ความรักของคนสองคนจะยั่งยืนหากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน
รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,รัก,ชายหญิง,ผู้ใหญ่,เฟื่องนคร,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หัวใจไม่ใช้เส้นขนานความรักของคนสองคนจะยั่งยืนหากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน
หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน หัวใจของเธอปฏิเสธเขามาโดยตลอด ทำให้ต่างฝ่าย ต่างต้องมีคนในหัวใจ ที่ไม่ใช่เจ้าของแท้จริง 'อสมาภรณ์' หญิงสาวมีปัญหาครอบครัว ประชดชีวิตโดยไม่สนใจอนาคตตนเอง 'สันติ' เพื่อนชายที่เติบโตมาด้วยกัน เขามีเธอผู้เดียวเป็นผู้ครอบครองหัวใจ ความดี ความผูกพัน ความรัก และระยะเวลาทำให้เธอล่วงรู้ว่าชีวิตของเธอจะขาดเขาไม่ได้ ทว่ารักแท้ที่อยู่ลึกสุดหัวใจกลับไกลห่าง เหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ อย่างนั้นหรือ?
เช้าวันรุ่งขึ้นอสมาภรณ์รู้สึกฉุนกับพฤติกรรม แสดงตัวเป็นเจ้าชีวิตของสันติอีกแล้ว
“ป้าคะ เสื้อกับกางเกงของแอ๋ม บางตัวไม่มีอยู่ในตู้ ยังไม่ได้ซักหรือคะ” บางตัวนั้นคือ กางเกงขาสั้น และเสื้อกล้าม เสื้อสายเดี่ยว กระโปรงสั้นเพียงคืบ
“ไม่มีอะไรเหลือที่นี่แล้วนี่หนูแอ๋ม ติเอาไปให้หมดแล้ว”
อสมาภรณ์ถอนหายใจออกมา ก่อนจะกดมือถือต่อสายตรงหาเขา ปลายสายไม่ยอมรับโทรศัพท์เธอยิ่งหงุดหงิด นับวันสันติจะมีธุระหน้าที่การงานที่ยุ่งขึ้นทุกวัน ในขณะที่เธอเหมือนคนว่างงาน แต่เธอว่างเสียที่ไหน การพักผ่อนใจที่อ่อนล้านี้ ก็ถือว่าเป็นการทำงานเช่นกัน เธอยังไม่พร้อมเรียนหนังสือ ไม่พร้อมทำงานใดๆ ทั้งสิ้น อยากกิน นอน เที่ยวเล่นให้เบื่อ ทดแทนความตั้งใจฝ่าฟันสู้เป็นเด็กดีเพื่อให้พ่อแม่ชื่นใจ
แต่สุดท้ายพ่อกับแม่เองที่ทำให้เธอเสียใจ สร้างความอัปยศอับอายโดยไม่คิดถึงชีวิตของเธอ
แล้วโทรศัพท์เครื่องของเธอ ซึ่งมีเพียงเบอร์ของเขาที่ยังบันทึกไว้ก็ดังขึ้น
“มีอะไรครับเจ้านาย” เขาแหย่เธอกลับมา อารมณ์ขุ่นของอสมาภรณ์หายไปนิด แต่เธอจะยอมเขาไม่ได้เช่นกัน
“เอาเสื้อผ้าแอ๋มไปไว้ไหน”
“ก็อยู่ในตู้ทุกตัว”
“รับมาซะดีๆ ว่าเอาไปไว้ที่ไหน”
“มันโป๊ มันสั้น แอ๋มจะใส่ทำไม มันอันตราย แอ๋มไปกับพวกไอ้ม่วย มันยิ่งน่ากลัว ติเป็นห่วงแอ๋มนะ”
เจอเหตุผลนี้เข้าอสมาภรณ์จึงหมดอารมณ์เอาชนะ แต่เธอก็ยัง
ยอมแพ้ไม่ได้
“แอ๋มโตแล้ว ยี่สิบสองเท่ากัน ไม่ต้องมาห่วง ไม่ต้องมาวุ่นวาย ไม่ต้องมาก้าวก่ายกับชีวิตของแอ๋ม หรือถ้าพูดตรงๆ ก็คืออย่า ส. ใส่ เกือก นั่นเอง”
