วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
กันต์ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาหน้าทีวีในบ้านของตัวเองหลังจากที่ออกไปเจอเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่นัดกินข้าวด้วยกันเพราะไม่ได้เจอกันมาเกือบสองปี พลังงานที่ใช้ไปในวันนี้ราวกับเขาใช้ชีวิตมาแล้วทั้งสัปดาห์
เพื่อนสนิทยังไงก็ยังเป็นเพื่อนสนิทอยู่วันยันค่ำ พอไม่ได้เจอกันนานๆ ก็มีเรื่องให้คุยกันไม่ได้หยุดหย่อน ยิ่งกลุ่มของเขาเป็นพวกช่างคุยแถมยังเสียงดังอีกด้วย วันนี้ตลอดทั้งวันจึงเหมือนแข่งกันพูดแบบไม่มีใครยอมใคร
“เห้อ...” เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะชันตัวขึ้นมาแล้วเอื้อมไปหยิบรีโมตขึ้นมากดเปิดทีวีเพื่อจะหาอะไรดูผ่อนคลายสักหน่อยระหว่างรออาหารที่สั่งผ่านแอพเดลิเวอรี่มาส่ง
แต่ยังไม่ทันจะได้ดูหนังที่ฉายผ่านหน้าจอเขาก็เผลอหลับไปเสียดื้อๆ อาจเพราะร่างกายที่อ่อนเพลียจากการออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมาตลอดทั้งวัน
เสียงจากทีวียังคงดังอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ระหว่างที่เขานอนหลับแน่นิ่งอยู่บนโซฟานั้น แม้ฉากแอคชันในหนังจะส่งเสียงดังน่าตกใจแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่แบบนั้น หากใครผ่านมาเห็นอาจตกใจได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ครืดดด~~ ครืดดด~~
เสียงมือถือสั่นขึ้นทำเอากันต์คิ้วขมวดเล็กน้อยแต่ก็ไม่ยักที่จะลืมตาตื่นขึ้นมา เรียวนิ้วกดไปที่ปุ่มด้านข้างของมือถือเพื่อให้มันหยุดสั่นก่อนจะนอนต่อ ไม่รู้ว่าไปง่วงมาจากไหนเหมือนกัน
กริ๊งงงง! กริ๊งงงง!
เสียงกริ่งจากประตูบ้านดังขึ้นสองครั้งเรียกให้กันต์ลืมตาตื่นขึ้นมาได้สักที หลังจากที่นอนหลับเป็นตาย เขาลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทีงัวเงีย ยังตื่นไม่เต็มตาดีแต่สองขาของเขาก็ยันตัวยืนขึ้นแล้วเดินออกไปที่หน้าบ้านในทันที
“อ้าว! หลับอยู่เหรอ” เสียงของชายหนุ่มที่คุ้นหูดังขึ้นเรียกสติกันต์ได้ไม่น้อย
“เอ้า พี่บุ๊ค มีไรเปล่าพี่ มาถึงบ้านเลย” กันต์ถามขึ้นอย่างงุนงง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาถึงหน้าบ้านขนาดนี้ ประเด็นคือพี่บุ๊คเคยมาส่งเขาเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจำทางมาบ้านเขาได้
“ไม่มีไร พอดีมาทำธุระแถวนี้ จำได้ว่าแถวบ้านแก เลยแวะมาหา”
“อ่อ... จะเข้ามาก่อนไหม”
“ไม่อะ ไปหาไรกินกันไหม”
“กินไรอะ”
“แถวนี้มีร้านเป็ดพะโล้ดังปะ เหมือนเคยเห็นในติ๊กตอก”
“ใช่พี่”
“ไปไหม...”
