ความรักของคนสองคนจะยั่งยืนหากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - บทที่ 2 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 2 โดย เฟื่องนคร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,รัก,ชายหญิง,ผู้ใหญ่,เฟื่องนคร,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชายหญิง,ผู้ใหญ่,เฟื่องนคร

รายละเอียด

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน โดย เฟื่องนคร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความรักของคนสองคนจะยั่งยืนหากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน

ผู้แต่ง

เฟื่องนคร

เรื่องย่อ

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน หัวใจของเธอปฏิเสธเขามาโดยตลอด ทำให้ต่างฝ่าย ต่างต้องมีคนในหัวใจ ที่ไม่ใช่เจ้าของแท้จริง 'อสมาภรณ์' หญิงสาวมีปัญหาครอบครัว ประชดชีวิตโดยไม่สนใจอนาคตตนเอง 'สันติ' เพื่อนชายที่เติบโตมาด้วยกัน เขามีเธอผู้เดียวเป็นผู้ครอบครองหัวใจ ความดี ความผูกพัน ความรัก และระยะเวลาทำให้เธอล่วงรู้ว่าชีวิตของเธอจะขาดเขาไม่ได้ ทว่ารักแท้ที่อยู่ลึกสุดหัวใจกลับไกลห่าง เหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ อย่างนั้นหรือ?

สารบัญ

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-จากใจนักเขียน เฟื่องนคร,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 1 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 1,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 2 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 2,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 3 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 3,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 4 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 4,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 5 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 5,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 6 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 6,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 7 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 7,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 8 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 8,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 9 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 9,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 10 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 10,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 11 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 11,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 12 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 12,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 13 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 13,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 14 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 14,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 15 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 15,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 16 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 16,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 17 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 17,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 18 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 18,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 19 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 19,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 20 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 20,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 21 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 21,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 22 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 22,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 23 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 23,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 24 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 24,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 25 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 25,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 26 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 26,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 27 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 27,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 28 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - ตอนจบ

เนื้อหา

บทที่ 2 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 2

“ไปหาอะไรกินกันไหม” นพชนกซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายขายต่างประเทศ ใช้โทรศัพท์ภายในโทรมาถามเมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลาเลิกงาน สันติเหลือบตามองดูนาฬิกาที่ผนัง แล้วก็พบสายตาใคร่รู้ของวัชรีวรรณ ที่ลอบมองและคงรอฟังอยู่ 

นพชนกสนใจวัชรีวรรณ 

แต่หญิงสาวสนใจเขา ถ้าเขาไปด้วยในเย็นนี้ วัชรีวรรณคงจะต้องถูกชวนเป็นคนถัดไป 

แต่ถ้าเขาไม่ไป ถึงแม้นพชนกไปชวนหล่อน หล่อนก็จะอ้างสารพัดธุระที่ต้องรีบไปจัดการ

สันตินึกถึงปัญหาที่ยังไม่ควรจบของตัวเอง ‘วารุณี’

“เดี๋ยวให้คำตอบนะครับ” เขาวางหูโทรศัพท์ตั้งโต๊ะ แล้วยกขึ้นใหม่ กดเบอร์ที่ทำงานของวารุณี ต่อสายตรงเข้าโต๊ะของหล่อน มีคนยกรับสายแต่นิ่งเงียบ

“ฮัลโหล วาหรือเปล่าครับ”

“มีอะไร” น้ำเสียงยังบ่งบอกให้รู้ว่ายังมี ‘งอน’

“เย็นนี้ว่างไหม หาอะไรกินกัน แถวๆ ที่ทำงานวา เดี๋ยวผมจะไปรับ”

“ร้านไหนละ” ตอบกลับมาอย่างนี้เป็นอันว่า ‘ง้อ’ สำเร็จ 

เขาเอ่ยปากบอกชื่อร้านหรูหรากว่าที่เคยพากันไปเปลี่ยนบรรยากาศ

“แพงนะ มีเงินเหรอ”

หญิงสาวเข้าใจคำว่า ‘มี’ ของเขา ว่าต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง 

