วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
“จะถึงแล้ว” บุ๊คเอ่ยบอกปลายสายอย่างกันต์ให้เตรียมความพร้อมหลังจากที่เขาโทรคุยกันมาเกือบสี่สิบนาทีระหว่างที่บุ๊คขับรถตรงไปยังบ้านของกันต์เพื่อที่จะรับกันต์ไปออฟฟิศด้วยกันวันนี้
เขาได้รับสายจากผู้กำกับว่าให้มาเวิร์กช็อปฉากเข้าคู่กับพระเอกของเรื่องอย่างน้องลิ้งก์เพิ่มเติม เนื่องจากครั้งก่อนที่ถ่ายทำฉากเลิฟซีนกันไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่ น้องลิ้งก์มีอาการตื่นเต้นมากเกินไปหน่อย ทำให้ซีนที่ถ่ายไปนั้นยังไม่สามารถที่จะนำไปใช้ตัดต่อเพื่อออกอากาศได้ ทำให้ต้องมีการรีชูตหรือถ่ายทำใหม่เพื่อแก้ไขในฉากนั้นอีกครั้ง และผู้กำกับไม่อยากจะต้องเจอกับความผิดพลาดอีก จึงบอกกับพี่วันดีว่าขอนัดบุ๊คกับลิ้งก์มาเวิร์กช็อปเพิ่ม เพื่อที่ว่าพอถึงเวลาถ่ายทำจริงจะสามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดายไม่เสียเวลา
รถยนต์คันคุ้นตาเคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่บริเวณหน้าบ้านของกันต์ พอเจ้าของบ้านเห็นก็รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านทันทีโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย ชุดที่ใส่วันนี้ก็เป็นแบบสบายๆ เพราะคงต้องไปนั่งเล่นอยู่ในออฟฟิศอยู่พักใหญ่ กว่าบุ๊คจะเวิร์กช็อปเสร็จก็คงใช้เวลาสองชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
“เดี๋ยววันนี้แกช่วยพี่ดูด้วยนะว่าต้องแก้ตรงไหนยังไง เคมีได้ไหมไรงี้” บุ๊คเอ่ยบอกทันทีที่กันต์ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถแล้วปิดประตูลง
“ได้พี่”
“แกดูซีรีส์วายมาเยอะน่าจะพอรู้พวกเคมี จังหวะการเล่นไรงี้ เลยพามาช่วยดู”
“สบายมาก ดูมาตั้งแต่อยู่ม.1”
“ดีมาก”
ระยะทางจากบ้านของกันต์ไปยังสตูดิโอของออฟฟิศค่อนข้างที่จะไกลมากพอสมควร หากอ้างอิงจากแผนที่ทางภูมิศาสตร์ก็คงบอกได้ว่าอยู่กันคนละจังหวัด แต่ก็ยังอยู่ในพื้นที่ของปริมณฑลติดกรุงเทพ แม้จะพารถวิ่งขึ้นไปบนทางด่วนแบบที่ไม่ปัญหารถติดก็ยังต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเต็มอยู่ดี
กันต์แอบเผลอหลับไปเล็กน้อยระหว่างนั้น ด้วยเพราะความอ่อนเพลียจากอาการนอนไม่หลับติดกันมาหลายคืน จนเขาเริ่มเหนื่อยหน่ายกับการหาทางแก้ ปล่อยเลยตามเลยง่วงก็นอน ไม่หลับก็ลุกมาหาอะไรทำให้เหนื่อยจนหลับไปเอง แถมเพลงที่พี่บุ๊คเปิดก็เป็นเพลย์ลิสต์เพลงชวนง่วงทั้งนั้น เขาจึงเผลอหลับไปแบบไม่ทันได้รู้ตัว
“กันต์ ถึงแล้ว” เสียงนุ่มของบุ๊คดังขึ้นที่ข้างใบหูเจ้าของชื่อ
“อื้อ...” กันต์ขานรับเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้คนเรียกได้รับรู้ว่าเขาตื่นแล้ว เปลือกตาค่อยๆ เปิดขึ้นก่อนที่มือหนึ่งจะควานหาหัวเข็มขัดนิรภัยแล้วกดเพื่อปลดออก
