ความรักของคนสองคนจะยั่งยืนหากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - บทที่ 3 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 3 โดย เฟื่องนคร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,รัก,ชายหญิง,ผู้ใหญ่,เฟื่องนคร,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชายหญิง,ผู้ใหญ่,เฟื่องนคร

รายละเอียด

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน โดย เฟื่องนคร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความรักของคนสองคนจะยั่งยืนหากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน

ผู้แต่ง

เฟื่องนคร

เรื่องย่อ

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน หัวใจของเธอปฏิเสธเขามาโดยตลอด ทำให้ต่างฝ่าย ต่างต้องมีคนในหัวใจ ที่ไม่ใช่เจ้าของแท้จริง 'อสมาภรณ์' หญิงสาวมีปัญหาครอบครัว ประชดชีวิตโดยไม่สนใจอนาคตตนเอง 'สันติ' เพื่อนชายที่เติบโตมาด้วยกัน เขามีเธอผู้เดียวเป็นผู้ครอบครองหัวใจ ความดี ความผูกพัน ความรัก และระยะเวลาทำให้เธอล่วงรู้ว่าชีวิตของเธอจะขาดเขาไม่ได้ ทว่ารักแท้ที่อยู่ลึกสุดหัวใจกลับไกลห่าง เหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ อย่างนั้นหรือ?

สารบัญ

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-จากใจนักเขียน เฟื่องนคร,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 1 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 1,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 2 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 2,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 3 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 3,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 4 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 4,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 5 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 5,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 6 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 6,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 7 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 7,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 8 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 8,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 9 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 9,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 10 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 10,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 11 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 11,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 12 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 12,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 13 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 13,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 14 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 14,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 15 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 15,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 16 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 16,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 17 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 17,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 18 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 18,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 19 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 19,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 20 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 20,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 21 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 21,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 22 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 22,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 23 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 23,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 24 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 24,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 25 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 25,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 26 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 26,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 27 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 27,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 28 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - ตอนจบ

เนื้อหา

บทที่ 3 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 3

บ้านที่สันติอาศัยอยู่กับพ่อแม่เป็นตึกแถวสองชั้นครึ่ง ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของปากซอยลึกเข้าไป 50 เมตร ด้วยถนนคับแคบทำให้หาที่จอดรถยนต์ยากลำบาก เมื่อได้รถมาเป็นสมบัติของตนสันติยังคงจอดไว้ที่บ้านเจ้าของเก่า ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณ 400 เมตรแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าตรอกที่วนไปทะลุอีกตรอกได้ ไปอีก 200 เมตร ถ้าเขาจะใช้รถ คือต้องปั่นจักรยานไปจอดไว้ พอขับรถมาเก็บก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน

บ้านที่ยังเป็นบ้านเช่า บ้านที่ทำให้ฐานะของครอบครัวขยับดีขึ้น 

ตอนแรกที่พ่อกับแม่เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ เพียงแบ่งเช่าห้องที่เขาอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น พ่อเป็นยามเฝ้าตึก ส่วนแม่รับจ้างเป็นผู้ช่วยแม่ครัวอยู่ในร้านขายอาหารประเภทแกงถุงและตักราดข้าว เจ้าของบ้านเดิมประกอบอาชีพซักรีดเสื้อผ้า ในเวลากลางคืนหลังแม่กลับมาจากทำงานในร้านอาหาร ก็จะรับจ้างรีดผ้าไปด้วย จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลง สามีเจ้าของเดิมติดการพนันติดผู้หญิง เมียจึงประกาศเซ้งแล้วย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด แม่เห็นว่าเป็นช่องทางสร้างอาชีพที่จะเป็นนายตัวเอง ได้จึงรับเซ้งเสียเอง 

หลังจากให้อาหารแก่เจ้าโต นกหงส์หยก และปลาในบ่อ สันติก็เปิดประตูบ้านเข้าไปกวาดฝุ่นที่ห้องโถงรับแขก นึกอยากขึ้นไปยังห้องนอนของหญิงสาวที่อยู่ชั้นบนก็รู้สึกเหนื่อยหัวใจ 

