วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
หลังจากวันนั้นที่ออกกองแล้วพี่ภูมิมีปัญหาก็ทำเอากองถ่ายกระท่อนกระแท่นเป็นอย่างมาก แต่ก็นับว่าเป็นเคราะห์ดีที่ทุกคนทุกฝ่ายลากกันมาจนถึงวันปิดกล้องจนได้ แต่ละคนแทบจะกรี๊ดออกมาเมื่อได้ยินคำว่าปิดกล้องจากเสียงประกาศผ่านวอของผู้กำกับดังออกมา
เสียงบ่นจากทุกคนมีไม่ขาดสายทุกครั้งที่กันต์ไปออกกอง แต่เอาเข้าจริงๆ แม้ว่าคิวไหนที่เขาไม่ได้ไปออกกองก็มักจะข่าวเมาท์ลอยมาเข้าหูให้เขาได้ยินอยู่ดี อย่างที่บอกว่าในกองถ่ายนั้นไว้ใจไม่ค่อยได้นักหรอก เพราะข่าวอะไรที่เกิดขึ้นภายในนั้นมักจะหลุดลอยออกมาอย่างง่ายดายและว่องไวเสมอ
ทุกคนบ่นภูมิและพี่บิวตี้กันอย่างไม่มีลดละเพราะวีรกรรมที่ทำเอาไว้แต่ละอย่าง แม้แต่ผู้จัดเองก็ยังต้องกุมขมับแต่เพราะนายทุนเขาเอ็นดูสุดพลัง จึงทำอะไรมากไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ ได้แต่อดทนทำไปให้มันจบๆ อย่างน้อยซีรีส์ออนแอร์ไปก็ยังสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทได้ไม่น้อย ลำพังเฉพาะตอนนี้ก็มีเอเจนซี่จากต่างประเทศติดต่อเข้าคิวรอซื้อลิขสิทธิ์ไปฉายยังประเทศต่างๆ กันแบบแน่นขนัด ทั้งที่ซีรีส์ยังไม่ทันจะได้ออกอากาศเลยด้วยซ้ำ
กันต์ปิดจิตไม่ขอรับรู้อะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวในกองถ่ายนี้อีกเพราะที่ผ่านมาก็ปวดหัวไม่ไหว เจอแต่เรื่องราวที่ต้องส่ายหัว โชคยังดีที่ซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เขาได้รู้จักกับน้องฮันนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ซึ่งเอาเข้าจริงในซีรีส์ทั้งกันต์และฮันแทบไม่ได้มีซีนที่ได้เล่นด้วยกันเลยแม้แต่ซีนเดียว แต่เขาทั้งคู่กลับสนิทกันอย่างง่ายดายโดยที่ไม่รู้สาเหตุอยู่เหมือนกัน
ครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้เจอกันก็คือตอนเวิร์กช็อปจากนั้นเขาก็แค่กดติดตามในอินสตาแกรมของฮันไปแล้วน้องก็กดติดตามกลับมาและนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขาได้พูดคุยกัน กันต์มีโอกาสได้เจอฮันก็เฉพาะเวลาอยู่ที่กองถ่ายเท่านั้น แต่ก็พูดคุยราวกับว่าทั้งสองสนิทกันมานาน เวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันทั้งคู่ก็มักจะแชทคุยกันผ่านกล่องข้อความของไอจีเสมอ อาจเพราะพลังงานที่ตรงกันของทั้งกันต์และฮันทำให้พวกเขาสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว จนคนรอบข้างก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงสนิทกันได้ไวอย่างสายฟ้าแลบขนาดนี้
ครืด~!
เสียงโทรศัพท์มือถือของกันต์สั่นขึ้นหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณว่ามีข้อความเข้ามาในขณะที่เขากำลังนั่งดูหนังในเน็ตฟลิกซ์อยู่
[Han]
เจ้าของเครื่องหยิบมือถือขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นน้องชายคนสนิทอย่างฮันส่งข้อความมาในไอจีนั่นเอง
Han : พี่กันต์ทำไรครับ
Kan : ดูทีวีอยู่ห้อง
Han : วันนี้ว่างไหมครับ?
