ความรักของคนสองคนจะยั่งยืนหากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - บทที่ 1 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 1 โดย เฟื่องนคร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,รัก,ชายหญิง,ผู้ใหญ่,เฟื่องนคร,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชายหญิง,ผู้ใหญ่,เฟื่องนคร

รายละเอียด

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน โดย เฟื่องนคร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความรักของคนสองคนจะยั่งยืนหากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน

ผู้แต่ง

เฟื่องนคร

เรื่องย่อ

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน หัวใจของเธอปฏิเสธเขามาโดยตลอด ทำให้ต่างฝ่าย ต่างต้องมีคนในหัวใจ ที่ไม่ใช่เจ้าของแท้จริง 'อสมาภรณ์' หญิงสาวมีปัญหาครอบครัว ประชดชีวิตโดยไม่สนใจอนาคตตนเอง 'สันติ' เพื่อนชายที่เติบโตมาด้วยกัน เขามีเธอผู้เดียวเป็นผู้ครอบครองหัวใจ ความดี ความผูกพัน ความรัก และระยะเวลาทำให้เธอล่วงรู้ว่าชีวิตของเธอจะขาดเขาไม่ได้ ทว่ารักแท้ที่อยู่ลึกสุดหัวใจกลับไกลห่าง เหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ อย่างนั้นหรือ?

สารบัญ

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-จากใจนักเขียน เฟื่องนคร,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 1 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 1,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 2 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 2,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 3 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 3,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 4 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 4,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 5 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 5,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 6 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 6,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 7 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 7,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 8 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 8,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 9 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 9,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 10 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 10,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 11 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 11,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 12 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 12,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 13 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 13,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 14 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 14,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 15 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 15,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 16 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 16,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 17 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 17,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 18 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 18,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 19 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 19,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 20 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 20,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 21 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 21,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 22 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 22,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 23 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 23,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 24 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 24,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 25 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 25,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 26 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 26,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 27 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 27,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 28 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - ตอนจบ

เนื้อหา

บทที่ 1 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 1

“ถ้าติไม่มาภายในสามทุ่มนี้นะ เราจบกัน”

“ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะวา ผมบอกแล้วไง” 

“ไม่ วาไม่ฟัง วาฟังมามากแล้ว วันนี้วันเกิดวานะ หกโมงเย็นวาโทรไป ติติดงาน สองทุ่ม ติอ้างว่าแม่แอ๋มเข้าโรงพยาบาล วาถามหน่อยว่าเขาเป็นอะไรกับติ”

“ก็เขาไม่มีใคร วาก็รู้”

“วาเป็นแฟนติ แม่นั่นเป็นคนอื่น วาว่าเค้าคงยังไม่ตายภายในคืนนี้หรอก”

“วา ทำไมวาใจดำอย่างนี้นะ”

“ใจดำเหรอ โอเค เราจบกัน”

“เดี๋ยวก่อนซิวา ทำไมวาถึงพูดไม่รู้เรื่อง ทำไมวาไม่ฟังผมบ้าง”

“ทำไมติพูดไม่รู้เรื่อง และติถึงไม่ฟังวาบ้าง เอาละ ถ้ายังอยากคุยกัน ยังอยากคบหากันเหมือนเดิม ให้รีบมาภายในเวลาสามทุ่ม”

วารุณีวางสายไปแล้ว สันติถอนหายใจออกมาก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถือไปยังเบาะด้านข้าง สตาร์ทรถเปิดแอร์ไล่ความร้อนใจแล้วถอยรถคู่ใจที่เพิ่งได้มาเพราะเงื่อนไข ออกจากซองของบริษัท 

รถฮอนด้า ปี 1997 มุ่งสู่ถนนใหญ่ที่มีแพรถแน่นขนัด เขาเบียดซ้ายเข้าไป เคลื่อนไหวไปตามระบบ แต่เมื่อใกล้ถึงสามแยก เขาลังเล เลี้ยวซ้ายบ้านวารุณี เลี้ยวขวาทางไปโรงพยาบาลของรัฐที่ ‘อสมาภรณ์’ หรือ ‘แม่แอ๋ม’ ของวารุณีรักษาตัวอยู่

 

ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล บนเตียงคนไข้ ร่างบอบบางของคนที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจเลี้ยวขวา นอนนิ่งหลับตาพริ้มร่องแก้มมีคราบน้ำตา ผมหน้าม้าถูกเสยขึ้นไปแล้วใช้ยางวงมัดรวบเป็นจุก ที่หน้าผากนั้นมีผ้าก๊อซแปะเทปกาวไว้ วงหน้ารูปไข่นั้นล้อมกรอบด้วยผมดัดหยิกชื้นเหงื่อเคลียติ่งหูกระเซอะกระเซิง เสื้อยืดคอกลมแขนสั้นขนาดพอดีตัว   สีดำนั้นมีฝุ่นเกาะเป็นริ้วๆ ตามรอยเปียกแรงกระเพื่อมที่ทรวงอกบ่งบอกให้รู้ถึงภาวะเหน็ดเหนื่อยจากข้างใน พยาบาลเวรเมื่อรู้ว่าเขาเป็นญาติคนไข้จึงเข้ามาสอบถามพร้อมกับหยิบเอกสารมาให้เขาเซ็นรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล 

เมื่อจัดการธุระตรงนั้นเรียบร้อย คนเจ็บยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง 

เขาเดินออกมาข้างนอก กลุ่มเพื่อนของอสมาภรณ์ ที่รวมตัวกันอยู่ก่อนหน้า และเป็นคนช่วยชี้ทางให้เขาเข้าไปด้านใน สลายตัวไปเกือบหมด เหลือเพียงหญิงสาวผมสั้นสีทองทรงชี้โด่ชี้เด่ทำเท่ด้วยตุ้มเงินที่จมูก หู หางคิ้ว และถ้าเขาจำไม่ผิด มีฝังอยู่บนลิ้นและคงที่สะดือของเจ้าหล่อน ไม่ใช่ซิ ของมันด้วย 

“รถเค้าพัง” เค้าหมายถึงมันที่มีชื่อจริงว่า ‘จริยา แซ่เตียว’ หรือ ‘หมวยเล็ก’ สันติยังคงจ้องหน้า หมายความว่าต้องการให้เล่าอะไรเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ 

“ก็แค่จะขี่รถออกมาซื้อก๋วยเตี๋ยวกินกันเท่านั้นเอง รถแท็กซี่นะซิ มันปาดมาเบียดก็เลยเสียหลักล้ม”

“น่าจะตายคาที่” เขาประชดให้ 

“อยากให้มันตายจริงๆ อ่ะ กลัวจะร้องไห้ขี้มูกโป่งนะซิ”

“ร้องทำไม คนไม่รักดี เฮ้อ แล้วนี่ใครจะเฝ้า คงต้องอยู่ในโรงพยาบาลหลายวัน” คนถามเริ่มกลุ้มใจกับปัญหานี้

“เค้าเฝ้าให้ก็ได้ แต่เฉพาะกลางคืนนะ กลางวันต้องช่วยพ่อแม่ขายของ” เตี่ยกับม่าของหมวยเล็กหรือไอ้ม่วยมีร้านค้าส่งอยู่ในตลาดสด

“ดีนะยังรู้จักทำมาหากิน”

“ไม่หากินแล้วจะมีกินหรือไง ไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้านี่” จริงๆ พ่อกับแม่ของมันมีฐานะเป็นถึง ‘เถ้าแก่’ เพียงแต่มันไม่สนใจเล่าเรียน จึงต้องมากลายเป็นลูกจ้างบรรดาศักดิ์ ในขณะที่พี่ๆ ได้ดิบได้ดีกันไปหมด

“ก็คงรวยยาก ดูทำตัวกันเถอะ” สันติที่อยู่ในชุดกางเกงสแล็ค สีน้ำเงินเสื้อเชิ้ตสีขาวมีเนกไทพับอยู่ในกระเป๋าเสื้อ จ้องมองผู้หญิงในคราบของผู้ชายซึ่งอยู่ในชุดกางเกงยีนเอวใหญ่เกือบหลุดจากก้นดีแต่ว่ามีเข็มขัดสีดำติดเหล็กสะท้อนแสงเป็นรูปดาวด้าน ข้างและหัวเข็มขัดเป็นรูปปีศาจรั้งไว้ เสื้อที่สวมอยู่เป็นเสื้อยืดสีดำลวดลายที่เพ้นท์ดูยุ่งเหยิงจนไม่อยากเพ่งมองให้เปลืองลูกตา 