สันติเปิดประตูรั้วและถอยรถยนต์เข้าไปเก็บไว้ในที่จอด

เกือบหนึ่งปีที่อดีตเจ้าของรถจากไป และเกือบหนึ่งปีที่บ้านหลัง

ที่เคยสว่างเริ่มมีเมฆหมอกมาปกคลุมจน กลายเป็นตำนานให้คนแถวนี้

กล่าวขาน 

สันติล็อกรถ เปิดไฟฟ้าที่หัวเสาประตูรั้ว ปิดรั้วลงกุญแจ แต่ก็ไม่

วายร้องสั่งเจ้าโตว่า “เฝ้าสมบัติให้ดีนะลูกชาย แล้วจะมีรางวัลให้” 

เจ้าโตเลียมือของเขา สันติตบหัวมันเบาๆ

“หายไปไหนละ” ลุงข้างบ้านฝั่งซ้ายที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้ที่ริมรั้วร้องทัก ทั้งซอยนี้ตรอกนี้ใครที่อยู่มาเกินสิบปีก็รู้จักว่าสันติกับอสมา-ภรณ์คบหากันมาอย่างไร แต่คนที่อยู่ทีหลังก็จะซุบซิบทำนองว่า เขาทั้งสองคนนั้นเป็น ‘คู่รัก’ กัน เพราะบ่อยครั้งที่อสมาภรณ์ซ้อนท้ายจักรยานที่เขาปั่นไปรอบๆ หมู่บ้าน 

“เข้าโรงพยาบาลครับลุง รถล้ม” บอกแล้วก็รีบเปลี่ยนเรื่อง ด้วยไม่ต้องการให้ซักถาม ไม่ต้องการประจาน ‘เพื่อน’ ให้คนอื่นสมเพชเวทนา เหมือนเพื่อนบ้านบางคนที่เอาเรื่องของอสมาภรณ์ไปพูดถึงตามร้านค้าละแวกนั้น

“ฝากฟังเสียงบ้านด้วยนะครับ” สำนวนนั้นหมายถึงเผื่อนอนอยู่ได้ยินเสียงกุ๊กกั๊กผิดปกติก็ให้รู้ไว้เลยว่าขโมยเข้าบ้าน

หลังกล่าวขอบคุณสันติก็ปั่นจักรยานโบราณคันเก่าเก็บของน้าที่เขาไปซื้อมาใช้เพราะเห็นว่ามันคลาสสิค ออกไปจากบ้านของอสมาภรณ์

 

เขายกมือไหว้แม่ที่กำลังยืนรีดผ้าเช่นทุกวันที่กลับถึงบ้าน ลูกจ้างสาวสองคนที่พักอยู่ในห้องชั้นล่างที่กั้นขึ้นใหม่ ปรายตามาหา เขาหลบวูบเพราะรู้ว่าพวกเธอส่งนัยอะไรออกมา

“เป็นอย่างไรบ้าง” แม่ทำงานไปคุยไป มือไม้เป็นระวิง เพราะช่วงเย็นๆ แบบนี้ คนที่มีบ้านอยู่ในซอยจะจอดรถรับผ้า มีเป็นบางบ้านเท่านั้นที่จะให้เด็กลูกจ้างขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งก่อนเวลาเลิกงาน 1 ทุ่ม 

แต่ก็มีอยู่บ้านเดียวเท่านั้นที่ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ วันที่เขาทำงานกินเงินเดือนสองหมื่นกว่าบาท เขายังต้องเป็นคนไป รับ-ส่ง เอง ‘บ้านของอสมาภรณ์’

สันติถอดรองเท้าแล้วนั่งนิ่งอยู่ที่โซฟา สีหน้าครุ่นคิดหนัก 

“พรุ่งนี้หมอให้กลับบ้านได้แล้ว แต่ไม่รู้จะไปก่อเรื่องอีกเมื่อไหร่”