“ได้พี่ ขอปิดบ้านก่อน” กันต์วิ่งกลับเข้าไปในบ้านแล้วจัดการปิดทีวี ปิดแอร์และปิดไฟ
อันที่จริงวันนี้ทั้งวันเขาตระเวนกินกับกลุ่มเพื่อนจนแน่นท้องไปหมด ตั้งใจไว้ว่ามื้อเย็นคงไม่กินอะไรอีกเพราะรู้สึกแน่นไปหมด แต่พอพี่บุ๊คมาชวนถึงบ้านแบบนี้ จะไม่ไปก็เสียโอกาสแย่
เขาก้มมองดูเวลาที่โทรศัพท์มือถือของตัวเอง แม้ว่าจะเป็นเวลาดึกพอสมควรแล้ว แต่เสียงโครกครากที่ดังขึ้นเบาๆ ในท้องเป็นหลักฐานชั้นดีที่บ่งบอกว่าเขาควรจะต้องหาอะไรลงท้องอีกสักหน่อย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะกินเข้าเยอะแค่ไหนก็ตาม
“เรียบร้อยนะ” บุ๊คถามย้ำเมื่อเห็นกันต์เดินออกมา
“เรียบร้อยครับ”
บุ๊คพยักหน้ารับก่อนจะยืนรอให้กันต์เดินออกมานอกรั้วบ้านแล้วลงกลอนใส่กุญแจล็อกจนเสร็จสรรพ จากนั้นก็พากันเดินขึ้นรถยนต์ซีเอชอาร์ที่บุ๊คเพิ่งไปถอยมาใหม่เพราะคันเก่าผ่านศึกมาอย่างสมบุกสมบันมากพอแล้ว
“รถใหม่นี่มันดีจริงๆ” กันต์เอ่ยแซวเมื่อขึ้นมานั่งบนรถ สายตามองไปที่ฝั่งคนขับอย่างต้องการจะล้อ
“แหม่... ขอหน่อยเถอะ คนเป็นเซลล์รถใช้งานหนักอะ ขอเปลี่ยนหน่อยเหอะ คันเก่าขับมาตั้งเจ็ดปีละเนี่ย”
“ก็แซวเล่นเฉยๆ เงินเดือนเยอะแบบนี้ จะซื้ออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ”
“สมพรปากนะ เงินเดือนเยอะ ภาระก็เยอะเหอะ”
“เข้าใจแหละ”
บุ๊คสตาร์ทรถก่อนจะขับออกไปจากตรงนั้น ระยะทางจากบ้านของกันต์ไปถึงร้านใช้เวลาไม่มาก ไม่เกินสิบนาทีก็ถึงแล้วหากรถไม่ติด แต่เพราะเป็นช่วงเวลามื้อค่ำที่หลายบ้านต่างพากันออกมากินข้าวเย็นนอกบ้านพร้อมกัน บนถนนก็เลยคราคร่ำไปด้วยรถอยู่ไม่น้อย
“พวกนั้นจะทำอะไรกันอยู่นะ” บุ๊คเอ่ยถามขึ้นขณะรถติด
“ใคร?”
