได้ยังไงกัน
“เห็นพี่ภูมิบอกว่าทีมงานนัดบ่ายสามนะครับ” ซันตอบเสียงใส
ทั้งคู่พูดคุยกันได้เท่านั้นก็ถึงคิวของกันต์พอดี กันต์รับจานข้าวราดแกงจากมือป้าสวัสดิการแล้วขยับออกมายืนรอเพื่อให้น้องซันรับข้าวอีกจานก่อนจะเดินไปนั่งด้วยกันที่โต๊ะของทีมงาน
สองหนุ่มนั่งกินข้าวกันแบบเหงาๆ แม้ว่าจะมีพี่ทีมงานนั่งอยู่ด้วยแต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีความเกรงใจอยู่บ้างเล็กน้อยที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับนักแสดงแบบพวกเขาทั้งสองคนแต่ซันก็ดูจะเป็นตัวกลางในการทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดแบบนั้น เพราะน้องชวนทีมงานคุยอย่างสนิทสนมและเป็นกันเอง จนทำให้กันต์กล้าที่จะหันไปคุยเล่นกับพวกพี่ๆ ทีมงานด้วย
หลังกินข้าวเสร็จพวกพี่ทีมงานก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนที่จะเริ่มงานในช่วงบ่าย กันต์จึงมีโอกาสได้พูดคุยกับน้องซันเพิ่มเติม จึงได้ความว่าเพราะซันชอบแอบมานั่งเล่นกับพวกพี่ทีมไฟอยู่บ่อยๆ ก็เลยเริ่มสนิทสนมกัน ซันบอกว่าไม่ชอบบรรยากาศในห้องแต่งตัวเพราะเวลานักแสดงและผู้จัดการ รวมไปถึงพวกพี่ช่างหน้าผม คอสตูมทั้งหลายแหล่นั่งรวมกันก็มักจะมีแต่เรื่องนินทาคนอื่นอยู่เสมอซึ่งซันไม่ชอบอะไรแบบนั้น เขารู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งเวลาที่ต้องนั่งอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์แบบนั้นจึงเลือกที่จะย้ายตัวเองออกมานั่งอยู่ข้างนอกดีกว่า
‘น้องกันต์ น้องซัน มาเปลี่ยนชุดด้วยนะจ๊ะ’
เสียงพี่เจี๊ยบดังผ่านวอของฝ่ายสวัสดิการ ทั้งคู่ได้ยินก็สะดุ้งเล็กน้อยเพราะกำลังเพลิดเพลินกับการพูดคุยที่นานๆ ทีจะได้คุยกันเรื่องอื่นนอกจากงานบ้าง นับว่าเป็นครั้งแรกๆ เลยก็ว่าได้ที่ได้คุยกันเชิงลึกมากขึ้นตั้งแต่ได้รู้จักกัน
กันต์เป็นคนแรกที่เดินเข้าไปรับชุดที่ต้องใส่ถ่ายทำในฉากต่อไปเนื่องด้วยฉากนี้ยังไม่มีซันทำให้น้องได้ไปนั่งเล่นเกมรออีกพักใหญ่ๆ พอเปลี่ยนชุดเสร็จเขาก็รีบเดินไปนั่งลงที่หน้ากระจกเพื่อให้พี่ช่างแต่งหน้าซับหน้าและให้ช่างผมซ่อมผมให้ เพราะเวลาเปลี่ยนชุดทีไรผมของเขาก็เสียทรงทุกที
“นี่พี่ภูมิยังไม่มาอีกเหรอครับ” อยู่ๆ กันต์ก็เกิดสงสัยขึ้นมาจึงเอ่ยถาม เพราะมันก็บ่ายมากแล้ว โดยปกติถึงแม้ว่ากองถ่ายจะนัดเขาเวลาไหนก็ตาม เขาจะมาถึงกองถ่ายก่อนเวลานัดประมาณหนึ่งถึงสองชั่วโมงเสมอเผื่อว่าการถ่ายทำในฉากก่อนหน้ามันเสร็จไวกว่ากำหนด เขาก็สามารถเข้าฉากต่อได้ทันที งานของทุกฝ่ายก็จะได้ไม่สะดุด เขาจึงอดแปลกใจไม่ได้ที่ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้วแต่ยังไม่เห็นหน้าของพี่ภูมิเลย
“โอ๊ย รายนั้นมาบ่ายสามจ้า กองถ่ายนัดกี่โมงก็มาตอนนั้น ไม่เคยหรอกที่จะมาก่อน” พี่ช่างทำผมที่กำลังซ่อมผมให้กับกันต์เอ่ยพูดขึ้น
“อ่อครับ”
“นี่! ใครว่ากองถ่ายนัดบ่ายสาม...” พี่ช่างแต่งหน้าที่นั่งว่างอยู่ถึงกับสไลด์เก้าอี้เข้ามาหาทันทีก่อนจะลดระดับเสียงจนเกือบกลายเป็นกระซิบ
“เมาท์!!!!” ช่างทำผมถึงทำหน้าตาตื่นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น “ยังไง ไหนเล่า!”