“พยายามพูดเรื่องแม่ของเค้าหรือเปล่า”

“พูดทีไรทะเลาะกันทุกที”

“ถ้าแม่เป็นคุณอรชุน ติจะโกรธแม่ไหม”

“คนเราทุกคนต่างก็มีเหตุผล แอ๋มเขาก็มีเหตุผลของเขา แต่ผมมองว่ามันไม่ใช่เหตุผลที่ดี และการประชดประชันแม่ตัวเอง ก็ไม่น่าทำตัวให้ตัวเองตกต่ำแบบนี้”

“ถ้าแม่เค้าไม่ติดคุกอะไรจะเกิดขึ้นต่อมานะ”

สันติตอบไม่ได้ เขาขอตัวขึ้นไปยังห้องตัวเอง ผ่านชั้นลอย พ่อนอนหลับอยู่หน้าโทรทัศน์ที่เปิดรับสัญญาณทิ้งไว้ เขาลดเสียง แล้วจับคอของพ่อให้อยู่ในท่าที่สบาย ยิ้มแล้วก็สลดใจวูบเมื่อนึกถึงตอนที่เขากับอสมาภรณ์เปิดประตูบ้านเข้าไป จังหวะเดียวกับร่างของคุณลุงเกษมตกลงจากบันไดมาแน่นิ่งตาเหลือกคออยู่ในสภาพผิดรูป 

อสมาภรณ์กรีดร้องแล้วรีบวิ่งเข้าไปหา ถลึงตาไปยังที่หัวบันได จึงได้เห็นว่าใครมีหน้าตาซีดเผือดพร้อมกับน้ำตานองหน้า 

“แม่”

แล้วโลกก็หมุนกลับ อสมาภรณ์เป็นลม ชาวบ้านละแวกนั้นตะโกนโหวกเหวกวิ่งมาดู คุณอรชุนเอาแต่ร้องไห้อยู่ในห้องนอน เขาโทรตามตำรวจ แล้วค้นสมุดบันทึกเบอร์โทรศัพท์ ตามญาติของคนตายและคนที่ก่อเหตุมาจัดการ มีเสียงร้องไห้ด่าทอกันไปมาทั้งสองฝ่าย บ้างก็ว่า เป็นการป้องกันตัว บ้างก็ว่าทำเกินกว่าเหตุ บางคนก็เข้าใจเห็นใจคนลงมือ บางคนก็สาปแช่ง โดยที่ไม่มีใครสักคนสนใจคนที่นั่งร้องไห้อยู่อีกมุมหนึ่งของห้องครัว 

ญาติของลุงเกษมเอาศพไปจัดการ มีการแก่งแย่งในบรรดาพี่ๆ น้องๆ เรื่องซองช่วยงาน เพราะคุณเกษมทำงานบริษัทใหญ่และรู้จักคนเยอะ ญาติข้างคุณอรชุนไม่มีใครไปร่วมงาน อสมาภรณ์นั่งฟังเสียงญาติข้างพ่อด่าแม่ที่อยู่ในห้องขังตลอดงานโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาเลย 

เขารู้ว่าใจของ ‘เพื่อนสนิท’ คนนี้ร้าวราน เขารู้ว่าชีวิตที่เคยสดใสมีความรื่นรมย์อยู่ตลอดเวลากำลังจะเปลี่ยนไป แต่เขาไม่รู้ว่าชีวิตของ อสมาภรณ์คนมีพระคุณกับเขาจะเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ 

สันตินั่งลงบนเตียง หยิบกรอบรูปที่มีเขากับเธอ ถ่ายคู่กันตั้งแต่

ชั้นประถม มัธยมและระดับชั้นปวช. ที่ใส่กรอบทับซ้อนกันไว้มานั่งมอง รู้ใจตัวเองว่าคิดกับเธอมากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’ แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้