บุ๊คดับเครื่องและเปิดประตูรถลงไปด้านล่างแล้ว กันต์หยิบกระเป๋าใบเล็กที่เอามาด้วยสะพายบ่าแล้วเปิดประตูตามลงไป พวกเขาพากันเดินไปยังคาเฟ่เล็กๆ ของออฟฟิศที่เปิดเอาไว้บริการทั้งพนักงานและศิลปินในสังกัด เพราะละแวกนั้นอยู่ห่างไกลจากบรรดาร้านค้าต่างๆ อยู่มากเหมือนกัน ซึ่งก็นับได้ว่าคิดถูก นอกจากจะขายคนในบริษัทได้แล้ว ชาวบ้านและพนักงานจากบริษัทใกล้เคียงก็ยังแวะเวียนมาใช้บริการอยู่ไม่ขาดสาย
กันต์และบุ๊คหย่อนตัวลงนั่งบริเวรห้องนั่งเล่นของออฟฟิศเพื่อตากแอร์เย็นๆ ที่ป้าแม่บ้านมาเปิดเอาไว้ คนตัวเล็กกว่าหันมองซ้ายขวาเพราะรู้สึกว่ามันเงียบผิดปกติจึงเอ่ยทักอย่างสงสัย
“ยังไม่มีใครมาเหรอ”
“นั่นดิ” บุ๊คเองก็ดูสงสัยไม่แพ้กัน เขาหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อจะส่งข้อความถามลิ้งก์ดูสักหน่อย
Book : อยู่ไหนแล้วน้อง
Link : ทางด่วนพี่ อีกประมาณยี่สิบนาที
Book : โอเคครับ
Link : ผมมากับพี่หนุ่มครับ
หนุ่มคือชื่อของพี่ผู้กำกับที่กันต์กับบุ๊ครู้สึกไม่ค่อยคลิกสักเท่าไหร่ ทีแรกพวกเขาทั้งคู่ต่างก็พากันคิดว่าอาจเป็นเพราะอคติส่วนตัว แต่พอได้ลองมาปรึกษากันหลายๆ ครั้ง กันต์กับบุ๊คมีความคิดเห็นที่ค่อนข้างจะตรงกันไม่น้อยว่า ไม่ใช่เพราะอคติแต่เป็นเพราะพี่หนุ่มมีตรรกกะและแนวความคิดบางอย่างที่ค่อนข้างไม่ตรงกันกับบุ๊คและกันต์
หลายครั้งที่คำพูดของพี่หนุ่มมันสะกิดใจพวกเขาอยู่ไม่น้อย เหมือนไม่ได้กลั่นกรองความคิดออกมาเสียก่อน ฟังแล้วรู้สึกเคืองหูจนไม่อยากจะสนทนาด้วยต่อ แต่เพราะว่าเป็นผู้กำกับพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกมากนักที่จะไม่ยุ่งด้วย เพราะไม่ว่ายังไงการมาออกกองเพื่อถ่ายทำตลอดซีรีส์เรื่องนี้ คงไม่มีทางหลบหน้าพี่หนุ่มได้อย่างแน่นอน
ยิ่งกันต์กับบุ๊คไปสืบมาได้ว่าพี่หนุ่มเพิ่งเคยเป็นผู้กำกับซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกก็ยิ่งทำให้พวกเขามองบนใส่มากกว่าเดิม ท่าทีของพี่หนุ่มราวกับว่าทำงานอยู่ตรงนี้มานาน โดยเฉพาะไอ้กรณีที่ชอบเหยียดชอบกดคนอื่นที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าเป็นอะไรที่กันต์กับบุ๊คเกลียดมากที่สุด ทุกตำแหน่งก็สำคัญเหมือนกันหมด ใช่ว่าผู้กำกับสำคัญที่สุดเสียเมื่อไหร่ เอาล่ะถ้าจะว่ากันว่าตำแหน่งผู้กำกับสูงที่สุดไหม หากเทียบกับตำแหน่งอื่นๆ ในกองถ่ายอาจจะใช่ แต่สุดท้ายผู้กำกับก็ยังต้องฟังโปรดิวเซอร์และผู้จัดอยู่ดี มีหลายกรณีที่ผู้กำกับถูกเปลี่ยนตัวระหว่างถ่ายทำไปได้แค่เพียงกลางเรื่อง เพราะไม่ยอมงอให้โปรดิวเซอร์กับผู้จัด ดื้อรั้นเอาความคิดตัวเองเป็นหลัก สุดท้ายก็โดนปลดไปตามระเบียบ
ก็แน่ล่ะ ผู้จัดเขาเป็นคนจ่ายเงิน ถ้าไม่ทำตามความต้องการของเขา เขาจะเสียเงินจ้างให้ทำงานต่อทำไม...
รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีท่าทีว่าสองคนนั้นจะมาถึง ยิ่งตอนที่บุ๊คมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตัวเองว่าอีกสองนาทีจะครบยี่สิบนาทีตามที่ลิ้งก์ได้เอ่ยปากบอกเอาไว้ว่าจะถึงออฟฟิศ แต่ดูแล้วก็ยังเงียบอยู่ ทำเอาเขารู้สึกเคืองไม่น้อย
เขาตัดสินใจส่งข้อความทางไลน์ไปลิ้งก์อีกครั้งแต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมกดอ่าน ไม่รู้ว่าไม่เห็นจริงๆ หรือตั้งใจไม่อ่านกันแน่ ความหงุดหงิดเริ่มแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดแม้ว่าเขาจะกำลังพยายามควบคุมอารมณ์อยู่ก็ตาม เสียงถอนหายใจที่ดังฟึดฟัดอยู่หลายครั้งทำเอากันต์อดหันไปมองไม่ได้
“เดินไปหากาแฟกินที่คาเฟ่ก่อนไหมพี่” กันต์เอ่ยปากเสนอ การได้ดื่มอะไรเย็นๆ เข้าไปอาจจะทำให้คนที่กำลังนั่งหงุดหงิดอารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง
“อือ ก็ดีเหมือนกัน”
ทั้งสองคนลุกขึ้นแล้วเดินออกจากตึกออฟฟิศไปยังคาเฟ่ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังอาคารทันที น่าแปลกที่เวลาแบบนี้ดันไม่มีลูกค้าคนอื่นๆ โดยปกติช่วงกลางวันแบบนี้กันต์มักจะพบว่ามีพนักงานออฟฟิศหลายคนมาใช้บริการในที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะกินข้าว ดื่มกาแฟ หรือมานั่งเมาท์มอยเวลาพัก แต่วันนี้กลับโล่งตาอย่างน่าประหลาด
“หวัดดีครับคุณกันต์คุณบุ๊ค” เสียงทักทายจากบาริสต้าหนุ่มประจำร้านเอ่ยขึ้นทันทีที่ประตูร้านเปิดออกแล้วปรากฏใบหน้าคุ้นตาให้เขาเห็น
“หวัดดีครับพี่ติ๊ก” กันต์ยกมือขึ้นไหว้ก่อนจะเดินเข้าไปหาที่หน้าเคาท์เตอร์
“ทานอะไรดีครับวันนี้”
“ขอดูเมนูก่อนนะครับ” กันต์เอ่ยตอบพี่ติ๊กก่อนจะคว้าเมนูอีกเล่มยื่นให้กับบุ๊คแล้วหันกลับมาคุยกับพี่ติ๊กต่อ “ทำไมวันนี้เงียบจังครับ คนไปไหนกันหมด”
“มีประชุมใหญ่น่ะครับ ทุกคนก็เลยรีบขึ้นตึกกันหมด”
“อ่อ ก็ว่าเงียบจัง...”