“ไม่ได้” เขารีบตอบกลับมาอย่างไม่ได้รู้สึกผิดกับการถูกตำหนิจากเธอสักนิด อสมาภรณ์รู้สึกอึดอัดใจเมื่อเขาไม่สำนึก
“กินอะไรบ้างหรือยัง เที่ยงกว่าแล้วนะ เอาข้าวให้ไอ้โตด้วย”
“บอกแล้วว่าอย่าเรียกมันว่าไอ้ มันหยาบคาย”
“แล้วเมื่อกี้ใครหยาบคาย” เขาย้อนกลับมา อสมาภรณ์หน้าจ๋อย เพราะเธอเองนั่นแหละที่เคยสอนให้เขาเป็นคนสุภาพอ่อนหวานโดยเฉพาะกับสุภาพสตรี นั่นคือประโยชน์ของเธอเอง
“เย็นนี้เอาเสื้อผ้ามาคืนด้วย ไม่งั้นจะซื้อใหม่” สำหรับสันติคนมัธยัสถ์อดออมต้องเอาเรื่องเงินมาขู่
“ไม่ ถ้าซื้อมาอีกจะเอาไปเผาทิ้งอีก”
“บ้า บ้า บ้า” เธอตะโกนใส่โทรศัพท์ก่อนจะโยนมันลงบนโซฟา
สันติยิ้มค้างเมื่อวางโทรศัพท์มือถือของตนลง แล้วก็ต้องหุบปากเพราะสายตาของวัชรีวรรณที่มองมา
“เถียงกับใครคะ” หญิงสาวอยากรู้ อย่างไม่ได้นึกถึงมารยาท
“เพื่อนครับ” เขาไม่เคยเล่าเรื่องอสมาภรณ์ให้ใครในที่ทำงานได้รู้ นอกจากเล่าเรื่องวารุณีให้เจ้านายฟังเพื่อความสบายใจเท่านั้น
“แต่รอยยิ้มแบบนี้มันบอกว่าเป็นรอยยิ้มของคนที่ดูสมหวังในความรัก”
สันติทำหน้าแปลกใจ
“หรือครับ”
“กิ๊กหรือเปล่าคะ ตอนที่คุณสันติคุยกับคุณวารุณี วรรณไม่เห็นคุณมีสีหน้าอย่างนี้”
“เพิ่งรู้ว่าคุณวรรณเป็นกูรูเรื่องความรัก”
“ก็นิดหน่อยค่ะ พอเดาสีหน้า ท่าทาง พฤติกรรมของคนกับอารมณ์ของเขาได้ ชอบอ่านหนังสือจิตวิทยา”
สันติทำหน้าเหลอหลา นี่หล่อนกำลังเล่นจิตวิทยาอะไรสักอย่าง
กับเขาหรือเปล่า
“ถ้าอย่างนั้นคุณวัชรีวรรณก็ดูออกซิครับว่าใครสน ใครรัก ใครเกลียดคุณ”
สันติปล่อยหมัดตรงสวนกลับไป วัชรีวรรณเชิดหน้าแล้วเบนสายตาไปทางห้องของเจ้านายหนุ่ม
“วรรณทำตามเสียงร้องของหัวใจค่ะ ถ้าหัวใจมันบอกว่าใช่ แม้ต้องเจ็บปวดวรรณก็จะเล่นกับมัน คุณสันติเถอะค่ะ ระวังนะคะ ดูสับสนแบบนี้ระวังจะเสียใจทีหลัง”
เสียงออดดังที่ในบ้าน อสมาภรณ์ละมือจากอาหารพิเศษสำหรับเจ้าโต แล้วเดินออกจากครัวไปเปิดประตูบ้านทั้งที่ยังอยู่ชุดกางเกงขาสามส่วนเสื้อยืดแขนกุดคอวีและมีผ้ากันเปื้อนปิดทับ
หญิงสาวรีบปิดประตูลงเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่หน้าประตู
ประตูบานนั้นถูกผลักเข้ามา อสมาภรณ์รีบหันหลังให้เพื่อให้เขารู้ว่า เธอไม่อยากมองหน้า ไม่อยากได้ยินเสียง และที่สำคัญไม่ต้องการต้อนรับ