ที่ผ่านมาแม้เธอไม่ได้ปฏิบัติกับเขาแบบ ‘ลิ่วล้อ’ อย่างที่คนอื่นตาม ‘ล้อเลียน’ แต่พฤติกรรมที่ยอมเธอมาตลอดจนจบชั้น ปวช. ก็ไม่ได้แตกต่าง เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม เขาต้องยอมฟังคำพูดของเธอทุกอย่าง 

ด้วยกลัวเธอไม่มาหา กลัวเธอไม่ให้ของขวัญเหมือนเมื่อครั้งอยู่ชั้นประถมและมัธยมอย่างนั้นหรือ 

 

อสมาภรณ์โทรมาบอกเขาว่าหมอให้ออกจากโรงพยาบาลหลังเที่ยง เมื่อรู้เวลาที่แน่ชัดเขาจึงขอลางานครึ่งวัน ถึงโรงพยาบาลหญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิมตอนรถล้ม แม้ใบหน้าจะผ่องใสขึ้นมาแล้วแต่ก็ยังดูทรุดโทรมในความรู้สึกของเขา 

ระหว่างขับรถออกมาจากโรงพยาบาล เขาก็เอ่ยถามว่า 

“หิวอะไรไหม”

“เงินเหลือเท่าไหร่” 

เธอหมายถึงเงินสามพันของค่ารถต่อเดือนที่เขาถือครองจับจ่ายค่าใช้จ่ายแทนแม่ของเธออยู่ สันติหยิบสมุดบัญชีเล่มเล็กๆ ตรงคอนโซลหน้ายื่นให้ อสมาภรณ์ไม่เปิดดู เพราะเธอไม่ชอบวิชาบัญชี ตอนเรียนอยู่ปวช. 1 มีวิชาบัญชีพื้นฐาน ขณะที่สันติทำได้เกรด 4 แต่เธอที่เขาเคี่ยวเข็ญพยายามอธิบายให้เข้าใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำได้เพียงแค่เกรด 2

“ยอดคงเหลือของเดือนที่แล้วยกมา 5,890 บาท กับเดือนนี้ 3,000 รวมแล้วเกือบ 9,000 เพิ่งจ่ายค่าหมอไปสองพันกว่าบาทค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะมาตอนใกล้ๆ สิ้นเดือน จะใช้อะไรล่ะ” 

หญิงสาวนั่งนิ่ง ผิดท่าทางมีความสุขที่เขาเคยเห็นในรถคันนี้ เวลาขึ้นรถคันนี้ไปที่ไหนกับพ่อของเธอ อสมาภรณ์จะหน้าชื่นซักถามคนเป็นพ่อถึงเหตุบ้านการเมือง ภูมิประเทศ ถนนหนทาง ร้านอาหาร สิ่งแปลกตาใหม่ๆ ที่เข้ามาในความรู้สึกของเธออย่างไม่ได้เหน็ดเหนื่อย     ลุงเกษมมักจะพูดว่า “ขับรถพ่อว่าเหนื่อยแล้ว ฟังแอ๋มพูด กับตอบคำถามแอ๋มพ่อเหนื่อยกว่า”

ถ้าลุงเกษมเอ่ยมาอย่างนี้เธอจะสะบัดหน้ามาหาเขาที่นั่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่ด้านหลัง แล้วก็ถามเรื่องที่สนใจอื่นๆ แทน บางทีเขาตอบได้ก็ตอบ และถ้าตอบไม่ได้ มันจะค้างอยู่ในใจจนต้องไปหาคำตอบ มาให้หญิงสาวจนได้

“เพิ่งเปิดเรียนเปลี่ยนใจไปเรียนยังทันนะ” เขาเปรยออกมา  เบาๆ อสมาภรณ์เริ่มใช้มือข้างที่ไม่มีเฝือกเปิดเก๊ะค้นหาเทปเพลง ซึ่งเมื่อมาเป็นรถของเขาแล้ว จึงมีเพลงประเภทลูกทุ่งที่เขาชื่นชอบมากกว่าเพลงทันสมัยที่เธอเคยมี 