“ส่วนที่อื่นก็คงกลับไปทำงานกันหมดแล้วครับ เลยพักเที่ยงมาแล้วครับ” พี่ติ๊กตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างเคย
กันต์ลืมไปเลยว่านี่มันเป็นเวลาทำงานแล้ว มัวแต่นั่งไถติ๊กตอกจนเพลิน พอได้เห็นเวลาจริงๆ ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพี่บุ๊คถึงได้หงุดหงิดขนาดนั้น เพราะลิ้งก์กับพี่หนุ่มมาสายกว่าเวลานัดไปมาก
“กันต์เอาอเมริกาโนเย็นครับ”
“ผมเอาชามะนาวโซดาครับ”
“รอสักครู่นะครับ รับขนมหรืออาหารทานเพิ่มไหมครับ”
“ไม่เอาครับพี่ติ๊ก” กันต์ยิ้มตอบก่อนจะลุกเดินตามพี่บุ๊คไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างเพื่อที่ว่าจะได้มองเห็นคนข้างนอกที่ผ่านไปผ่านมาได้ชัดเจน จะได้รู้ว่าลิ้งก์กับพี่หนุ่มมาถึงตอนไหน
พี่ติ๊กนำกาแฟมาเสิร์ฟหลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของบุ๊คดูหงุดหงิดและเริ่มตึงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่เคยบอกไว้ว่าพี่บุ๊คเป็นคนที่ซีเรียสเรื่องเวลาเป็นอย่างมาก แต่เฉพาะกรณีที่เขามาถึงก่อนเวลานัดและฝั่งตรงข้ามยังไม่มาเท่านั้น หากเขามาสายกว่าอีกฝ่ายก็จะไม่ค่อยมีปฏิกิริยาอะไรสักเท่าไหร่นัก
เพียงชั่วครู่ของการจิบเครื่องดื่ม รถยนต์คันหนึ่งก็ขับเข้ามาจอดบริเวณลานจอดรถของบริษัทที่มองเห็นได้จากบริเวรคาเฟ่ ประตูรถฝั่งผู้โดยสารเปิดออกพร้อมปรากฏใบหน้าของบุคคลที่บุ๊คอยากเห็นหน้ามากที่สุดอย่างลิ้งก์เดินลงมาจากรถ ก่อนจะตามมาด้วยพี่หนุ่มผู้กำกับผู้ซึ่งเป็นคนนัดหมายกิจกรรมในวันนี้
บุ๊ครีบลุกออกจากโต๊ะทันทีโดยมีกันต์เดินตามไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะผ่านพ้นบานประตูร้านคนตัวเล็กก็เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้ชำระค่าเครื่องดื่มจึงหันไปหาพี่ติ๊กแล้วบอกให้ส่งคิวอาร์โค้ดเพื่อชำระเงินมาในไลน์ของเขาแทนแล้วจะแสกนจ่ายให้ในภายหลัง
“หวัดดีครับพี่บุ๊ค” เสียงผู้กำกับเอ่ยทักทายพร้อมยกมือไหว้บุ๊คด้วยเพราะเขาอายุน้อยกว่าบุ๊คอยู่สามปี
“อื้อ”
“หวัดดีพี่” ลิ้งก์ยกมือไหว้ลวกๆ ก่อนจะเดินตามพี่หนุ่มเข้าไปในตึกออฟฟิศ
ทั้งสี่คนพากันเดินขึ้นไปที่ชั้นสองของออฟฟิศเพื่อไปใช้ห้องซ้อมเต้นของบริษัทในการเวิร์กช็อปเลิฟซีน พี่หนุ่มหยิบเอกสารสองชุดออกมาจากไหนกระเป๋าเป็นบทของฉากที่จะเวิร์กช็อปในวันนี้ยื่นให้กับลิ้งก์และบุ๊คก่อนจะหันหน้ามาหากันต์
“พี่กันต์ หนุ่มจะรบกวนให้พี่รอข้างนอกได้ไหมครับ พอดีวันนี้มันต้องใช้สมาธิเยอะ แล้วก็ต้องการความเป็นส่วนตัวด้วย ไม่อยากให้สองคนนั้นเสียสมาธิอะครับ”
“อ่อ ได้ๆ”
“ขอบคุณครับ”