“ไม่ต้องมองกันหัวจรดเท้าก็ได้ ตัวเองดีนักหรือไง ก็แค่ลูกคนซักรีดเสื้อผ้าพ่อเป็นยาม” คนที่มีฐานะเช่นนั้นจริงๆ ไร้สีหน้าโกรธขึ้ง เพราะวันนี้ด้วยความพากเพียรของเขาเองและของพ่อแม่ถึงเป็นร้านซักรีดก็มีลูกจ้างช่วยงาน ถึงพ่อจะเป็นยามก็อดทนไต่เต้าไปจนถึงระดับหัวหน้า ส่วนตัวเขาเองนั้นเล่าก็มีวุฒิปริญญาตรี พร้อมประสบการณ์การทำงาน ซึ่งปัจจุบันก็ถือว่ามีเงินเดือนมากพอใช้จ่ายได้คล่องมือ แต่อย่างไรเสียก็ต้องเอาคืน ให้สติ ‘พวก’ ที่ไม่รู้จักใช้โอกาสดีๆ ที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองบ้าง

“ก็ดีกว่าลูกเจ๊กที่ไม่รู้จักเจริญรอยตามบรรพบุรุษแล้วกัน”

คนถูกจี้ใจดำเชิดหน้า ถึงมันจะมี ‘เปลือก’ ที่เหมือนผู้ชายแต่อย่างไรจริตสาวก็ยังมีอยู่ให้เห็น

“แล้วพรรคพวกหายหัวไปไหนกันหมด”

“กลับบ้านกันแล้ว ไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร เรื่องเงินจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” มันโยงเข้าหาเรื่องสำคัญทันที

“เรียบร้อย”

“งั้นเฝ้าอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เผื่อหมอเรียกเอาอะไรอีก เค้าออกไปหาอะไรกินก่อน”

“เพื่อนทิ้งเพื่อนนี่เรียกว่าเพื่อนแท้เหรอ” 

หมวยเล็ก หรือ ไอ้ม่วย เพื่อนตั้งแต่เรียนชั้นประถมมาด้วยกันหาได้สนใจคิดตาม มันเดินออกไปจากรั้วโรงพยาบาล โดยสันติมั่นใจว่าคืนนี้มันจะหายตัวไปโดยทิ้งอสมาภรณ์ให้เขาเป็นคนดูแล

 

 

“แม่คืนนี้กลับดึกหน่อยนะ แม่ไม่ต้องรอ แอ๋มเข้าโรงพยาบาล”

“เป็นอะไรหรือติ” ปลายสายมีน้ำเสียงตกอกตกใจ

“ออกซ่าส์กับไอ้ม่วยแล้วรถล้ม หมวกกันน็อคไม่ใส่ หัวกระแทก

พื้น เลือดอาบ ไม่รู้สมองเสื่อมหรือเปล่า นอกนั้นก็มีกระดูกแขนหัก หมอ

คงเข้าเฝือก แล้วรอดูอาการอื่นๆ สักวันสองวันมั้ง”

ปลายสายถอนหายใจอีกเฮือก

“ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ดูแลกันไปนะติ คิดถึงบุญคุณของ คุณอร ถ้าไม่ได้เงินก้อนนั้นของเขา แม่ก็ไม่มีติในวันนี้นะ” คนเป็นแม่ปลอบประโลม

“ผมทะเลาะกับวานะแม่ วันนี้วันเกิดวา ผมไม่ได้ไป เธอตัดเป็นตัดตาย” ลูกชายเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพราะเบื่อจะฟังความหลัง ด้วยฟังจนตระหนักดีอยู่แล้ว

“เอาไว้แม่จะช่วยพูดให้นะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมจัดการเอง แค่นี้นะครับแม่”

วางกระบอกโทรศัพท์สาธารณะ สันติทรุดตัวนั่งลงที่เก้าอี้พลาสติกสีน้ำเงิน ซึ่งจัดไว้ให้สำหรับญาติผู้ป่วยที่มาเยี่ยมไข้รออาการที่หน้าห้องฉุกเฉิน เขาหยิบโทรศัพท์ มือถือออกมา กดออกโทรหาวารุณี ปลายสายปิดเครื่องเหมือนเป็นการยืนยันให้เขารู้ว่า ต้องไปคุยเฉพาะที่บ้านซึ่งจัดงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิด 22 ปีเท่านั้น

สันติยัดโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋าเสื้อรู้สึกเหนียวตัวจนความหงุดหงิดเข้ามาเยือน 

หากมันจะจบลงเพราะเหตุแบบนี้ก็ควรปล่อยให้มันจบ แต่ก็เสียดายเวลาสองปีที่สานรักกันมา ค่าของมันมีมากกว่าอารมณ์หึงหวงและเข้าใจผิดกันนี่ เธอรู้ว่าเขามีสถานะทางการเงินเป็นอย่างไร เธอไม่ใส่ใจคำครหาเรื่องชาติตระกูล แต่ว่าเธอต้องการให้เขามีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น

