วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
คลาสเรียนแอคติงครั้งที่สี่จบลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยของแต่ละคน กิจกรรมที่ได้ทำเป็นแบบฝึกหัดในวันนี้ทำเอาทุกคนพลังงานหมดไปตามๆ กัน เพราะต้องใช้ร่างกายและอารมณ์ค่อนข้างมาก สภาพของทุกคนในตอนนี้ก็เลยดูเหมือนเพิ่งผ่านภารกิจสุดโหดกันมา หน้าตาอิดโรยไปตามๆ กัน
ครูบีมให้นักเรียนในคลาสแต่ละคนจับคู่กันแล้วทำแบบฝึกหัดที่เรียกว่าอิมโพรไวส์เพื่อให้ได้ฝึกฝนการรับส่งทางอารมณ์ในการแสดง แต่ละคู่ก็ทำออกมาได้เป็นอย่างดี เป็นซีนอารมณ์ทั้งนั้น ทะเลาะกันจนไฟลุก บรรยากาศในห้องเรียนครุกรุ่นไม่น้อย จึงไม่น่าแปลกใจหรอกว่าทำไมทุกคนถึงได้มีสภาพแบบนี้
กันต์เดินออกมาเข้าห้องน้ำด้วยความรู้สึกปวดตุบๆ ที่ศีรษะอยู่นิดหน่อย ด้วยอาการไมเกรนที่เป็นอยู่ประจำเริ่มกำเริบขึ้นมา คงเพราะแบบฝึกหัดเมื่อครู่เขาต้องทะเลาะกับบุ๊คอย่างรุนแรง แถมเรื่องที่พี่บุ๊คหยิบมาใช้ก็ดันเป็นเรื่องราวที่พวกเขาสองคนเคยเจอมาด้วยกัน ก็เลยค่อนข้างจะกระทบกับความรู้สึกของเขาอยู่ไม่น้อย แต่กันต์ก็ไม่ได้ถือสาอะไรเพราะเข้าใจดีว่ามันเป็นแบบฝึกหัดในชั้นเรียน
ซีนที่บุ๊คเลือกมาใช้ในการอิมโพรไวส์เป็นเรื่องตอนที่เขากับบุ๊คเคยทะเลาะกันอยู่ช่วงหนึ่ง บุ๊คบอกว่าจะชวนเขาออกไปดูหนังแต่ก็มาเทไปเสียดื้อๆ เพื่อที่จะไปกับเพื่อนสนิทอีกคน กันต์รู้แบบนั้นก็อดนอยด์ไม่ได้ พาลงอนไม่ยอมคุยกับบุ๊คไปเลย พอถึงเวลาที่บุ๊คมาง้อจึงทะเลาะกันยกใหญ่ ทีแรกกันต์ก็จะไม่ยอมหายงอน แต่พอได้รับข้อเสนอว่าอีกฝ่ายจะพาไปเที่ยวอควาเรียมในห้างดัง เขาก็เลยหายงอนในทันที พอได้มาเล่นซีนนี้ในห้องเรียนการแสดงอีกครั้งทำให้เขาจูนอารมณ์เข้ามาได้ไม่ยาก
กันต์ยืนมองตัวเองในกระจกอยู่ครู่หนึ่งหลังทำธุระส่วนตัวเสร็จ เขาถอนหายใจยาวออกมา รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยบวกกับอาการไมเกรนที่กำลังเล่นงานทำเอาเขาต้องใช้พลังงานในการประคองตัวเองมากกว่าปกติหลายเท่า
เขายื่นมือไปบิดก๊อกน้ำเพื่อเปิดแล้วก้มลงไปล้างหน้าเรียกความสดชื่นสักหน่อย เมื่อน้ำเย็นสัมผัสใบหน้าของเขา ความรู้สึกหนักอึ้งก็ดูเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเปียกโชกสะท้อนผ่านกระจกตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมา มือข้างหนึ่งยื่นไปดึงเอาทิชชู่มาซับหน้าจนเริ่มหมาดก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไป
“เอาหัวไปจุ่มชักโครกมาอ่อ” พี่บุ๊คแซวเล่นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินออกมาพร้อมกับไรผมเปียก
“กวนตีนละพี่” กันต์ยกยิ้มขึ้นมุมปาก
“หยอกเล่น มานี่มา” คนตัวสูงกว่ากวักมือเรียกอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปหา
“หื้ม?” กันต์อดสงสัยไม่ได้แต่ก็ยอมเดินเข้าไปใกล้ๆ
“...”