พี่หนุ่มหรืออันที่จริงกันต์จะเรียกแค่หนุ่มเฉยๆ ก็ยังได้เพราะอีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเขา แต่เขาก็อยากจะให้เกียรติในฐานะผู้กำกับจึงเรียกว่าพี่หนุ่มจนติดปากหันหลังเดินเข้าไปภายในห้องซ้อมเต้น กันต์เคลื่อนสายตาไปมองหน้าพี่บุ๊คก่อนจะยักไหล่อีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ เพราะเหตุผลที่พี่บุ๊คพากันต์มาในวันนี้ก็เพื่อให้ช่วยดูเคมีระหว่างเวิร์กช็อปว่าทั้งเขาและลิ้งก์ทำได้ดีหรือไม่ ควรจะต้องแก้ไขตรงไหนบ้าง แต่ในเมื่อผู้กำกับไม่อนุญาตให้เข้าไป เขาก็ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรให้มันมากความ ไม่อยากจะสร้างปัญหาจึงเลือกที่จะทำตามแล้วเดินลงไปนั่งรอที่ห้องรับแขกด้านล่างแทน
ส่วนบุ๊คก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แม้ว่าจะไม่อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะทำงานมากนัก แต่เดอะโชว์ต้องโกออน[1]ต่อไปเพื่อไม่ให้ถูกตำหนิเอาได้ว่าไม่เต็มที่กับหน้าที่ของตัวเอง
พี่หนุ่มให้บุ๊คกับลิ้งก์นั่งหันหน้าเข้าหากันพร้อมจับมือกันไว้ก่อนจะให้หลับตาเพื่อทำสมาธิ เสียงเพลงบรรเลงที่มีเสียงธรรมชาติอย่างเสียงนก เสียงน้ำไหล เสียงลมพัดคลอไปเบาๆ เพื่อสร้างบรรยากาศให้ทั้งสองคนมีสมาธิได้มากขึ้น ระหว่างนั้นผู้กำกับก็พยายามกล่าวอธิบายเพื่อให้คนฟังได้จินตการตามไปเรื่อยๆ ใช้เวลาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงสำหรับแบบฝึกหัดเริ่มต้นที่พี่หนุ่มให้ลิ้งก์กับบุ๊คทำจึงเสร็จสิ้น
“ที่พี่ให้ทำแบบฝึกหัดนี้ก็เพราะว่าจะได้มีสมาธิมากขึ้นเนอะ ลำพังของพี่บุ๊คหนุ่มไม่กังวลเท่าไหร่ แต่ของลิ้งก์น่าเป็นห่วง เพราะแกเป็นคนสมาธิสั้น พอมีอะไรมากระตุ้นนิดหนึ่ง แกจะหลุดได้ง่ายมาก วันนี้พี่เลยอยากให้แกมีสมาธิมากที่สุด เพื่อผลประโยชน์ต่องานและตัวแกเองด้วย”
“ครับพี่หนุ่ม”
“เดี๋ยวต่อไป เราจะมาเริ่มทำซีนเวิร์ก[2]กันนะครับ เริ่มที่ตอน 8 ฉาก 2 นะครับ”
บุ๊คกับลิ้งก์เปิดบทไปยังหน้าที่มีฉากตามที่พี่หนุ่มเอ่ยบอกเมื่อครู่พลางกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ ว่าในฉากนี้กำลังพูดถึงสถานการณ์อะไรอยู่ ลำพังบทที่ได้มาบุ๊คก็จำได้เกือบทั้งหมด เพราะอ่านแล้วอ่านเล่าอยู่ทุกวัน เขาไม่อยากมาลืมบทหน้าเซตให้ต้องโดนผู้กำกับด่าเอาได้ จึงทำการบ้านอย่างดีมาเสมอ
ในซีนนี้เป็นซีนแรกที่ตัวพระเอกและนายเอกสารภาพรักกัน ก่อนจะมีจูบแรกด้วยกันซึ่งต้องใช้ความรู้สึกข้างในค่อนข้างสูง ครั้งก่อนที่ถ่ายทำซีนนี้ไปลิ้งก์ยังทำได้ไม่ดีมากนัก ในวันนั้นผู้กำกับหัวเสียเป็นอย่างมากจนต้องบอกออกมาว่าให้ยกซีนนั้นไปก่อนแล้วค่อยมารีชูตกันใหม่ในภายหลัง และนั่นจึงทำให้เกิดเวิร์กช็อปในวันนี้ขึ้นมา เพราะพี่หนุ่มกลัวว่าจะเกิดปัญหาแบบเดิมแล้วจะทำให้เสียเวลาแถมยังเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตอนออกกองโดยใช่เหตุ
“สู้ๆ แกทำได้”
“ขอบคุณครับ”
ก่อนจะเริ่มบุ๊คพูดให้กำลังใจลิ้งก์เพราะเห็นได้ชัดว่าน้องดูตื่นเต้น มือที่กุมกันอยู่ก็เย็นเฉียบแถมมีเหงื่อออกมาเต็มมือ จนบุ๊ครับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายตื่นเต้นไม่น้อย