“แก๊งแอคติ้งไง”
“อ๋อ ทำไมอะ”
“จะชวนมากินข้าวด้วยกันไง” บุ๊คตอบพลางหมุนพวงมาลับเลี้ยวเข้าซอยหนึ่งซึ่งเป็นเส้นทางที่จะตรงไปยังร้านอาหารที่พวกเขาตั้งใจไว้
“โห... ชวนตอนนี้ใครเขาจะออกมาทัน แต่ละคนใช่ว่าจะบ้านใกล้เราที่ไหนล่ะพี่” กันต์บ่นเล็กน้อยอย่างไม่จริงจังนัก
“เออว่ะ... ก็จริงของแก”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้มีเรียนก็ได้เจอละ” กันต์บอกขณะที่บุ๊คขับรถเข้าไปในลานจอดรถของร้านเป็ดพะโล้ที่พวกเขาเลือกมา
บรรยากาศภายในร้านคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมาก โต๊ะภายในร้านเต็มแทบทุกร้าน พนักงานเดินไปมากันขวักไขว่ด้วยเพราะลูกค้าแต่ละคนก็ยกมือเรียกกันไม่ยอมหยุด เสียงดังอื้ออึงอยู่โดยรอบ กันต์กับบุ๊คเดินเข้าไปในร้านมีพนักงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาต้อนรับด้วยสำเนียงภาษาไทยที่ไม่ได้ชัดมากนักแต่ยังพอเข้าใจในความหมายได้
ทั้งคู่เดินตามพนักงานคนนั้นไปยังโต๊ะว่างที่ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง พวกเขาทั้งสองคนรีบรับเมนูอาหารมาสั่งทันทีแบบไม่รอช้า ด้วยความหิวในกระเพาะกำลังเรียกร้องอย่างหนัก เพียงไม่นานอาหารที่พวกเขาสั่งไปนั้นก็มาวางอยู่จนเต็มโต๊ะ เรียกน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของพวกเขาให้เร่งทำงานได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเป็ดพะโล้จานโตซึ่งเป็นจานเด็ดประจำร้าน ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกจนพวกเขาแทบจะอดใจไม่ไหว
“มา! ลุยยย” บุ๊คตาลุกวาวพลางหยิบช้อนส้อมชูขึ้นมาในท่าพร้อมกิน ก่อนจะจ้ววงตักลงไปในจานเป็นพะโล้นั้นทันที
กันต์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้แต่นั่งอมยิ้มกับท่าทางของอีกฝ่าย ความเอ็นดูปรากฏขึ้นในทุกท่วงท่าของคนตัวสูง ทันทีที่เป็ดพะโล้เข้าปากบุ๊ค สายตาของเขาก็ยิ่งเปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ในปากของเขาในตอนนี้เป็นอาหารเลิศรสที่สุดในโลก แต่ยังไม่ทันที่กันต์จะได้ลองชิมรสชาติของอาหารตรงหน้าเสียงสั่งของโทรศัพท์มือถือประจำตัวก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
ครืดดด~~~ ครืดดด~~~
กันต์สะดุ้งเล็กน้อยตอนได้ยิน เขารีบวางช้อนส้อมในมือของตนเองแล้วหันไปหยิบเอามือถือที่วางไว้ข้างๆ ขึ้นมาดู แววตาฉายความสงสัยเมื่อได้เห็นตัวอย่างข้อความบนแถบแจ้งเตือน
“มีอะไรเหรอ” บุ๊คเอ่ยถามกันต์เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของรุ่นน้องคนสนิทที่นั่งอยู๋ฝั่งตรงข้ามกัน
“พี่ชมพู่ส่งลิ้งก์อะไรมาไม่รู้ แล้วถามว่าเห็นยัง”
“ก็ลองเปิดดูดิ”
“เคๆ”
กันต์เอ่ยตอบห้วนๆ ก่อนจะกดเปิดเข้าไปดูในกล่องข้อความของพี่ชมพู่ เขาเห็นลิ้งก์ที่อีกฝ่ายส่งมาเป็นลิ้งก์จากเฟสบุ๊คเพจหนึ่ง เขาไม่รีรอกดเข้าไปดูจึงได้เห็นว่าเป็นเพจของซีรีส์เรื่องที่เขากับบุ๊คได้ไปแคสติ้งเพื่อเข้าเป็นนักแสดงเมื่อไม่นานมานี้ประกาศแจ้งผลการคัดเลือกสำหรับคนที่ผ่านเข้ารอบได้เป็นนักแสดงในซีรีส์เรื่องนี้
“ประกาศผลแคสติ้งแล้วพี่” กันต์เอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปนตื่นเต้นเล็กน้อย
“หื้ม?”
