เมื่อฟีเอลย้ายเข้ามาทำงานเป็นคนรับใช้ในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง สิ่งที่เขาไม่รู้คือบ้านหลังนี้มีแต่วิญญาณ! แถมสถานที่เก็บดวงวิญญาณร้ายถูกทำลายลงด้วยฝีมือใครบางคนอีก พวกเขาต้องล่าพวกมันกลับสู่ที่เดิม!
รัก,แฟนตาซี,ชาย-ชาย,รั้วโรงเรียน,ไทย,ผี,ปราบผี,วิญญาณ,รักวัยรุ่น,โรงเรียน,วายแฟนตาซี,แฟนตาซี,รัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
วิญญาณ?
วิญญาณเหรอ
ก็ผีน่ะสิ!?
ชายหนุ่มคิดอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าเริ่มซีดเผือด ตัวเริ่มสั่นเทา ร่างกายยืนค้างนิ่งอยู่กับที่ไม่ไปไหน
"มา สิ มา อยู่ กับ ข้า" เสียงที่เย็นยะเยือกบอกกล่าวขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือมาที่ชายหนุ่มหมายจะเอาตัวของเขาไปด้วยในขณะที่ร่างเลือนรางตรงหน้าค่อยๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ๆ ชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มสยอง
"ม..ไม่นะ อย่าเข้ามา" เสียงร้องของฟีเอลแห้งผากอย่างคนขาดน้ำ เขาอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลแสนไกลเหลือเกินแต่ขาของเขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ไปไหนเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างมาฉุดดึงเอาไว้อย่างนั้นแหละ
ทำยังไงดีล่ะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที!
เด็กหนุ่มได้แต่วิงวอนขอร้องในใจ เขาอยากจะร้องตะโกนให้คนมาช่วยแต่ลำคอของเขากลับแห้งผากไปด้วยความกลัว เสียงของเขาถูกกลืนหายลงไปในลำคอทันทีเมื่อมือที่ขาวซีดของวิญญาณสาวกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเกือบจะชิดตัวชายหนุ่ม
"อึก..." เด็กหนุ่มหลับตาลงแน่นเมื่อรู้สึกได้ถึงมือที่เย็นเฉียบของวิญญาณสาวที่ลำคอ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุดเพราะความกลัวจับใจก่อนที่ความรู้สึกเจ็บที่ลำคอจะแล่นแปล๊บตามมา
"มา สิ" เสียงหวานดรียบเย็นดังขึ้นอีกครั้งในขณะที่ความเจ็บปวดที่ลำคอของเด็กหนุ่มก็เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
"อ่อก" วิญญาณสาวบีบลำคอของเขาแน่นหมายจะปลิดชีวิตให้ตายในทันที ความทรมานแล่นแปล๊บเข้าสู่เซลล์สมองอย่างฉับพลัน...ร่างของเขาดิ้นพล่านไปมาเพราะขาดอากาศหายใจ มือของฟีเอลควานหาแขนของวิญญาณสาวอย่างรวดเร็วหมายจะดึงมันออกจากคอของเขา
แต่มือของเด็กหนุ่มกลับควานหาแขนของเธอไม่เจอราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่อากาศที่ลอยอยู่ตามทุกอณูของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น เขาจึงได้แต่เลื่อนมือขึ้นไปจับที่ลำคอของตัวเองด้วยความทรมาน นํ้าใสๆ เริ่มเอ่อล้นออกมาจากดวงตาน้อยๆ อย่างรวดเร็วในขณะที่ลมหายใจของเขาเริ่มขาดหายเป็นห้วงๆ
นี่เรา จะมาตายในที่แบบนี้น่ะเหรอ ไม่นะ ฉันยังไม่อยากตาย ก็ฉันน่ะ ฉันยัง...
