“ ก็เพราะคำว่า ศักดิ์ศรีตระกูลไง เลยทำให้ฉันต้องมาแต่งงานกับคนอย่างนาย “ “ แล้วคนอย่างฉันมันทำไม หลง เทียน หยู่ “
รัก,ชาย-ชาย,ครอบครัว,จีน,ซาดิส & มาโซฯ,มาเฟีย,มาเฟียจีน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
พันธะมังกรพยัคฆ์“ ก็เพราะคำว่า ศักดิ์ศรีตระกูลไง เลยทำให้ฉันต้องมาแต่งงานกับคนอย่างนาย “ “ แล้วคนอย่างฉันมันทำไม หลง เทียน หยู่ “
พันธะมังกรพยัคฆ์
นามปากกา 4.quillofmysteries
.
.
.
บริษัท หวงหลง กรุ๊ป
ในห้องประชุมที่มีโต๊ะยาวเรียงรายไปด้วยผู้บริหารมากมาย หลง เทียนหยู่ กำลังนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ใบหน้าของเขายังคงสงบ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขารู้ดีว่าทุกคำพูดของเขาในวันนี้อาจเป็นคำพูดสุดท้ายที่ทำให้เขายังคงอยู่ในตำแหน่งนี้ได้
เสียงสับสนเริ่มดังขึ้นจากกลุ่มผู้บริหารที่นั่งอยู่ข้างๆ คำพูดที่ไม่เป็นมิตรถูกส่งผ่านกันไป
“ เทียนหยู่ไม่สามารถนำบริษัทไปข้างหน้าได้ เขาขาดวิสัยทัศน์และความสามารถในการจัดการ” หนึ่งในผู้บริหารหญิงกล่าวอย่างดูหมิ่น
เทียนหยู่เหลือบตามองไปที่เธอ ท่ามกลางแสงไฟที่สลัวๆ ร่างกายของเขาตึงเครียด แต่ใบหน้ากลับแสดงออกอย่างเป็นกลาง
“ คุณคิดว่าใครจะสามารถทำได้ดีกว่าผม ” เขาถามเสียงนิ่งๆ
แต่คำตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะเยาะจากหลายๆ คน
“ใครล่ะ”
ผู้บริหารชายคนหนึ่งถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ คนอย่างคุณไม่สามารถขับเคลื่อนบริษัทไปข้างหน้าได้หรอก ”
เทียนหยู่รู้ดีว่าเขากำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยากจะรับมือ แต่ก็พยายามรักษาสถานะในฐานะผู้บริหารสูงสุด เขารู้ว่าหลายคนในห้องนี้ไม่เคยเชื่อมั่นในตัวเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่ก่อนที่เขาจะได้ตอบกลับ เสียงของผู้บริหารคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างกลับทำให้ห้องประชุมเงียบลง
“ เทียนหยู่คือคนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารร่วม แม้จะมีความสามารถส่วนตัว แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือความสัมพันธ์กับพันธมิตรสำคัญในอุตสาหกรรม ”
ทุกคนในห้องประชุมต่างหันไปมองด้วยความสนใจ โดยเฉพาะผู้บริหารคนที่พูดถึงเทียนหยู่ในทางไม่ดี หลายๆ คนรู้ดีว่าคนพวกนี้สนับสนุนการโค่นตำแหน่งของเทียนหยู่
เทียนหยู่รู้สึกได้ถึงความพยายามที่จะบีบคั้นเขาจากทุกทิศทาง เขารู้ว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างการประนีประนอมเพื่อรักษาตำแหน่ง หรือการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของเขา
“ แล้วคุณคิดว่าใครจะเหมาะสมกว่าในการนำบริษัทไปข้างหน้า” เทียนหยู่พูดเสียงเย็น
ในช่วงที่บรรยากาศในห้องประชุมกำลังตึงเครียดและคำพูดที่หมิ่นเหม่ยังคงลอยไปมา เทียนหยู่ยังคงนั่งนิ่ง ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้แสดงออกมา แต่ก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ามาในคำพูดของทุกคน
ทันใดนั้น เสียงประตูเปิดดังขึ้น คนที่เดินเข้ามาคือ ไป๋ หยางชิง ผู้บริหาร รวมถึงเทียนหยู่ ต่างแปลกใจและตกใจ ที่ผู้นำตระกูลไป๋ อย่าง ไป๋ หยางชิง มาที่หวงหลง
ทุกคนรู้ดีว่าไป๋หยางชิงคือคนที่มีอิทธิพลมากในธุรกิจและยังเป็นม้ามืดในวงการนี้
แล้วการที่เขามาเยือนบริษัทของตระกูลหวงหลงในวันนี้ คงไม่ได้เพียงแค่แวะมาทักทายว่าที่ภรรยาของเขาแน่นอน
“ พวกคุณกำลังทำอะไรอยู่ครับ ”
ไป๋หยางชิงถามเสียงเรียบ แต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ เขาอดทนยืนฟังคนพวกนี้แซะเทียนหยู่อยู่นานแล้ว
