วงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
รัก,ตลก,ชาย-ชาย,สะท้อนปัญหาสังคม,วัยว้าวุ่น,วายบันเทิง,วาย,นิยายวาย,แฉ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วายบันเทิงวงการซีรีส์วาย บันเทิงกว่าที่คิด... โดยเฉพาะเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังกล้องอะนะ
วายบันเทิง
The Gossip of BL
Run_Kantheephop
เรื่องแต่ง 99% อีก 1% คือเค้าโครงจากเรื่องจริง
ขออนุญาตแก้ไขวันและเวลาในการอัพนิยายนะครับ เนื่องจากช่วงนี้มีภารกิจจากหน้าที่การงานเข้ามาจึงทำให้เขียนนิยายได้น้อยลงกว่าเดิม จากนี้ไปจะขออัพนิยายเพียงแค่สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ (ทุกวันเสาร์ เวลา 18:00 น.)
ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามครับ
********************************************************************************
มีทั้งหมด 5 เล่ม
E-Book วางจำหน่ายแล้ว บน MEB
กันต์กับบุ๊คปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อเดินลงจากรถ ทั้งสองคนพยายามอยู่ในท่าทีที่ปกติที่สุดพร้อมก้าวเท้าเดินตรงไปยังร้านกาแฟโบราณที่อยู่ไม่ไกล สายตาของบุ๊คเห็นเพื่อนทั้งสองคนของเขามาแต่ไกล ด้วยลักษณะการแต่งตัวที่ดูแตกต่างจากนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นอยู่มากพอสมควรจึงโดดเด่นเตะตาแบบไม่ต้องมองหาให้ยาก
ทั้งคู่เดินยิ้มร่าเข้าไปภายในร้าน พยายามวางตัวให้ดูปกติที่สุด แม้จะมีสายตาจับผิดมาจากคู่เพื่อนสนิทแต่เขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก คิดเสียว่าถ้าไม่พูดก็ไม่มีใครรู้ คนพี่เดินเข้ามาที่โต๊ะพลางเลื่อนเก้าอี้ออกเพื่อให้คนน้องได้หย่อนตัวลงนั่ง ระหว่างนั้นทั้งนุ่นและแคนก็มองคนทั้งคู่ที่เดินเข้ามาใหม่อย่างไม่วางตา
“มองไร” บุ๊คถามกลับด้วยน้ำเสียงห้วน
“...” ไม่มีเสียงตอบรับจากเพื่อนสนิท มีเพียงการยักไหล่ในเชิงปฏิเสธว่าไม่มีอะไรก็เท่านั้น
บุ๊คเห็นท่าทีของเพื่อนสนิทก็รู้ดีว่ากำลังคิดอะไรอยู่ภายในใจเป็นแน่ แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะถามต่อนักหรอก รู้จักกันมาเป็นสิบปี ทำไมจะไม่รู้ว่าในหัวเพื่อนทั้งสองของเขากำลังสงสัยในเรื่องอะไร
“สั่งไรมากินกันอะ” บุ๊คถามต่อเพราะไม่อยากให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป
“กูกับอีนุ่นสั่งชามากินกันละ ระหว่างรอ...”
“อ่อ”
“มึงจะแดกอะไรก็สั่งเลย”
“แล้วพวกมึงไม่กินกันเหรอ”
“แดกค่ะ! ก็รอพวกมึงมาเนี่ย จะได้สั่งมานั่งกินพร้อมกัน ถ้าพวกกูสั่งมาแดกก่อนมึงก็จะมาบ่นอีกว่าไม่รู้จักรอ กูขี้เกียจจะฟัง” นุ่นบ่นยาวเหยียดพลางยกมือเรียกแม่ค้าเพื่อขอเมนูมาดูประกอบการตัดสินใจ
เมนูอาหารท้องถิ่นที่พวกเขาสั่งถูกนำมาเสิร์ฟในเวลาไม่นาน ในช่วงเวลานั้นกันต์รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศโดยรอบที่ดูไม่ปกติ แม้ว่าแคนกับนุ่นจะยังคงส่งบทสนทนาด้วยความเฮฮาตามปกติ แต่ความรู้สึกบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่ภายในแววตาของรุ่นพี่ทั้งสองคนนั้นมันดูแตกต่างไปจากเดิมมาก ราวกับว่ากำลังเคลือบแคลงใจในอะไรบางอย่าง
ความกังวลเริ่มเติบโตขึ้นภายในใจของเขา แม้ว่าจะยังไม่มีใครพูดเรื่องที่เขาทำกับบุ๊คบนรถออกมาแต่นั่นกลับทำให้เขารู้สึกระแวงยิ่งกว่าเดิม มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับเวลาที่ใครสักคนทำผิดแล้วกลัวว่าคนอื่นจะจับได้ยังไงยังงั้น
“น้องกันต์ เป็นไรหรือเปล่า?”