แขกที่ไม่ได้รับเชิญมายืนถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ด้านหลัง เจ้าโตที่นอนอยู่หรี่ตามามอง อสมาภรณ์นึกอยากให้มันเป็นหมาที่ดุร้ายสมตัวมันบ้าง แต่เจ้าโตก็เป็นหมานิสัยดีต้อนรับแขกด้วยท่าทีกันเอง และเธอเคยถามสันติ เขาก็บอกว่า เพราะมันเป็นหมาวัด จึงมีความ ‘เจียมตัวเจียมตน’ เป็นพิเศษ จึงไม่เคยทำร้ายใคร
“ไม่ได้เจอกันเกือบปี แอ๋มเป็นอะไร ทำไมใส่เฝือก” ดูเขาเรียงร้อยคำพูดไม่ถูกเหมือนกัน
“มาทำไม” อสมาภรณ์เผลอตัวขึ้นเสียงถามกลับไป
“ได้ข่าวว่า ที่บ้านแอ๋มมีปัญหา”
“คงเอาไปคุยกันทั่ว แต่แปลกนะเรื่องเกิดจะพอปี แต่พี่ภัทร์เพิ่งได้ข่าว” อสมาภรณ์ยังยืนหันหลังให้เขา เขาแตะที่แขนของหญิงสาว อสมาภรณ์เอี้ยวตัวหลบมือที่คุ้นเคยของเขา
เขาเป็นรุ่นพี่ในโรงเรียนพาณิชย์ของเธอ ห่างกันหนึ่งชั้นเรียน สมัยที่เธอเรียนอยู่ระดับชั้นปวช. เขาเป็นนักกีฬาฟุตบอล กีฬาที่เธอโปรดปราน เมื่อเธอไปเชียร์จนออกนอกหน้า นักกีฬากับกองเชียร์จึงตกลงเป็นแฟนกันตอนที่เธออยู่ปวช. 2 และเขาอยู่ชั้นปวช. 3 จนกระทั่ง เขาเรียนจบไปต่อในมหาวิทยาลัยเอกชน ความสัมพันธ์นั้นก็ยังคงอยู่ จนเธอเรียนจบและย้ายที่เรียนตามเขาไป ความรักเบ่งบานหวานชื่นจนกระทั่งเขาเรียนจบและเธออยู่ชั้นปีที่ 4 เขาเข้าทำงานและถูกย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด และก่อนจะมีเรื่องในบ้านหลังนี้ เธอได้รับข้อความภาพจากเพื่อนผู้ปรารถนาดี
มันเป็นภาพที่เขาหวานชื่นอยู่กับผู้หญิงอื่น เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าโลกมันถล่มทลาย รู้สึกว่าความรักมันนำมาซึ่งความเจ็บปวด และยิ่งมาเจอความรักจนต้องมีคนตายกันไปข้าง อย่างกรณีของพ่อกับแม่
เธอก็เลยสิ้นศรัทธา
ความรักมีจริงหรือ
และตั้งแต่วันที่เธอส่งข้อความที่ได้รับจากเพื่อนกลับไปให้เขารู้ ว่าเธอรู้ เขาเองก็หายลับไม่ส่งข่าวกลับมาอีกเลย จนกระทั่งวันนี้ เขาจะกลับมาทำไม
“พี่เสียใจด้วยนะแอ๋ม”
“แอ๋มก็เสียใจที่ต้องเชิญพี่กลับออกไป” ตัดสินใจตัดสัมพันธ์ให้เด็ดขาดออกไป
“แอ๋ม จะไม่ถามหรือว่าพี่มาทำไม”
“จะมาแจกการ์ดหรือคะ”
“พี่จะบอกว่าพี่ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯแล้ว ได้งานใหม่ แล้วพี่ก็ไม่มีพันธะกับใครแล้วด้วย”
อสมาภรณ์ยังไม่ต่อปากต่อคำเขาจึงต้องพูดต่อ
“ใช่ที่ผ่านมาเป็นเรื่องจริง พี่ทรยศต่อความรักที่แอ๋มมีให้พี่ พี่ถึงไม่ติดต่อกลับมาเพราะพี่ละอายใจ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่ก็ลืมแอ๋มไม่ได้ เรารู้จักกันมานานนะแอ๋ม เรารู้ใจกันทุกอย่าง พอพี่รู้ใจตัวเอง พี่ก็เลยพยายามที่จะแกะมือเค้าออก”