“แอ๋มจะหัดขับรถไหม” เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะถ้านั่งนิ่งแบบนี้ไม่ได้คำตอบแน่ 

สันตินึกถึงครั้งที่คุณลุงเกษมเคยหัดให้ทั้งเขาและเธอ อสมา-ภรณ์บอกกับพ่อว่า “ขอเป็นคนนั่งดีกว่า”

“ถ้าไม่มีพ่อขับให้นั่ง”

“ก็ต้องหาสามีมีรถ”

“ถ้าสามีไม่มีรถละ” พ่อเธอซักต่อ

“ถ้าไม่มีรถมาก่อนเป็นสามี ก็ไม่เอา” 

ดังนั้นเมื่อคุณอรชุนเอ่ยปากเรื่องรถยนต์คันนี้ เขาจึงรู้สึกดีใจว่า ยังมีรถขับให้เธอได้นั่งแทนว่าที่สามีตัวจริงของเธอ

“ถึงบ้านแล้วค่อยโทรสั่งพิซซ่ามากินแล้วกัน เอาหน้าอื่นบ้างดีไหม” สันติชวนถามในเรื่องที่คิดว่าน่าจะได้คำตอบ

“ขอบใจนะ” เธอเอ่ยออกมาพลางหันไปข้างถนน สันติมองตามไปเห็นใบหน้าเพียงครึ่งเสี้ยว พอดีโทรศัพท์ของเขาดังขึ้น แค่เสียงเรียกเข้าที่เขาตั้งไว้เป็นเสียงพิเศษก็รู้ว่าเป็นสายของใครเขาปล่อยให้มันดังอยู่อย่างนั้น มันเงียบเสียงแล้วดังอีกรอบ จนกระทั่งอสมาภรณ์ต้องกดรับสาย สันติจึงต้องหยิบมาสนทนา 

“ผมขับรถอยู่ครับ ออกมาพบลูกค้า” 

เขาโกหก อสมาภรณ์หันมามองหน้า แล้วหันไปยังถนน

“เย็นนี้หรือ ดูก่อนนะ เอาไว้สักก่อนงานเลิก จะโทรไปหาอีกที 

บายจ้ะ” เขาถอนหายใจเมื่อวางโทรศัพท์ลง

“แฟนโทรมาหรือ ทำไมไม่บอกว่าว่างล่ะจะได้ไปจู๋จี๋กัน”

ชายหนุ่มไม่ตอบเพราะคำตอบคือ เขาอยากดูแลเธอนั่นเอง 

 

เจ้าโตดีใจกระโดดโลดเต้นเข้าใส่เจ้าของซึ่งพยายามเบี่ยงตัวหลบไม่ให้ขาหน้าของมันมาโถมใส่แขนข้างที่ใส่เผือก 

“คิดถึง คิดถึง” อสมาภรณ์ใช้ประโยคเดียวกันเวลาทักกับหมาที่มอบความจงรักภักดีให้ 

“รู้แล้วว่า โตคิดถึง กินข้าวหรือยัง พ่อหนูให้ข้าวกินหรือเปล่า” พ่อหนู ก็คือสันตินั่นเอง สันติหยิบอาหารหมาจากกระโปรงท้ายรถมาส่งให้หญิงสาว เธอใช้แขนข้างที่ยังปกติเทใส่กะละมังของมันอย่างทุลักทุเล อ่างใส่น้ำที่ตั้งอยู่ข้างรั้วพร่องไป เขาไปเปิดก๊อกน้ำ หยิบขันตักน้ำปีนไปดูน้ำนกหงส์หยก แล้วก็ลงมาหยิบอาหารนกขึ้นไปอีกรอบ 

เจ้าโตยังคงวิ่งพันหน้าพันหลังหญิงสาวเมื่อกำลังจะไขกุญแจเข้าบ้าน 

“อย่าเอามันเข้าบ้านนะเคยตัว” 