“เปล่าครับพี่นุ่น”
“อ่อ เห็นเงียบๆ ตั้งแต่เดินเข้ามาละ”
“ไม่มีไรครับ” กันต์พยายามฝืนยกยิ้มเพราะไม่อยากให้คนถามรู้สึกสงสัยไปมากกว่านี้
“ดีละ ก็นึกว่าตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าโดนไอ้บุ๊คมันรังแกเอา” นุ่นเอ่ยต่อ สายตาเบนไปมองเจ้าของชื่ออย่างมีเลศนัย
“ปะ..เปล่าครับ พี่บุ๊คไม่ได้ทำอะไรครับ” น้ำเสียงติดขัดทำเอากันต์ดูมีพิรุธขึ้นมาในทันที
“แปลกๆ นะ”
“มึงจะไปแกล้งน้องทำไมล่ะ!” แคนหันไปดุนุ่นพลางตีลงไปที่แขนของอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อสะกิดให้หยุดการกระทำที่กำลังทำอยู่เพราะเริ่มเห็นสีหน้าของคนถูกแซวเริ่มแสดงออกถึงความอึดอัดมากขึ้นทุกที
“แหม่... กูก็แซวเล่นไหมล่ะ”
“เลิกๆๆๆ แดกต่อเถอะ จะได้กลับไปโรงแรมพักผ่อนกัน เดี๋ยวต้องเช็กเอาท์อีก” บุ๊คพูดแทรกขึ้นมาเพื่อแทรกกลางระหว่างแคนกับนุ่น ไม่อยากจะให้มานั่งเถียงกันตอนนี้อีก อุตส่าห์อารมณ์ดีมาหมาดๆ
มื้ออาหารผ่านไปอย่างเรียบง่าย อาหารเหนือที่สั่งมาต่างก็ถูกใจคนชิมได้ไม่น้อย แม้จะมีความรู้สึกแปลกในช่วงแรกๆ ที่กินเข้าไปเพราะรสชาติค่อนข้างที่จะพื้นบ้านแต่พอต่อมรับรสเริ่มจะปรับตัวได้ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกรื่นรมย์ไปกับมื้อนี้ไม่น้อย
ทั้งสี่คนพากันกลับโรงแรมหลังจากที่จัดการจ่ายค่าอาหารโดยที่มื้อนี้แคนอาสาจะจ่ายให้ เพราะอยากเลี้ยงขอบคุณที่บุ๊คอุตส่าห์พามาเที่ยวหลังจากที่เขากับนุ่นไม่ได้กลับมาไทยเป็นเวลานาน รถยนต์ที่เช่ามาถูกขับเข้ามาจอดยังลานจอดรถของที่พัก ในเวลาที่แสงสว่างสาดส่องให้เห็นทั่วทุกพื้นที่ได้อย่างชัดเจนก็ทำให้ภาพที่เห็นตรงหน้าภายในที่พักนั้นดูแตกต่างกว่าตอนกลางคืนอยู่มาก แถมอากาศก็ไม่ได้หนาวเย็นเท่าตอนที่พระจันทร์ปรากฏ
“รีบไปเก็บของนะ เดี๋ยวจะเลยเวลาเช็กเอ้าท์ซะก่อน” บุ๊คเอ่ยบอกทุกคนก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านใน
ใช้เวลาเพียงไม่นานทุกคนก็จัดการคืนคีย์การ์ดที่ลอบบี้และขนกระเป๋าสัมภาระของตัวเองมาไว้ที่ท้ายรถ ทุกอย่างเป็นไปอย่างไม่ได้รีบร้อนนัก สีหน้าของทุกคนก็ดูนิ่งเฉย ดูไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอะไรกันอยู่ อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลียจากการปีนเขาเมื่อเช้าจึงทำให้พวกเขากลายเป็นแบบนี้ หรือไม่ก็อาจเพราะหมดเวลาสำหรับการท่องเที่ยวพักผ่อนของพวกเขาแล้ว จึงทำให้เกิดอาการแบบนี้ก็เป็นได้
“ยังไม่อยากกลับเลยอะ” นุ่นบ่นอุบตอนที่ขึ้นมานั่งในรถ
“จริง อยากอยู่ไทยต่อ แต่ก็กลัวโดนไล่ออก” แคนพูดเสริม เขารู้สึกว่าหลังจากที่ไม่ได้กลับไทยมานาน การได้อยู่ที่นี่มันมีเวลาน้อยสักหน่อย ถ้าได้พักผ่อนนานกว่านี้คงจะดี แต่ก็นั่นแหละ หน้าที่การงานที่เมืองนอกมันค้ำคอเอาไว้ หากยังไม่อยากตกงานแล้วไม่มีกินก็ควรจะต้องรีบบินกลับไปตามกำหนด
