วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
แสงแดดเริ่มสาดส่องมากกว่าเดิมเมื่อเวลาเดินมาถึงช่วงสาย จากความหนาวเริ่มกลายเป็นลมเย็นที่ทำให้ทั้งสี่คนรู้สึกสบายตัวมากขึ้น ไม่ทรมานเหมือนช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา
สภาพแต่ละคนดูค่อนข้างเหนื่อยพอสมควรหลังจากที่พากันเดินลงมาจากกิ่วแม่ปาน นุ่นกับแคนหมดแรงตั้งแต่เดินลงมาได้ครึ่งทาง บ่นแล้วบ่นอีกจนกันต์ขี้เกียจจะฟัง แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าการที่ให้คนที่ไม่ชอบการออกกำลังกายมาออกแรงเดินหลายสิบกิโลเป็นชั่วโมงแถมยังเป็นการเดินขึ้นลงเขาอีกต่างหาก จะไม่ให้หมดสภาพก็คงจะเป็นไปไม่ได้
“ถึงสักที” นุ่นพูดพลางถอนหายใจยาวพรูดออกมา
“จริง นึกว่าจะตายอยู่บนนั้นละ” แคนพูดเสริมพลางยกขวดน้ำที่เหลือน้ำปริมาณอันน้อยนิดขึ้นดื่มจนหมดขวด
“วันหลังก็ไม่ต้องมาจ้ะ ถ้าจะบ่นน่ะ”
“แหม! อีบุ๊ค!! กูก็บ่นเป็นปกติมึงยังไม่ชินอีกเหรอ อีห่า!!”
“จริง อีนุ่นพูดถูก... ตอนไปอินโดฯ พวกกูก็บ่น เนเธอร์แลนด์พวกกูก็บ่น กูบ่นหมดอะ ชินได้แล้วค่ะ!!”
กันต์ถึงกับหลุดขำออกมาเมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสามคนเริ่มที่จะตีกันอีกแล้ว จากที่ไม่ชินก็กลายเป็นคุ้นเคยไปเสียอย่างนั้นกับความสัมพันธ์แบบหยุมหัวในกลุ่มเพื่อนกลุ่มนี้ แม้บุ๊คจะดูนิ่งที่สุดในกลุ่มแต่ทุกคำพูดที่เอ่ยปากออกมาสนทนากับเหล่าเพื่อนก็เชือดเฉือนทุกคำอยู่เหมือนกัน นี่ถ้าไม่ได้รู้จักกันมาก่อนคงคิดว่าเกลียดกันแน่ๆ
บุ๊คเดินนำกลับไปที่รถหลังจากที่พวกเขาเริ่มจะหายเหนื่อย การได้นั่งพักอยู่แถวนั้นเพื่อกินลมชมวิวธรรมชาติก็พอจะเรียกพลังให้กลับมาได้บ้าง กันต์โยนกระเป๋าเป้ขึ้นไปวางบนรถทันที เขาไม่อยากที่จะแบกมันอีกต่อไป หลังจากต้องอดทนแบกมันมาหลายชั่วโมงเหลือเกิน ในตอนนี้เขาอยากจะเดินตัวเปล่าด้วยซ้ำ ไม่อยากที่จะต้องพกอะไรให้เป็นภาระร่างกายอีก
“เมื่อยอะ” กันต์บ่นออกมาเล็กน้อยแล้วเอนตัวพิงกับรถในขณะที่คนอื่นกำลังหยิบเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าที่ท้ายรถเพื่อที่จะเปลี่ยนชุดกันภายในรถนั้น
“กันต์จะเป็นก่อนไหม” นุ่นชะโงกหน้ามาเอ่ยถามคนน้อง
“ไม่เป็นไรพี่ เปลี่ยนก่อนเลย”
“โอเคจ้ะ ฝากดูคนให้หน่อยนะ”
“ได้พี่ แต่ฟิล์มดำ ไม่น่ามีใครเห็นหรอก”
“เออเนอะ” นุ่นยิ้มตอบก่อนจะหอบเสื้อผ้าชุดใหม่เดินเข้าไปในรถปิดประตูเสียงดังปัง
“งั้นเดี๋ยวกูเดินไปเปลี่ยนในห้องน้ำตรงนู้นละกัน จะได้ไม่ต้องรอนาน” แคนบอกก่อนจะเดินออกไปทางห้องน้ำที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากลานจอดรถมากนัก
“เออ ดีเว้ย ผู้หญิงเปลี่ยนในรถ ผู้ชายเปลี่ยนในห้องน้ำ”
“พี่บุ๊คก็ไปแซวเพื่อน”
“แกไปเปลี่ยนในห้องน้ำก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องรอนาน”