“ซีรีส์ที่เราไปแคสกันมาไงพี่”
“เป็นไง สรุปผ่านไหม” บุ๊คเองก็ดูมีท่าทีคาดหวังอยู่ไม่น้อยพอได้ยินกันต์พูดแบบนั้น เพราะตั้งแต่ซีรีส์เรื่องก่อนเขาเองก็ยังไม่มีงานแสดงเข้ามาอีกเลย ไม่ได้ต่างจากกันต์สักเท่าไหร่นัก
คนตัวเล็กกว่ารีบกดเข้าไปดูรายชื่อที่อยู่ในโพสต์ทันที เขารีบเลื่อนสายตาไปตามลำดับรายชื่อที่ถูกประกาศออกมาด้วยใจตุ๊มต่อม ไม่นานดวงตาของเขาก็สะดุดเข้ากับชื่อของตัวเองและชื่อของบุ๊คที่อยู่ติดกันต์ เขาเงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกาย ความดีใจพุ่งพล่านอยู่ในตัวของเขาเกินกว่าที่เขาคาดไปมากโข
“พี่!! เราผ่านทั้งคู่เลย!!” เสียงพูดของกันต์บ่งบอกความดีใจได้เป็นอย่างดี
“จริงปะเนี่ย!”
“กันต์จะโกหกพี่ทำไมอะ” คนตัวเล็กกว่าบอกก่อนจะยื่นมือถือให้อีกฝ่ายดูเป็นหลักฐานยืนยันในคำพูดของตัวเอง
“สาธุ! สิ่งศักดิ์ทำงานสักที” บุ๊คเอ่ยพลางยกมือไหว้ท่วมหัว เขารู้สึกว่าสิ่งศักดิ์ทั้งหลายที่เขานับถือเริ่มจะได้ยินคำวิงวอนของเขาเสียที หลังจากที่พยายามไหว้พระขอพรมาก็หลายแห่ง แต่ไม่ยักจะได้รับสิ่งที่เขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะแตกต่างออกไป
รอยยิ้มของทั้งสองคนปรากฏอยู่ตลอดมื้อเย็นในร้านเป็ดพะโล้นั้น เป็นความดีใจที่ไม่รู้จะพูดออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง เพราะพวกเขาก็ค่อนข้างที่จะคาดหวังกับซีรีส์เรื่องนี้ไว้มาก ด้วยระยะเวลาที่ค่อนข้างห่างจากเรื่องแรกแต่ละคนจึงกลัวว่าตัวเองจะห่างหายไปจากวงการแล้วคนจะลืมกันเสียหมด ทั้งที่ซีรีส์เรื่องเก่ายังคงเป็นกระแสที่คนทั่วไปพูดถึงอยู่ หากจะไม่มีผลงานอื่นๆ ต่อก็คงน่าเสียดายแย่ ยิ่งเทียบกับเพื่อนฝูงนักแสดงหลักคนอื่นๆ ที่ยังมีงานอีเวนต์และผลงานใหม่อยู่เรื่อยๆ ให้ผู้ชมได้เห็นหน้าค่าตาอย่างสม่ำเสมอด้วยแล้วนั้น ยิ่งทำให้พวกเขาค่อนข้างวิตกกังวลไม่น้อย
ความคาดหวังทั้งหลายที่พวกเขาแบกเอาไว้ถูกวางลงทันทีในวินาทีที่พวกเขาเห็นชื่อของตัวเองปรากฏอยู่บนโพสต์ประกาสแจ้งผลการคัดเลือกนักแสดง บรรยากาศรอบตัวของพวกเขาดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด จากค่ำคืนอันแสนธรรมดากลับกลายเป็นค่ำคืนที่แสนพิเศษสำหรับคนทั้งคู่ไปโดยปริยาย
~~~~~~~~~~ The Gossip of BL ~~~~~~~~~~
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นพร้อมแสงแดดแรงจ้าที่สาดส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาภายในห้องนอนชั้นสี่ของกันต์ ประกอบกับเสียงนกร้องดังต่อเนื่องจนปลุกให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมาเสียทีหลังจากที่นอนหลับยืดยาวราวกับคนขี้เกียจ