เขาเองก็เคยรับปากมั่นว่าจะไม่มีวันเป็นคนเจ้าชู้ไก่แจ้ ด้วยรู้ตัวเองดีอยู่ว่า ที่ผ่านมานั้นประสบการณ์หัวใจเป็นเช่นไร 

มันสามารถมอบให้ใครได้ทีละคน และถ้าคนที่เขามอบให้ไม่สนใจเขาก็ต้องเร่หารักมาเติมให้หัวใจไม่อ้างว้างเดียวดาย และที่ผ่านมาเขาก็ได้เห็นจุดจบของคนเจ้าชู้คิดทรยศต่อความรักมาแล้ว 

 

...

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนกระทั่งรู้ว่าอสมาภรณ์ได้เตียงในห้องสังเกตอาการในโรงพยาบาลแน่แล้ว เขาจึงเดินตามเจ้าหน้าที่ที่เข็นเตียงผู้ป่วยไปด้านใน ร่างผอมแห้งมีเฝือกอยู่ที่แขนด้านซ้าย มองเขา

ตาแป๋ว สีหน้าสำนึกผิด และเชิดขึ้นเมื่อเห็นสายตาเหยียดๆ ของเขา 

“ลืมตาได้แสดงว่ายังอยู่ได้อีกนาน”

“ก็อยากตายแต่มันไม่ตาย” พอเอ่ยอย่างนั้นน้ำตาคลอขึ้นมาเอง หญิงสาวพยายามใจแข็งที่จะสะกดมันไว้ นับหนึ่งถึง 10 อยู่ในใจ จะให้เขาเห็นว่าเธออ่อนแอไม่ได้

“จะกลับบ้านแล้วนะ พรุ่งนี้เย็นๆ หรือไม่ ถ้าตอนกลางวันออกมาได้ถึงจะมาดู มีอะไรโทรไปหาแล้วกัน”

“หิวน้ำ” เธอเอ่ยออกมา เขามองไปรอบๆ ห้องผู้ป่วยรวมซึ่งมีคนไข้นอนเรียงรายอยู่บนเตียง โดยมีคนเฝ้าไข้นอนอยู่ที่พื้นระหว่างเตียงหรือไม่ก็ที่ระเบียงด้านนอก บนตู้ที่หัวเตียงมีเหยือกน้ำกับแก้ววางอยู่ เขาปรายตาไปเพื่อให้คนไข้ของเขาเห็นว่า น้ำอยู่ตรงนั้น 

แล้วเขาก็ระลึกได้ว่า อสมาภรณ์ถนัดซ้าย สันติจึงขยับร่างที่มีความสูง 175 เซนติเมตรไปยังหัวเตียงรินน้ำลงแก้วใสแล้วยื่นให้กับมือข้างขวาของเจ้าหล่อน 

“หิวข้าวด้วย ยังไม่ได้กินอะไรเลย” หญิงสาวพูดเสียงระโหยแรงคล้ายกับว่าเกรงใจคนอื่นๆ  สันติยกหลังมือถูกับปลายจมูกแรงๆ สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วเดินออกไปจากเตียงคนไข้ และคนที่นอนอยู่ก็มั่นใจว่าอีกสักประเดี๋ยวเขาก็จะกลับมาพร้อมกับ ‘เหยื่อ’ ที่ทำให้เธออิ่มท้อง

 

รถฮอนด้าปี97 หยุดลงก่อนถึงประตูรั้วบ้านของวารุณีประมาณ 20 เมตร เขาดับเครื่องยนต์ หยิบช่อดอกกุหลาบสีแดงออกมาจากเบาะหลัง แล้วเดินไปที่ประตูรั้ว ที่สนามเล็กหน้าบ้านยังมีร่องรอยโต๊ะเก้าอี้เศษกระดาษหลากสีสันเกลื่อนกลาด ฉลองอายุครบ 22 ปีของวารุณี ไม่มีเขา และเธอยื่นคำขาดว่า ถ้าเขาไม่มา เขาก็จะไม่มีเธอ สันติ มัดริบบิ้นของช่อกุหลาบไว้กับประตูอัลลอยด์ โดยเขาเก็บกระดาษโน้ตข้อความและชื่อตัวเองไว้ในกระเป๋าเสื้อ  หากมาง้อขนาดนี้แล้ว  เธอยังไม่ให้อภัย 

