วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
ความงัวเงียปรากฏชัดบนใบหน้าของกันต์ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาสายมากแล้วแต่เขาก็ยังไม่สามารถที่จะกู้พลังชีวิตให้รู้สึกสดใสขึ้นมาได้อย่างเต็มที่ อาจเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เป็นเวลาเกือบรุ่งสางไปเสียแล้ว แม้เขาจะพยายามเข้านอนตั้งแต่ช่วงสี่ทุ่มเพราะอยากปรับเวลานอนแต่มันก็ทำได้เพียงไม่กี่วันแรกเท่านั้น หลังจากนั้นมันก็เริ่มดึกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อคืนนี้ กว่าจะหลับก็ปาไปตีสามกว่าแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถข่มตาหลับลงได้ด้วยตนเองเพราะสุดท้ายเขาก็ต้องพึ่งยาแก้แพ้เป็นตัวช่วยให้เขาสามารถนอนหลับได้ลงอยู่ดี
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแต่คงเพราะช่วงนี้หลายเรื่องราวเข้ามารบกวนจิตใจของเขา โดยเฉพาะเรื่องหัวใจที่ปล่อยร้างมานาน อยู่ดีๆ วันหนึ่งก็มีคนเข้ามาทำให้เขาเริ่มรู้สึกหวั่นไหวถึงสองคน ไม่ว่าจะเป็นพี่บุ๊คที่ดูแลเอาใจใส่มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ เป็นใครจะไม่รู้สึกหวั่นไหวบ้างล่ะ ส่วนน้องฮันถึงแม้ว่าจะเพิ่งเจอกันแต่ก็ต้องยอมรับว่าหน้าตาและรูปร่างของน้องเขาตรงไทป์ที่กันต์ติ๊กถูกทุกอย่างจึงไม่ใช่เรื่องอยากที่จะทำให้หัวใจของเขาถูกเขย่าได้อย่างง่ายดาย แถมน้องฮันยังเป็นคนเฟรนด์ลี่ คุยเก่ง และร่าเริงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าใครก็ตกหลุมรักน้องฮันได้ไม่ยาก
แต่ก็นั่นแหละถึงแม้ว่ากันต์จะชื่นชอบและอยากได้ทั้งคู่เป็นแฟนมากแค่ไหนแต่มันก็ยังติดกำแพงหัวใจในฐานะของพี่น้องอยู่ดี แถมยังดูท่าจะเป็นไปได้ยากอีกด้วยสำหรับการที่จะปีนข้ามมันไป เพื่อนร่วมงานด้วยกันทั้งคู่แถมเข้ามาในฐานะพี่และน้องมันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนไปสูสถานะคนรักกันได้ง่ายๆ
ไม่ว่าจะเฟรนด์โซนหรือบราเธอร์โซนมันก็น่ากลัวกันทั้งนั้น...
คนตัวเล็กรีบรุดแต่งตัวแต่งหน้าทำผมเป็นอย่างดี ความประทับใจในวันแรกเป็นสิ่งสำคัญที่เขายึดถือมาเสมอ เขากลัวว่าหากเขาดูโทรม ไม่สดใส คนอื่นอาจจะมองว่าเป็นคนที่ไม่เอาไหนขึ้นมาได้ ซึ่งเขาไม่อยากจะให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นแน่ๆ
น้ำหอมขวดโปรดที่ได้มาเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีที่แล้วถูกประพรมไปจนทั่วร่างกาย ความหอมฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ใบหน้าดูสดใสขึ้นมากด้วยเครื่องสำอางที่ถูกบรรจงแต่งอย่างดี แตกต่างจากตอนที่เขาตื่นนอนใหม่ๆ เป็นอย่างมาก เส้นผมถูกจัดทรงให้ดูดีอย่างเป็นธรรมชาติ กันต์ยิ้มให้กับตัวเองในกระจกเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าตัวเองดูหล่อจนน่าพอใจ
“ถ่ายรูปเก็บไว้หน่อยดีกว่า” ว่าแล้วเขาก็เดินไปตรงหน้าต่างแล้วรูดผ้าม่านกันแสงสีทึบออกตามด้วยผ้าม่านโปรงแสงอีกชั้น แสงธรรมชาติปะทะเข้าใบหน้าของเขาจนต้องเผลอหยีตาเล็กน้อยก่อนที่จะปรับสภาพตาได้ มือเล็กหยิบเอามือถือขึ้นมาเปิดอินสตาแกรมแล้วกดเลื่อนหาฟิลเตอร์เพื่อเสริมให้ใบหน้าของเขานั้นดูดีมากขึ้นกว่าเดิม