Kan : ว่างอยู่ๆ
Han : ผมอยากไหว้พระ
Han : ไปด้วยกันไหมครับ
Kan : ได้นะ เจอกี่โมง ที่ไหน
Han : ผมว่าจะไหว้พระพรหม ตรงราชประสงค์
Kan : อาเค
Kan : งั้นเจอกันบ่ายโมงไหม?
Han : ได้ครับ
พอพิมพ์คุยกับอีกฝ่ายเสร็จกันต์ก็รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวทันที เพราะตอนนี้ก็เป็นเวลาสิบโมงแล้ว ทีแรกเขาก็ตั้งใจไว้ว่าจะดูหนังให้จบก่อนแล้วค่อยลุกไปเตรียมตัว แต่พอมานั่งคำนวณเวลาดูแล้วอาจจะไม่ทันเวลานัด เพราะกว่าเขาจะยืดยาดลำไยเล่นมือถือ กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะแต่งตัวก็คงใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ อยู่เหมือนกัน การรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เขาไม่อยากไปสายในวันที่นัดออกไปเที่ยวด้วยกันเป็นครั้งแรกนักหรอก...
ที่บอกว่าเป็นครั้งแรกก็คือเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่กันต์และฮันนัดออกไปแฮงก์เอาต์ด้วยกัน เพราะก่อนหน้านี้การเจอกันของพวกเขาทั้งคู่ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับงานทั้งหมด แต่นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกันแบบนอกรอบสองต่อสอง แบบที่ไม่มีงานมาเกี่ยวข้อง
กันต์รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะมีความลับหนึ่งอย่างที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อนนั่นก็คือเขาชอบน้องฮันมาก แบบมากๆ แทบจะที่สุดในชีวิตเพราะน้องตรงไทป์ของเขาทั้งหมด ชนิดที่ว่าติ๊กถูกทุกข้อ แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้ อีกทั้งเขาเองก็ไม่กล้าที่จะออกตัวเยอะเพราะน้องก็ดูมีท่าทีเหมือนว่าจะไม่ได้ชอบผู้ชาย อีกอย่างพวกเขาทั้งสองคนก็ยังต้องทำงานร่วมกันไปอีกนาน กันต์จึงไม่อยากที่จะมีปัญหากับฮันสักเท่าไหร่นัก
สองขาของกันต์ก้าวเดินมาตามทางเดินของสกายวอล์กจากสถานีสยามมายังบริเวณศาลพระพรหมซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายที่ได้นัดกับฮันเอาไว้ เขาเดินลงบันไดไปยืนรออยู่ภายในห้างที่อยู่ติดกับศาลพระพรหมจนกระทั่งมีสายเรียกเข้าจากฮัน เขาจึงกดรับแล้วบอกโลเคชั่นของตัวเอง ไม่นานฮันก็ปรากฏตัวขึ้น เขาเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ทำเอาหัวใจของกันต์เต้นแรงขึ้นมาในทันที
ตึกๆ ตึกๆ