นั่นคือคำสั่งของคุณอรชุนที่อสมาภรณ์พยายามฝ่าฝืนตอนที่คนสั่ง ‘ย้าย’ ที่อยู่ไปแล้ว

“มาเข้ามา” เธอกลับฝ่าฝืนคำสั่งของเขา 

สันติเดินตามเข้าไป 

“โทรสั่งพิซซ่าซิหน้าฮาวายเอี้ยน ถาดใหญ่เลี้ยงฉลองที่ได้กลับบ้าน ดีใจที่ยังไม่ตาย” หญิงสาวออกคำสั่งแบบแดกดัน

แม้จะมีโทรศัพท์มือถือใช้ แต่สันติก็เดินไปยังโทรศัพท์บ้านเพราะคำนวณแล้วว่าจะถูกกว่าโทรศัพท์ของตน

 

จัดการโทรศัพท์สั่งพิซซ่าแล้วสันติก็เดินเข้าครัว เปิดตู้เย็นเช็กดูว่ามีของกินอะไรเหลืออยู่บ้าง พบหมูบด ไข่สด นมเปรี้ยว นมกล่องพร่องมันเนย ไส้ในหม้อหุงข้าวยังมีข้าวที่หุงแล้วแช่เย็นอยู่ เขาครุ่นคิดว่าหมูที่มีอยู่ผ่านไปกี่วันแล้ว ผักคะน้า ผักกาดขาวที่เขาซื้อมาใส่ถุงมัดยางวงรักษาความสดไว้ยังอยู่ดีเฉย ปิดตู้เย็นแล้วเดินไปดูกระปุกโอวัลติน กาแฟ น้ำตาล ครีมเทียมไม่มีอะไรพร่องไป เธออยู่บ้านไม่ไปค้างที่ไหนมาเป็นอาทิตย์ไม่เห็นทำอะไรกิน 

เขาถอนหายใจออกมา บางทีงานยุ่งจนไม่ได้มีเวลาสนใจ บางครั้งก็จอดรถที่หน้าบ้าน แล้วก็เปิดรั้วเล่นกับเจ้าโตแล้วรีบปั่นจักรยานกลับบ้าน ด้วยรู้ว่าดึกดื่นไม่ควรอยู่ในบ้านนี้นานๆ เพราะเกรงเพิ่มคำครหา 

“ถือดีอย่างไรมาลบเบอร์ในเครื่องคนอื่นทิ้ง” ระเบิดตูมใหญ่ดิ่งลงที่กลางครัว สันติหันกลับไปมอง พบดวงตาเอาเรื่อง เขาลบเบอร์ในเครื่องทิ้งตอนที่เธอหลับอยู่บนเตียงคนไข้ เมื่อเจ้าทุกข์มาต่อว่าเขาจึงทำเป็นจัดขวดมันพืชน้ำปลา ไม่รู้ไม่ชี้ แต่พายุก็ยังไม่สงบ

“อย่าคิดนะ แบบนี้จะหยุดแอ๋มได้ ชีวิตเป็นของแอ๋ม โปรดให้สิทธิ์แก่เจ้าของชีวิตเขาด้วย” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดมากด้วยอารมณ์ขุ่น และเขาเองก็เริ่มขุ่นบ้างเช่นกัน

“เพื่อนอย่างนั้น แอ๋มยังจะคบหากับมันอีกเหรอ แอ๋มเห็นแล้วนี่ว่ามันทุกข์ร้อนกับแอ๋มไหม มันมีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แอ๋มไหม มันมีแต่จะพาแอ๋มลงเหวลงนรก”

“ตอนนี้แอ๋มไม่ได้ตกนรกหรือ” หล่อนตั้งคำถามให้เขาได้คิด

“นรกอะไร แอ๋มลืมตาดูซิ ทุกอย่างที่แอ๋มเคยมีมันยังอยู่ครบ “

“ติกำลังเข้าใจอะไรผิด แอ๋มสิ้นทุกอย่างไปแล้วต่างหาก แอ๋มตายไปแล้วต่างหาก ตอนนี้แอ๋มกำลังอยู่ในนรกเพื่อใช้เวรใช้กรรมอยู่”