“เพิ่งแกะได้เหรอคะ คงเบื่อเค้าแล้ว รึว่าเค้าเรียกร้องอะไรแล้ว
พี่ให้ไม่ได้ พี่ถึงได้หันกลับมาหาแอ๋ม”
“พี่เป็นผู้ชาย มันก็ต้องมีเผลอไผลไปบ้าง”
“อยากจะดีใจนะคะ แต่ว่าแอ๋มยังเข็ดอยู่ค่ะ พี่กลับไปเถอะ”
“วันนี้พี่กลับก่อนก็ได้ แต่พี่ยังขอโอกาสกับแอ๋มนะ ขอให้พี่ได้ทำตัวให้แอ๋มไว้ใจจนเราได้คบหากันเหมือนเดิมต่อไป”
“เรื่องของอนาคตค่ะ แต่ตอนนี้ ต่างคนต่างอยู่ก่อนดีกว่า”
“พี่รู้ว่าแอ๋มยังไม่มีใคร แอ๋มก็ยังรักพี่อยู่ใช่ไหม”
อสมาภรณ์หันหลังกลับมามองหน้าของเขา จมูกของเขาโด่งได้รูป ผิวพรรณบ่งบอกถึงชาติตระกูลร่างที่สูงกว่า 180 เซนติเมตร และด้วยเป็นนักกีฬาทำให้ใครๆ ต่างอยากพิชิตหัวใจของเขา ตอนนั้นเธอรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ได้ควงเขาเป็นแฟน ยิ่งพอเธอไปแสดงตัวว่าเป็นแฟนของเขาในรั้วมหาวิทยาลัย นักศึกษาสาวๆ รุ่นเดียวกันต่างพากันอิจฉาที่เธอมีแฟนหน้าตาดีพร้อมขับรถรับส่ง ดูแลกันจนน้ำตาลร่วงเกลื่อน
“แอ๋มไม่ใช่อสมาภรณ์คนเดิมแล้ว บ้านแอ๋มไม่เหมือนเดิม พ่อตาย แม่ติดคุกเป็นข่าวหน้าหนึ่ง พ่อแม่พี่คงไม่มีวัน อยากได้คนอย่างแอ๋มไปเป็นลูกสะใภ้เหมือนเดิมแล้วค่ะ มันจบแล้วพี่ภัทร์ ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์มาสะกิดแผลเก่า อุตส่าห์มาทำให้แอ๋มรู้สึกว่าโลกมันน่าอยู่ขึ้น แต่หมดเวลาของแอ๋มกับพี่แล้วค่ะ”
“ทำไมแอ๋มไม่เรียนให้จบ คงไม่ใช่เรื่องการเงินหรอกนะ ถ้าใช่พี่ยินดีช่วยเหลือ” เขาแสดงน้ำใจออกมา
“แอ๋มยังไม่มีอารมณ์จะเจอหน้าเจอตาเพื่อนคนไหนทั้งนั้น ถ้าแอ๋มไปเรียน รุ่นน้องก็ซุบซิบ อีกอย่างแอ๋มอยากอยู่แบบนี้ไปสักพัก”
“แต่เวลามันเคลื่อนไปข้างหน้าโดยที่ไม่รอเรานะแอ๋ม”
“อนาคตเป็นของแอ๋มค่ะ ขอแอ๋มตัดสินใจมันด้วยตัวของแอ๋ม เพราะถ้ามันจะถูกหรือผิด แอ๋มก็ดีใจว่าแอ๋มเป็นคนเลือกมันเอง ไม่ใช่ปล่อยให้ใครมาทำมันพังเหมือนที่ผ่านๆ มา”
“เพราะพี่ด้วยใช่ไหมแอ๋มถึงเป็นอย่างนี้”
“มันเข้ามาพร้อมๆ กันพอดี มันถึงคราวโกลาหลของแอ๋มเอง กลับไปเถอะค่ะ แอ๋มจะเอาข้าวให้เจ้าโตกิน”
เขาเดินไปลูบหัวเจ้าโต หมาที่เขาเคยคุ้น ในช่วงที่เรียนอยู่มหา-
วิทยาลัยเขามาที่บ้านนี้เป็นประจำเพราะพ่อกับแม่อนุมัติรถเก๋งมือสอง
มาไว้ให้ใช้หนึ่งคัน
“ติเป็นไงบ้าง”
“สบายดี”
“มีแฟนหรือยัง” เขาเอ่ยปากถาม พลางลุกขึ้นยืนดูนกหงส์หยกสองตัวที่เขาเป็นคนซื้อให้เธอ
“หรือตกลงเป็นแฟนกับเขาไปแล้ว” เขารู้มาตลอดว่าสันติมีใจให้อสมาภรณ์มากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’ แต่อสมาภรณ์บอกกับเขาเองว่า มีใจให้สันติได้แค่คำว่า ‘เพื่อน’ เท่านั้น