บุ๊คไม่พูดอะไรออกมาแม้ว่ากันต์จะพยายามแสดงสีหน้าชัดเจนว่าไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แววตาแบบนั้นที่มองมาหาเขามันแฝงอะไรบางอย่างอยู่หรือเปล่า การกระทำนี้ต้องการอะไรจากเขา หลายสิ่งที่ตีกันอยู่ในหัวของคนตัวเล็กกว่าแต่ก็นั่นแหละกว่าจะได้คำตอบที่แท้จริง มือหนาของบุ๊คก็สัมผัสลงมาบนใบหน้าของกันต์เสียแล้ว และนั่นยิ่งทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงมากขึ้นกว่าเดิม
ตึกๆ ตึกๆ
ความรู้สึกของกันต์เกิดขึ้นอย่างน่าฉงนเมื่อยิ่งเข้าใกล้บุ๊คมากขึ้น แต่เขาก็พยายามที่จะกักเก็บมันเอาไว้ข้างใน ท่ามกลางเพื่อนฝูงร่วมคลาสที่อยู่รายล้อมรอบตัว พี่บุ๊คกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ ใจของคนตัวเล็กเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เรียมนิ้วของบุ๊คเคลื่อนไหวที่ข้างแก้มของกันต์เบาๆ ทำเอาคนโดนสัมผัสเกิดอาการร้อนฉ่าขึ้นมาที่หูทั้งสองข้าง ก่อนที่เสียงเรียกจากบุ๊คจะดึงสติของกันต์ให้กลับมา
“ทิชชู่เต็มหน้าเลย แกไม่ได้ดูกระจกก่อนออกมาหรือไง”
อ่าว...
กันต์รู้สึกกระตุบวูบในใจทันที เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นดันตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาคิด เขารู้สึกขำอยู่ข้างในเพราะเขาคิดมากไปหน่อย คิดเกินเลยไปว่าบุ๊คจะทำอะไรหวานๆ กับเขา ความขี้มโนของตัวเองทำเขาอดเขินไม่ได้ ดีที่อีกฝ่ายไม่รู้ความคิดของเขา ไม่อย่างนั้นคงโดนล้อแย่
“ไม่ทันสังเกตอะดิ” กันต์เอ่ยตอบอย่างไม่เต็มน้ำเสียงนักเพราะกำลังเกร็งกับการกระทำของรุ่นพี่ตรงหน้า
“หมดละ”
“ขอบคุณครับ...”
“เป็นไร” บุ๊คเอ่ยทักเมื่อเห็นว่ากันต์ดูเกร็งผิดปกติ แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ส่ายหัวปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอะไร
กันต์พาตัวเองออกไปนั่งรออยู่ที่โต๊ะด้านหน้าสตูดิโอในระหว่างที่บุ๊คเข้าห้องน้ำ เขานั่งมองพี่ชมพู่ที่กำลังเลื่อนมือถือเล่นอยู่ก่อนที่จะเห็นว่าคนพี่เหมือนกับจะเจอโพสต์อะไรสักอย่างที่เรียกกว่าสนใจจากเธอได้เป็นอย่างดี ดวงตาของเธอเบิกกว้างพลางยกมือถือขึ้นมาให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นดู
“พวกแก... มีเปิดแคสติงซีรีส์วายอะ สนใจกันปะ”
“ไหนพี่” กันต์ชะเง้อหน้าไปดูใกล้ๆ
โปสเตอร์ประกาศรับสมัครนักแสดงโชว์รายละเอียดอย่างเด่นชัด กันต์และเพื่อนร่วมคลาสพากันนั่งอย่างตั้งใจ การที่แต่ละคนเลือกมาเรียนการแสดงก็เพราะมีใจอยากที่จะทำงานในสายอาชีพบันเทิงกันทั้งนั้น เห็นจะมีก็แต่พี่ชมพู่นี่แหละที่มาเรียนเพราะว่างและอยากเติมเต็มความฝันในวัยเด็ก ไม่ได้มาเรียนเพราะอยากทำงานในวงการบันเทิง
“หื้ม? ของผู้จัดทีมนี้เหรอ” กันต์เอ่ยทักขึ้นเมื่ออ่านจนจบแล้วพบสัญลักษณ์ของบริษัทที่เป็นผู้จัดทำซีรีส์เรื่องนี้
“ทำไมเหรอ” พี่ชมพู่ถามกลับอย่างสงสัย
“กันต์รู้จักอะดิ เคยร่วมงานกันอยู่”
“อ๋อ”
“ลองสมัครกันไหม” กันต์หันไปถามเชิญชวนทุกคน
“สมัครอะไรกันจ๊ะ” เสียงพี่เม่นดังขึ้นก่อนที่ตัวของเธอจะเดินเข้ามา