ด้วยเขายังต้องลงทะเบียนเรียนคอร์สภาษาจีนชั้นสูงในเย็นวันอังคารและพฤหัสบดี

บางครั้งเธอเป็นฝ่ายขอแชร์ด้วยซ้ำ หากว่าร้านที่เธออยากเข้า

ไปนั้น ราคาของมันแพงระยับ

 เธอชอบบรรยากาศแต่กินน้อย สำหรับเขาแล้วบรรยากาศไม่ใช่เรื่องใหญ่ อิ่มท้องเป็นพอ เพราะโตมากับ ข้าวโพดปิ้ง มันเผา ฝรั่ง มะม่วงในสวนข้างบ้าน เรื่องกินอยู่จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่เท่าเรื่องที่อยู่และการขยับฐานะให้ดีขึ้นกว่าเดิม 

“วันพิเศษไง ง้อที่เมื่อคืน”

“งั้นเจอกัน” เธอตัดบท คงเพราะไม่อยากรื้อฟื้นความหลังให้หมองใจกันอีก

สันติวางโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม คนที่ลอบมองอยู่หลบสายตาพลางถอนหายใจเฮือก เขารู้ว่าการแอบรักแอบพึงใจใครสักคนนั้นเจ็บปวด เขาเองเคยผ่านอารมณ์นั้นมาแล้ว แต่มันเป็นเพียงอารมณ์ของเด็กๆ ที่เห็นว่าใครดีกับตนแล้วคิดว่านั่นคือการแสดงความรักออกมา 

 มันเจ็บปวด โหวงเหวงในหัวอกในขณะที่มีชีวิตเกี่ยวพันกันฉันเพื่อน 

“เจ้านายครับผมง้อสำเร็จ” เขาลดน้ำเสียงคำว่า ‘ง้อ’ ลง เพื่อให้ เจ้านายของเขา ‘ตื๊อ’ นางสาววัชรีวรรณต่อไป 

 

รถฮอนด้าปี97 คันนี้สันติได้มาเป็นสมบัติชิ้นแรกของตน เพราะความเมตตาและต้องการแก้ปัญหาทางการเงินของคุณอรชุน   ผู้เป็นแม่ของอสมาภรณ์ 

 เมื่อเขาไปเยี่ยมนางในที่คุมขังนักโทษ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันแล้ว นางถามถึงเงินเดือนที่เขาได้รับ ถามถึงเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือน จนกระทั่งมีคำขอร้องให้ซื้อรถยนต์คันที่คุณเกษมใช้ก่อนตายคันนี้ 

โดยเพียงผ่อนชำระเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือนให้กับบุตรสาวเพียงคนเดียว ที่ต้องอยู่ในบ้านหลังนั้นพร้อมกับคราบน้ำตาในราคาเดือนละ 3,000 บาท

พออสมาภรณ์รู้เรื่องหญิงสาวไม่ยอม จึงต้องมีจดหมายจากแม่แจ้งความจำเป็นที่ต้องขายรถคันนี้ให้กับเขา เนื้อความคร่าวๆ คือ   อสมาภรณ์ขับรถไม่เป็น จอดทิ้งไว้รถก็จะผุและพังไป และการขายในครั้งนี้ คนเป็นแม่ต้องการให้ลูกสาวมีเงินยังชีพอีกจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากเงินออมในบัญชีที่ได้มาจากเงินประกันชีวิตของคุณเกษมกับเงินสวัสดิการสะสมจากบริษัทซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก

 และที่สำคัญ รถก็ยังอยู่กับเขา ‘สันติ’ คนที่คุณอรชุน พยายามพูดจาฝากฝังลูกสาวอยู่ตลอดเวลา

“ดูแลแอ๋มนะติ คิดว่าช่วยป้า”

หรือแม้แต่คำพูดในอดีตยามที่เขาไปวิ่งเล่นที่บ้านหลังนั้น

“เพื่อนที่ดีต้องช่วยเหลือกันยามที่เพื่อนตกยาก โตขึ้นมาให้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน”

คุณอรชุนไม่เคยปฏิเสธในมิตรสัมพันธ์ที่ต่างฐานะและต่างเพศนี้ 

บางครั้งมีเสื้อยืด กางเกงขาสั้น มีของเล่นแม้จะไม่ดีเท่าของลูกสาว เผื่อแผ่มาถึงเขาอยู่เสมอ 