หญิงสาวเข้าบ้านปิดประตูลงกลอนเงียบไป ไม่ตอบคำถาม ไม่ไล่เขากลับด้วยวาจา แต่ก็ถือว่าเสียมารยาทมาก
“เจ้าโต ฉันกลับก่อนนะ วันหลังจะมาใหม่ จะเอาขาไก่ที่แกชอบมาฝากด้วยดีไหม” ภูวภัทร์เอ่ยเสียงดังให้คนในบ้านได้ยิน แต่ถึงกระนั้นก็ต้องตะโกนเข้าไปอีกรอบ
“แอ๋มพี่กลับก่อนนะ” ไม่มีเสียงตอบแต่เขาก็ยังใจชื้นที่เธอไม่ด่าว่าเขามากกว่านี้ และที่สำคัญไม่เจอกันเกือบปี เพิ่งมาวันแรกจะให้เธอให้อภัยในทันทีได้อย่างไร และที่ทำให้เขามีกำลังใจยิ่งขึ้นคือผมทรงนี้กับท่าที ‘สวยเริ่ดเชิดหยิ่ง’ ทำให้เธอน่ารักขึ้นอีกไม่ใช่น้อยทีเดียว
รถยนต์สีดำแล่นออกจากหน้าบ้านของอสมาภรณ์ตอนที่รถยนต์สีขาวหักเลี้ยวเข้าตรอกมา เมื่อสวนกันระหว่างทางสันติอดชะลอรถและชะเง้อมองผ่านกระจกไปดูไม่ได้ว่าเป็นรถยนต์ของใคร
แต่เขาก็ไม่รู้
หลังทักทายเจ้าโต เขาก็เปิดประตูบ้านเข้าไป ในห้องโถงไม่มีร่างของอสมาภรณ์ เขาเดินไปในครัว หญิงสาวยืนนิ่งอยู่หน้ากะละมังข้าวพร้อมกับหมูบดที่กำลังมีกลิ่นหอมอยู่ในกระทะเทฟล่อน
“ฮ้อมหอมทำอะไรกิน” เขาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีถึงแม้จะหวั่นใจว่าระเบิดเวลาจะแตกเมื่อไหร่ ก็เขาไม่อยากให้เธอใส่เสื้อผ้าพวกนั้น เขาเป็นห่วงนี่ ผิดด้วยเหรอ
เมื่อเห็นว่าเขามา อสมาภรณ์ก็ทิ้งตะหลิว ปลดผ้ากันเปื้อนโยนทิ้งแล้วเลี่ยงขึ้นห้องนอน
“เฮ้ย หมูไหม้แล้วจะทำอะไรล่ะเนี่ย”
หญิงสาวไม่ตอบ สันติรีบเข้าไปหน้ากระทะแล้วจัดการจนมันสุกแต่มันเป็นอาหารสำหรับคนหรือหมาล่ะ
เขาถือวิสาสะเดินขึ้นชั้นสองที่มีห้องอยู่สามห้อง มันถูกแบ่งเป็นห้องส่วนตัวของหญิงสาวที่ใช้ห้องน้ำห้องเดียวกันกับห้องของพ่อแม่ และห้องเล็กที่เป็นห้องพระ เขาเคาะประตูเบาๆ อสมาภรณ์ไม่ได้ล็อก
“ใครมาหาเหรอ” เขาตัดสินใจถามเรื่องที่ข้องใจโดยที่ยังยืนนิ่งคาประตู อสมาภรณ์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เสยผมขึ้น แล้วพ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมาแล้วตอบว่า “พี่ภัทร์”
สันติมีสีหน้าสลดวูบลง
“เขามาทำไม” น้ำเสียงของเขาผะแผ่วลงโดยอัตโนมัติ อารมณ์กลัวว่าจะเสียหญิงสาวไป เกิดขึ้นเป็นริ้วๆ ในความรู้สึก
“มาขอคืนดี”
“แล้วแอ๋ม”
“เจ็บแล้วต้องรู้จักจำ”
เขายิ้มที่มุมปาก ดีใจที่เธอยังอยู่อย่างนี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี
“หมูทอดนั่นทำให้ไอ้โตใช่ไหม”