“แคสซีรีส์อะพี่” ศรัณ หนุ่มตี๋ผิวขาวตัวสูงใหญ่เอ่ยตอบ เขาเป็นคนเดียวที่มาเรียนที่นี่เพราะถูกโมเดลลิ่งส่งตัวมา ต่างกับคนอื่นที่สมัครใจมาเรียนด้วยตัวเอง
“ไหนดูซิ” พี่เม่นชะโงกหน้าเข้ามาดูที่หน้าจอมือถือของพี่ชมพู่ เธอยืนมองอยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมามองทุกคนพร้อมรอยยิ้มจนตาหยีภายใต้แว่นตากรอบกว้างบนใบหน้าของเธอ “พี่สนิทกับผู้จัดนะ สมัครเลยเดี๋ยวพี่ช่วยคุยให้”
“อ่อครับ” กันต์รีบตอบรับก่อนจะเบนสายตาหันมองทุกคนในวงสนทนานั้นอย่างมีเลศนัย
ทุกคนรู้ดีว่าพี่เม่นเป็นคนอย่างไร เจอกันมาตั้งหลายครั้ง นิสัยของพี่เม่นยิ่งแสดงออกชัดเจนขึ้นในทุกที เอาเข้าจริงทุกคนเริ่มมองหน้ากันตั้งแต่ที่ได้รู้จักพี่เม่นมาตั้งแต่คลาสแรกด้วยนิสัยที่ชอบพูดจาโอ้อวดและดูเหมือนจะคอยเหยียดคนอื่นอยู่ในทีเสมอ ครั้งแรกที่เจอกันตอนที่ครูบีมให้แนะนำตัวเอง พี่เม่นก็แนะนำว่าตนทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งรวมถึงผู้ใหญ่หลายๆ ท่านที่มีตำแหน่งอยู่ในรัฐสภา ถ้ามันเป็นการแนะนำเพียงเท่านี้ก็คงไม่มีใครจะไปรู้สึกอะไรนักหรอก แต่เธอดันอวดอ้างสรรพคุณของตัวเองว่าในประเทศนี้มีเพียงไม่กี่คนที่ทำงานได้เก่งแบบเธอ และคงไม่มีใครจะขึ้นมาเทียบได้ พี่เม่นเอ่ยพูดเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติทั้งที่ความเป็นจริงนั้นไอ้เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครเป็นคนฟังก็คงอยากจะเบะไม่แพ้กัน
บุ๊คหันมามองหน้ากันต์ในทันที แววตาของทั้งคู่ประสานกันอย่างเข้าใจในความหมายทันทีโดยที่ไม่ต้องพูดออกมา ระหว่างนั้นกันต์ก็สังเกตเห็นได้ว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในคลาสก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย
“ยังไงก็บอกพี่ละกัน ต้องไปก่อนละ มีนัดประชุมกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เขากำลังหาที่ปรึกษาวางแผนการตลาดให้กับบริษัท ท่านเป็นสมาชิกในรัฐบาลชุดนี้ด้วยนะ” เสียงเจื้อยแจ้วของพี่เม่นทำให้กันต์รู้สึกเสียดหูขึ้นมาอีกครั้ง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ดีที่พี่เม่นไม่เห็นเพราะทันทีหลังจากพูดจบเธอก็เดินออกไปด้านนอกสตูดิโอ เห็นจะมีก็แต่พวกพี่ชมพู่ ศรัณ อาร์ม มาร์ค ชัย ที่หลุดหัวเราะออกมาหลังจากเห็นสีหน้าของกันต์
“ตลกหน้าแกอะ” พี่ชมพู่เอ่ยพูดพลางขำไปด้วย
“จริง หน้าพี่กันต์ชัดมาก ดีนะพี่เม่นแกไม่เห็น” ศรัณพูดต่อด้วยเสียงกระซิบ
“ให้เห็นๆ ไปเถอะ รำคาญ ชอบพูดว่ารู้จักคนนู้นคนนี้ ไม่คิดว่าคนอื่นเขาจะรู้บ้างเหรอ” กันต์บ่นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“จริง แล้วแกเพิ่งบอกว่าแกรู้จักผู้จัดคนนี้เพราะเคยทำงานด้วยกัน พอแกพูดจบปุ๊บ ยัยเม่นก็เดินออกมาพูดเลยว่าสนิทกับผู้จัดถ้าจะสมัครให้บอกได้ เดี๋ยวช่วยคุยให้” พี่ชมพู่ย้ำ
“ก็นั่นแหละพี่ กันต์เกือบมองบนใส่ละ ดีที่ยังยั้งตัวเองไว้ทัน กันต์ก็รู้จักเหอะ เล่นซีรีส์กับเขามาสองเรื่องละนะ”
“จริง...”