ไม่บ่อยนักที่กันต์จะรู้สึกใจเต้นแรงกับใครเพราะเขาปิดใจตัวเองมานานพอสมควร ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ค่อยจะสมหวังในเรื่องความรักสักเท่าไหร่ เพราะเขามันเป็นพวกชุมชนคนแอบรัก เป็นนักสะสมความเศร้าก็เลยเข็ดหลาบไปเสียแล้วกับเรื่องอะไรแบบนี้ ยิ่งความรักครั้งล่าสุดที่ทำหัวใจเขาปั่นป่วนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แถมยังเป็นจุดเริ่มต้นความเจ็บปวดที่ทำให้เขาปิดใจสนิทแบบไม่คิดจะเอาใครเข้ามาอีก แต่สิ่งเหล่านั้นกลับถูกทำลายลงเมื่อเขาได้มาเจอน้องฮันนี่แหละ
“หวัดดีครับพี่กันต์” ฮันยกมือไหว้ในขณะที่กำลังเดินเข้ามาหา
กันต์ยกมือขึ้นรับไหว้ “ไปกันเถอะ แดดแรง รีบไหว้ จะได้ไปหาไรกินกัน”
“เคครับ”
กันต์เดินนำฮันออกไปด้านนอกของห้างเพื่อไปยังศาลพระพรหม ก่อนจะพาไปซื้อชุดไหว้แล้วนำอีกฝ่ายทำทุกอย่างตั้งแต่เริ่มไหว้จนคล้องพวงมาลัย เพราะฮันดันสะกิดบอกเขาว่าไม่เคยมาไหว้เลย แต่เห็นคนเล่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์จึงอยากมาลองไหว้ดูสักครั้ง พอกันต์เห็นแบบนั้นในฐานะรุ่นพี่ที่เคยมาไหว้อยู่บ้างประมาณสองสามครั้งจึงอาสาแนะนำให้คนน้องไหว้ตาม
อาจเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาประชากรที่มาไหว้พระพรหมจึงไม่ได้ดูหนาตานัก จะเห็นก็เพียงแต่บรรดานักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีอยู่บ้างประปราย ทำให้พวกเขาไม่ต้องรอคิวและเบียดเสียดกับผู้คนมากจนเกินไป
กันต์ยืนอธิษฐานอยู่พักใหญ่ก่อนจะพาฮันเดินไหว้จนครบทุกหน้าของพระพรหม จากนั้นก็พากันเอาพวงมาลัยดอกดาวเรืองพวงใหญ่ไปแขวนถวายแล้วพากันเดินออกมาจากตรงนั้น
“เป็นไง อธิษฐานไรไป” กันต์เอ่ยถามขณะที่กำลังเดินขึ้นบันไดไปบนสกายวอล์ก
"บอกไม่ได้ดิพี่ เดี๋ยวไม่ขลัง” ฮันเอ่ยตอบแบบทีเล่นทีจริง
“โอเค้! ไม่อยากรู้ก็ได้”
“แล้วพี่ขอไร พี่บอกผมบอก”
“ไม่บอกหรอก เรื่องไรจะบอก” กันต์แกล้งกวนกลับ
“เห็นไหมล่ะ”
ทั้งกันต์และฮันต่างพากันหัวเราะเสียยกใหญ่ที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ทันกันเสมอ พวกเขาสนิทกันจนรู้จังหวะรับส่งกันเป็นอย่างดี เพียงแค่มองหน้ากันก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดหรือกำลังรู้สึกอะไร และนั่นทำให้กันต์รู้สึกสบายใจมากขึ้นเวลาที่ได้อยู่กับฮันเพราะเขาสามารถเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่