จบก็คือจบ 

เจ้าโตกระโดดโลดเต้นเมื่อรถยนต์สีขาวคันคุ้นตาของเขาจอดลงที่หน้าบ้านหลังกะทัดรัดซึ่งมีเนื้อที่รอบๆ พอปลูกโรงรถและต้นไม้สร้างความสดชื่น เขาเปิดประตูลงมาพร้อมกับถุงอาหารสุนัขซึ่งซื้อติดรถยนต์ไว้ แม้จะราคาแพงสำหรับมนุษย์เงินเดือน ผู้มากภาระและเต็มไปด้วยฝันเช่นเขา แต่มันก็สะดวกเมื่อเขาไม่สามารถเข้าไปเอาเศษอาหารของแม่มาให้มันที่นี่ได้ 

เจ้าโตดีอกดีใจกระโดดโถมใส่ที่เอวจนชายเสื้อหลุดลุ่ยเมื่อเขาเปิดประตูรั้วเข้าไป

“รู้แล้วๆ คิดถึงกัน คิดถึงกัน รู้แล้ว เอ้ากินๆ แม่เอ็งเขาไม่กลับบ้านนะ” 

สันติเทอาหารลงกะละมังใบสีขาวของมัน เจ้าโตวิ่งไปเลีย แตะลิ้นตวัดเข้าปากเคี้ยว แล้ววิ่งตามไปหาเขาที่กำลังโปรยอาหารให้ปลาหางนกยูงซึ่งอยู่รวมกับปลาทองในบ่อใต้ต้นมะม่วงซึ่งมีกล้วยไม้เกาะอยู่เต็มลำต้น

“เจ้านายเอ็งนะรักสัตว์ แต่ไม่เคยมีเวลาให้” เขาคุยกับหมาแล้วเลี่ยงไปหยิบขันน้ำตักน้ำจากตุ่มปีนเก้าอี้หินไปที่กิ่งหนาๆ ของต้นมะม่วงซึ่งมีกรงนกหงส์หยกสองตัวที่เฝ้าส่องแต่กระจกทั้งวัน เทน้ำจัดอาหารให้มันแล้วลงมาเปิดประตูบ้าน ปิดประตูเหล็กดัดมุ้งลวดโดยไม่ให้เจ้าโตตามเข้ามา เมื่อไฟสว่างเขาจึงได้เห็นว่าเป็นเวลากี่โมงยาม สันติทรุดกายลงบนโซฟา เอนตัวลงนอนโดยไม่ลืมหยิบโทรศัพท์มือถือมาตั้งปลุก 

อีกชั่วโมงเดียว จะกลับบ้านเช่าที่ตั้งอยู่หน้าปากซอยก็ขี้เกียจปลุกแม่ให้มาเปิดประตู จะจอดรถทิ้งไว้แล้วปั่นจักรยานกลับไป ก็ต้องกลับมาที่นี่อีก สู้นอนที่นี่ ตื่นแล้วขับรถไปจอดที่ริมฟุตบาท แล้วกลับเข้าบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงานเลยคงดีกว่า 

 

วัชรีวรรณวางแก้วกาแฟไว้บนโต๊ะทำงานของสันติ 

“ขอบคุณครับ” ปากเอ่ยไปแต่สายตานั้นไม่ได้เงยขึ้นมองหน้าคนที่ชงกาแฟมาให้

“หน้าตาไม่ค่อยดีมีอะไรหรือเปล่าคะ”  น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย 

พร้อมรับฟังเรื่องสุขและทุกข์

“ไม่มีครับ สบายดีครับ” เขาตอบพลางรัวแป้นพิมพ์โดยตาจ้องอยู่ที่หน้ามอนิเตอร์โดยให้รู้ว่างานเขายุ่ง หญิงสาวเลี่ยงไปนั่งยังที่ของตนแล้วเบ้หน้า วัชรีวรรณค้อนกลับแล้วอมยิ้มขื่นออกมาอย่างสังเวชใจกับพฤติกรรมของตนเอง รู้ทั้งรู้ว่าเขามีคนรักอยู่แล้วซึ่งเป็นเพื่อนหญิงที่เรียนในรั้วมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน แต่เธอก็ยังปรารถนาพิชิตหัวใจของเขาให้จงได้ หนุ่มโสด หน้าตาดี ฐานะทางบ้านพอประมาณ แต่ความรู้มีเยอะและอนาคตไกล มันทำให้คนที่ ‘ขาด’ เช่นเธอฝันถึง 

“ขอสายคุณวารุณีครับ จากสันติ”

“ไม่อยู่ค่ะ ให้บอกว่าไม่อยู่ แค่นี้นะคะ”