“เออ! เดี๋ยวกันต์ไปแอบถามดีกว่า ว่ารู้จักกับพี่เม่นจริงหรือเปล่า อยากจะรู้นักว่าเขาพูดจริงหรือแค่ขี้โม้” กันต์ตอบก่อนจะคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายบ่าเมื่อเห็นว่าพี่บุ๊คเดินออกจากห้องน้ำมาสะกิดไหล่เพื่อบอกว่าจะกลับแล้ว
“จะกลับเลยเหรอบุ๊ค” พี่ชมพู่เอ่ยทักเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายว่าจะก้าวออกไปทันทีโดยที่ไม่มีท่าทางว่าจะนั่งพูดคุยกันก่อน
“ใช่พี่ ว่าจะไปหาไรกิน หิวมาก”
“อ่อจ้ะ”
“พี่กลับละนะทุกคน” บุ๊คหันไปเอ่ยบอกทุกคนก่อนจะยกมือขึ้นโบกลาแล้วเดินออกไปโดยมีกันต์เดินตามตูดไปติดๆ
หลังจากวันนั้นที่กันต์ได้ยินว่าพี่เม่นสนิทกับกับทีมของพี่วันดีซึ่งเป็นผู้จัดซีรีส์วายเรื่องใหม่ที่กำลังประกาศรับสมัครแคสติงอยู่นั้น เขาก็ปล่อยเวลาผ่านไปหลายวันไม่น้อยกว่าที่จะได้ติดต่อไปทางพี่เจี๊ยบ ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าแต่เป็นเพราะเขาลืม สี่ห้าวันมานี้เขามัวแต่ยุ่งๆ เรื่องที่ธุระบ้านและเรื่องงานพากย์เสียงของแอพลิเคชั่นอีบุ๊คเจ้าหนึ่งที่กำลังจะเปิดตัวฟังก์ชั่นใหม่บนแอพลิเคชั่นของตัวเองด้วยการมีหนังสือเสียงวางจำหน่ายบนระบบ เขาที่เห็นข่าวรับสมัครนักพากย์จึงยื่นใบสมัครไปในทันทีเพราะเห็นว่าตัวเองกำลังว่างงานอยู่ การสมัครทิ้งเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่กว่าจะได้ส่งใบสมัครก็ปาเข้าไปหลายวันเพราะเขาต้องเข้ารับการทดสอบการพากย์เสียงด้วยการเลือกนิยายในแอพลิเคชั่นมาลองอัดเสียงพากย์จำนวน 5 เรื่อง เรื่องละ 1 ตอน แถมยังต้องตัดต่อเสียงเองอีกต่างหาก ระหว่างอัดก็อ่านผิดอ่านถูกไปเสียเยอะ ช่วงเวลาตัดต่อเสียงจึงนานกว่าที่เขาคิดอยู่ไม่น้อย
เขาจึงลืมไปเกือบเสียสนิทว่าจะต้องโทรไปหาพี่เจี๊ยบ...
“พี่เจี๊ยบจะว่างคุยไหมนะ” เขาพึมพำอยู่กับตัวเองระหว่างที่กำลังเปิดหาไลน์ของอีกฝ่าย ก่อนจะตัดสินใจกดโทรออก
(ฮัลโหลจ้าน้องกันต์ เป็นไงบ้าง ไม่เจอกันนานมากกก)
“สวัสดีครับพี่เจี๊ยบ กันต์สบายดีครับ พี่เจี๊ยบสะดวกคุยไหมครับ”
(ได้เลย มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ)
“คือผมมีเรื่องอยากถามหน่อยอะครับ”
(หืม... น้ำเสียงดูจริงจังมาก ยังไงซิ)
“พี่เจี๊ยบรู้จักคนชื่อเม่นไหมครับ”
(เม่นไหนอะ)
“พี่เม่นผู้หญิงที่เขาทำงานเป็นที่ปรึกษาการตลาดอะไรสักอย่าง กันต์ก็จำไม่ได้เหมือนกันอะครับ”
(เอ... ไม่เคยได้ยินเลยนะ)
“เหรอครับ”
(มีอะไรหรือเปล่า)
“ตอนกันต์ไปเรียนแอคติ้ง ที่สตูดิโอเขาพูดถึงเรื่องที่บริษัทพี่วันดีเปิดแคสติงซีรีส์วายเรื่องใหม่ แล้วพี่เม่นเนี่ยแหละเขาบอกว่าสนิทกับพี่วันดี มีอะไรให้บอกเขาจะช่วยคุยให้ เผื่อจะได้ไม่ต้องแคสไรงี้ กันต์ก็เลยสงสัยโทรมาหาพี่เจี๊ยบนี่แหละ เพราะปกติใครสนิทกับพี่วันดี พี่เจี๊ยบก็รู้จักหมดอยู่แล้ว...”