และที่ผ่านมาอสมาภรณ์ ช่วยเหลือเขามานับครั้งไม่ถ้วน 

แล้วเขาจะทิ้งหญิงสาวได้อย่างไร แต่เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากบอกเล่าความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างเขากับอสมาภรณ์ให้วารุณีเข้าใจได้ เรื่องมันยืดยาวมากกว่าจะอธิบายเพียงสั้นๆ กับคนขี้หึงเจ้าอารมณ์ที่พร้อมตีความเป็นอื่น 

 

คุณอรชุนเคยให้แม่สมปองหยิบยืมเงินไปจ่ายค่าหมอ รักษาโรคไข้เลือดออกของเขา และบ่อยครั้งที่เงินค่าเทอมไม่พอ ค่าหนังสือเรียน ค่ากิจกรรมที่แม่กับพ่อหามาให้ไม่ทัน และที่เขายังจำได้ไม่ลืม เงินค่าชุดเรียนนักศึกษาวิชาทหารที่คุณอรชุนให้มาเปล่า โดยบอกว่า 

“อยากมีลูกชาย ก็ไม่มี ถ้ามี ก็อยากให้เขาเป็นทหาร”

เมื่อเขาแต่งชุดนักศึกษาวิชาทหารเรียบร้อย แล้วไปอวด       คุณอรชุนมีน้ำตาเข้าน้ำตาออก แต่อสมาภรณ์มาเฉลยให้ฟังทีหลังว่า อดีตคู่รักเก่าของคุณอรชุนนั้นเป็นทหารบกและเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจึงทำให้ต้องมาแต่งงานกับพ่อของเธอ 

อายุครึ่งหนึ่งของเขาในปัจจุบัน มีคำว่า ‘อสมาภรณ์ อรชุน’ เข้ามาเกี่ยวข้องจนยากจะลบทิ้ง 

 

...

“อร่อย จริงๆ ด้วย ใครแนะนำมา” วารุณีตักยำถั่วพูเข้าปาก ส่วนสันติใช้ส้อมแบ่งปลาช่อนอบเกลือให้กับหญิงสาวที่ไม่ชอบกินปลาเพราะกำจัดก้างออกไม่เป็น เหมือนคนที่นอนเจ็บ 

“หัวหน้า พี่นพชนก” 

เอ่ยถึงชื่อหัวหน้างานคนนี้ให้วารุณีฟังครั้งใด หญิงสาวก็จะพูดประโยคนี้ตลอด

“ชอบจัง ชื่อแปลกดี”

“ใจดีด้วย สอนงานผมเยอะแยะเลย สามเดือนรู้สึกเลยว่า อยากย้ายงานเพื่ออัพเงินเดือน แต่ว่าจะทนอยู่ไปสักปีสองปี แล้วค่อยหาตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขายต่างประเทศทำ แล้วก็เรียนต่อปริญญาโท” 

ชีวิตของสันติอยู่กับแผนเสมอ เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เขาปรารถนาสอบเข้าโรงเรียนระดับมัธยมที่อยู่ประจำเขต เพื่อลดค่าใช้จ่าย เขาสอบได้ แต่อสมาภรณ์เสียค่าแป๊ะเจี๊ยะ 

และด้วยรู้ว่าตัวเองไม่มีเงินเพื่อที่จะเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ต้องใช้เวลาเรียนนาน เขาก็เบนเข็มมาเรียนในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ด้วยเห็นต้นแบบคือคุณเกษมที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ทำงานโดยไม่เสียเหงื่อหรือตากแดดจนตัวดำมอมแมม 

และเมื่อได้ปรึกษาคุณเกษมก็ชี้ให้เห็นโอกาส ‘รวย’ ระหว่างเด็กการบัญชีกับเด็กการตลาด เขาตัดสินใจลงเรียนการตลาดเพราะว่าชอบติดต่อประสานงานมากกว่าก้มหน้าอยู่กับตัวเลข 

ช่วงนั้นเขาจึงทุ่มเทชีวิตให้กับภาษาอังกฤษ และภาษาจีนอีกด้วย โดยหลังเลิกเรียนเขาจะปั่นจักรยานลัดหมู่บ้านไปยังสมาคมจีนที่อยู่ด้านหลังหมู่บ้าน ขวนขวายเรียนกับเหล่าซือคนโพ้นทะเลเพื่อสั่งสมวิชาความรู้ โดยที่อสมาภรณ์แค่เรียนให้ผ่านในชั้นเรียนก็ยากเต็มที แต่หญิงสาวก็ยังยอมเรียนในระดับ ปวช. สาขาเดียวกับเขา จนกระทั่งแยกจากกัน ตอนเรียนจบปวช.ปี 3 เขาได้ทุนเรียนต่อ ปวส. ในโรงเรียนเดิม 2 ปี 