อันที่จริงการจะเรียกว่าเป็นเช้าวันใหม่ก็ค่อนข้างที่จะดูขัดเขินไปสักหน่อยเพราะในเวลานี้ตัวเลขบอกเวลาบนนาฬิกาดิจิทัลในห้องนอนแสดงให้เห็นชัดแล้วว่ามันเป็นช่วงเวลาเที่ยงวันไปเสียแล้ว ไม่ใช่เช้าตรู่อย่างที่ควรจะเป็น กันต์ขยับตัวพลิกไปหยิบมือถือมาเปิดดูว่ามีแจ้งเตือนอะไรที่สำคัญบ้าง แต่เมื่อพบว่าไม่เขาจึงรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวในทันที เพราะวันนี้มีเรียนแอคติ้งแม้ว่าจะยังพอมีเวลาอยู่บ้างแต่เขาก็อยากจะเหลือเวลาไว้สักหน่อยสำหรับการหาอะไรรองท้องก่อนเข้าเรียน
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นปกติแบบในทุกๆ วัน กันต์ในชุดที่พร้อมสำหรับการเข้าเรียนแอคติ้งโดดขึ้นวินมอเตอร์ไซค์เพื่อตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าใกล้บ้านเหมือนกับในทุกสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อตรงไปยังสตูดิโอครูบีม
“ไงจ๊ะ พี่ดารา” เสียงพี่ชมพู่เอ่ยทักดังขึ้นทันทีที่กันต์เดินเข้าไปด้านใน
เป็นทุกครั้งที่พี่ชมพู่จะมาถึงสตูดิโอเป็นคนแรกๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าบ้านอยู่ใกล้จึงเผื่อเวลาออกมา ไม่อยากเจอรถติดแล้วต้องมาสาย อาจเพราะเป็นคนที่อายุสูงสุดในกลุ่มหรือไม่ก็เพราะหน้าที่การงานของเธอหรือเปล่าก็ไม่รู้ เธอจึงค่อนข้างที่จะซีเรียสเรื่องการรักษาเวลาเป็นอย่างมาก
“โห... แซวขนาดนี้” กันต์หัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความเขิน แล้วหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ข้างพี่ชมพู่
ไม่นานมากนัก เพื่อนร่วมคลาสก็ทยอยกันเดินเข้ามาทีละคนสองคน เริ่มจากศรัณ อาร์ม มาร์ค ชัย พี่เม่น และคนสุดท้ายพี่บุ๊ค
“พี่ดาราอีกคนมาแล้ววว!” ศรัณแซวต่อหลังจากที่ก่อนหน้านี้พวกเขากำลังพูดคุยกันถึงเรื่องงานแคสติ้งที่ผ่านมา รวมถึงแสดงความยินดีกับกันต์ไปเรียบร้อยสำหรับการได้เป็นนักแสดงในซีรีส์เรื่องนั้น
แม้ว่าเพื่อนร่วมคลาสคนอื่นจะไปแคสติ้งด้วยกันแต่ก็มีเพียงกันต์และบุ๊คเท่านั้นที่ผ่านเข้ารอบจนได้เป็นนักแสดงตัวจริง ทีแรกกันต์ก็รู้สึกเกร็งหน่อยๆ กลัวว่าเพื่อนๆ น้องๆ จะเสียใจที่ไม่ผ่าน แต่กลับกลายเป็นว่าทุกคนยินดีไปกับเขาอย่างจริงใจ ไม่มีมานั่งอิจฉากันเลยสักนิด จึงทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
“พี่ดาราอะไรรรร” บุ๊คยิ้มเขินทันทีพลางยกมือเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงตรงที่ว่างที่เหลืออยู่
“ดีใจด้วยนะพี่ ที่แคสผ่าน” ศรัณพูดต่อ
“ขอบใจมากน้อง”