“ดูหนังกันไหมครับ” ฮันเอ่ยถามหลังจากที่พวกเขาทั้งคู่พากันเดินมาถึงห้างใหญ่ใจกลางเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณศาลพระพรหมมากนัก ห่างกันเพียงแค่สี่แยกกั้นเท่านั้น
“เรื่องไรอะ”
“ไม่แน่ใจ ไปดูรอบก่อนไหมพี่ มีเรื่องไหนก็ดูเรื่องนั้น”
“โอเค ได้”
ทั้งสองคนพากันขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังชั้นเจ็ดที่ซึ่งโรงภาพยนตร์ตั้งอยู่ ทันทีที่ลิฟต์เปิดออกพวกเขาก็พากันเดินไปยังหน้าตู้ขายตั๋วอัตโนมัติเพื่อเช็กรอบหนังว่าในเวลาอันใกล้เคียงนี้มีเรื่องอะไรที่กำลังจะฉายบ้าง
“ดูเรื่องนี้ไหมครับ” ฮันชี้นิ้วไปที่หนังเรื่องซึ่งกำลังจะฉายอีกภายในไม่ถึงสิบห้านาที
“ได้นะ” กันต์เห็นด้วยเพราะหากจะรออีกเรื่องซึ่งจะฉายอีกสองชั่วโมงข้างหน้า เขาก็คิดว่าดูเรื่องที่กำลังจะฉายเร็วที่สุดน่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอนานๆ
ทั้งสองคนตัดสินใจกดซื้อตั๋วหนังในทันที โชคดีที่กันต์มีบัตรเครดิตเขาจึงใช้แต้มบัตรที่สะสมมาแลกตั๋วหนังฟรีให้กับเขาและฮัน โดยหวังว่าจะสามารถสร้างความประทับใจให้กับฮันได้บ้าง ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะดีใจอยู่ไม่น้อยพอได้รู้ว่าจะได้ดูหนังฟรีโดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักบาท
“งั้นเดี๋ยวผมซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำเอง เพราะพี่แลกตั๋วหนังให้ผมละ” ฮันเสนอ
“เห้ย ไม่เป็นไร ตั๋วหนังมันฟรีไง” กันต์รีบเอ่ยปฏิเสธเพราะรู้สึกเกรงใจอีกฝ่าย
“ฟรีอะไรล่ะ กว่าพี่จะได้แต้มบัตรมาก็ต้องไปรูดชอปปิ้งเสียเงินไปตั้งเยอะแยะละ ไม่ใช่ว่าพี่ได้คะแนนมาฟรีๆ สักหน่อย”
เออว่ะ!
กันต์ก็เพิ่งนึกขึ้นได้เหมือนกันว่ากว่าที่เขาจะได้แต้มสะสมมาเป็นจำนวนมากขนาดนี้เขาต้องใช้เงินชอปปิ้งไปเยอะขนาดไหน วงเงินหลักแสนเขาก็รูดจนเต็มวงเงินตลอดไม่เคยปล่อยให้บัตรเครดิตของเขามีช่องว่างหายใจเลยแม้แต่นิดเดียว
ฮันหยุดแวะซื้อป๊อปคอร์นกับเครื่องดื่มอยู่พักใหญ่โดยที่เขาเลือกเป็นป๊อปคอร์นแบบ Couple set ด้วยเหตุผลที่ว่ามันคุ้มที่สุด ซึ่งกันต์ก็เห็นด้วยเพราะเขารู้ดีว่าตัวเองเป็นคนชอบกินป๊อปคอร์นตอนดูหนังมากขนาดไหน หากซื้อแค่ชุดเดียวก็กลัวว่าจะต้องแย่งกันกินกับฮันแล้วจะไม่พอเอาได้
“พี่กันต์เอารสไรครับ” ฮันหันมาเอ่ยถาม
“หวานเท่านั้น”
“หื้ม? แต่ผมไม่ชอบรสหวานอ่า...”