“แอ๋มคิดไปเอง”

“คนแถวนี้เขารังเกียจแอ๋ม เอาแอ๋มไปนินทาว่าร้าย ญาติพี่น้องไม่มีใครสนใจแอ๋ม”

“ปู่ย่าชวนแอ๋มไปอยู่ด้วย แอ๋มไม่ไปเองนะ ญาติพี่น้องฝั่งแม่แอ๋มเขาก็ยังโทรมาถามถึงแอ๋ม บางคนก็มาเยี่ยมแต่แอ๋มไม่สนใจพวกเขา แล้วใครจะอยากมาหาอีก”

“แอ๋มไม่นับญาติกับฝั่งเค้าแล้ว”

“แม่แอ๋มนะ จะใช้เค้าได้อย่างไร” สันติให้สติอีกครั้ง

“เค้าไม่ใช่แม่แอ๋ม”

“แอ๋มหนีความจริงไม่พ้นหรอก เขาเป็นคนคลอดแอ๋มมา เป็น

คนเลี้ยงแอ๋มมาอย่างดีที่สุด เพียงความผิดพลาดแค่นั้น”

“ฆ่าพ่อตายเนี่ยนะแค่นั้น” น้ำตาหญิงสาวทะลักออก จังหวะ

นั้นออดก็ดังขึ้น สันติออกจากครัวรีบเปิดประตูออกไปจ่ายเงินแล้วรับกล่องพิซซ่าของโปรดของอสมาภรณ์

เขาถือมาวางไว้ที่โต๊ะกลาง แล้วกลับไปปิดประตูเหล็กดัดเพราะสามารถหลอกให้เจ้าโตที่เข้ามานอนพุงกางออกจากบ้านไปได้ 

อสมาภรณ์นั่งลงพิงผนังห้องครัวสายตาเหม่อลอย สันติเดินกลับไปหาแล้วนั่งยองๆ ลง

“ไปกินอะไรก่อน ตั้งแต่เช้ากินอะไรหรือยัง ผอมไปนะ” 

ตาสองคู่ประสานกัน แล้วอสมาภรณ์ก็ต้องเป็นฝ่ายหลบ

“ไปลุก” เขาส่งมือให้ อสมาภรณ์จ้องมองก่อนจะเอ่ยประโยคที่ลอดไรฟันมาว่า “ติอย่าทิ้งแอ๋มนะ แอ๋มไม่มีใครแล้ว”

“แอ๋มอย่าดื้อนักสิ” สันติพูดแค่นั้น เพราะถ้ามากกว่านั้นเธอก็จะตะแบงหรือฉุนเฉียวใส่เสียอีก

“ไปลุก เดี๋ยวจะเย็นหมด”

อสมาภรณ์ส่งมือให้เขา สันติลุกขึ้นแล้วดึงร่างแบบบางให้มายืนเคียงกัน 

 

พิซซ่าหมดถาดเพราะแบ่งให้เจ้าโตไปสองชิ้นแล้ว สันติก็ขึ้นไปยังชั้นสอง เปิดประตูห้องนอนหญิงสาว เดินไปยังตู้เสื้อผ้า เลือกเสื้อแขนกว้างกับกางเกงขายาวพร้อมชุดชั้นในและผ้าขนหนูออกมา 

เขาถือลงมาข้างล่าง

“อาบน้ำหน่อยไหมจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้า”

คนเจ็บนั่งพิงโซฟานิ่ง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้อสมาภรณ์ไม่ดูโทรทัศน์หรือรับข่าวสารทางใดอีก หญิงสาวไม่ไปเรียนหนังสือ เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปเดินป้วนเปี้ยนทักทายคนแถวนี้เหมือนเคย หรือไม่ก็หายตัวออกจากบ้านไปหลายวันจนเขากระวนกระวายแทบคลั่ง 