สมัยนี้ใครเขาจะถ่ายแบบเรียลๆ กัน ก็ต้องใช้ฟิลเตอร์เสริมสร้างความมั่นใจกันทั้งนั้นแหละ
พอได้ฟิลเตอร์ที่ถูกใจเขาก็กดถ่ายสตอรี่เอาไว้แล้วกดโพสต์ในทันที สายตาของเขาเหลือบไปมองนาฬิกาที่ติดเอาไว้บนผนังห้อง เห็นว่ายังพอมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อยจึงตัดสินใจเข้าแอพลิเคชันติ๊กตอกเพราะอยากจะถ่ายคอนเทนต์อะไรเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้โพสต์ให้แฟนคลับได้เห็นหน้าค่าตากันบ้าง
เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอในตอนที่เราได้ทำอะไรเพลินๆ เช่นเดียวกันกับในตอนนี้ที่กันต์รีบกุลีกุจอลุกขึ้นคว้ากระเป๋ามาสะพายไหล่หลังจากถ่ายติ๊กตอกเสร็จแล้วเห็นว่าใกล้จะเลยเวลาที่ต้องออกจากบ้าน หากช้ากว่านี้อาจไปถึงสตูดิโอสายได้
กันต์กดแอพลิเคชั่นเรียกรถมอเตอร์ไซค์เพื่อนั่งไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่อยู่ใกล้ที่สุด การเดินทางไปเรียนแอคติ้งนั่นสร้างความท้าทายให้กับเขาอยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะสามารถนั่งรถไฟฟ้าได้แต่ก็ใช่ว่าจะสะดวกขนาดนั้น เพราะเขาต้องนั่งวินมอเตอร์ไซค์จากบ้านมาต่อรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อไปเปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้าบีทีเอสก่อนจะต้องต่อวินมอเตอร์ไซค์อีกครั้งเพื่อไปถึงสตูดิโอเรียนแอคติ้ง
เห้อ~
กันต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อหย่อนตัวนั่งลงในขบวนรถไฟฟ้าใต้ดินพลางสายตากำลังดูภาพแผนที่และวิธีการเดินทางไปยังสตูดิโอที่พี่บุ๊คส่งมาให้
แม้ว่าจะต้องเดินทางหลายต่อแต่เขาก็คิดว่ามันคุ้มที่เขาตัดสินใจเลือกลงเรียนแอคติ้งในครั้งนี้ ยอมเสียเงินมากหน่อยเพื่อแลกกับคอนเน็กชั่นและโอกาสอะไรบางอย่างก็น่าจะคุ้มไม่น้อย
โครกกก...
เสียงท้องร้องดังขึ้นเตือนสติเจ้าของร่างกายว่าตั้งแต่ตื่นนอนมาเขายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้ำเปล่า ในหัวมัวแต่คิดนู่นนี่ฟุ้งซ่านเสียจนลืมสนใจตัวเองไปเสียสิ้น
พอขบวนรถไฟฟ้าใต้ดินจอดยังสถานีปลายทางที่เขาต้องลง เขารีบลุกและก้าวขายาวออกไปในทันที สายตาสอดส่ายมองหาร้านขายของกินเพราะถึงเวลาที่เขาจะต้องหาอะไรรองท้องสักหน่อย ไม่อย่างนั้นคงไม่มีแรงนั่งเรียนจนจบคลาสได้แน่นอน ไม่นานเขาก็พบกับร้านสะดวกซื้อสีฟ้าแบรนด์ญี่ปุ่นตั้งอยู่ภายในสถานีนั้น เขารีบรุดเข้าไปในทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา ระหว่างที่เดินเลือกของกินอยู่นั้นพลันเขาก็นึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ จึงรีบหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความไปไถ่ถามเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนประเภทที่จะเตรียมตัวเองให้พร้อมขนาดนั้น
Kan: พี่บุ๊คจะกินไรเปล่า อยู่ลอว์สัน จะได้ซื้อไปเผื่อ
Book: เอาๆ
Kan: กินไรอะ
Book: หนมปังกับนมอะ เลือกมาเลย
Kan: โอเค
มือเล็กคว้าหยิบเอาขนมปังหน้าเนยน้ำตาลมาสองแผ่นพร้อมกับนมกล้วยสองขวดหลังจากที่เก็บมือลงกระเป๋ากางเกง แต่ยังไม่ทันจะได้เดินออกไปจากชั้นวางสินค้า สีหน้าครุ่นคิดของเขาปรากฏขึ้นราวกับตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อเพียงแค่นี้หรือจะหยิบอะไรไปเพิ่มดี เพราะดูจากปริมาณแล้วไม่น่าจะทำให้ทั้งเขาและบุ๊คอิ่มได้