“ก็แยกกันคนละเซตอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” กันต์ถามกลับไปด้วยความแปลกใจ ก็สั่งเซ็ตคู่ทำไมไม่แยกกันไปเลย แบบของใครของมัน
“อ่า.. ครับ” ฮันตอบรับพลางยู่ปาก สีหน้าบ่งบอกว่ากำลังเซ็งแบบนั้นทำเอาคนพี่อย่างกันต์อดใจอ่อนไม่ได้
“งั้นของพี่เอาหวานครึ่งเค็มครึ่ง โอเคไหม ส่วนของน้องเอาเป็นชีสกับเค็มไหมครับ” กันต์เสนอ
“ได้ครับ” สีหน้าของฮันเปลี่ยนในทันทีที่ได้ยินข้อเสนอจากกันต์
ไอ้เด็กนี่ ทำไมชอบทำตัวน่ารัก
เสียงในหัวของกันต์ทำงานขึ้นมาในทันทีที่เห็นรีแอคชั่นจากอีกฝ่าย ไม่รู้ทำไมเขาชอบแพ้กับอะไรแบบนี้ทุกที ก่อนหน้านี้เขาชอบคนที่อายุมากกว่าเสมอและไม่เคยตกหลุมให้กับคนที่อายุน้อยกว่าเลยสักครั้ง ฮันเหมือนจะเป็นคนแรกที่ทำลายกำแพงนั้นลงไปได้ เขากลั้นยิ้มเอาไว้เพราะยังไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ก่อนจะหันไปสั่งพนักงานในทันทีด้วยกลัวว่าหากยังยืนมองหน้าฮันอยู่แบบนี้แล้วจะเก็บกักความเขินเอาไว้ไม่อยู่
กันต์เดินนำหน้าเข้าไปด้านในของโรงหนังเพราะไม่อยากให้ฮันเห็นพิรุธของเขา เขาเดินนำเข้าไปในแถว A ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ที่ปรากฏหมายเลขตรงตามในตั๋วหนัง ฮันนั่งลงข้างๆ สายตาจดจ่ออยู่บนจอหนังผืนใหญ่ที่อยู่ข้างหน้า แม้ว่าจะยังฉายตัวอย่างหนังเรื่องอื่นๆ อยู่แต่ฮันก็ดูจะไม่ยอมละสายตาเลยแม้แต่น้อย
“เดือนหน้าหนังน่าดูเยอะเลยเนอะพี่กันต์” ฮันเอ่ยพูดขึ้นมาเมื่อตัวอย่างหนังทั้งหลายจบลงก่อนที่บนจอจะกลายเป็นโฆษณาสินค้าไปแทน
“จริง ไว้มาดูด้วยกันไหมล่ะ” กันต์แกล้งหยั่งเชิงถามออกไปโดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก แต่คำตอบที่ได้ทำเอาเขารู้สึกอึ้งอยู่เหมือนกัน
“ได้พี่ พูดละนะ ไม่มาด้วยกันผมโกรธ”
“เออ สัญญาเลย” กันต์ยกยิ้มกว้างให้กับฮันในขณะที่อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับด้วยเหมือนกัน
พวกเขาคุยเล่นกันอีกเล็กน้อยก่อนที่หนังจะเริ่มฉายขึ้นมา ทั้งกันต์และฮันต่างก็พากันจดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่ดำเนินไปของภาพยนตร์เรื่องที่ฉายอยู่ตรงหน้า และแม้ว่าหนังที่เลือกจะเป็นหนังแอคชั่นทั่วไปแต่มันก็มีบ้างบางจังหวะที่สร้างความตกใจให้กับเหล่าคนดูได้ไม่น้อย
ลำพังกับตัวของกันต์เองก็ไม่เท่าไหร่เพราะเขาไม่ใช่คนที่ขี้ตกใจมากนัก แต่ตรงกันข้ามกับฮันที่นั่งอยู่ข้างๆ โดยสิ้นเชิง เพราะรายนั้นขี้ตกใจไม่น้อย เพียงแค่เสียงดังนิดหน่อยก็สะดุ้งจนตัวโยน อย่างฉากระเบิดเมื่อกี๊ทำเอาฮันร้องลั่นพร้อมตกใจตัวลอยหันมากอดแขนของกันต์เอาไว้ คนพี่เห็นท่าทางของน้องก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยกมือของตัวเองมากุมมือของฮันเอาไว้เพื่อเป็นการปลอบใจอีกฝ่าย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแบบที่เขาไม่ได้ตั้งตัวนั่นก็คือน้องฮันกุมมือของเขากลับมาโดยใช้นิ้วสอดประสานมือของเขาเอาไว้แล้วนิ่งอยู่แบบนั้น
ถ้าไม่ได้รู้สึกอะไร คนเราจะยอมจับมือเพื่อนที่นั่งข้างๆ กันแบบนี้เหรอ?