สันติกระแทกหูโทรศัพท์ลงกับแท่นด้วยอาการขัดเคืองใจ วารุณีปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่ใช้โปรแกรมสนทนาทางอินเทอร์เน็ตอีกด้วย     ‘นพชนก’ เจ้านายสายตรงของเขาเดินเข้ามาตบไหล่

“เป็นไร หงุดหงิดอะไร ทำออเดอร์ได้ ปัญหาก็ไม่มี สามเดือนนี้ผ่านงานอยู่แล้ว” คนพูดปรายตาไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้า สายตาหยอกเย้าเสนอขายขนมจีบแต่สาวเจ้าก้มหน้าวืดทำงานหาได้สนใจ 

“มีปัญหากันอีกแล้วซิ ใจเย็นๆ งอนได้ก็ง้อได้” ปลอบเหมือนให้กำลังใจตัวเอง

“ง้อบ่อยๆ ก็เบื่อ เรื่องไม่เป็นเรื่อง” ประโยคนั้นบอกให้รู้ว่าคนพูดมั่นใจตัวเองอยู่เหมือนกัน

“ถ้าไม่เป็นเรื่องแล้วเขาจะงอนได้ยังไง มันต้องมีเหตุถึงจะมีผล” พูดจบ นพชนกก็ผละไปยังโต๊ะทำงานของตน สันติครุ่นคิดถึงเหตุที่ผ่านมาระหว่างตนกับวารุณี 

เป็นเพราะอสมาภรณ์คนเดียว แต่เขาก็ทิ้งเธอให้มีชีวิตตามลำพังอย่างที่วารุณีต้องการไม่ได้ เพราะในความผูกพันฉันเพื่อนนั้นมีความเป็นพี่น้องร่วมอยู่ด้วย

เขารู้จักกับเธอตั้งแต่ย้ายมาจากเพชรบูรณ์ตอนอายุ 11 ปี เธอเป็นเพื่อนหญิงคนแรกที่ยิ้มกว้างมีสายตาเป็นมิตรพร้อมกับเข้ามาทักทายเมื่อรู้ว่า เขาพักอยู่หน้าปากซอยบ้านของเธอและบังเอิญมาเป็นเด็กเข้า

ใหม่ซึ่งได้อยู่ห้องเรียนเดียวกับเธอด้วย

“สันติ มีชื่อเล่นไหม” 

น้ำเสียงของเด็กหญิงผมม้าดูอารี

“ติ”

“แอ๋มเห็นติที่หน้าปากซอยเมื่อเช้า บ้านอยู่แถวนั้นหรือ”

 “เออ” เขารีบเอามืออุดปากเพราะแม่บอกว่า เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วจะมึงมาพาโวย เหมือนตอนอยู่กับยายที่บ้านนอกไม่ได้เขาจึงต้องเอ่ยคำว่า “ครับ” ออกมาแทน

“ติมาโรงเรียนอย่างไร”

“เมื่อเช้าพ่อขี่จักรยานมาส่ง แต่พรุ่งนี้พ่อบอกให้เดินมาเองครับ”

“ต่อไปไม่ต้องครับนะ เพราะเราต้องเป็นเพื่อนกัน”

“ไม่ครับแล้วเราจะลงท้ายว่าอะไรดี”

ตอนนั้นเด็กหญิงแอ๋มหัวเราะ 

“ไม่ต้องเรากับแอ๋มหรอก ดูเหมือนผู้หญิง แทนตัวเองว่าติสิ ติกับแอ๋มแบบนี้ลองหัดพูดซิ ติ แอ๋ม เธอ เรา น่ะ เด็กบ้านนอกเขาใช้กันนะ”

“เพชรบูรณ์นี่บ้านนอกไหม” ตอนนั้นเขาถามกลับไปด้วยไม่รู้จริงๆ

“ไม่รู้ซิ เพชรบูรณ์มันอยู่ที่ไหนเหรอ แต่เสียงติเหน่อๆ นะ พูดลาวได้เปล่า คนข้างบ้านมาจากอีสานพูดลาวได้”

สันติสั่นหัว 

“ตอนนี้มาอยู่ในเมืองแล้วนี่ หัดทำตัวเป็นคนในเมืองหน่อย”

สันติยิ้มเห็นฟันเหลือง หน้าตาเจื่อนๆ “คนในเมืองทำอย่างไร”

“ไม่รู้ซิ แต่ท่าทางของติ มันไม่เหมือนเพื่อนๆ เราน่ะ ดูคนอื่น

เขาแล้วกัน”