แต่อสมาภรณ์ตามเพื่อนๆ และคนที่หญิงสาวใช้คำว่า ‘คนรัก’ ไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเอกชน 

เขาเรียนจบระดับชั้น ปวส. จึงออกมาทำงานหาประสบการณ์

พร้อมกับเรียนต่อในระดับปริญญาตรีในวันเสาร์-อาทิตย์ 

ที่นั่นทำให้เขาได้พบกับวารุณี นักศึกษาภาคปกติซึ่งมาทำกิจกรรมในวันเสาร์ที่เขาเข้าเรียน 

หลังจากนั้นจึงสานความสัมพันธ์กันเรื่อยมา จนกระทั่งเธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาใช้คำว่า ‘แฟน’ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ 

“แล้วกับคุณวัชรีวรรณเป็นไงไปถึงไหนแล้ว” สันติจะเล่าให้วารุณีได้รู้ด้วยว่า ใครในที่ทำงานเป็นอย่างไร และชอบอยู่กับใคร โดยที่เขาไม่ได้เล่าว่าวัชรีวรรณมีใจให้กับเขา เพียงแต่บอกว่า หญิงสาวเล่นตัวกับเจ้านายของเขาเท่านั้น

“ก็เหมือนเดิม วันนี้เจ้านายจะให้ผมไปทานข้าวเย็นด้วยนะ กะชวนคุณวรรณเขาต่อ แต่พอดีผมมากับคุณ” ตอนแรกเขาจะเอ่ยคำว่า ‘พอดีผมง้อคุณสำเร็จ’ ก็กลัวว่าจะไปคัดง้างเรื่องการยื่นคำขาดนั้นออกมา 

“เมื่อคืนผมขอโทษนะ”

“วาก็พูดแรงไปด้วย” สีหน้าของคนตรงกันข้ามสำนึกผิดเช่นกัน 

“เค้าเป็นอย่างไรบ้างคะ” วารุณีแสดงน้ำใจออกมา 

“คบเพื่อนเหลือขอทั้งนั้น” สันติบอกที่ต้นเหตุแทนอาการเจ็บ

“จะมีเรื่องไหนมาสร้างความวุ่นวายให้เราอีกไหมเนี่ย”

สันติทำหน้าครุ่นคิด พลางส่งเนื้อปลาให้หล่อนแล้วเปลี่ยนเรื่อง

“กินปลาเติบใหญ่กินไข่แข็งแรง รู้ไหมตอนที่ผมเข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ๆ ผมผอมเก้งก้างเลย ตัวงี้ดำเป็นเหนี่ยง แต่พอผมกินไข่ต้มวันละสามฟอง เช้า กลางวัน เย็น ผิวดั้งเดิมของผมก็พ้นหนังเจ้าเงาะออกมา”

เล่าให้ตลก แต่ภวังค์หนึ่งของจิต ก็นึกถึงคนที่แนะนำให้เขากินไข่ กับ นมวัว ซึ่งเขามีปัญญาหากินได้แค่เฉพาะไข่ไก่ไข่เป็ดเท่านั้น ส่วนนมวัว สัปดาห์หนึ่งมีห้าวันอสมาภรณ์จะแบ่งส่วนของตนมาให้เขาในวันจันทร์ พุธ และศุกร์ 

“อยากไปเที่ยวบ้านติที่เพชรบูรณ์จังเลย”

“ผมไม่มีบ้าน มีแต่บ้านตายาย กับญาติๆ ครับ” เป็นเช่นนั้นจริงๆ ชีวิตของพ่อกับแม่ตอนที่อยู่เพชรบูรณ์นั้นลำบาก พ่อมีฐานะยากจนกว่าแม่ ปู่ย่าไม่มีที่ไร่ที่นาเลย ส่วนแม่ ตายกที่ดินให้ทำไร่ข้าวโพด ถั่วเขียวสิบไร่ ในเวลาเกือบสิบปีมีกระท่อมหลังเล็กๆ พร้อมกับหนี้สินอันเกิดจากน้ำท่วมบ้าง ฝนแล้งบ้าง กู้เถ้าแก่มากินมาใช้ก่อนบ้าง เงินดอกเบี้ยทบเงินต้น จนต้องตัดสินใจย้ายจากเพชรบูรณ์มาทำงานในกรุงเทพฯ ส่งกลับไปใช้หนี้ ซึ่งมันเพิ่งหมดไปไม่นานนี้เอง