พอเริ่มสวมบทบาทหลังจากเสียงแอคชันดังขึ้น แววตาของบุ๊คที่จ้องมองลิ้งก์ก็เปลี่ยนไปในทันที ส่วนลิ้งก์เองแรกๆ ก็ดูวิตกแต่พอเริ่มจูนอารมณ์ติดจากแววตาที่บุ๊คส่งมา เขาก็เริ่มที่จะคล้อยตามอารมณ์ไปได้บ้าง บทสนทนาระหว่างตัวละครทั้งสองเริ่มต้นขึ้นตามที่ถูกเขียนเอาไว้ในบท ก่อนจะดำเนินไปถึงจุดสำคัญนั่นก็คือฉากจูบที่ผู้กำกับเป็นกังวลหนักหนาว่าลิ้งก์จะสามารถก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดของตัวเองได้หรือไม่
บรรยากาศภายในห้องเงียบสนิท พี่หนุ่มเองก็พยายามจะอยู่ให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นการดึงดูดความสนใจหรือทำให้ลิ้งก์หลุดออกจากสมาธิ สายตาของทั้งลิ้งก์และบุ๊คจดจ้องกันนิ่ง ทำเอาหัวใจของพี่หนุ่มเต้นแรง หากผ่านพ้นจุดนี้ไปได้ ลิ้งก์คงได้ปลดล็อกความกล้าไปอีกขั้น ที่ผ่านมาจากการได้พูดคุยเล็กน้อยของพี่หนุ่มก็พอจะได้รู้ว่าลิ้งก์มีความกังวลกับการจูบคนอื่นอยู่ไม่น้อย หากเป็นแฟนหรือมีความสัมพันธ์ใดกันก็คงไม่มีปัญหา แต่เพราะต้องจูบกับคนที่เพิ่งรู้จักกันแถมไม่ได้เป็นอะไรกันก็ทำให้เขากังวลอยู่ไม่น้อย
เอาล่ะ! ได้เวลาละ...
พี่หนุ่มลุ้นอยู่ในใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของทั้งสองคนเริ่มขยับเข้าหากันทีละน้อย ชั่วขณะหนึ่งทั้งลิ้งก์และบุ๊คต่างหยุดนิ่งตอนที่ปลายจมูกใกล้จะสัมผัสกัน แววตาของทั้งคู่ยังคงมองกันนิ่งพลางเสียงลมหายใจเข้าออกก็ดังจนพี่หนุ่มที่นั่งอยู่ห่างๆ ยังได้ยิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้คนที่นั่งดูอยู่ลุ้นจนมากเกินไป เพียงไม่ถึงห้าวินาทีหลังจากนั้นริมฝีปากของทั้งคู่ก็สัมผัสเข้าหากันในทันที
ลิ้งก์กับบุ๊คจูบนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มขยับริมปากบดเบียดไปตามอารมณ์ของตัวละคร ลิ้นร้อนของบุ๊คเริ่มสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากของอีกฝั่งยามที่ลิ้งก์เผลอเปิดปากออก คนน้องไม่ได้รังเกียจแต่ยอมรับสัมผัสนั้นเป็นอย่างดีก่อนจะตอบรับด้วยการเกี่ยวกระหวัดลิ้นร้อนในโพรงปากกลับไป
บรรยากาศโดยรอบเริ่มร้อนผ่าวขึ้น พี่หนุ่มเองก็ออกอาการตามไปด้วย เขาสูดหายใจแรงระหว่างที่เห็นภาพตรงหน้า เพียงไม่นานเขาก็สั่งคัทเสียดังลั่นเรียกสติของลิ้งก์กับบุ๊คให้กลับมาเป็นตัวของตัวเอง
“โคตรดี!” พี่หนุ่มเอ่ยปากชมพร้อมยิ้มกว้าง
“...” ทั้งบุ๊คและลิ้งก์ต่างนิ่งเงียบไม่ได้ตอบอะไร พวกเขาเพียงแค่อมยิ้มและพยักหน้ารับเท่านั้น
“ตอนถ่ายจริงพี่ขอแบบนี้เลยนะ จะได้ไม่เสียเวลา ดีแบบดีฉิบหาย ถ้าซีนเมื่อกี๊ออนแอร์นะ ดังแน่รับรอง”
“ขอบคุณมากครับพี่หนุ่ม” ลิ้งก์ยิ้มกว้าง อารมณ์ดีเหมือนกับไม่ใช่คนก่อนหน้านี้เลยสักนิด จากที่ดูเคร่งเครียดตอนนี้กลับกลายเป็นว่าดูสดใสขึ้นกว่าเดิม
“ไม่ใช่ไปแอบต่อกันลับหลังนะไอ้ลิ้งก์”
“โอ๊ยพี่ก็พูดไป...”