(พี่ไม่เคยได้ยินชื่อนี้จากปากพี่วันดีเลยนะ)
“อ่า... โอเคครับ”
(ไม่น่าจะรู้จักกันนะ ยังไงก็ระวังๆ หน่อยละกัน)
“ครับพี่เจี๊ยบ ขอบคุณมากนะครับ”
(จ้า มีอะไรก็โทรมานะ)
“คร้าบบบ”
กันต์กดวางสายหลังสิ้นสุดบทสนทนากับอีกฝ่าย เขารู้สึกชนะขึ้นมาในทันทีเมื่อได้รู้ความจริงที่ว่าคำพูดของพี่เม่นเป็นเพียงลมปากไร้ซึ่งความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง เขาไม่อยากที่จะใส่ใจนักหรอกแต่ก็อยากที่จะเอาชนะพี่เม่นอยู่เหมือนกัน ความหมั่นใส้ที่มีมันปะทุอยู่เล็กๆ กลางอกของเขา รอว่าจะมีวันที่เขาได้ฉีกหน้าอีกฝ่ายให้ทุกคนได้เห็นความจริง
อาจจะฟังดูร้ายไปสักหน่อยแต่เขาก็คิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้คนแบบพี่เม่นได้เรียนรู้ว่าการอวดอ้างสรรพคุณของตัวเองให้ใหญ่โตเพื่อที่จะให้ตัวเองได้มีแสงส่องไปถึงตัวเองหรือได้รับความสนใจจากผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องที่ดี ยิ่งการแอบอ้างในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงยิ่งไม่ควรทำเป็นยิ่ง
เขานั่งคิดอยู่พักใหญ่ว่าควรจะทักไปบอกเรื่องพวกนี้กับกลุ่มที่เรียนการแสดงด้วยกันในตอนนี้เลยไหม หรือเก็บเอาไว้เมาท์มอยตอนเจอหน้ากันในครั้งต่อไปดี เพราะแวบหนึ่งเขาก็คิดขึ้นมาเล็กๆ ว่าเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการฉีกหน้ากากปลอมๆ ของพี่เม่นเลยสักนิด แต่อย่างน้อยคนอื่นก็ได้ประโยชน์เพราะอาจจะมีบางคนหลงเชื่อในสิ่งที่พี่เม่นพูดจนคล้อยตามยอมให้พี่เม่นชักจูงไปทำอะไรๆ แบบที่คนเหล่านั้นไม่ทันได้รู้ตัว ซึ่งมันอาจจะส่งผลเสียกับพวกเขาในภายหลังได้ พอมาคิดดูแบบนี้แล้วการที่เขาจะเผยความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากของพี่เม่นก็ดูจะเป็นเรื่องที่เข้าท่าอยู่เหมือนกัน
“พี่ชมพู่เย็นนี้ว่างเปล่า” กันต์รีบเอ่ยถามทันทีที่อีกฝ่ายรับสาย
(ว่างอยู่นะ ทำไมเหรอ)
“ไปกินข้าวกัน มีเรื่องเมาท์”
(งั้นยิ่งว่างเลย พร้อมเวอร์)
“ฮ่าๆๆๆ งั้นฝากชวนน้องคนอื่นๆ ด้วยนะพี่”
(อาเคจ้า)
กันต์รีบไปยังสถานที่ปลายทางที่ได้ตกลงนัดหมายเอาไว้กับพวกพี่ชมพู่เมื่อใกล้ถึงเวลานัด ภายในใจของเขาตื่นเต้นอยู่บ้างเล็กน้อยเพราะมันเต็มไปด้วยความคันปากอยากจะเล่า อยากจะบอกถึงสิ่งที่ตัวเขาเองได้ยินมา มันคงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตกใจกันมากแน่ๆ
เขาเดินเข้าไปในร้านดังกล่าว สายตากวาดมองไปทั่วร้านเพราะพี่ชมพู่ไลน์บอกเขาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนว่าทุกคนมาถึงที่ร้านหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศรัณ มารค์ อาร์ม และชัย เว้นก็แต่พี่เม่นที่ทุกคนปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ต้องบอกและอย่าให้รู้เด็ดขาดว่าพวกเรานัดรวมตัวกัน เพราะหัวข้อสำคัญในการนัดหมายครั้งนี้ก็เป็นเรื่องของพี่เม่นทั้งสิ้น
“หวัดดีครับ” กันต์ยกมือขึ้นไหว้พี่ชมพู่ก่อนจะหันไปยิ้มทักทายและโบกมือเล็กน้อยให้กับน้องๆ คนอื่น
“อ้าว! แล้วบุ๊คไม่มาเหรอ” พี่ชมพู่เอ่ยทักอย่างสงสัยเมื่อเห็นว่ากันต์เดินเข้ามาภายในร้านเพียงคนเดียว
“เข้าออฟฟิศอะ เลยมาไม่ได้”
“อ่อ..”