“ไว้รอบหน้าค่อยมาใหม่นะพี่” กันต์ตอบยิ้มๆ เขาพยายามจะส่งพลังงานดีๆ ให้กับคู่สนทนา เพราะไม่อยากให้นอยด์ไปมากกว่านี้
อันที่จริงกันต์ก็ยังไม่อยากจะกลับกรุงเทพเหมือนกัน รู้สึกว่าช่วงเวลาที่ได้มาท่องเที่ยวกับทุกคนที่นี่เป็นช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนอย่างมีความสุขมากจนไม่อยากจะกลับไปเผชิญหน้ากับงานที่กรุงเทพด้วยซ้ำ เขาจึงเข้าใจความรู้สึกของแคนและนุ่นได้เป็นอย่างดี อีกอย่างพอกลับไปกรุงเทพแล้วก็คงจะไม่ได้มีเวลาใกล้ชิดกับบุ๊คเหมือนตอนอยู่ที่เชียงใหม่ พอคิดแบบนั้นขึ้นเขาก็อดรู้สึกจุกอกไม่ได้ แม้ว่าจะพยายามสร้างกำแพงแบ่งเขตแดนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบุ๊คให้อยู่ในขอบเขตคำว่าพี่น้องท้องชนกันตามที่ได้เคยตกลงกันเอาไว้ แต่ช่วงสองสามวันมานี้มันได้พิสูจน์ด้วยการกระทำของพวกเขาแล้วว่ามันก้าวข้ามคำว่าพี่น้องไปนานมากแล้ว เหลือก็เพียงแค่การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นก็เท่านั้น
ตลอดเส้นทางจากที่พักจนถึงสนามบินบนรถเต็มไปด้วยความเงียบเพราะแคนกับนุ่นหลับปุ๋ยไปตั้งแต่ที่รถเริ่มเคลื่อนตัวได้ไม่นาน ความอ่อนเพลียถาโถมใส่สองคนนั้นอย่างจังด้วยปกติไม่ใช่คนจำพวกชอบออกกำลังกายพอต้องมาใช้แรงกายปีนป่ายขึ้นเขาก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยจนสลบไป เหลือเพียงกันต์กับบุ๊คที่นั่งอยู่ด้วยกันที่ด้านหน้ารถ คนหนึ่งขับ คนหนึ่งก็นั่งมองวิวด้านนอกไปด้วยใจที่ยังคงนึกทบทวนเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นที่นี่
ทั้งสองคนต่างก็กำลังมีความรู้สึกที่ซับซ้อนปรากฏขึ้นภายในใจ เพราะพวกเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกที่เกิดในช่วงเวลาเหล่านี้มันคืออะไร แม้ว่าจะรู้สึกดีจนเหนือคำบรรยายแต่มันก็มาพร้อมความสับสน เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพียงแค่ความต้องการทางร่างกายในช่วงเวลาเหงาหรือว่าเป็นความรู้สึกที่เรียกว่าเป็นความรักได้จริงๆ
~~~~~~~~~~ The Gossip of BL ~~~~~~~~~~
หลังกลับมาถึงกรุงเทพทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามภาระหน้าที่ของตัวเอง แคนกับนุ่นบินกลับต่างประเทศ ส่วนบุ๊คกับกันต์ก็แยกย้ายกันกลับบ้านมุ่งหน้าทำงานตามวงจรชีวิตตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ภายในใจของพวกเขาก็ยังหนีไม่พ้นเรื่องเดิมๆ
บุ๊คนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างคอนโด เห็นแสงไฟที่ส่องมาจากบ้านเรือนด้านล่างก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ในโลกที่โดดเดี่ยวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่มีผู้คนรอบตัวมากมาย