“ยัยเจี๊ยบเพิ่งมาบ่นให้ฟังอยู่เลยว่าขอคิวไปเต็มวัน แต่ผู้จัดการนางตอบมาว่าไปได้บ่ายสามค่ะ เพราะว่าน้องเลิกงานดึกต้องการให้น้องได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ก่อน”
“แรงเกินนนนน”
“กลัวน้องเหนื่อยแล้วทำงานได้ไม่เต็มที่ เลยไม่อยากให้มาแต่เช้าตรู่” พี่ช่างแต่งหน้าพูดต่อ
“มึง... แล้วพวกเราไม่เหนื่อยเหรอ?” พี่ช่างทำผมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงติดสงสัย “ทุกคนในกองก็เหนื่อยกันทั้งนั้นอะ มากันตั้งแต่เช้ามืด แล้วใช่ว่าเมื่อวานจะไม่ได้ทำงานกัน เราก็ออกกองอื่นกันจนตีหนึ่งป้ะ”
“ก็เออไง... ยัยเจี๊ยบมันเลยมาบ่นให้ชั้นฟังเนี่ย”
“แต่ก็ทำไรไม่ได้อะเนอะ ลูกเทวดานี่หว่า”
ทันทีที่พี่ช่างทำผมพูดจบ ริมฝีปากของช่างแต่งหน้าก็เบ้ชัดในทันทีด้วยความหมั่นไส้ ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามองหน้ากันต์แล้วหลุดหัวเราะออกมา เธอรู้ดีว่าทุกคนในกองไม่มีใครชอบภูมิกันทั้งนั้น จึงไม่ได้ระวังตัวอะไรมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกันต์ยิ่งไม่ต้องระวังอะไรมาก เพราะทั้งคู่รู้ดีว่าคนอย่างกันต์ไม่ค่อยสนใจเรื่องนินทากาเลแบบนี้อยู่ จึงไม่ได้น่ากังวลสักเท่าไหร่ว่าเรื่องที่พวกเขาเมาท์มอยกันอยู่นี้จะหลุดไปถึงหูฝั่งภูมิ
การถ่ายทำในช่วงบ่ายเริ่มต้นขึ้นหลังจากหมดเวลาเบรก ทุกคนเข้าประจำตำแหน่งของตัวเองและถ่ายทำกันไปได้อย่างราบรื่นเหมือนดังในตอนเช้า สีหน้าของทุกคนในกองดูร่าเริงและสดใสกว่าในทุกครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าวันนี้จะเป็นคิวแรกของกันต์ตั้งแต่ซีรีส์เปิดกล้องมาหลายคิว แต่จากคำบอกเล่าของบรรดาทีมงานก็เป็นเครื่องการันตีได้ว่า วันนี้คงเป็นวันแรกที่การถ่ายทำทุกอย่างเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ไม่มีติดขัดอะไร
ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันหมดว่าเพราะพี่ภูมิไม่มากองนั่นแหละ ทุกอย่างมันก็เลยดูราบรื่นได้ขนาดนี้...
“มาแล้วๆๆๆ” ยังไม่ทันทีที่ทุกคนจะได้เต็มอิ่มความสุขในการออกกอง รถตู้คันคุ้นตาที่ทุกคนรู้สึกขยาดเมื่อเห็นมันก็ขับเข้ามาจอด พี่เจี๊ยบได้แต่ร้องตะโกนบอกเพื่อเตือนให้ทุกคนได้รับรู้ว่าหลังจากนี้เตรียมตัวรับมือไว้ให้ดีๆ
กันต์พยายามชะโงกหน้ามองหลังจากที่ได้ยินเสียงพี่เจี๊ยบตะโกนบอกแบบนั้น แต่เพราะถูกเรียกเข้าฉากเสียก่อนจึงไม่ได้ตามต่อว่าสถานการณ์เป็นยังไงเพราะมัวแต่จะต้องโฟกัสกับสิ่งที่ตัวเองต้องทำหน้าเซ็ต
คัท!