“สรุปใครผ่านแคสมั่งนะ” อยู่ๆ พี่เม่นที่นั่งเงียบอยู่นานก็พูดขึ้นมาท่ามกลางวงสนทนานั้น ทำเอาทุกคนเหล่มองกันเลิ่กลั่ก แม้จะพยายามเก็บอาการกันอยู่แต่ทุกคนก็เหมือนจะรู้กันโดยอัตโนมัติว่ากำลังรู้สึกยังไง
“มีกันต์กับพี่บุ๊คครับพี่เม่น” กันต์เอ่ยตอบอย่างสุภาพเมื่อเห็นว่าไม่มีใครที่อยากจะพูดกับคนตั้งคำถาม เขาเองที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดจึงตัดสินใจตอบออกไป
“อ้อ... ยินดีด้วยนะจ๊ะ” พี่เม่นยิ้มตอบก่อนที่ทุกคนจะทยอยกันเข้าห้องเรียนไปเพราะได้เวลาเรียนแล้วและครูบีมก็มาถึงพอดี
และยังคงเป็นเช่นเคยที่ทุกคนตั้งใจเรียนกันเป็นอย่างมากโดยที่พยายามจะไม่สนใจอะไรๆ ที่พี่เม่นพูดมากนักเพราะมันก็ค่อนข้างที่จะน่ารำคาญอยู่ไม่น้อย หลายครั้งที่ทุกคนมักจะลอบมองหน้ากันแบบไม่ได้นัดหมาย เวลาได้ยินอะไรที่มันไม่ค่อยเข้าหูจากปากของพี่เม่น แต่ทุกคนก็ทำได้แค่ถอนหายใจเท่านั้น
ดูเหมือนว่าความมั่นใจที่พี่เม่นมีนั้นมันจะมากเกินเสียจะมีใครไปกดให้มันน้อยลงมาได้...
คลาสเรียนจบลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเช่นเคย ยิ่งเรียนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแบบฝึกหัดอย่างขึ้นเท่านั้นในแต่ละสัปดาห์ ทำให้ทักษะการแสดงของแต่ละคนค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็แลกมาด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงอยู่เหมือนกัน
“วันนี้ขอกลับเร็วนะ มีธุระต่อ” กันต์รีบบอกขณะหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า
“อ้าวเหรอ ว่าจะชวนกินข้าวสักหน่อย เลี้ยงฉลองที่แคสผ่านกัน” พี่ชมพู่เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงติดเสียดาย
“ไว้นัดกันวันหลังนะพี่ วันนี้กันต์มีนัดแล้ว”
“ได้จ้ะ ไว้ค่อยว่ากัน” พี่ชมพู่ยิ้มเล็กๆ ระหว่างตอบ
“ไปละทุกคน หวัดดีครับ” กันต์บอกก่อนจะหันตัวเดินออกจากสตูดิโอไป บุ๊คเห็นแบบนั้นก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้จึงลุกขึ้นพลางหยิบกระเป๋ษแล้วบอกลาทุกคนตรงนั้นทันที
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปด้วยเลยละกัน จะได้ไปส่งไอ้กันต์มันด้วย” บุ๊คพูดจบก็รีบเดินออกไปด้านนอกสตูดิโอทันที
“เห็นไหมล่ะ ไม่เชื่อฉัน...” พี่เม่นเอ่ยพูดขึ้นทันทีที่ประตูสตูดิโอปิดลง แม้จะได้ยินเสียงบุ๊คตะโกนเรียกชื่อกันต์แว่วเข้ามาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจมากนัก เพราะเสียงของพี่เม่นมันดึงความสนใจในเรื่องอื่นไปเสียหมด
“...” ทุกคนเงียบพลางหันมองหน้ากันโดยที่ไม่มีใครตอบพี่เม่นเลยสักคน
“ฉันบอกแล้วว่าถ้าอยากแคสผ่านให้มาบอกฉัน ฉันสนิทกับผู้จัด ช่วยพูดให้ได้ ไม่เชื่อกันเอง ไม่งั้นป่านนี้ก็แคสผ่านเหมือนกันต์กับบุ๊คไปละ”
“...”