เอาเข้าจริงมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่หลังกลับจากทริปเชียงใหม่ เพราะเขายังไม่มีโอกาสได้เจอกับกันต์อีกเลย ต่างฝ่ายต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง แต่ถึงจะวุ่นวายกับสิ่งที่ต้องทำมากแค่ไหนความคิดเกี่ยวกับอีกฝ่ายก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา เขานึกถึงรอยยิ้มและสายตาที่กันต์มองมาในคืนนั้น มันทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอีกครั้ง
ฝ่ายกันต์ก็แทบจะไม่ต่าง เวลาที่เขาต้องอยู่ตัวคนเดียวในบ้านของตัวเอง แม้ว่าบ้านที่เช่าจะมีพื้นที่ใช้สอยมากถึงสี่ชั้นแต่เขาก็ไม่ค่อยได้ขยับไปไหนไกลนอกจากนอนแช่อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วเปิดทีวีทิ้งเอาไว้ให้มันฉายโปรแกรมต่างๆ ไปเรื่อยๆ พลางรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างเมื่อได้ย้อนนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เขาได้เที่ยวกับบุ๊ค
ถึงจะมีความสุขแต่ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่แอบเศร้าอยู่นิดหน่อย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นดูราวกับเป็นความฝัน กันต์ไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าหลังจากนี้พวกเขาจะสามารถพัฒนาไปเป็นแฟนกันได้ เพราะที่ผ่านมาก่อนที่จะเกิดทริปเชียงใหม่ขึ้น แม้จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับบุ๊คหลายต่อหลายครั้งแต่มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เขารู้สึกเศร้าอยู่เสมอ เขารู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่รักข้างเดียวที่อีกฝ่ายไม่มีวันจะตอบรับ แต่พอได้ผ่านหลายเหตุการณ์ที่พอจะช่วยยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียว เพราะบุ๊คก็ดูเหมือนแอบมีความรู้สึกอะไรบางอย่างข้างในจิตใจอยู่บ้างก็พอจะทำให้เขาได้รู้สึกชื่นใจอยู่นิดหน่อย
กันต์รู้ดีว่าบุ๊คยังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ในตอนนี้ด้วยปัจจัยอะไรหลายอย่างในชีวิต หน้าที่การงาน บทบาททางสังคมต่างๆ ไหนจะคนรอบตัว คนในครอบครัวของบุ๊คที่ไม่รู้ว่าจะยอมรับได้ไหมถ้าจะบอกว่าคบกับผู้ชายอยู่ สิ่งเหล่านี้ตีกันอยู่ในหัวของเขาเต็มไปหมด แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องมานั่งคิดด้วยซ้ำ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขากังวลและคาดหวังกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้มากจริงๆ
กันต์นั่งมองรูปถ่ายในมือถือที่เคยถ่ายเอาไว้กับบุ๊คในอดีต รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นบนใบหน้าของเขา ความทรงจำในเหตุการณ์ต่างๆ ยังคงปรากฏชัด แต่ก็นั่นแหละ ในฐานะของคนแอบรักก็มักจะจดจำได้ทุกรายละเอียดอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกดีกับความทรงจำเหล่านั้นจนเผลอยกยิ้มขึ้นมาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแอบรู้สึกเจ็บปวดในใจอยู่เล็กน้อยที่ความรู้สึกที่เขามีต่อบุ๊คจะไม่สามารถสานต่อจนเกิดขึ้นเป็นความจริงได้
ครืดดด~! ครืดดด~!