“เดี๋ยวน้องกันต์รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรีบกลับมาหน้าเซ็ตนะ มีถ่ายฉากต่อไป” เสียงพี่ผู้ช่วยผู้กำกับเอ่ยบอกกันต์ กันต์ก็พยักหน้ารับคำแล้วรีบเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัวทันที
กัณต์รีบเดินกึ่งวิ่งกลับไปที่ห้องแต่งตัวเพราะรู้ดีว่าต้องรีบทำเวลา เขาไม่อยากจะต้องเป็นตัวถ่วงของใคร พอกลับมาถึงห้องแต่งตัวบรรยากาศภายในนั้นเปลี่ยนไปจากในตอนเช้าอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่มีใครพูดคุยกันเลยแถมทุกอย่างในห้องก็ดูอึดอัดไปหมด เขาแอบกระซิบถามทีมคอสตูมก็ได้ความว่าผู้จัดการของพี่ภูมิเพิ่งมาวีนเมื่อกี๊ว่าทำไมไม่เตรียมห้องพักของพี่ภูมิให้พร้อมใช้ มาถึงแอร์ในห้องยังไม่เปิดแถมโต๊ะก็ไม่ได้เตรียมไว้ให้ ทุกคนก็เลยส่ายหน้ากันหมด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ว่าพี่เจี๊ยบลืมหรือไม่สนใจ แต่มันไม่ใช่หน้าที่ที่พี่เจี๊ยบต้องรับผิดชอบ กับอีแค่แอร์ไม่ได้เปิดต้องโดนวีนฉ่ำแบบนี้ก็ไม่ค่อยมีใครพอใจนักหรอก มาถึงกองปุ๊บก็ทำเสียบรรยากาศปั๊บ ลำพังพี่เจี๊ยบผู้เป็นโปรดิวเซอร์ในกองก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมากพออยู่แล้ว การที่จะต้องมานั่งปรนนิบัติพัดวีภูมิในเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋มแบบนี้มันก็ดูจะเป็นการสิ้นเปลืองเวลาทำงานโดยใช่เหตุ เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในกองถ่ายมันมีต้นทุนทั้งหมด การจะให้เธอมาเปิดแอร์ทิ้งเอาไว้เพื่อให้ห้องเย็นฉ่ำรอภูมิมาถึงกองถ่ายก็ดูจะสิ้นเปลืองมากเกินไปหน่อย เพราะสุดท้ายคนที่ต้องรับผิดค่าไฟของสถานที่ก็เป็นกองถ่ายอีกอยู่ดี
บรรยากาศในกองถ่ายเหมือนฟ้ามืดครึ้มในทันทีจากที่สว่างสดใสมาทั้งวัน แต่กันต์ก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะแต่ละซีนที่เขาต้องถ่ายนั้นจำเป็นต้องใช้สมาธิและพลังงานเป็นอย่างมาก ใครบอกว่าเป็นตัวสมทบง่ายกว่าพระนายก็เห็นจะไม่จริง โดยเฉพาะตัวละครสมทบที่มีคาแรกเตอร์คอมเมดี้ด้วยแล้วล่ะก็ เหมือนกับต้องใช้ขุมทรัพย์พลังงานทั้งหมดที่มีในตัวกันเลยทีเดียว
“พี่ภูมิหวัดดีครับ” กันต์ยกมือไหว้เมื่อเห็นพี่ภูมิเดินเข้ามาหน้าเซ็ต
หลังจากที่เขาถ่ายทำกันมาทั้งวัน นี่ก็เป็นฉากสุดท้ายของกันต์เสียที เขาค่อนข้างที่จะดีใจที่จะได้กลับบ้านเร็ว แต่ถึงแม้ว่านี่จะเป็นฉากสุดท้ายของวันนี้ แต่ก็นับว่าเป็นฉากแรกของพี่ภูมิ แถมยังเป็นฉากแรกของซีรีส์เรื่องนี้ที่กันต์ได้เข้าฉากร่วมกับพี่ภูมิอีกด้วย
ผู้กำกับเดินมาบรีฟที่หน้าเซ็ตเมื่อนักแสดงมาพร้อมกันหมดแล้ว ทุกคนพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับอธิบายทั้งหมด เนื่องด้วยฉากนี้มีจำนวนนักแสดงที่เข้าร่วมการถ่ายทำเป็นจำนวนมาก จังหวะรับส่งจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับแต่ละคน เพราะทุกคนมีบทพูดที่จะต้องพูดออกมาหลังจากที่ได้ยินคีย์เวิร์ดของคนก่อนหน้าตัวเอง
สิ้นเสียงแอคชั่นทุกคนก็แสดงไปตามที่ผู้กำกับได้บรีฟเอาไว้ ทุกคนจำบทพูดและสิ่งที่ตัวเองต้องทำได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งน้องซันพูดจบประโยคของตัวเองพลางเบนสายตาไปมองพี่ภูมิเพื่อให้สัญญาณว่าอีกฝ่ายต้องพูดประโยคใจความสำคัญของซีนนี้ แต่พี่ภูมิกลับเงียบและไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมา
คัทททท!!!