“เมื่อกี๊คือได้อารมณ์สุดๆ ถ้าบอกว่ารู้สึกชอบกันจริงๆ ก็เชื่ออะ”
“ผมก็ทำไปตามบทนั่นแหละครับ แต่พี่บุ๊คไม่รู้คิดอะไรกับผมหรือเปล่านะ เมื่อกี๊จูบจริงจังเกิน ฮ่าๆ”
“ก็ตามบทไง”
บุ๊คถึงกับสีหน้าเปลี่ยนทันทีที่ได้ยินคำพูดจากลิ้งก์ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะหลุดคำพูดแบบนั้นออกมาได้ แม้จะพูดไปหัวเราะไปด้วยความรู้สึกทีเล่นทีจริงแต่นั่นไม่ได้ทำให้บุ๊ครู้สึกขำด้วยเลยสักนิด เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ลิ้งก์พูดแบบนี้ออกมา มันเหมือนกับการล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นอยู่เหมือนกัน ต่อให้บุ๊คเกิดชอบลิ้งก์ขึ้นมาจริงๆ ลิ้งก์ก็ไม่มีสิทธิ์หยิบเอาความรู้สึกของเขามาล้อเลียนแบบนี้
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ขอตัวกลับก่อนนะ ไอ้กันต์รอนานละ”
บุ๊คพูดพลางฝืนยิ้มบาง ไม่อยากให้ทั้งสองคนรู้ว่าเขากำลังไม่พอใจ ก่อนจะรีบเดินออกจากห้องนั้นทันทีเพราะอารมณ์ในตัวยังคงครุกรุ่นอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะมีปัญหาจึงพยายามปล่อยผ่านไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น
บุ๊คเดินลงมาด้านล่างก็พบว่ากันต์เอนตัวนอนหลับอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่น เขาจึงเดินเข้าไปสะกิดเรียก
“กันต์”
“...”
“กันต์ ตื่นเร็ว พี่เสร็จละ”
“อื้อ...” กันต์ส่งเสียงร้องออกมาเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองคนตรงหน้า พอเห็นว่าเป็นใครเขาก็รีบชันตัวขึ้นนั่งทันที “เสร็จแล้วเหรอพี่”
“เออดิ รีบกลับเหอะ”
“หื้ม ทำไมอะ” กันต์ถามกลับอย่างสงสัยเมื่อเห็นท่าทีของบุ๊คดูหงุดหงิดจนผิดสังเกต
“เออน่ะ ไว้เล่า” พูดจบบุ๊คก็คว้าแขนกันต์แล้วดึงให้ลุกขึ้นทันที ทำเอากันต์แทบหันไปคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วเดินตามไปไม่ทัน
แม้จะยังงุนงงกับสถานการณ์และอารมณ์ของคนตรงหน้า แต่เขาก็ไม่อยากจะเซ้าซี้อะไรมากนัก เพราะเวลาที่พี่บุ๊คกำลังอารมณ์ไม่ดีนี่มันน่ากลัวอยู่ไม่น้อย แทนที่เขาจะเป็นเพียงผู้รับฟังอาจจะกลายเป็นคนที่โดนด่าเอาได้ เขาจึงเลือกจะเงียบปากเอาไว้แล้วไหลไปตามน้ำก่อนดีกว่า ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วล่ะ
[1] มาจากสำนวน The show must go on แปลว่า ไม่ว่าจะยังไง ชีวิตต้องไปต่อ
[2] มาจากคำว่า Scene work เป็นศัพท์ในวงการการแสดง หมายถึงการตีความบทให้เข้าใจความต้องการของตัวละครในฉากนั้นๆ