มือถือของกันต์สั่นขึ้นพร้อมปรากฏรายชื่อบนหน้าจอว่าคนที่โทรเข้ามาคือคนเดียวกันกับที่เขากำลังนึกถึง เรียวนิ้วรีบสัมผัสไปที่หน้าจอเพื่อกดรับสายในทันที
“ฮัลโหลพี่”
“พรุ่งนี้ทำไรเปล่า”
“ไม่มีนะ ว่างอยู่”
“ไปหาไรกินกัน”
“ได้ๆ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้บอกอีกทีว่าทีไหน”
“อาเค”
บทสนทนาเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว พอปลายสายวางไปกันต์ก็รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น แอบคิดอยู่ว่าอยากเจอเพราะกลับมาหลายวันแล้วยังไม่มีโอกาสนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คงเห็นใจเลยบันดาลให้ทันควัน
วันรุ่งขึ้นดูสดใสกว่าที่ผ่านมา กันต์ยิ้มแย้มตั้งแต่ตื่นจนกระทั่งมาถึงสถานที่นัด แม้จะเป็นรอยยิ้มที่แสร้งทำเพราะไม่อยากให้เสียบรรยากาศ แต่ภายในใจของเขาก็ยังชัดเจนว่ามันเป็นการนัดเจอกันด้วยความรู้สึกไม่ปกติเหมือนเคย อาจเป็นเพราะเขาคิดมากไปเองคนเดียว แท้จริงแล้วอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ แต่ความคาดหวังบางอย่างทำให้คนตัวเล็กรู้สึกว่ามันจะเป็นการนัดกินข้าวกันแบบไม่เหมือนที่ผ่านมา
ตึกๆ ตึกๆ
ทันทีที่ปรากฏใบหน้าของบุ๊คที่กำลังเดินตรงเข้ามา หัวใจของกันต์ก็เต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกของกันต์มันชัดเจนแล้วว่ารักคนตรงหน้าเป็นอย่างมากแต่มันก็มาพร้อมกับคำว่าต้องรักษาระยะห่างเอาไว้ เพราะนี่ยังคงเป็นรักที่เกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียว บุ๊คอาจจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกัน ข้อเสียของการตกลงกันว่าจะเป็นเพียง FWD มันก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ
ตรงที่ใครรู้สึกก่อนก็คือฝ่ายแพ้...
ซึ่งดูเหมือนว่าคนที่แพ้ก็น่าจะเป็นกันต์นี่แหละ
กันต์พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดถึงภายในใจจะกำลังว้าวุ่นมากไหนก็ตาม เขายิ้มและพูดคุยกับบุ๊คเหมือนในทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา แต่ก็นั่นแหละภายในใจของเขากลับรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว บุ๊คเองก็สังเกตเห็นได้ชัดว่าคนน้องมีความทุกข์ปรากฏอยู่ในแววตาและนั่นก็ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน
“เป็นไรปะเนี่ย” บุ๊คเอ่ยปากถามออกไปเป็นครั้งแรกในระหว่างที่นั่งกินข้าวด้วยกัน เขาคิดทบทวนอยู่นานเหมือนกันว่าควรจะถามคำถามแบบนี้ออกไปไหม ทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามทำตัวให้เป็นปกติ
“เปล่าพี่”
“เห็นเงียบๆ”
“อาจจะเหนื่อยๆ มั้ง ช่วงนี้กันต์ไม่ค่อยได้นอน”
“ทำไมอะ...”
“ก็ทำงานด้วย คิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยด้วย... เลยนอนไม่ค่อยหลับ”
“อ่อ...”
หลังจบบทสนทนาทั้งคู่ก็หันกลับไปสนใจเมนูอาหารในจานตรงหน้าของตัวเองกันต่อ บุ๊คเริ่มคิดถึงความรู้สึกทั้งของตัวเองและของอีกฝ่ายที่มีต่อเขา มันทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าตัวเขาทำถูกหรือไม่ในการที่ยังทำตัวเป็นปกติทั้งที่รู้ว่าคนน้องมีความรู้สึกพิเศษที่มันเกินเลยจากคำว่า FWB ไปแล้ว
ตลอดวันที่ทั้งสองคนได้มาเจอกันมันเต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดจนบุ๊คก็ทนไม่ไหว ตกบ่ายเขาจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยเรื่องนี้กับกันต์ เพราะอยากจะเคลียร์ใจให้อะไรๆ มันชัดเจนมากกว่านี้ จะได้ไม่ต้องมีใครเก็บไปคิดมากอีก
ไม่ใช่แค่กันต์... แต่มันหมายรวมถึงตัวเขาด้วย
“กันต์...” บุ๊คเอ่ยเรียกระหว่างที่พวกเขาเดินเล่นกันอยู่ในห้าง
“ครับ?”