“ไม่เป็นไรพี่”
“หรือจะรอเปลี่ยนพร้อมพี่ในรถ”
“ก็ได้นะ ไม่มีอะไรต้องอายกันแล้วนี่” กันต์พูดพร้อมยักคิ้วให้ ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ไม่มีอะไรจะต้องกลัวอีกแล้ว ในเมื่อหนีจากการกระทำที่ไม่ชัดเจนของอีกฝ่ายไม่ได้ ก็สู้กันซึ่งๆ หน้าไปนี่แหละ แล้วค่อยมาดูกันว่าใครจะเป็นฝ่ายที่ต้องถอย
ปากบอกว่าพี่น้อง แต่การกระทำมันก็มากกว่านั้นจนคนอื่นก็ยังสังเกตได้ ในเมื่อบุ๊คยังยืนยันคำนั้น กันต์ก็จะพิสูจน์ด้วยตัวเองนี่แหละ ว่าไอ้คำว่าพี่น้องที่พูดอยู่ทุกวันนี้มันจะมั่นคงไปได้อีกนานแค่ไหน
เขาจะลองสู้ดูสักตั้ง ถ้าอีกฝ่ายยังคงยืนยันแบบนั้น เขาเองที่จะเป็นฝ่ายถอยไปอยู่ในจุดที่ควรยืน...
“เก่งนักนะ ปากแกเนี่ย”
“พี่ก็เคยลองแล้วไม่ใช่เหรอ ก็เก่งอยู่ปะ”
แกร็ก!
“เสร็จละ”
ไม่ทันที่คนพี่จะได้ต่อบทสนทนาใด ประตูรถก็เปิดออกมาเสียก่อน ใบหน้าของนุ่นปรากฏให้ทั้งสองคนเห็น บุ๊คและกันต์จึงเงียบไป ไม่ต่อปากต่อคำกันอีกด้วยกลัวว่าจะหลุดพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไป
“ไป เปลี่ยนเสื้อ”
บุ๊คคว้าหมับเข้าที่แขนของกันต์แล้วลากขึ้นรถไปพร้อมกัน นุ่นถึงกับมองตาค้างเพราะไม่คาดคิดว่าทั้งคู่จะขึ้นรถไปเปลี่ยนชุดด้วยกัน ในสายตาสาววายแบบเธอจะให้คิดดีก็คงไม่ได้ รถก็แคบขนาดนั้น ผู้ชายตัวโตทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน เปลี่ยนชุดด้วยกันมันจะไปสะดวกสบายได้ยังไงกัน เนื้อตัวต้องมีสัมผัสกันบ้างแน่ๆ แค่คิดก็เขินแล้ว
กรี๊ดดด~!
แคนเดินกลับมาหลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จ เห็นเพื่อนสาวยืนอยู่ด้านนอกคนเดียวก็ได้แต่สงสัย ไม่ทันจะได้เอ่ยปากถามอะไรนุ่นก็ส่งซิกบอกอีกฝ่ายว่าทั้งบุ๊คและกันต์อยู่ในรถด้วยกันทั้งคู่ คนที่เพิ่งเดินกลับมาถึงกับชะงักพลางชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านในรถด้วยความอยากใส่ใจว่าด้านในกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
“อีนุ่น! มันเปลี่ยนชุดด้วยกันเหรอ”
“เออ”
“มึงว่ามันจะแค่เปลี่ยนชุดกันอย่างเดียวปะ”
“อีเวร มันจะกล้าขนาดนั้นเลยเหรอ เพื่อนฝูงก็ยืนรออยู่ข้างนอกเนี่ย”
“ใครมันจะไปรู้อะ เรื่องของตัณหามันไม่เข้าใครออกใครหรอก” แคนพูดพลางยักไหล่ เขารู้ดีเพราะว่าเขาก็เป็นคนจำพวกเครื่องฟิต สตาร์ทติดง่ายเหมือนกัน แค่สะกิดนิดเดียวก็พร้อมที่จะพลีกายให้อย่างง่ายดาย
“หรือเราควรไปนั่งรอที่อื่นวะ เผื่อพวกมันจะได้ทำอะไรได้สะดวกๆ” นุ่นเสนอขึ้นมา อยู่ๆ ความเป็นสาววายมันก็พุ่งพล่าน จินตนาการในหัวก็แอบอยากให้เขาได้กันขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เออ ไปหากาแฟกินรอดีกว่า เผื่อพวกมันอยากจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง”
“ไปค่ะ!”