“ก็นั่นแหละ อยากเห็นไร่ข้าวโพด อยากไปสระน้ำที่ติตกปลา”

“มันตื้นหมดแล้วครับ ตอนเด็กๆ เราก็คิดว่ามันลึกเพราะเราตัวเล็ก แต่พอเราโตแล้วมันตื้นแค่เอวผมเอง ตอนกลับไปครั้งนั้น ผมก็แปลกใจว่าทำไม สระมันตื้นลง”

“แล้วมีใครตกไปตายอีกไหม” สันติเคยเล่าเรื่องน้องชายของเขาตกสระน้ำเสียชีวิต เคยเล่าเรื่องในวัยเยาว์ที่โตมากับธรรมชาติให้คนเมืองได้รับรู้ 

“ไม่มีเด็กๆ เล่นน้ำกันอีกเลย คงกลัวผี”

“มาเข้าฝันบ้างไหม”

“หายเงียบไปเลย ไปเกิดแล้วมั้งครับ เขาตายวันที่เขาเกิดด้วย เห็นแม่ว่าหมดอายุขัย แต่ผมยังจำติดตานะ ตอนแรกนึกว่าเขาแกล้ง เขาเคยแกล้งผมไง แกล้งจมน้ำ พอเรากระโดดลงไปช่วยมันก็หัวเราะ สุดท้ายก็ได้ตายจริงๆ” พูดถึงตรงนี้น้ำตาเขารื้นขอบตาขึ้นมา 

คำโกหก ทำให้ชีวิตสิ้นไป เขาจึงไม่คิดล้อเล่นด้วยคำพูดกับใครอีก

 

เมื่อจัดการกับมื้อเย็นพลางพูดคุยปรับความเข้าใจกันดีแล้ว เขาก็ขับรถไปส่งวารุณีที่บ้าน 

“ลงไหม” วารุณีหันมาถาม 

“ไม่ดีกว่า” เขาปฏิเสธ โดยไม่มีเหตุผลประกอบ 

ขณะหญิงสาวเปิดประตูลงไป เขาก็ร้องเรียก วารุณีหันกลับมามอง เขายื่นตุ๊กตาหมีตัวพอเหมาะมือให้หญิงสาว “นอกจากกุหลาบแล้ว ผมก็ยังเตรียมเจ้านี่ไว้ให้คุณด้วย สุขสันต์วันเกิดครับ” 

วารุณีรับเจ้าตุ๊กตาหมีขนสีน้ำตาลมาดอมดม ยิ้มให้เขาแล้วเลี่ยงลงจากรถ

ถึงโรงพยาบาลเขาเห็นว่าคนไข้ของคุณหมอยังนอนหลับตาพริ้ม ใบหน้ารูปไข่งดงามเพราะคิ้ว จมูก ปาก คาง สมส่วนเหมือนตุ๊กตาฝรั่ง เขายืนมองนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งหญิงสาวรู้สึกตัว ขยับเปลือกตาพร้อมกับนิ่วหน้าบ่งว่าเจ็บ ปวดที่บาดแผล

“กินข้าวเย็นแล้วหรือยัง” เขาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเห็นใจผิดกับเมื่อคืน

“กินแล้ว” น้ำเสียงของเธอแหบแห้งแบบคนที่เพิ่งตื่นนอน

“ไม่ได้กินหรอกพ่อหนุ่ม” ป้าคนที่นั่งเฝ้าคนเจ็บเตียงข้างๆ ฟ้อง ด้วยเขาสั่งไว้ว่า ให้ช่วยดูแลเพื่อนคนนี้ของเขาด้วย เมื่อได้ยินป้าฟ้อง อสมาภรณ์ก็เบ้หน้าให้เขาอย่างถือดี