“สั่งอะไรกันยังครับ” กันต์ถามพลางหยิบเมนูมาเปิดดู
“เรียบร้อยละ มาว่าเรื่องของเรากันเถอะ ไหนๆ มีอะไร” พี่ชมพู่เปิดประเด็นในทันทีเมื่อเห็นทุกคนมากันครบองค์ประชุม
“เรื่องพี่เม่น...” กันต์พูดพลางหันหน้ามองซ้ายขวาด้วยความระแวง เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะไว้ใจอะไรมากนัก หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง จะพูดจะจาอะไรก็ต้องระแวดระวังสักหน่อย ไม่งั้นอาจจะนำความเดือดร้อนมาให้ตัวเองได้
“ยังไง สรุป” พี่ชมพู่เอ่ยถามด้วยสีหน้าใคร่รู้เป็นอย่างมาก
“ก็ตอแหลไงพี่”
“หูยยย แกก็แรงเกิน”
“สรุปเขาโกหกเหรอพี่” ศรัณถามต่อด้วยใบหน้าซื่อ น้องดูค่อนข้างตกใจมากทีเดียวที่ได้ยินสิ่งที่กันต์เล่าออกมาจากปาก เพราะก่อนหน้านี้พี่เม่นเองก็พยายามจะเข้าหาศรัณด้วยว่าน้องกำลังจะเข้าวงการ กำลังจะมีผลงานซีรีส์ พี่เม่นจึงดูสนใจน้องเป็นพิเศษ
“อือ พี่โทรไปถามฝั่งผู้จัดมาละ เขาว่าไม่เคยรู้จักคนนี้ ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
“อ่าว... งงเลย” อาร์มที่นั่งเงียบอยู่นานถึงกับอุทานออกมา
“จริง ไม่ได้รู้จักจริงแล้วทำไมถึงกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา เขาไม่คิดเหรอว่าวันหนึ่งมันจะโป๊ะอะ” พี่ชมพู่บ่น
“วงการนี้มันแคบจะตาย” กันต์พูดเสริม
“สงสัยอยากได้ซีนล่ะมั้งพี่” เสียงพูดของศรัณทำเอาทุกคนหันมามอง ไม่คิดว่าคำพูดแบบนี้จะออกมาจากปากของเด็กหนุ่มหน้าตาใสซื่อ แต่อาจเพราะเขารู้สึกไม่ไหวกับพฤติกรรมของบุคคลที่กำลังพูดถึงอยู่ก็เป็นได้
“นั่นแหละ หลังจากนี้ก็ระวังๆ ไว้หน่อยละกัน อย่าไปเชื่ออะไรเขามาก ไม่รู้ว่าเรื่องไหนจริงไม่จริงยังไง เราเซฟตัวเองกันไว้น่าจะดีกว่า” กันต์เอ่ยบอก ทุกคนก็พยักหน้ารับเพราะเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด จากนั้นพนักงานก็เข้ามาเสิร์ฟอาหารที่พวกเขาสั่งไปพอดี บทสนทนาจึงจบลงเพียงเท่านั้นก่อนที่ทุกคนจะหันไปสนใจอาหารที่อยู่บนโต๊ะแทน