“พี่ขอคุยด้วยหน่อยดิ” พูดพลางเอื้อมมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายแล้วลากไปยัยมุมสงบที่คนไม่ได้พลุกพล่านมากนัก
“มีอะไรเหรอพี่บุ๊ค” กันต์เอ่ยถามอย่างสงสัย แววตาแอบซ่อนความสั่นเครืออยู่หน่อยๆ ราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะคุยเรื่องอะไร
“พี่... ขอโทษนะ”
“...”
“พี่รู้ว่าพี่กำลังทำให้แกสับสนแล้วก็เจ็บปวด” บุ๊คเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
กันต์ได้ยินก็ยืนนิ่งมองบุ๊คกลับไปด้วยความเศร้าในสายตา แต่ก็ยังพยายามที่จะฝืนยิ้มเพราะไม่อยากให้เกิดความรู้สึกแย่ขึ้นมาในระหว่างนี้ “ไม่เป็นไรหรอกพี่ กันต์เข้าใจว่าพี่กำลังสับสน”
“พี่ก็ยังไม่แน่ใจว่าพี่รู้สึกยังไงกันแน่ แต่พี่ก็ไม่อยากทำให้แกรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้” บุ๊คพูดพลางถอนหายใจ
“กันต์ก็หวังว่าพี่จะหาคำตอบได้เร็วๆ นี้นะ”
หลังจากการสนทนานั้น ทั้งคู่ก็ตัดสินใจแยกย้ายกันกลับบ้าน บุ๊คกลับไปที่ห้องของตัวเองและนั่งลงที่เตียง เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้เปิดเผยความรู้สึกบางส่วนออกไปบ้างแล้ว แม้จะยังไม่เต็มปากเต็มคำนักแต่มันก็มากพอที่เขาจะสามารถทำได้ในตอนนี้ และเขาก็ยังมีความสับสนที่ต้องเผชิญ หน้าที่ต่อไปของเขาก็คือเขาต้องหาคำตอบให้ได้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับความรู้สึกที่เขามีต่อกันต์
บุ๊คเอนตัวลงนอนบนเตียงพร้อมหลับตาลงและคิดถึงช่วงเวลาที่มีความสุขที่ผ่านมาที่ได้มีร่วมกันกับกันต์ เรื่องราวเหล่านั้นเป็นความทรงจำที่สวยงามสำหรับเขาและทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะกล้าพอที่จะยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงหรือไม่
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายแต่มันก็ยังแอบยาก ด้วยสถานะทางสังคมที่บุ๊คมี ไหนจะเป็นลูกชายคนโตของบ้าน แถมเป็นนักแสดงที่มีคนรู้จักมากมาย การจะก้าวข้ามออกมานอกเส้นมาตรฐานที่สังคมขีดเอาไว้ก็ทำให้เขาเกิดความกล้าๆ กลัวๆ อยู่เหมือนกัน เรื่องความรู้สึกของเขาจะบอกว่าเป็นเรื่องของคนสองคนมันก็ไม่เชิงจะถูกนัก เพราะหากเขายอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองขึ้นมาในตอนนี้ และเปิดเผยมันกับสังคมรับรองได้ว่ามันจะส่งผลกระทบต่อตัวเขาและกันต์อยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย สิ่งเหล่านี้จึงค่อนข้างที่จะกดดันตัวเขาอยู่มากพอสมควร เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเรื่องที่ยากและต้องคิดให้หนักสำหรับเรื่องความสัมพันธ์ในครั้งนี้
บางทีเขาอาจจะต้องให้เวลากับตัวเองมากขึ้น เลิกสนใจผู้คนและสังคมรอบตัวเพื่อที่จะได้หาคำตอบที่แท้จริงในใจ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาอยากจะทำให้ได้ในตอนนี้ก็คืออยากจะทำให้กันต์รู้สึกดีขึ้นและไม่ต้องทุกข์ใจอีกต่อไป