“ก็ป้ากินแล้วไง” อสมาภรณ์อธิบายขึ้นมา กินแล้วคือให้ป้ากินแทนไปแล้ว 

“อยากกินพิซซ่าสักถาด” แล้วเธอก็เริ่มอ้อน

เงินสามพันรายเดือนที่เขาต้องจ่ายค่ารถ เขาไม่ได้ให้เป็นเงินก้อน แต่จะจ่ายเป็นค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์บ้าน แล้วเก็บบิลไว้ ทำบัญชีมียอดใช้จ่าย ยอดคงเหลือต่อเดือน และยอดยกไปในเดือนถัดไป และวิธีนี้คุณอรชุนเป็นคนคิด ด้วยลูกสาวเคยปล่อยให้ไฟฟ้าถูกตัดเพราะไม่สนใจตู้จดหมาย

ในบ้านไม่มีน้ำดื่ม ในตู้เย็นไม่มีอาหารใดๆ ติดตู้ยามหิว ธุระตรงนี้เขาเป็นคนจัดการแทน เหมือนกับที่คุณอรชุนยังอยู่ในบ้าน

“จะเอาอะไรอีก”

“บุหรี่”

เขาถอนหายใจ แล้วเลี่ยงออกไปนานเกือบครึ่งชั่วโมง 

กลับมาอีกทีมีเหงื่อโทรมกายถุงในมือมีพิซซ่าขนาดเล็กหน้าทะเลขอบชีสที่เธอชื่นชอบพร้อมกับโค้กอีกหนึ่งแก้วไม่มีซองเขียวที่คนสั่งต้องการ

เขายื่นให้เธอทั้งถุงที่หิ้วมา หญิงสาวไม่สนใจจะเปิด เพียงแต่พยักพเยิดหน้ามายังแขนข้างที่ใส่เฝือกอยู่ 

เขาจำต้องขยับตัวเข้าไปใกล้  ดึงกล่องออกจากถุง  เปิดกล่องบิ

ขนมปังฝรั่งขนาดใหญ่ ให้เป็นชิ้นๆ แล้ววางไว้ เธอใช้มือข้างขวาจับยัด

เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ คำโตอย่างคนตะกละตะกลาม 

ภาพในอดีตหวนมาให้น้ำตารื้นอยู่ที่ขอบตา เขารู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นอาการผิดปกติไปจากเดิมของหญิงสาว 

‘ติ ทำไม ติเคี้ยวข้าวคำใหญ่นักละ ค่อยๆ กินซิ ไม่มีใครแย่งหรอก นี่แบบนี้ ขนมปังก็บิแค่พอคำ แล้วก็ค่อยๆ เคี้ยว จะได้ดูเหมือนคนกรุงเทพฯ’

แต่มาวันนี้เธอเคี้ยวขนมปังคำใหญ่แสร้งว่ามันติดคอจนทำตาเหลือก แล้วก็รีบดูดน้ำอัดลมอึกใหญ่กลืนมันลงคอแล้วก็ระบายลมออกทางปากว่าอิ่มออกมา เขาเมินหน้าไปทางอื่น เบื่อที่จะบ่น เบื่อที่จะถามว่าทำอย่างนี้ทำไม เพราะคำตอบที่ได้คือ เงียบ 

เธอเงียบ และไม่เหมือนเดิมมาตั้งแต่วันที่พ่อของเธอตกลงมาจากบันไดขั้นสุดท้าย 

จนคอหักเสียชีวิตคาที่ ด้วยน้ำมือของคนเป็นแม่ 

“อิ่มแล้ว จะกินไหมจะได้ให้คนอื่น” เธอไม่ใช่คนหวงของ       มีอะไรเธอจะแบ่งปันให้เขาที่ขาดแคลนอยู่เสมอ ในระหว่างที่เรียนอยู่ชั้นประถม ด้วยอยู่ห้องเดียวกัน เขาไม่ต้องซื้อสีน้ำ หรืออุปกรณ์เสริมทักษะอย่างอื่นที่สามารถแบ่งกันใช้สองคน 

และเมื่อขึ้นมัธยมแม้จะอยู่คนละห้อง บางคาบที่เรียนวิชานั้นๆ ไม่ตรงกัน เธอก็ยังเอ่ยปากให้เขายืมอุปกรณ์ 