“ คุณกำลังเหยียดหยามผู้นำของบริษัทอย่างนี้ในห้องประชุม ทุกคนในห้องนี้ลืมไปแล้วหรือว่าใครคือคนที่รักษาบริษัทนี้ไว้ให้ยืนหยัดในภาวะวิกฤต”
ผู้บริหารหลายคนต่างหันไปมองไป๋หยางชิงด้วยความตกใจ เขากำลังบอกถึงความเป็นจริงที่ทุกคนในห้องลืมไปแล้ว
“ เทียนหยู่คือผู้ที่เคยยืนหยัดทำทุกอย่างเพื่อพาบริษัทออกจากวิกฤต ตอนที่หลายคนยังมองหาแต่ผลประโยชน์จากตระกูลหวง เขาคือคนเดียวที่กล้าตัดสินใจเพื่ออนาคตของบริษัท ”
ไป๋หยางชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เสียงสับสนในห้องประชุมเริ่มดังขึ้น ผู้บริหารหลายคนเริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจ แต่ไป๋หยางชิงกลับไม่สนใจ เขาเดินไปยืนข้างเทียนหยู่ และมองไปที่กลุ่มผู้บริหารที่พูดถึงเทียนหยู่
“ คุณคิดว่าเทียนหยู่ไม่เหมาะสม หรือว่าแค่เขาไม่ได้เข้าข้างพวกคุณเหมือนกับคนที่ได้รับการสนับสนุนจาก จากใครดีนะ เอ๋ อย่าลืมนะว่าการสนับสนุนของคุณมาจากการขายตัวเองให้กับตระกูลที่ไม่มีศักดิ์ศรี ”
คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในห้องประชุมพลิกผัน ผู้บริหารหลายคนที่เคยพูดถึงเทียนหยู่ในแง่ลบต่างขยับตัวไปมาด้วยความอึดอัดใจ
แต่แม้จะรู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในห้องประชุม ไป๋หยางชิงกลับยังคงรักษาความเย็นชาเอาไว้ เขารู้ดีว่าเขายังไม่สามารถเปิดเผยตัวเองหรือขัดแย้งกับตระกูลที่ลอบกัดพวกเขาได้เต็มที่ในตอนนี้ เขาแค่ต้องการแหกหน้าผู้บริหารเหล่านี้เพื่อไม่ให้พวกเขาคิดว่าเขาอ่อนแอ
“ นี่มันพึ่งเริ่มต้นเทียนหยู่ เตรียมรับมือต่อจากนี้ดีๆ ” เขาพูดเสียงเบาลงเล็กน้อย ให้เทียนหยู่ได้ยิน ก่อนตะกลับมาพูดเสียงแข็งใส่บรรดาผู้บริหารที่คิดแต่คดโกงบริษัท
“ หากพวกคุณคิดว่าการวางแผนล้มกระดานในวันนี้จะสำเร็จ พวกคุณคิดผิดแล้วครับ ผมแค่กำลังคิดว่าควรจะทำยังไงดีกับคนที่เอาความลับบริษัทไปขายเท่านั้นเอง ”
คำพูดนี้ทำให้ห้องประชุมเงียบไปครู่หนึ่ง ทุกคนในห้องเริ่มได้ยินเสียงความขัดแย้งที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา ความตึงเครียดยังคงจับตัวอยู่ในอากาศ แต่ทุกคนก็รู้ว่าการเลือกข้างในครั้งนี้ยังไม่สิ้นสุด
ไป๋หยางชิงหันกลับไปมองเทียนหยู่ ท่ามกลางแสงไฟที่สลัว
“ เทียนหยู่ การทำธุรกิจที่นี้ไม่ใช่แค่เรื่องของความสามารถและการตัดสินใจ มันเป็นเรื่องของการรู้จักเล่นเกม ”
" แต่การที่คุณบุกมาในห้องประชุมของบริษัทแบบนี้ มันจะไม่เป็นการเสียมารยาทหรอครับคุณหยาง "
เสียงผู้บริหารคนนึงเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบของห้องประชุม
" อ้าว นี่คุณไม่รู้หรอครับว่าผมคือผู้ถือหุ้นของบริษัท มีประชุมผมก็ต้องเข้าสิครับ "
หยาง พูดขึ้นก่อนยิ้มมุมปากเล็กๆ ก่อนหันไปยกคิ้วให้ เทียนหยู่
เทียนหยู่ เพียงยิ้มตอบเล็กน้อย แต่เกิดคำถามมากมายในหัว
ความเงียบงันในห้องประชุมแผ่ขยายราวกับน้ำหนักที่กดทับทุกคนในห้อง ผู้บริหารบางคนที่ก่อนหน้านี้แสดงความมั่นใจ กลับนั่งตัวแข็งราวกับไม่อยากพูดอะไรอีก ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระซิบกระซาบเล็กๆ จากมุมโต๊ะบางมุม แต่สายตาของหยางชิงที่จ้องมองไปรอบๆ ทำให้ใครก็ตามที่คิดจะพูดอะไรออกมาชะงักก่อนจะเอ่ยคำ
เทียนหยู่ยังคงนั่งนิ่ง แต่ในใจของเขากำลังวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบคอบ ทำไมต้องเป็นหยางชิง เขาต้องการอะไรกันแน่จากบริษัทนี้
คำถามที่ไม่ได้คำตอบเหล่านี้หมุนวนในหัวของเขา แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้สึกชัดเจนคือ เขาไม่อาจปล่อยให้หยางชิงกุมอำนาจทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว
“ ผู้ถือหุ้นบริษัทหรอ ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดความเงียบ ผู้บริหารชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่มุมโต๊ะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือความไม่พอใจ
“ผมไม่เคยได้รับข้อมูลเรื่องนี้มาก่อน บริษัทของเรามีมติให้ขายหุ้นบางส่วนตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ”
หยางชิงหันไปมองชายคนนั้นช้าๆ ดวงตาสีดำสนิทจับจ้องเขาราวกับจะทะลุผ่านความคิด
“บางที คุณอาจจะไม่ได้ใส่ใจในการตรวจสอบเอกสารของบริษัทมากพอ แล้วอีกอย่าง หุ้นตัวนี้ผมถือมาตั้งแต่อายุ15 ที่คุณอา เหมย ยังอยู่นะครับ นี่แปลว่าพวกคุณไม่เคยเช็ครายชื่อผู้ถือหุ้นกันเลยใช่ไหม อืมมม ทำงานได้สะเพร่ากันจริงๆ ”
หยางชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทิ้งความกดดันเอาไว้ในอากาศ
“ ไม่จริง ถ้าคุณหยางถือหุ้นตั้งแต่คุณเหมยอยู่พวกผมก็ต้องรู้สิ แต่นี่คุณเหมยไม่เคยพูดถึงเลย ”
ชายคนนั้นยังพูดไม่ทันจบ หยางชิงก็ยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อขัดจังหวะ
“ อ่าาา ก็จริงที่อาเหมยไม่เคยบอกกล่าวใคร แต่ทำไม พวกคุณไม่คิดกันบ้าง ว่าหุ้นอีก 30% ไปอยู่ที่ไหน ใครเป็นคนถือ ”
เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะหันมองไปที่กลุ่มผู้บริหารที่เหลือ
“ และอย่าคิดว่าการที่ผมเพิ่งจะเข้ามาในบริษัทนี้ แล้วจะไม่รับรู้การบริหารต่างๆ ของบริษัท ผมจับตาดูที่นี่มานานแล้ว รู้แม้กระทั่งบัญชีที่ส่งให้เทียนหยู่ทุกวันนี้มันปลอม ”
น้ำเสียงของเขาหนักแน่นพอที่จะทำให้หลายคนเริ่มหลบสายตาไป แม้แต่ชายที่ตั้งคำถามก็เงียบลงด้วยความอึดอัด
เทียนหยู่มองหยางชิงด้วยความงงงวยมากขึ้น เขารู้ดีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะเข้ามาโดยปราศจากแผนการเบื้องหลัง การที่หยางชิงแสดงความมั่นใจเช่นนี้ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ แต่เขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
ในจังหวะนั้นเอง ผู้บริหารหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ทางฝั่งขวาก็เอ่ยขึ้น
“ แม้คุณจะเป็นผู้ถือหุ้น แต่เราก็คงไม่สามารถปล่อยให้คุณทำอะไรโดยไม่ผ่านการปรึกษาหารือกับคณะผู้บริหารได้ ”
" แล้วก็อย่ามากล่าวหาว่าบัญชีที่ส่งคุณหยู่เป็นของปลอม "
หยางชิงเลิกคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มมุมปากที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“ 5555 หรอไม่ใช่ของปลอมหรอ เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาเทียบเอกสารกัน ” เขาพูดช้าๆ
“ อีกอย่างนะที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อทำให้บริษัทนี้ก้าวไปข้างหน้า และแน่นอน เพื่อปกป้องสิ่งที่อาเหมยกับอาเฉินทำมา ”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องประชุมตึงเครียดอีกครั้ง เทียนหยู่จับมือของตัวเองไว้แน่นใต้โต๊ะ เขาต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังรอให้สถานการณ์เผยความจริงออกมาอีกสักนิด
หยางชิงหันมามองเทียนหยู่ ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราวกับมีเพียงเขาสองคนในห้องนั้น
“ และผมเชื่อว่าคุณเทียนหยู่ คงเข้าใจดีว่าการร่วมมือกันจะเป็นประโยชน์มากกว่าการต่อต้าน ”
คำพูดนั้นเป็นเหมือนคำเตือนที่แฝงนัยลึกซึ้ง เทียนหยู่สบตากับหยางชิงอย่างตรงไปตรงมา แม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่เขารู้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับเกมอันซับซ้อนที่หยางชิงกำลังเริ่มต้น
ต่อจากนี้จะเป็นยังไง ฝากติดตาม เม้นติชมกันได้เลยนะคะ น้อมรับคำติชมเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงพัฒนาการเขียนนิยาย 🙏🏻🥹