กันต์ก็ไม่ได้อยากจะคิดไปเองฝ่ายเดียวเพราะการกระทำของน้องฮันมันกำลังสร้างความหวังให้เขามากทีเดียว เขาพยายามข่มจิตใจตัวเองเอาไว้ว่าอาจจะไม่มีอะไร บางทีน้องอาจจะแค่กำลังตกใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังก็ได้
หลังจากนั้นการดูหนังของกันต์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาเสียสมาธิเป็นอย่างมาก จิตใจไปจดจ่ออยู่แต่กับคนที่นั่งข้างๆ จนกระทั่งหนังฉายจบลง ถ้ามีใครสักคนเดินมาถามว่าหนังสนุกไหม ชอบตอนไหนที่สุดกันต์คงตอบไม่ได้เพราะว่าจำอะไรในหนังไม่ได้สักอย่าง
“ป๊อปคอร์นเหลือเต็มเลยพี่กันต์” ฮันเอ่ยแซวตอนที่กำลังเดินออกมาจากโรงหนัง
“อือ... กินไม่ถนัดอะ ใครก็ไม่รู้จับมือพี่ไว้ตลอดเรื่องเลย”
“เห้ย! ขอโทษๆๆๆ มันเพลินอะพี่”
“หลอกแต๊ะอั๋งปะเนี่ย” กันต์แกล้งหยอกถาม
“ขนาดนั้นเลยเหรอพี่ ฮ่าๆ” ฮันทำเป็นขำกลบเกลื่อนอย่างเห็นได้ชัด นั่นยิ่งทำให้กันต์รู้สึกว่าฮันมีพิรุธเห็นๆ
“แปลกๆ นะ” กันต์ทำเป็นหรี่ตามองราวกับจะจับผิดแต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ทันเปลี่ยนเรื่องคุยไปเสียก่อน
“เอ้อพี่! เย็นนี้ว่างปะครับ”
“ว่างอยู่นะ มีไรปะ”
“พี่ใหญ่ชวนกินข้าว พี่กันต์ไปด้วยกันไหมครับ” กันต์เอ่ยถามด้วยแววตาคาดหวัง
“พี่ใหญ่?”
“ช่าย พี่ใหญ่ที่เป็นผู้จัดการผมอะ”
“อ๋ออออ ได้ๆ ไปดิ” กันต์ใช้เวลานึกอยู่นานหลังจากที่ได้ยินชื่อพี่ใหญ่เพราะเขาเคยเห็นผู้จัดการของฮันเพียงผ่านๆ แถมไม่เคยรู้จักชื่อมาก่อนก็เลยเกิดอาการงุนงงเล็กน้อยตอนที่ฮันพูดออกมาในครั้งแรก
ท้องฟ้าเริ่มมืดหลังจากที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป กันต์และฮันพากันนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปยังตลาดนัดกลางคืนใจกลางเมืองที่ซึ่งเป็นสถานที่นัดเจอกับพี่ใหญ่เอาไว้ ด้วยเพราะเป็นช่วงปลายปีที่อากาศเริ่มเย็นพี่ใหญ่จึงบอกว่าไม่อยากจะนั่งอุดอู้อยู่ในห้าง อยากนั่งรับบรรยากาศดีๆ ด้านนอกเสียมากกว่าจึงตกลงกันว่าจะไปหาร้านนั่งชิลที่ตลาดแทน
กันต์และฮันพากันเดินไปยังสถานีรถไฟฟ้าบนดินเพื่อนั่งไปเปลี่ยนขบวนลงไปโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อมุ่งตรงไปยังสถานีปลายทางที่ได้นัดพี่ใหญ่เอาไว้ จากจุดที่พวกเขาอยู่ไปจนถึงสถานีตลาดนัดกลางคืนใช้เวลาเดินทางเพียงประมาณยี่สิบนาที เมื่อพวกเขามาถึงฮันก็รีบติดต่อหาพี่ใหญ่ทันที ได้ความว่าอยู่ร้านเหล้าปั่นด้านหลังตลาด พวกเขาก็เลยพากันเดินเข้าไป