ตอนเรียนระดับชั้นปวช. บ้านเธอมีพิมพ์ดีด เขาสามารถยืมมาใช้พิมพ์รายงาน โดยมีข้อแม้ว่าเขาต้องพิมพ์ให้เธอด้วย แต่ถึงเขาจะเต็มใจทำให้ สุดท้าย เธอก็จะจ่ายค่าจ้างให้เขา ไม่เป็นเสื้อยืด อุปกรณ์การเรียน ก็ต้องเป็นของที่เขาสามารถเอาไปใช้เชิดหน้าชูตาได้ 

หากเขาขาดอะไร เธอพร้อมจะเติมให้เขาจนเต็ม 

 

สันติ ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง หยิบชิ้นพิซซ่าที่เหลือค่อนถาดส่งให้ป้าเตียงข้างๆ ได้ชิม แล้วนำส่วนที่เหลือมายัดเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวแบบที่เธอเคยสอน 

“ทำไมกินน้อยจังเลย” เมื่อกลืนของแพงที่ถูกเรียกว่าอาหารขยะลงท้องไปแล้ว เขาถึงเอ่ยถามเธอ

แน่นอนว่าไม่ได้คำตอบกลับมาแน่ 

“เจ้าโตเป็นอย่างไรบ้าง” เจ้าโต คือลูกหมาวัดที่วิ่งตามเธอครั้งเรียนอยู่ชั้นปวช. 3 มีรายงานเรื่องวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เธอซ้อนท้ายรถจักรยานของเขาไปยังวัดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเพื่อขอสัมภาษณ์พระสงฆ์ เมื่อลงจากกุฏิ เจ้าโตวิ่งตามออกมาจนถึงประตูวัด เขาปั่นรถจักรยานกลับเข้าไปส่งมัน แต่มันก็ยังวิ่งตามมาอีก จนกระทั่งหลวงพ่ออนุญาตให้เธอพามันกลับมาเลี้ยงที่บ้าน แต่เมื่อนำมาแล้ว มันสร้างปัญหาให้ เพราะไม่รู้จักที่ขับถ่าย เขานั่นแหละที่ถูกบังคับให้เก็บขี้ของมันเมื่อปั่นจักรยานไปส่งผ้าในตอนเย็นหลังเลิกเรียน จนตอนหลังเขาทนไม่ไหว จึงรีบตื่นแต่เช้าไปพามันออกมาจากบ้าน ให้ไปถ่ายยังพื้นที่รกร้างข้างนอก เจ้าโตก็เลยไม่เป็นภาระให้เขาและคนในบ้านอีกต่อไป 

“บ่นคิดถึงเจ้าของ”

“อย่าลืมเอาอาหารให้นกด้วยนะ” เธอสำทับมาอีก 

“ไปไหนไม่ได้ ก็เพราะหมาเพราะนกนี่แหละ ให้เอาไปให้คนอื่นก็ไม่ยอม”

“สงสารมัน เลี้ยงมานานแล้ว”

“แล้วไม่สนใจให้ข้าวให้น้ำมันเลย แบบนี้เรียกว่าสงสารหรือ”

“ก็มีคนเลี้ยงอยู่แล้วนี่ เคยอดที่ไหน เหลืออีกชิ้นกินให้หมดซิ”

“จะเอาไปฝากเจ้าโต” เจ้าโต หมาของมานี-มานะตามหนังสือแบบเรียนตอนที่ยังอยู่ชั้นประถมซึ่งเขาเป็นคนตั้งชื่อให้มันตามคำขอร้องของเธอ บางครั้งเธอก็เลยอ้างว่ามันเป็นหมาของเขาด้วย 

“พรุ่งนี้หมอจะให้กลับบ้านแล้ว เรื่องเงินพร้อมหรือยัง” เธอชอบเปลี่ยนเรื่องคุย จนบางครั้งเขาตามไม่ทัน

“กี่โมงล่ะ จะได้ให้แม่มาดูให้”

“อย่าไปยุ่งป้าเขาเลย กลับเองได้ ฝากเงินไว้เถอะ” เขาเรียกแม่ของเธอว่า ‘ป้า’ เธอก็เรียก แม่ของเขาว่า ‘ป้า’ เช่นกัน และอันที่จริงเธอก็มีเงินในบัญชีส่วนตัวซึ่งได้มาจากเงินประกันชีวิตของพ่อที่มีผู้รับผลประโยชน์หลังจากเสียชีวิตสองคน นั่นคือลูกสาวและภรรยา แต่เธอก็รู้ว่าเขาถือเงินของเธออีกก้อนจากค่ารถยนต์อันเป็นที่รักของพ่อ