"เลิกแกล้งเจ้าหมอนั่นได้แล้วนะ ซาดรีน่า" เสียงทุ้มนิดๆ ของใครคนหนึ่งดังมาจากอีกฟากของถนน ทำให้วิญญาณสาวตวัดสายตาไปมองผู้มาเยือนด้วยท่าทางไม่พอใจสุดๆ
"เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า เวย์ทิส!" วิญญาณสาวนามว่า 'ซาดรีน่า' ตะโกนว่าชายหนุ่มอย่างโมโห เสียงที่ฟังดูเย็นยะเยือกเมื่อครู่กลับกลายเป็นเสียงของหญิงสาวธรรมดาที่ฟังดูนุ่มนวลไพเราะแต่แฝงไปด้วยความโกรธ
"ก็สิทธิ์ที่ฉันเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ไงล่ะ หรือเธออยากจะลองดีกับฉัน" เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
"ฮ่าๆ อย่างเจ้าเนี่ยนะจะทำอะไรข้าได้ อย่าพูดให้ขำดีกว่าน่า" วิญญาณสาวหัวเราะอย่างดูถูกก่อนจะปล่อยร่างของฟีเอลออกให้ทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง
"แค่ก แค่ก" ด้วยความที่รีบสูดอากาศเข้าปอดทำให้เด็กหนุ่มสำลักอากาศจนไอออกมา ยกมือขึ้นมาทาบอกด้านซ้ายเพื่อวัดความเต้นถี่ของหัวใจตัวเองว่ายังอยู่ดี
ระ รอดแล้วเรา
ฟีเอลบอกตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นลูบที่ลำคอตัวเองอย่างฉงน เพราะตอนที่ถูกบีบคอเขาเจ็บปวดทรมานแทบตาย แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยเหมือนเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น จะว่าเขาอุปาทานไปเองก็ไม่น่าจะใช่ เพราะคนที่มาช่วยเขาไว้ก็เห็นเหตุการณ์นี่นา
เอ หรือว่าผู้ชายคนนี้ก็ไม่ใช่คนหว่า? ฟีเอลเริ่มไม่แน่ใจ
ขณะที่กำลังหาคำตอบกับเหตุการณ์เมื่อกี้ ฟีเอลก็ลอบสังเกตคนช่วยชีวิตเขาไว้อย่างเงียบๆ ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างสูง รูปร่างหน้าตาดี ดูแล้วน่าจะวัยใกล้เคียงกับเขา หรือมากกว่าเขาไม่กี่ปี เส้นผมสีดำสนิทละต้นคอปลิวตามสายลมที่พัดผ่าน ขณะที่ดวงตาคมเข้มสีฟ้านั้นจ้องมองผีตรงหน้าอย่างไม่ลดละ จมูกโด่งเป็นสันจนเด็กหนุ่มนึกอิจฉาหน่อยๆ ก่อนที่ชายหนุ่มนาม 'เวย์ทิส' ขัดขึ้นมาอย่างรำคาญเมื่อเห็นว่าวิญญาณสาวไม่มีท่าทีว่าจะหยุดหัวเราะ
"หยุดหัวเราะได้แล้ว ซาดรีน่า"
"ฮะๆ นี่เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์จริงๆ น่ะเหรอ?" เธอถามแฝงความนัย ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ชายหนุ่มเงียบไปอึดใจ ก่อนตอบเสียงต่ำ "งั้นเรามาตัดสินเหมือนเมื่อก่อนไหมล่ะ?"
"ไม่ ข้าทำพันธสัญญาแล้วว่าจะไม่ต่อสู้กับคนบ้านนี้" ซาดรีน่าหน้าบึ้งเมื่อนึกถึงพันธสัญญาเมื่อหลายปีก่อน "ยังไงก็เถอะ ตราบใดที่เจ้าเป็นคนบ้านนี้ ข้าก็ไม่อยากเล่นกับเจ้าหรอก"
ด้วยไม่อยากนึกถึงซาดรีน่าจึงตัดบท ก่อนจะหมุนกายหายแวบเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ที่พัดไหวตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ฟีเอลนั่งมองตัวแข็ง อ้าปากค้างกับภาพตรงหน้า
นะ นี่มันเรื่องอะไรกัน เขากำลังเจอกับอะไรอยู่ หรือว่าเขากำลังฝันไป... ฟีเอลมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี ระหว่างแหกปากร้อง วิ่งหนี หรือว่าตบหน้าตัวเองให้ตื่นก่อนดี
ขณะที่ฟีเอลยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอะไรก่อนดี เขาก็เหลือบสายตาไปมองชายหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าที่กำลังถอนหายใจก่อนหันมาสบตากับเขา
"......."