“ภูมิทำไมไม่พูดอะ! รออะไร!!” เสียงผู้กำกับวอมาหลังสิ้นเสียงคัท ทุกคนนั่งนิ่งเพราะโดยปกติแล้วไม่ค่อยมีใครกล้าวีนใส่ภูมิสักเท่าไหร่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้กำกับกล้าเสียงดังใส่ภูมิกลางกองถ่ายขนาดนี้ ภูมิเองพอได้ยินแบบนั้นก็หน้าตึงขึ้นมาทันที นักแสดงทุกคนตรงนั้นก็หน้าเจื่อนไปตามๆ กัน ผู้กำกับเองพอรู้ตัวว่าพลาดเสียงดังก็พยายามที่จะกลับมายิ้มแย้มเพราะกลัวว่างานจะไม่สามารถเดินต่อไปได้ หากภูมิออกอาการวีนขึ้นมา
“ขอโทษครับ ผมลืม” ภูมิเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“ไม่เป็นไรๆ เอาใหม่นะ” ผู้กำกับเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลก่อนจะสั่งแอคชั่นอีกครั้ง
รอบนี้พี่ภูมิไม่ลืมไดอาล็อกนั้นแต่กลับลืมในจุดใหม่ทำให้ผู้กำกับต้องสั่งคัทซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเพื่อนนักแสดงหลายคนเริ่มหันมองหน้ากัน ไม่เว้นแม้แต่น้องซันที่หันหน้ามาหากันต์ ทุกคนเหมือนจะตกอยู่ในความรู้สึกเดียวกันที่ว่าอยากจะผ่านซีนนี้ไปเร็วๆ เหลือเกิน ถ่ายทำมาทั้งวันผ่านฉลุยได้แบบตลอดรอดฝั่งไม่มีติดขัด แต่พอพี่ภูมิมาปุ๊บแทนที่จะไวเพราะเป็นนักแสดงเบอร์ใหญ่ที่มีประสบการณ์แต่กลับกลายเป็นว่าทำทุกคนช้าไปหมด
“เห้ย! ได้อ่านบทมาปะเนี่ย!!” คราวนี้ผู้กำกับไม่ได้พูดผ่านวอแต่กลับตะโกนจนดังลั่นกอง ทุกคนสะดุ้งไปพร้อมๆ กัน พี่ภูมิชักสีหน้าทันทีที่ได้ยินก่อนจะกลับมาทำหน้าตาเป็นปกติราวกับกำลังควบคุมอารมณ์อยู่
กันต์เห็นพี่ภูมิหันไปมองหน้าพี่บิวตี้ผู้จัดการ เพียงแค่นั้นพี่บิวตี้ก็พยักหน้าแล้วเดินหายออกไปทันที ไม่นานกันต์ก็เห็นพี่เจี๊ยบเดินมากระซิบบางอย่างกับผู้กำกับ แม้ว่าเขาจะพยายามเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยิน จนกระทั่งพี่ผู้กำกับสั่งพักเบรกสิบห้านาทีนั่นแหละ ถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่พี่เจี๊ยบเดินมากระซิบบอกคืออะไร
ทุกคนงุนงงไปตามๆ กัน เพราะตั้งแต่พี่ภูมิมาถึงก็ยังถ่ายไม่ได้สักซีน กันต์ก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย จากที่จะได้กลับบ้านไวกลายเป็นว่าต้องรอถ่ายต่อจนเกินเวลาที่เบรคดาวน์กำหนดเอาไว้แล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าพี่ภูมิยังไม่พร้อมถ่ายเพราะถูกผู้กำกับกดดันและต่อว่าจนอับอายในที่สาธารณะ ได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกประสาทแดกแทนพี่ทีมงานทุกคนที่ต้องทำงานร่วมกับพี่ภูมิเสียจริงๆ ไม่รู้ว่าพี่ภูมิคนเก่าที่เคยน่ารักหายไปไหน และใครเป็นคนทำให้ภูมิคนนั้นหายไป ตอนนี้เหมือนจะเห็นแต่พี่ภูมิดาราเบอร์ใหญ่ที่เรื่องมากและทำงานไม่ได้เรื่องจนคนอื่นเขาเดือดร้อนกันไปหมดเสียมากกว่า