สันติวางกองเสื้อผ้าลงที่ข้างๆ ตัวเจ้าของ 

“ไปอาบน้ำ จะให้ติช่วยอะไรไหม”

“ไม่ต้องหรอก กลับไปเถอะ ดูแลตัวเองได้”

“ข้าวในหม้อที่แช่ตู้ไว้ พรุ่งนี้เข้าไมโครเวฟให้ไอ้โต คลุกกับปลากระป๋องสักครึ่งกระป๋องก็พอ ประหยัดๆ กันหน่อย”

“เรียกลูกว่าไอ้ได้อย่างไร” เธอทำเสียงขุ่นใส่ สันติเบ้หน้าซ่อนรอยยิ้มเหนือรอยโศกเศร้าไว้

“รักมัน ก็พยายามเอาใจใส่มันหน่อย อย่าทอดทิ้งมันบ่อยๆ ห่วงมันเยอะๆ เพราะมันก็รักแอ๋มมาก รึแอ๋มหมดรักมันแล้ว”

อสมาภรณ์หยิบนิตยสารแนวท่องเที่ยวจากบนโต๊ะกลางมาอ่านแทนการตอบคำถามของเขา

 

สันติเปิดประตูปั่นจักรยานกลับบ้านไปแล้ว อสมาภรณ์ ตัดสินใจกดหมายเลขโทรศัพท์ที่จำเบอร์ได้จนขึ้นใจ “กลับมาบ้านแล้ว คืนนี้ไปซิ่งที่ไหนกัน มารับบ้างซิ”

“หายดีก่อนค่อยว่ากัน เบื่อพ่อแกบ่นว่ะ เมื่อกี้นี้มันเพิ่งโทรมาบอกว่าอย่าชวนแกไปไหนอีก”

“แกเชื่อมันซิ” พอลับหลังหญิงสาวก็ใช้สรรพนามหยาบๆ แทนตัวเขา 

“ไม่กลัวหรอก แต่แกหายก่อนแล้วกันถึงจะไปรับ แค่นี้นะ อยากกินอะไรไหมจะซื้อไปฝากพรุ่งนี้”

“จะมากี่โมง เช้า หรือค่ำจะได้หิ้วท้องรอถูก”

“ไม่ต้องหิ้วหรอก อาจจะไม่ได้ไป ถ้าเมาหนัก แค่นี้นะ”

“เฮ้ย บุหรี่ไม่มีว่ะ ซื้อมาให้ด้วยนะ”

“ร้านใกล้ๆ บ้านแกก็มี”

“ไม่เอาปากมาก เกลียดมัน ไม่อยากอุดหนุนอะไรมัน เอามาให้ด้วยนะ หงุดหงิด”

“แอ๋ม ไอ้ติมันห่วงแกนะ อย่างไรก็ฟังๆ มันบ้าง” ปลายสายเปลี่ยนน้ำเสียง

“ถ้าแกพูดมากฉันจะเปลี่ยนแก๊ง”

“เออน่ะ จะเอายาไปให้ แต่อย่าสูบมากละ แกผอมมากเลยนะ กินข้าวกินปลาบ้างหรือเปล่า”

“ขอบใจที่ห่วง ยังไม่ตายง่ายๆ หรอก”

วางสายจาก ‘ไอ้ม่วย’ แล้วอสมาภรณ์ก็มองกองผ้าที่สันติถือลงมาให้ หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาดม 

ไม่ได้ต้องการกลิ่นผ้า แต่เธออยากซึมซับความห่วงใยของเขาไว้ในใจ เพราะมันทำให้รู้สึก ‘อุ่น’

บางครั้งอยากให้มันอุ่นมากกว่านี้

แต่ เมื่อก่อนเธอรังเกียจว่าเขาด้อยกว่า 

แต่ ตอนนี้เธอไม่ปรารถนาชีวิตคู่อีกแล้ว