“ร้านไหนวะ” ฮันบ่นเบาๆ ขณะที่สายตาก็กำลังมองหาป้ายชื่อร้านตามที่พี่ใหญ่ส่งมาให้
“นู่นป้ะ?” กันต์ชี้นิ้วให้ดูเมือสายตาหันไปเห็นว่ามีป้ายร้านที่คลับคล้ายคลับคลากับที่ฮันเปิดรูปให้ดูเมื่อครู่
“ใช่พี่!” ฮันตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูดีใจก่อนจะคว้ามือของกันต์ให้เดินไปด้วยกัน
ท่าทีของฮันที่กระทำโดยอัตโนมัติแบบที่เจ้าตัวก็ไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ นั่นมันยิ่งทำให้หัวใจของกันต์พองโต แบบนี้มันถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีใช่ไหม เพราะคนเราถ้ารู้สึกเพียงแค่พี่น้องกันจะมาจับมือถือแขนกันเดินทำไม ละนี่ฮันเป็นคนเริ่มก่อนด้วยซ้ำ กันต์ก็ไม่ผิดใช่ไหมที่จะแอบรู้สึกดี รู้สึกเข้าข้างตัวเองแบบนี้
ฮันพากันต์เดินขึ้นชั้นสองซึ่งเป็นเหมือนกับดาดฟ้าของร้านเพื่อตรงไปยังโต๊ะที่พี่ใหญ่นั่งอยู่ อากาศวันนี้ดีเป็นพิเศษ สายลมเย็นที่พัดโชยมายิ่งเพิ่มบรรยากาศอันน่าดื่มด่ำได้เป็นอย่างดี
“หวัดดีครับ” กันต์ยกมือไหว้พร้อมเอ่ยทักทายพี่ใหญ่ที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“หวัดดีจ้ะ” พี่ใหญ่ สาวผมยาวร่างท้วมยิ้มทักทายก่อนจะบอกให้ฮันกับนั่งลงที่เก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้าม “พวกแกนั่งด้วยกันเลย ชั้นอ้วน นั่งคนเดียวสบายกว่า”
“พี่สั่งไรมายัง” ฮันเอ่ยถามพี่ใหญ่เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะยังว่างอยู่
“เรียบร้อยค่ะ ระดับชั้น”
“อาเค งั้นเดี๋ยวนั่งรอกินอย่างเดียว” ฮันบอกก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเปิดไอจีดูเล็กน้อยฆ่าเวลาระหว่างรอ
ไม่นานเหล้าปั่นถังใหญ่ก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ทำเอาทั้งกันต์และฮันตาโตไปตามๆ กัน เพราะพี่ใหญ่ไม่ได้สั่งเพียงแค่ถังเดียว แต่กลับสั่งมาทั้งหมดสามถัง ลำพังกินเหล้าปั่นถังเดียวสามคนก็โหดพอสมควรแล้วในความรู้สึกของคนที่ดื่มไม่เก่งอย่างกันต์ แต่นี่พี่ใหญ่ดันสั่งมาให้กินกันคนละถัง กันต์ถึงกับเครียดเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าระหว่างเขาหลับป๊อกคาถังกับกินหมดอันไหนจะเกิดขึ้นก่อนกัน
“ทำไมสั่งมาเยอะจังครับ” กันต์เอ่ยถามเสียงอ่อนเพราะเกรงใจพี่ใหญ่แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป เพราะตั้งแต่มาถึงที่นี่นอกจากเอ่ยปากทักทายพี่ใหญ่ เขาก็ยังไม่ได้พ่นบทสนทนาอื่นออกมาจากปากสักคำ