“เอาอันนี้เพิ่มละกัน” กันต์เอื้อมมือไปหยิบโยเกิร์ตรสธรรมชาติกับรสวุ้นมะพร้าวมาอย่างละหนึ่งกระปุกแล้วเดินไปที่แคชเชียร์เพื่อคิดเงินในทันที
ถุงสะดวกซื้อถูกถือติดมือออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินพร้อมกับร่างเล็กที่รีบก้าวเท้ายาวอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกหนีจากแดดจ้าที่กำลังแผดเผาไปยังสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เขาหยิบมือถือขึ้นส่งข้อความบอกอีกฝ่ายเพื่อบอกว่าเขาซื้ออะไรไว้ให้กินบ้างก่อนจะได้รับสติ๊กเกอร์ก้มหัวขอบคุณตอบกลับมา
กันต์ใช้เวลาไปเกือบยี่สิบนาทีกว่าจะมาถึงสตูดิโอสอนการแสดง เขาเดินเข้าไปด้านในแบบงงๆ ด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ เพราะทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จักใครสักคนแต่เขาก็ยกมือไหว้ทันทีเมื่อเดินผ่านบานประตูเข้าไปด้านใน
“สวัสดีครับ”
“น้องกันต์ใช่ไหมจ๊ะ” พี่สาวผิวเข้มที่นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะในสตูฯ เอ่ยทักขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
“ใช่ครับ”
“นั่งก่อนเลยจ๊ะ”
“ครับผม” กันต์ตอบรับก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่รับรองตัวใหญ่ที่มีคนอื่นๆ นั่งรออยู่ก่อนแล้ว
ทุกคนหันมามองหน้ากันต์พลางส่งยิ้มให้ก่อนจะก้มลงไปเล่นมือถือเหมือนเดิม บรรยากาศเหมือนจะอึดอัดแต่ก็ไม่ใช่ อาจเรียกได้ว่าเป็นความกระอักกระอ่วนเสียมากกว่าเพราะต่างคนต่างก็ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง
แอ๊ดดด~
เสียงบานประตูถูกผลักเข้ามาเรียกให้ทุกคนหันไปมอง กันต์เห็นใบหน้าของคนที่โผล่เข้ามาก็ต้องตกใจใหญ่ ใบหน้าของคนที่ห่างหายกันไปนาน ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเจอกันที่นี่
“เอ้า!”
“เอ้าพี่!!”
ต่างฝ่ายต่างตกใจกันและกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้วนกลับมาเจอกันอีกหลังจากที่เคยเจอกันมาเมื่อสองสามปีก่อน ไอ้สำนวนที่ว่าโลกมันกลมก็คงไม่เกินจริง
“เป็นไงมั่งอาร์ม” กันต์เอ่ยถามเมื่ออาร์ม รุ่นน้องตัวเล็กกว่า ผิวขาว แถมมีใบหน้าหล่อเหลาตามแบบฉบับเด็กมัธยมปลายกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินที่เคยรู้จักกันเมื่อตอนที่อยู่ในโมเดลลิ่งเดียวกัน
“ก็เรื่อยๆ อะพี่ ละพี่เป็นไง โคตรคิดถึง ไม่คิดว่าจะได้เจอ”
“จริง โคตรตกใจ”
“พี่มานานยัง”
“เพิ่งถึงได้แป๊บเดียว”
“อ่อ”
น้องอาร์มวางกระเป๋าและหย่อนตัวลงนั่งที่ด้านข้างกันต์ แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดคุยอะไรกันต่อ บานประตูของสตูฯ ก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้ปรากฏใบหน้าของคนที่กันต์เฝ้ารออยู่ตั้งแต่แรก บุ๊คเดินเข้ามาด้วยชุดที่สบายๆ พร้อมเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างคล่องแคล่ว นั่นยิ่งดึงดูสายตาของกันต์ได้เป็นอย่างดี เพราะที่ผ่านมาเขาเคยเห็นแต่ลุคเป๊ะๆ จากพี่บุ๊ค ไม่เคยได้เห็นมุมนี้มาก่อน สายตาของเขาจดจ้องไปที่คนตัวสูงอย่างไม่ละสายตา
“หวัดดีครับทุกคน” บุ๊คเอ่ยทักทายพลางยกมือไหว้ก่อนจะหันมายิ้มให้กันต์แล้วเดินเข้ามาใกล้
“...”