สันติมองเพื่อนผู้ชายที่กระโดดโลดเต้นอยู่ในห้อง โดยส่วนใหญ่หน้าตาผิวพรรณผุดผ่องร่างกายสมบูรณ์สมส่วน แต่เขากระดำกระด่างเก้งก้างเพราะว่าหนีตากับยายและน้าๆ วิ่งเล่น หาจับกบ เขียด ยิงนก ตกปลา กระโดดน้ำตากแดด กินข้าวกับน้ำพริกผักต้มปลาย่างมาตลอด จนกระทั่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ‘สมชัย’ น้องชายที่มีอายุน้อยกว่าเขา 1 ปีตกน้ำในสระตาย พ่อกับแม่ก็เลยตัดสินใจให้เขามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งเขาได้มาเจอเพื่อนใหม่ใจดีต่างเพศผู้มีน้ำใจเสมอ วันแรกเธอพาเขาไปกินข้าวกลางวันแนะนำสถานที่ต่างๆ ในโรงเรียน พร้อมกับบอกกับเขาว่าใครบ้างในห้องที่ควรคบและไม่ควรคบ และในตอนเย็นเมื่อพ่อของเขาปั่นจักรยานมารับกลับบ้าน เธอก็เอ่ยปากบอกกับพ่อว่า พรุ่งนี้ให้เขานั่งรถเมล์กลับบ้านพร้อมเธอก็ได้

เมื่อพ่อรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวใครและมีบ้านอยู่ตรงไหน พ่ออนุญาต กระทั่งวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่เขาหิ้วกระเป๋านักเรียนมองรถ มองตึก มองคนที่เดินออกจากบ้านด้วยความเร่งรีบ เขาก็ได้ยินเสียงของเธอตะโกนเรียก “ติ ขึ้นรถ ไปด้วยกัน”

เขาทำหน้าเด๋อๆ ด๋าๆ จนกระทั่ง เธอเปิดประตูรถมาเร่ง เขาจึงต้องรีบวิ่งไปหา ตั้งแต่นั้นมา ในช่วงเรียนชั้น ป.5 ป.6 ทุกเช้า ลุงเกษม ก็จะมารับเขาที่หน้าตึกแถวซึ่งแม่เปิดเป็นร้านซักรีดเพื่อนั่งรถไปโรงเรียนกับหนูแอ๋มซึ่งเป็นที่รักอย่างแก้วตาดวงใจของคนเป็นพ่อ 

และตอนนั้นเขารู้สึกอิจฉาในความพร้อมของหนูแอ๋ม 

พ่อทำงานได้เงินเดือนสูง แม่อยู่บ้านแต่งตัวสวยงาม บ้านหลังใหญ่สะอาดเป็นระเบียบมีแต่สิ่งสวยงามตกแต่ง เงินที่ไปกินที่โรงเรียน เสื้อผ้า กับกิจกรรมสนุก ทุกวันหยุดเสาร์-อาทิตย์และปิดเทอม 

แต่อนิจจา ใครจะคาดคิดว่า ความสุขของหนูแอ๋มอยู่ๆ ก็แปรเปลี่ยน ไปในชั่วข้ามคืน 

 

“อยากกินอะไรไหม”

“อิ่มแล้ว” สันติมองไปบนตู้ข้างเตียงเห็นมีแตงโม มะม่วง สับปะรด เหลืออยู่ติดถุงพลาสติก ไอ้ม่วยมันคงซื้อมาเยี่ยมไข้ เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ สำรวจดูว่ามีอะไรอีก แต่ว่าจมูกได้กลิ่นผิดปกติ เขาก้มลงดูที่กระเป๋าเสื้อคนไข้ มีซองสีเขียวพร้อมกับไฟแช็กสีเหลืองซึ่งไอ้ม่วยอีกนั่นแหละที่น่าจะเป็นคนนำมา

 จังหวะที่เจ้าตัวกำลังเผลอ เขาก็รีบล้วงมันออกมา หญิงสาวผวาตามทีเดียว

“เอามา” หน้ามุ่ย บึ้งตึง ดวงตาแข็งกร้าว

เขายัดมันลงในกระเป๋ากางเกง ณ เวลานี้ เขาไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอธิบายเรื่องที่เคยพูดซ้ำซากกับเธอ