"ว่าแต่นายเป็นใคร แล้วเข้ามาในนี้ได้ยังไง" เวย์ทิสถามเสียงเรียบ เมื่อเห็นแขกแปลกหน้ายังนั่งนิ่งอยู่กับพื้นไม่ยอมลุก และเหมือนเสียงทักนั้นจะเรียกสติทำให้ 'แขกแปลกหน้า' รีบเอ่ยปากตอบ
"อะ เอ่อ คือว่าผมเป็นพ่อบ้าน เพิ่งเข้ามาทำงานวันนี้เป็นวันแรก..."
"อ้อ พ่อบ้านคนใหม่" เจ้าของบ้านมองนิ่ง ก่อนพึมพำเสียงเบา "คนเก่าออกไปอีกแล้วสินะ"
ฟีเอลแทบตาเหลือกเมื่อได้ยิน ถึงแม้อีกฝ่ายจะพูดกับตัวเองเสียงเบาแค่ไหน แต่ความเงียบของยามค่ำคืนก็ยังทำให้เขาได้ยินประโยคนั้นอยู่ดี แต่เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้เขาอยากรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นคนหรือว่าผีมากกว่ากันแน่
"เอ่อ คือว่า..." เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงตรงหน้า พอสบตาคมสีฟ้าที่ติดดุๆ ก็เบี่ยงหลบ อึกอักนิดหน่อยก่อนทำใจกล้าถามออกไป "นะ นายเป็นคน หรือว่า..."
ท้ายประโยคเสียงแผ่วลงอย่างไม่กล้าเอ่ย คนตรงหน้าไม่มีท่าทีจะโกรธอย่างที่คิด เขาเพียงแค่ยืมมองนิ่งๆ แล้วบอกเหมือนเหนื่อยหน่าย
"ฉันเป็นคน และบ้านนี้ไม่ต้องการพ่อบ้านหรือคนรับใช้หรอกนะ...นายกลับไปเถอะ"
"หือ? ทะ ทำไม.." ฟีเอลอุทานออกมาอย่างงงๆ ระหว่างลุกขึ้นยืน เมื่อมั่นคงแล้วก็เงยหน้าขึ้นสบกับนัยน์ตาสีฟ้าอย่างต้องการคำตอบ
"ก็เพราะว่านายมันงี่เง่าน่ะสิ ท่าทางเฟอะๆ ฟะๆ อย่างนั้นจะไปทำอะไรได้" คนตรงหน้าพูดนิ่งๆ แต่ทำไมฟีเอลรู้สึกเหมือนประโยคนั้นด่าเขากลายๆ ยังไงไม่รู้ "อีกอย่าง...นายยังไม่รู้จักบ้านหลังนี้พอ มันต่างจากที่นายคิดเอาไว้เยอะ"
พูดจบชายหนุ่มพูดและหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ฟีเอลยืนอ้าปากค้างกับคำพูดที่ชวนหาเรื่องนั่น
อะ อะไรกัน เจ้าหมอนี่..พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่อง มาหาว่าเรางี่เง่าได้ยังไงกัน. แล้วไอ้คำพูดก่อนหน้านี้มันอะไร
...นายยังไม่รู้จักบ้านหลังนี้พอ มันต่างจากที่นายคิดเอาไว้เยอะ...ฟีเอลยืนทำหน้าครุ่นคิด ยังมีอะไรที่หนักกว่าการที่เขาโดนวิญญาณสาวที่ชื่อ 'ซาดรีน่า' บีบคออีกเหรอ? หรือว่าอีกฝ่ายแกล้งขู่กัน?