“กันต์ เหม่อไร” บุ๊คทักอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งเงียบจ้องหน้าเขานิ่งโดยไม่พูดอะไร
“ปะ..เปล่าพี่ นี่ขนม” กันต์สะดุ้งหลังจากได้สติก่อนจะรีบหันไปคว้าถุงขนมที่แวะซื้อมาให้กับคนพี่
“หมดนี่เลยเหรอ”
“มีของกันต์ด้วย สองอันนี้” กันต์หยิบขนมส่วนของตัวเองออกมาแล้วยื่นส่วนที่เหลือในถุงให้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“อ่อ”
บุ๊ครับถุงขนมจากกันต์ก่อนจะแทรกตัวเข้ามานั่งข้างกันต์ชนิดที่หัวไหล่แนบชิดติดกัน จนคนตัวเล็กต้องหันมองอีกฝ่ายด้วยแววตาประหลาดใจ
“เบียดไปไหมพี่”
“ก็มันไม่มีที่นั่งแล้วเห็นไหมล่ะ แบ่งๆ กันนั่งแป๊บเดียว”
บุ๊คบ่นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้จริงจังนัก สองมือหยิบเอาของที่อยู่ในถุงออกมาแกะกินอย่างเร่งรีบ บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบเพราะไม่มีใครคุยกับใคร เสียงแกะห่อขนมและเสียงกินจากรุ่นพี่ข้างตัวจึงดังชัด ทำให้กันต์ที่นั่งอยู่ตรงนั้นรู้สึกอึดอัดขึ้นมานิดหน่อย ไม่ใช่เพราะเสียงกินของคนข้างๆ แต่เป็นเพราะมันเงียบเกินไปต่างหาก
“พี่บุ๊ค นี่น้องอาร์มนะ” กันต์หันไปแนะนำน้องชายที่นั่งอยู่อีกข้างให้บุ๊ครู้จักเพื่อทำลายความเงียบของบรรยากาศ
“สวัสดีครับ” อาร์มยิ้มพร้อมยกมือขึ้นไหว้
“หวัดดีน้อง”
“กันต์รู้จักกับน้องอยู่แล้ว บังเอิญมาเจอกันที่นี่”
“โลกกลมจังวะ” บุ๊คหันมามองขณะกำลังเคี้ยวขนมปังอยู่เต็มปาก
“จริง”
“อีกห้านาทีเข้าห้องเรียนได้เลยนะคะ ครูใกล้ถึงแล้วค่ะ” พี่สตาฟเดินมาเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากที่พี่สตาฟพูดจบ บางส่วนลุกทยอยไปเข้าห้องน้ำ บางส่วนก็เดินเข้าไปนั่งรอในห้องเรียน กันต์กับอาร์มนั่งรอจนบุ๊คจัดการของกินตรงหน้าจนหมดก็พากันลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะกลับเข้ามาในห้องเรียน
ไม่นานครูสอนแอคติ้งก็เดินเข้ามาภายในห้อง ทุกคนรู้จักและคุ้นหน้าเป็นอย่างดีเพราะเคยเห็นผ่านตาในสื่ออยู่บ่อยๆ นักเรียนทุกคนนั่งล้อมกันเป็นวงกลมตามคำสั่งที่ครูเอ่ยบอก สายตาหันมองกันเลิ่กลั่กเพราะยังไม่มีใครรู้จักกันสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้น่าอึดอัดเท่าตอนที่นั่งอยู่ข้างนอก
“สวัสดีค่ะทุกคน ครูบีมนะคะ” ครูสาวเอ่ยแนะนำตัวพร้อมยิ้มกว้าง “เดี๋ยวครูจะให้ทุกคนแนะนำตัวเองกับเพื่อนๆ ก่อนนะคะ แนะนำว่าให้ตั้งใจฟังและจำไว้ให้แม่นนะคะ เพราะมันจะมีผลต่อกิจกรรมต่อไปอย่างมาก”
ระหว่างที่ครูบีมอธิบายไป แต่ละคนก็หันมองหน้ากันไป หลายคนมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดจากการหายใจที่แรงขึ้นจนหน้าอกเคลื่อนตัวขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนกันต์รู้สึกสบายใจขึ้นนิดหน่อยเพราะอย่างน้อยในคลาสนี้ก็มีคนที่เขารู้จักชื่ออยู่แล้วถึงสองคน