แคนกับนุ่นคล้องแขนพากันเดินออกจากตรงที่รถจอดอยู่แล้วเดินไปยังร้านกาแฟที่อยู่แถวนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้เพื่อนซี้ตัวร้ายกับน้องชายตัวดีได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
“เอาอะไรดีจ๊ะ” เสียงแม่ค้าร้านกาแฟโบราณเอ่ยทักเมื่อนุ่นกับแคนเดินเข้ามานั่งภายในร้าน
“หนูเอากาแฟโบราณจ้ะ” นุ่นเอ่ยปากสั่งเป็นคนแรกก่อนจะหันไปหาแคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง “มึงจะแดกไร”
“เอาชาไทยครับป้า”
“เอาเป็นเย็นทั้งคู่เนอะ”
“ใช่ค่ะ”
“รอป้าแป๊บหนึ่งนะจ๊ะ”
แม่ค้าหันหลังกลับไปประจำยังโต๊ะชงกาแฟประจำตำแหน่งแล้วลงมือจัดการชงตามเมนูที่ทั้งสองคนสั่งในทันที เสียงโคร้งเคร้งจากการที่อุปกรณ์กระทบกันเป็นสัญญาณบ่งบอกได้ดีถึงความชำนาญและความอร่อยของเครื่องดื่มที่กำลังจะมาเสิร์ฟในไม่ช้า
โดยปกติร้านค้าจำพวกนี้ยิ่งมีเสียงดังและอุปกรณ์เครื่องมือดูเก่า ดูขลัง มักจะทำอร่อยเสมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน แม้จะสอบตกในเรื่องของความสะอาดไปบ้างแต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องรสชาติไม่มีใครจะมาสู้ได้ ยิ่งคนขายแก่มากเท่าไหร่ยิ่งการันตีความอร่อยของความเป็นสูตรโบราณได้มากขึ้นเท่านั้น
ลูกค้ายังคงวนเวียนไปมาเข้าออกร้านบ้างประปราย ไม่ได้หนาตามากนักแต่ก็พอมีให้เห็นไม่ขาดสายตาแม่ค้าเดินเอากาแฟโบราณและชาไทยสีสวยมาวางให้บนโต๊ะพร้อมกับขอเรียกเก็บเงินไปในทีเดียว ด้วยเหตุผลที่เอ่ยบอกกับลูกค้าทั้งสองคนว่าเป็นคนแก่ขี้ลืม ถ้าไม่เก็บตอนนี้ก็กลัวว่าหันกลับไปชงกาแฟให้ลูกค้าคนอื่นต่อแล้วจะลืมเก็บเงินเอาได้ ทั้งคู่ควักเงินจ่ายไปพร้อมกับก้ามหน้าลงดูดชิมเครื่องดื่มภายในแก้วตัวเองแล้วก็ต้องตาโตกับรสชาติที่ได้สัมผัส
“กูว่าละ” นุ่นเอ่ยพูดสั้นๆ กับแคนหลังกลืนอึกนั้นลงคอ
“เห็นไหมล่ะ ตัวจริงเวอร์!”
“เออ ร้านแบบนี้อร่อยตลอด งง”
“ชาเข้มสุด ถึงใจกูมาก มันแบบได้แรงอก[1]!”