“มารับก็ได้ คงก่อนเที่ยงมั้ง”

หญิงสาวแอบยิ้มที่มุมปาก

 

ชายหนุ่มรุ่นเดียวกันแต่แก่เดือนกว่าลับตาไปแล้ว อสมาภรณ์นอนลืมตาโพลง ภาพในอดีตผุดขึ้นมา

“เป็นอะไรติ หน้าตาซึมๆ”

“เปล่า ไม่มีอะไร” 

เธอรู้ว่าหน้าตาที่ซึมเศร้านั้นเป็นเพราะอะไร ตอนอยู่ ป.6 หัวหน้าห้องสุดหล่อเรียนเก่งที่สุดมาจีบเธอ เพื่อนๆ พากันล้อยกใหญ่ แล้วเธอกับเขาก็ตกลงเป็นแฟนกัน โดยพากันไปกินข้าวกลางวัน จับกลุ่มทำกิจกรรมด้วยกัน เธอรู้ว่า สันติมีใจให้เธอมากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’ แต่ว่าเธอ ไม่เคยคิดกับเขาเกินคำว่า เด็กจากบ้านนอกที่น่าสงสาร และตอนนั้นเธอก็รับไม่ได้ที่มีคนมาล้อว่าเธอกับเขาเป็นแฟนกัน ดังนั้นการรับรักหัวหน้าชั้นก็เพื่อกันข้อครหาในยุคที่เรียนอยู่โรงเรียนชั้นประถม 

และเขาเองก็เหมือนจะไปชอบอยู่กับเพื่อนอีกคน ที่พอตอนย้ายโรงเรียนก็ต่างคนต่างไป 

จนกระทั่งเข้าเรียนในระดับมัธยม พ่อของเธอไม่ได้ขับรถไปส่งเพราะว่าต้องเลี้ยวซ้าย-ตรงไป 

ในขณะที่โรงเรียนของเธอกับเขา ต้องข้ามสะพานลอยขึ้นรถเมล์แดงไปอีกทาง พ่อจึงเพียงแวะรับสันติแล้วปล่อยให้เธอกับเขาลงที่ตีนสะพานลอยแล้วไปโรงเรียนด้วยกันเหมือนเดิม 

ตอนอยู่ชั้น ม.1 เธอปิ๊งรุ่นพี่ชั้น ม.5 ซึ่งเป็นนักกีฬาฟุตบอล เธอตามเชียร์เขาทุกแม็ตที่มีการแข่งขัน 

 บางครั้งเธอให้สันตินั่งรอเธออยู่เชียร์นักกีฬาสุดหล่อ บางครั้งสันติก็ยอมรอ แต่บางครั้งเขาก็จะหนีกลับบ้านมาก่อน แต่ทุกๆ วัน เขากับเธอจะต้องไปเรียนด้วยกัน โดยมีบางวันที่สันติจะรีบปั่นการบ้านให้เธอก่อนที่โรงเรียนจะขึ้น หรือเธอเองต้องรีบลอกการบ้านของเขาก่อนเวลาส่งงานเพียงเล็กน้อย

และเหมือนทุกๆ ครั้ง เธอไม่ชอบใช้ใครฟรีๆ ด้วยไม่อยากให้ใครมาลำเลิกบุญคุณในคราวหลังได้ เธอจะต้องจ่ายค่าการบ้าน ค่ารายงาน เป็นสิ่งที่เขาขาดแคลน 

 ความยากจนของบ้านเขา ทำให้เธอรู้สึกอายที่ต้องเดินด้วยกัน แต่ว่าเธอก็ผลักให้เขาพ้นจากตัวไปไม่ได้เพราะว่าความสงสารความเห็นใจมันมีมากกว่า 

เพื่อนๆ เคยถามเธอว่าทำไมยังคบหากับสันติทั้งที่เขาทำให้เธอดูแย่ลงในสายตาของหนุ่มๆ 

เธอตอบเพื่อนไม่ได้ รู้แต่ว่า 2 ปีในระดับชั้นประถม 3 ปีในระดับมัธยม 3 ปีในระดับ ปวช. ที่มีเขาเดินตาม ช่วยถือกระเป๋า รับฟังทุกคำอุทธรณ์ เธอรู้สึกว่ามันอุ่นใจ