บุ๊คเริ่มแนะนำตัวเป็นคนแรกเพราะนั่งอยู่ติดกับครูมากที่สุดก่อนจะตามมาด้วยกันต์และอาร์มตามลำดับ จากนั้นก็ถึงเวลาที่กันต์จะต้องใช้สมองเพื่อจดจำชื่อและหน้าตาของเพื่อนใหม่สักที
เริ่มจากผู้หญิงที่นั่งถัดจากน้องอาร์มคือพี่ชมพู่เพราะเธออายุ 35 ปีแล้ว และน่าจะเป็นพี่ใหญ่สุดในคลาสนี้ด้วย ถัดไปคือ ศรัณ มาร์ค ชัย และพี่เม่น กันต์หันไปมองหน้าบุ๊คกับอาร์มก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เพราะต่างฝ่ายต่างก็พยายามขยับปากมุบมิบเพื่อท่องจำรายชื่อของแต่ละคนเอาไว้อย่างตั้งใจ
หลังเสร็จสิ้นการแนะนำตัวเสร็จครูบีมก็บอกให้ทุกคนลุกขึ้นยืนแล้วถอดถุงเท้าออกเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากแบบฝึกหัดต่อไปที่จะต้องทำต้องใช้การวิ่งร่วมด้วย ทุกคนทำตามอย่างว่าง่าย ครูบีมเริ่มอธิบายขั้นตอนของแบบฝึกหัดต่อที่จะให้ทำนั่นคือการให้โยนลูกปิงปองขึ้นไปข้างบนพร้อมเรียกชื่อเพื่อนหนึ่งคน จากนั้นให้เจ้าของชื่อวิ่งมารับลูกปิงปองโดยมีเงื่อนไขว่าให้ตกถึงพื้นได้แค่ครั้งเดียว ถ้าใครพลาดก็จะต้องออกจากเกมนั้นไปในทันที
ความวุ่นวายเริ่มต้นขึ้นเมื่อครูบีมโยนลูกปิงปองขึ้นไปในอากาศพร้อมเปล่งเสียงเรียกชื่อหนึ่งในสมาชิกร่วมคลาสขึ้น ทุกคนต่างตื่นตัวตลอดเวลา สายตาจดจ้องอยู่ที่ลูกปิงปองสีส้มอย่างไม่ลดละ กลัวว่าชื่อต่อไปที่ถูกเรียกจะเป็นชื่อของตัวเองแล้วจะพลาดได้
ลูกปิงปองวนมาอยู่ในมือของบุ๊คในที่สุด เขาจดจ้องมองหาอยู่นานว่าจะเรียกชื่อใครเป็นรายต่อไปดี ทีแรกกันต์เห็นว่าบุ๊คมองไปทางน้องอาร์มจึงเกิดความสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยว่าเป้าหมายต่อไปคงไม่ใช่ตัวเอง แวบเดียวเท่านั้นบุ๊คก็เบนสายตากลับมามองหน้าเขาเข้าอย่างจัง กันต์ถึงกับรีบหลบตาแล้วหันหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้บุ๊คเรียกชื่อของเขาออกมา ไม่อยากที่จะวิ่งเข้าไปรับลูกปิงปองแล้ว หลายรอบเกินเริ่มเหนื่อย
“กันต์!!” เสียงตะโกนเรียกชื่อดังขึ้นจากปากของบุ๊คทำเอาเจ้าของชื่อแทบจะร้องกรี๊ดออกมา
จากที่เขากำลังหลบสายตาก็จำต้องรีบเบนสายตาไปตามหาว่าลูกปิงปองกำลังลอยไปในทิศทางใด เขาถอนหายใจเมื่อพบว่าเป้าหมายนั้น เหมือนกับบุ๊คตั้งใจจะแกล้งเพราะโยนย้อนไปข้างหลังทำให้กันต์ต้องออกตัววิ่งไกลกว่าเดิม
สายตาของกันต์โฟกัสอยู่แต่ที่ลูกปิงปองสีส้มนั้นโดยไม่ได้สังเกตสิ่งอื่นที่อยู่รอบตัว ส่วนบุ๊คหลังจากโยนลูกปิงปองในมือออกไปแล้วก็มัวแต่จ้องมองเจ้าของชื่อ คนตัวสูงกำลังจะขยับตัวเพื่อหลีกหนีจากเส้นทางการวิ่งของอีกฝ่ายแต่มันก็ดูเหมือนจะช้าเกินไปเสียแล้ว
โครมม!!