เม่นเห็นว่าไม่มีใครตอบอะไรกลับมา มีเพียงแค่มองๆ แต่ก็เงียบกันหมด เธอจึงตัดสินใจพูดต่อแบบไม่ได้สนใจว่าจะมีใครอยากฟังหรือไม่
“อย่าว่างั้นงี้นะ... จริงๆ สองคนนั้นก็ไม่เห็นจะตรงกับบทตรงไหนเลย วันนั้นก็ยังพูดๆ กับทีมแคสติ้งอยู่ ตอนประชุมอะ ว่าแบบกันต์กับบุ๊คคาแรกเตอร์ยังไม่ตรงกับบทเท่าไหร่ แต่ไม่มีใครเชื่อฉัน ผู้จัดแกบอกว่าสนิทกันเลยเกรงใจ ถ้าจะไม่ให้ผ่านงี้ ก็เลยเอามาเล่นให้มันจบๆ ไป”
พอได้ยินสิ่งที่พี่เม่นพูดทุกคนก็พากันสูดหายใจเข้าลึกและมองหน้ากันด้วยความรู้สึกไม่พอใจอยู่หน่อยๆ ที่พี่เม่นพูดถึงกันต์กับบุ๊คแบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งพูดถึงคนอื่นลับหลังในข้อมูลที่ไม่ใช่เรื่องจริง แถมยังใส่ไข่เติมไฟเข้าไปอีกต่างหาก ทุกคนต่างรู้ดีว่าสิ่งที่พี่เม่นพูดมันไม่ใช่ความจริง แต่ก็ไม่มีใครอยากจะโต้แย้งด้วยเพราะรู้สึกว่ามันเสียเวลา และสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือพากันลุกออกจากโต๊ะนั้นแล้วลากลับบ้านกันทันที แม้ว่าพวกเขาจะนัดกันไปกินข้าวในไลน์กลุ่มที่ไม่มีพี่เม่นอยู่ในนั้นก็ตาม
“เอาล่ะ ฉันเกลียดนังคนนี้” พี่ชมพู่เอ่ยพูดขึ้นเมื่อเดินพ้นออกมาจากบริเวณสตูดิโอ
“ผมงงอะ ทำไมเขานิสัยเสียแบบนี้” ศรัณเอ่ยพูดต่ออย่างไม่เข้าใจ เขารู้สึกว่าพี่เม่นในตอนนี้ต่างกันกับที่รู้จักแรกๆ อย่างกับคนละคน
“จริง กล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ยังไง ไม่รู้เหรอว่าคนที่นั่งฟังอยู่เขารู้ความจริงกันหมดแล้ว ตลก” พี่ชมพู่พูดต่ออย่างหงุดหงิด
“ต้องหาคนมาช่วยคุมความประพฤติเขาหน่อยละมั้งครับ” อาร์มพูดเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่ง ทำเอาทุกคนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพากันเดินไปยังร้านอาหารที่พี่ชมพู่ได้โทรจองเอาไว้
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมพี่เม่นถึงได้เป็นคนแบบนี้ ไม่รู้ว่ามีใครเคยเตือนเธอไหมว่าสิ่งที่อยู่มันไม่ใช่เรื่องที่ดี และไม่รู้ว่าเธอรู้หรือเปล่าว่าทุกคนรู้กันหมดแล้วว่าสิ่งที่เธอพูดออกมาทั้งหมดมันเป็นเรื่องปลอม ก็คงจะเป็นไปอย่างที่อาร์มพูดนั่นแหละว่าต้องมีใครสักคนมาควบคุมความประพฤติของพี่เม่นสักหน่อย ไม่อย่างนั้นก็คงจะเลยเถิดไปไกลกว่านี้แน่ๆ