"เฮอะ นายคิดจะไล่ฉันเหรอ ไม่มีทางซะหรอก" ฟีเอลมองตามหลังร่างสูงไปอย่างโมโห ลืมเรื่องร้ายที่ตนเองเพิ่งถูกวิญญาณสาวทำร้ายมาหมาดๆ ก้มตัวหยิบกระเป๋าสัมภาระอย่างทุลักทุเลก่อนจะเดินตามร่างสูงตรงหน้าไปโดยทิ้งระยะห่างไว้พอสมควร
กระเป๋าใบใหญ่ถูกลากมาตามถนนสายเล็กที่ทอดเข้าสู่ตัวบ้านโดยร่างเล็กของฟีเอล นัยน์ตาสีม่วงยังคงจ้องมองร่างที่อยู่ไกลๆ ของเวย์ทิสไม่วางตาในขณะที่ริมฝีปากเรียวบางของเด็กหนุ่มก็บ่นงึมงำด่าร่างสูงตรงหน้าออกมาอย่างเงียบๆ เพื่อระบายความโมโหในจิตใจของตัวเองเป็นการค่าเวลา เขาสังเกตเห็นว่าเวย์ทิสหันมามองเขาเป็นระยะๆ เหมือนกับกลัวว่าเขาจะหลงทางอย่างไรอย่างนั้นแหละ
ไม่นานหลังจากนั้น ฟีเอลก็เดินมาถึงประตูบ้านหลังใหญ่ บานสีน้ำเงิน สลักด้วยลวดลายสีทอง รูปทรงแปลกตาเกี่ยวพันกันอยู่ เด็กหนุ่มหยุดยืนอยู่ห่างจากคนนำทางไม่ไกลมากนัก ระหว่างรออีกฝ่ายเปิดประตูบ้าน ฟีเอลมีเวลาเพียงนิดเดียวกับการชื่นชมคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ความมืดจากบรรยากาศรอบตัวบวกกับแสงไฟที่ริบหรี่ของโคมไฟหน้าบ้านทำให้เขาไม่สามารถยลโฉมความงามของคฤหาสน์หลังใหญ่โตในระยะใกล้ๆ ได้ถนัดนัก
ขณะที่เวย์ทิสหยุดอยู่หน้าบานประตูนั้นก็เหลือบหันมามองพ่อบ้านคนใหม่แวบนึง ก่อนเปิดประตูเดินเข้าไปในตัวบ้านอย่างช้าๆ ฟีเอลก้าวเท้าตามไป เมื่อเห็นคนเดินนำไม่ทักท้วงอะไร
ฟีเอลก้าวเท้าเข้าสู่ตัวบ้านอย่างเงียบๆ เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ตามทางเดินพลางสอดส่องนัยน์ตาสีม่วงไปมาเพื่อสำรวจบรรยากาศและความสวยงามภายในบ้านในขณะที่ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างชื่นชม
...อบอุ่นดีแฮะ...
อาจจะเป็นเพราะเขาเพิ่งผ่านมรสุมความหนาวเย็นและความตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ด้านนอกมาทำให้การที่เขาเข้ามาในบ้านหลังนี้จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยขึ้นมา
เด็กหนุ่มมองสำรวจตัวบ้านอย่างตื่นตาตื่นใจ ภายในนั้นตกแต่งด้วยโทนสีครีม ดูขาวสะอาด หูก็แว่วได้ยินเสียงบทสนทนาหลายๆ เสียงดังอื้ออึงขึ้นมาเป็นห้วงๆ ของระยะทางเดิน เขาหันเหความสนใจไปที่เสียงนั้นทันที แต่ก็จับใจความไม่ได้มากนัก
กึก!
เสียงพูดคุยต่างๆ หยุดชะงักลงทันทีเมื่อร่างของฟีเอลปรากฏขึ้นมาภายในห้องโถงใหญ่สีครีม เด็กหนุ่มเลิกคิ้วกับความเงียบและสายตาทุกคู่ที่จ้องมองมา โดยปกติเขาเคยเจอแต่บรรดาแขกที่พูดคุยกันหรือกระซิบกระซาบอย่างสงสัยมากกว่าความเงียบที่สงัดราวกับไม่มีใครอยู่แบบนี้เลย
ฟีเอลไล่สายตาผ่านๆ มองบรรดาแขกที่นั่งหันหน้ามองมาทางเขานิ่งๆ แล้วอดที่จะขัดเขินไม่ได้
"อ้อ มาถึงแล้วสินะ"