“มันแถมแกกก ซื้อสองแถมหนึ่ง ชั้นก็เลยสั่งมาเลย” พี่ใหญ่เอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่ดูภูมิใจเล็กน้อย
“แล้วถ้ากินไม่หมดทำไง” ฮันเอ่ยถามพี่ใหญ่กลับ
“อย่ามา! อย่างแกเนี่ยนะจะไม่หมด”
“คนกินไม่หมดน่าจะผมมากกว่าพี่” กันต์เอ่ยตอบพลางหัวเราะแหะๆ
“ไม่เป็นไรแก กินๆ ไปก่อน ไม่หมดค่อยตามเพื่อนมาช่วยกิน จอยๆ ไป ขำๆ ถือว่ามาทำความรู้จักกันวันแรก” พี่ใหญ่อธิบายตอบก่อนจะคว้าเอาแก้วใบเล็กมาตักแบ่งเหล้าปั่นสีฟ้าในถังแรกให้กับกันต์และฮัน
“เอ้ย! ก่อนกิน ถ่ายสตอรี่กันก่อนปะ? เดี๋ยวเมาแล้วจะไม่ได้ถ่ายกัน” ฮันเสนอพลางหยิบมือถือขึ้นมาเปิดสตอรี่รอ
“ได้ แต่ห้ามเห็นเหล้านะ” พี่ใหญ่เอ่ยเตือนเสียงเข้ม
“อาเคค มาพี่กันต์ ถ่ายสตอรี่กันครับ” ฮันบอกก่อนจะคว้ามือไปโอบไหล่ของกันต์ให้ขยับเข้ามาใกล้จนใบหน้าของพวกเขาทั้งสองเกือบจะชนกัน
ชั่วขณะหนึ่งกันต์เกิดอาการใจเต้นแรงอีกครั้ง สายตาเหลือบไปมองหน้าของฮันก่อนจะเปลี่ยนสายตาไปโฟกัสที่หน้าจอมือถือแทนเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับพิรุธของเขาได้
“แท็กมาด้วยนะ” กันต์บอกหลังจากที่ฮันให้เขาเช็กหน้าของตัวเองในสตอรี่ที่เพิ่งถ่ายไปว่ารอดไหม
“แท็กละพี่” ฮันตอบก่อนจะจิ้มๆ ที่หน้าจอมือถืออีกสองสามทีแล้ววางมันลงข้างตัว
“มา! ทีนี้ก็ได้เวลาเมาละ เต็มที่เลย เดี๋ยวคืนนี้พี่จัดการเอง! ไม่หมดห้ามกลับ” สิ้นเสียงพูดของพี่ใหญ่ก็เหมือนกับเทวดามาให้คิวเสียอย่างนั้น อยู่ๆ เพลงในร้านก็ดังขึ้นในจังหวะเดียวกันกับที่พวกเขายกแก้วขึ้นชนพอดี
พวกเขาทั้งสามคนยกแก้วเหล้าปั่นขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดจอกก่อนจะเริ่มเอ็นจอยและเมาท์มอยหอยกาบไปเรื่อย ค่ำคืนแรกในการเจอกันแบบนอกรอบที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานของพวกเขาทั้งสามดูมีวี่แววว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะเอเนอจี้ของทั้งสามคนก็ตรงกันอย่างน่าประหลาดทำเอากันต์รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะตั้งแต่เข้าวงการมานอกจากพี่บุ๊คก็ยังไม่เคยมีใครมอบความรู้สึกแบบนี้ให้เขาได้อีก จนกระทั่งเขาได้มาเจอน้องฮันกับพี่ใหญ่นี่แหละ ก็นับว่าเป็นเรื่องราวดีๆ อีกเรื่องในชีวิตของเขาละกันที่ได้มารู้จักกับสองคนนี้