“บอกให้เอามา” คนไข้ของคุณหมอพยายามขึ้นเสียง แต่เขาหาได้เชื่อฟัง ร่างสูงสมส่วนซึ่งอยู่ในชุดกางเกงสแล็คสีน้ำเงินเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีไข่ไก่ผูกไทสีเหลืองเข้มสวมนาฬิกาSeiko ยืนกอดอกจ้องหน้าคู่กรณีแบบไม่หลบสายตา 

ตาทั้งคู่จ้องมองกัน ไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนกำลังจะเดินพลัดหลงเข้าไป มันไม่ใช่ทางที่ควรเดินเลยสักนิด ชีวิตที่มันผิดแผน ไม่จำเป็นต้องมุ่งตรงไปโดยไม่ได้สนใจทางที่ควร แล้วสันติก็ต้องละสายตาแล้วถอนหายใจออกมา 

“คืนนี้จะมีใครมาดูไหม”

หญิงสาวยังนั่งนิ่งไม่ตอบ นั่นก็คือแสดงให้รู้ว่าไม่พอใจ ถ้าอยู่กันตามลำพัง เขาจะต้องถูกเจ้าหล่อนวิ่งไล่ทุบเป็นแน่ๆ แต่ด้วยเจ็บอยู่อย่างนี้ก็เลยมีสายตาคาดโทษเขาไว้ 

“ตกลงมีหมาตัวไหนมันสนใจบ้างไหม” สันติขึ้นเสียงประชดบรรดาเพื่อนเที่ยวเพื่อนกินของเจ้าหล่อน

“ก็ไม่ได้อยากให้หมาตัวไหนมาสนใจ”

“แล้วให้พวกนั้นโทรตามทำไม”

“ถ้าพวกมันไม่โทรตาม เดี๋ยวหมาก็โทรตามมาเอง เมื่อไหร่จะเลิกวุ่นวายกับชีวิตคนอื่นซะทีนะ” 

  ‘หมา’ ที่หญิงสาวเอ่ยถึงเป็นการพูดแดกดันให้ตัวเขานั่นเอง

“อยากวุ่นด้วยตายละ ถ้าไม่ติดที่” เขาชะงักคำพูดว่า ‘ป้าอร’ 

ไม่ควรอ้างคนอื่น เพราะอันที่จริงเขาก็เต็มใจดูแลเจ้าหล่อน เพียงแต่ว่า คนที่ต้องการดูแล ไม่ต้องการให้เขามาก้าวก่ายและวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของเธอมากนัก อย่างเช่นกรณี บุหรี่กับไฟแช็ก ในครั้งนี้

หญิงสาวล้มตัวลงนอน แล้วใช้น้ำเสียงชวนน่าสงสาร 

“ขอคืนได้ไหม”

“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด เพิ่งริมัน ยังไม่ได้ติด”

“ติดแล้ว ลงแดงแน่ๆ เลย รู้ไหมว่านอนนิ่งๆ อย่างนี้ มันเซ็ง มัน

น่าเบื่อ” เธอเริ่มโอดครวญ

“จะเอาหนังสือพิมพ์ไหม”

“ไม่” หญิงสาวเลิกอ่านหนังสือพิมพ์ตั้งแต่รู้ว่า หนังสือพิมพ์นั้นรายงานข่าวเกินความเป็นจริง 

“สิ่งดีๆ ไม่ไขว่คว้า สนใจแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง มหา’ลัย เพิ่งเปิด ไปคุยมาแล้วเขาบอกเทอมนี้เข้าเรียนยังทัน”

“เราน่าจะพูดกันรู้เรื่องแล้วนะ”

“ทำไมทำตัวอย่างนี้อีกแค่เทอมเดียวอีกแค่นิดเดียวก็จะจบ”

“ถามมากี่ร้อยครั้งแล้ว” หญิงสาวถามกลับด้วยน้ำเสียงถือดี 

“แล้วจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร เงินที่มีอยู่มันไม่ได้มากมายเลยนะ วุฒิ ปวช. ทำอะไรได้ กลับไปเรียนให้จบนะ ถ้าไม่สนใจอนาคตใคร? ก็ให้สนใจอนาคตตัวเอง” สันติพยายามเกลี้ยกล่อม หญิงสาวหลับตาพริ้ม ขนตาเป็นแพงอนยาวอยู่ใต้คิ้วดำขมวดเข้าหากัน ยังดีที่ยังไม่ได้เจาะหัวคิ้ว หางคิ้วหรือจมูก 

อึดใจต่อมา หยดน้ำตาก็ไหลออกมาจากหางตา 

เขารู้ว่าเธอเจ็บปวด แต่ควรให้ความเจ็บปวดนั้นมาทำร้ายตัวเองหรือ