กันต์พุ่งเข้ามาชนกันบุ๊คเต็มๆ ทำให้ทั้งสองคนล้มลงไปทั้งยืน เสียงตึงตังทำเอาคนทั้งห้องตกใจมากขึ้นกว่าเดิม กันต์หลับตาปี๋ด้วยความกลัว เขาเตรียมใจรับแรงกระแทกและความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่กลับได้ยินเสียงดังอั่กกับแรงกระแทกที่เบากว่าที่คิด
“อึ่ก! เจ็บ” บุ๊คเอ่ยบอกพร้อมใบหน้าเหยเก
กันต์ลืมตามขึ้นมาจึงได้เห็นว่าตัวเองล้มทับตัวของบุ๊คอยู่ สายตาของพวกเขาประสานกันอยู่ชั่ววินาทีหนึ่งแต่ทำให้รู้สึกราวกับว่ามันนานกว่านั้น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอะไรอยู่ แต่สำหรับกันต์หัวใจของเขามันกลับเต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น เป็นครั้งแรกที่เขากับพี่บุ๊คได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ฟังดูแล้วอาจเหมือนโรคจิตแต่เขากำลังตื่นเต้นไม่น้อยที่ร่างกายของเขากำลังสัมผัสอยู่กับร่างกายของบุ๊ค แต่ก่อนที่เขาจะคิดไปไกลเกินกว่านั้น เพื่อนร่วมคลาสก็วิ่งเข้ามาช่วยประคองให้พวกขัท้งสองคนลุกขึ้นจากพื้น
“เจ็บไหมน้องกันต์” พี่ชมพู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไม่เจ็บครับ พี่บุ๊คน่าจะเจ็บมากกว่าผม”
“จุกมากกว่า” บุ๊คเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเหยเก มือหนากุมที่หน้าท้องตัวเอง
“น่ะ...น้องกันต์” พี่ชมพู่ทักเสียงสั่นพร้อมใบหน้าไม่สู้ดี
“มีอะไรเหรอครับ”
“ละ...เลือดอะ เลือดออกที่ปาก”
“...”
กันต์ได้ยินแบบนั้นก็ตกใจรีบหยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้องหน้าเพื่อดูทันที เขาจึงได้เห็นว่าที่ริมฝีปากล่างของเขามีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย อาจเพราะเกิดการกระแทกตอนที่ล้มลงไป แต่เขาเองก็ไม่ทันได้รู้ตัวเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจริงๆ
“เจ็บหรือเปล่า” บุ๊ครีบพุ่งตัวเข้ามาหาทันทีพลางสองมือยกขึ้นประคองใบหน้าของคนเจ็บทำเอาคนตัวเล็กกว่าถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะมีคนออกอาการเป็นห่วงขนาดนี้
“ไม่เป็นไรพี่ นิดเดียว”
“...”
“พี่บุ๊ค...” กันต์เอ่ยเรียกคนตรงหน้าอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเขายังคงจดจ้องอยู่ที่แผลบนริมฝีปากจนเพื่อนๆ และครูต่างก็มองกันด้วยสายตาสงสัยว่าระหว่างสองคนนี้มีอะไรปิดบังพวกเขาหรือเปล่า
“ทะ... โทษที” บุ๊คสะดุ้งขึ้นก่อนจะรีบลดมือทั้งสองข้างลงเมื่อได้สติและหันไปเห็นสายตาจากคนรอบข้าง
“อะๆๆ ครูว่าเดี๋ยวเราพักกันสักสิบนาทีเนอะ เข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อย แล้วเดี๋ยวกลับมาเจอกันในห้องนี้นะจ๊ะ”
สิ้นเสียงประกาศจากเข้าของคลาส ทุกคนก็ทยอยกันเดินออกไปจากห้องนั้น โดยที่มีกันต์และบุ๊คเดินตามออกไปทีหลัง แววตาทั้งคู่ต่างมองกันไปมาอย่างระมัดระวัง ราวกับว่ามีบางอย่างแอบซ่อนอยู่ภายในนั้นและยังไม่อยากให้มันถูกเปิดเผยออกมา