ทั้งสองคนดื่มด่ำกับเครื่องดื่มของคุณป้าร้านกาแฟโบราณกันอย่างชื่นใจ พลางถ่ายรูปลงสตอรี่ไอจีว่าเจอเครื่องดื่มที่ถูกต้องระหว่างมาเที่ยวคือสิ่งที่ดีที่สุดในทริปนี้
“เออมึง!” อยู่ๆ นุ่นก็เอ่ยปากทักแคนขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“ว่า”
“มึงว่าไอ้สองคนนั้นสรุปยังไง”
“เอาจริงจากใจ ไม่รู้จริงหรือถามเล่นๆ มึงไม่รู้จักเพื่อนมึงเลยเหรอ” สีหน้าของแคนดูหน่ายใจเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เอาจริงตัวเขาเองดูปราดเดียวก็มองออกแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้มันเกินเลยไปไกลกว่าคำว่าพี่น้องนานมากแล้ว เพียงแค่ไอ้บุ๊คเพื่อนซี้ตัวดีของเขายังปากแข็งอยู่อย่างนั้น
“เออ มองจากดาวอังคารก็รู้ แต่กูแค่ไม่อยากจะก้าวก่าย กูก็คิดเหมือนมึงนั่นแหละ แต่ในเมื่อเพื่อนเรามันก็ยังยืนยันคำเดิม กูก็เลยเคารพคำพูดมัน ว่าพี่น้อง”
“แล้วมึงเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่ที่พวกเราเจอมันสองคน มีตรงไหนที่เรียกว่าพี่น้องบ้าง กูเห็นทำทุกอย่างก็ฟีลแฟนหมด กูมันพวกตาผี อะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็เสือกไปเห็นซะหมด ทั้งที่สองคนนั้นมันอุตส่าห์พยายามตีเนียนแอบหลบไม่ให้ใครเห็น กูก็ยังจะเสือกไปเห็นมาอีก” แคนถอนหายใจหลังพูดจบ
“พอกันอะ กูก็ไม่ได้อยากจะล้ำเส้นอะไรหรอก แต่ไอ้ที่มันพูดมันคุยกัน กูก็เห็นอยู่ ยิ่งตอนกลางคืน คุยไรกันกูก็ได้ยินหมด เจ็ทแล็ก[2]ยังคงทำกูนอนไม่ค่อยหลับ แต่กูก็เนียนนอนนิ่งๆ ไป กลัวพวกมันจะเขิน”
“ก็รอดูไปก่อนละกัน ว่าสุดท้ายจะเป็นยังไง นี่พวกเราก็เปิดทางให้มันสองคนได้ใช้เวลากันเต็มที่ละ ถ้ามันแอบได้กันบนรถ กูก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ อัดอั้นมาตั้งสองสามคืนแล้วมั้ง ที่ม่อนแจ่มก็เห็นส่งสายตากันยิกๆๆ ถ้าไม่ติดว่ามีกูกับมึง คงจัดหนักจัดเต็มกันไปละ บรรยากาศดีขนาดนั้น” แคนว่าจบก็ยกชาไทยขึ้นดูดดับกระหายหลังจากที่พร่ำบ่นมายืดยาว
“เออไง กูก็เลยแบบ อยากจะให้โอกาสมันสองคนบ้างไรงี้ บนรถบนอะไรก็ว่าไป”
“แหม... เป็นเพื่อนที่ดีเนาะ”
“เปล่าหรอก กูแค่อยากเสือก หรือเราไปแอบดูพวกมันกันไหม ถ่ายลงโอนลี่แฟนให้มันจบๆ” นุ่นกระซิบพูดด้วยสีหน้าดูตื่นเต้น
“อีห่า! กูจะอ้วก เลิกค่ะ!”
“กูก็ล้อเล่นไหมล่ะ!”
[1] เป็นคำศัพท์ในภาษาใต้ มีความหมายเชิง สะใจ ถึงใจ
[2] อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นชั่วคราวจากการเดินทางบินข้ามเขตเวลาโลกแล้วร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ที่มีเวลา (Time Zone) แตกต่างกันได้ เนื่องจากร่างกายยังเคยชินกับเวลาในสภาพแวดล้อมเดิมอยู่