“บอกว่าไม่ให้ใช้คำว่า ไอ้”
“วันนี้ติอยากกินหมูกระทะ ไปไหม”
“เลี้ยงเบียร์ด้วยนะ” หญิงสาวยิ้มขึ้นมา
“ไม่ เป็นผู้หญิงริสิ่งเหล่านี้ทำไม จะไปไหม”
“เลี้ยงเบียร์จะไป”
“ก็แขนยังเจ็บอยู่กินได้เสียที่ไหน” เขาอ้างเหตุผลที่ดูหนักแน่นกว่า
“ไปซิ เซ็งเหมือนกัน”
สันติหมุนตัวนำลงบันได แล้วหูของเขาก็ได้ยินเสียงแหวฝ่าอากาศเย็นฉ่ำมาว่า
“เฮ้ย เรื่องเสื้อผ้าว่าไง ยังไม่ได้ชำระความกันเลย มานี่เลย มาให้ด่าซะดีๆ เลยนะ ไอ้ติไอ้บ้า”
เมื่อวิ่งลงมาจากชั้นบนสันติก็รีบเข้าครัวคลุกข้าวในกะละมังกับ
หมูบดทอด ราดน้ำปลาแล้วรีบเอาไปเทใส่กะละมังของเจ้าโตแล้วรีบเดินกลับเข้าครัวล้างกะละมังกับกระทะเข้าที่ แล้วก็ตะโกนเรียกอสมาภรณ์ซึ่งน่าจะกำลังแต่งตัวให้ลงมาจากชั้นบน เขาออกมายืนรอหญิงสาวที่นอกบ้านพลางดูเจ้าโตนอนละเลียดอาหารเข้าปาก
“สบายจริงๆ นะมึง”
พอดีกับที่หญิงสาวเปิดประตูออกมา เขาจึงรีบเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเจ้าโต
“สบายดีนะเอ็ง กินก็ยังนอนสบาย อิจฉาจริงวุ้ย งานการไม่ต้องทำ กินอิ่มนอนหลับ มีเงินใช้ฟุ่มเฟือย ดูหนังบ้าง เล่นเกมบ้าง มีคนมาง้ออีก”
อสมาภรณ์กระแอม เพราะรู้สึกว่ามันเข้าตัวหล่อนมากกว่าคุยกับหมา เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“อร่อยป่ะ ฝีมือแม่หนูเลยนะ สุดฝีมือเลยนะเนี่ย” เขาพูดเอาใจเจ้าโต
อสมาภรณ์มองไปยังรองเท้าผ้าใบแบบสวมหุ้มส้นที่วางเคียงกันอยู่ที่หน้าประตู
“ติว่าใส่คู่นี้ไปดีกว่า” สายตาของเขาอยู่กับร่างแบบบางซึ่งอยู่ในชุดกางเกงขาสามส่วนสีชมพูอ่อนกับเสื้อยืดคอกลมสีขาวลายการ์ตูนน่ารักเหมือนกับกิ๊บที่ติดอยู่บนผมของเจ้าหล่อน สันติจ้องมองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งสะดุ้งเมื่อเห็นดวงตาของเจ้าหล่อน
อสมาภรณ์ขยับเท้าไปหารองเท้าที่วางอยู่ หญิงสาวยัดปลายเท้าเข้าไป หมายใจเพียงสวมแค่ปลายเท้าและกะจะเหยียบส้น แต่ว่าสันตินั่งลง
“ทำอะไร”
เขาไม่ตอบแต่ดึงส้นที่ยืดได้นั้นขึ้น
“เดี๋ยวก็ล้มหัวฟาดพื้นกัน” เขาบอกถึงผลจากความประมาท
“ขอบใจ แต่คราวหลังไม่ต้องนะ น่าเกลียด” หญิงสาวชักสีหน้าไม่พอใจให้เขาก่อนเปิดประตูรั้วพาตัวเองออกไป
...
นานทีเดียวที่เธอไม่ได้ซ้อนจักรยานของเขาแบบนี้ มือเรียวขาวสะอาด อยากจับไปที่เอวให้อุ่นใจแบบตอนเด็กๆ แต่ว่าก็ทำได้เพียงสัมผัสไปที่ชายเสื้อเชิ้ตสีครีมที่ปล่อยออกนอกกางเกงแล้วพับแขนขึ้นมาจนอยู่เหนือศอก หลังของเขา พะเยิบพะยาบตามจังหวะของเท้าที่หมุนอยู่กับบันได เขาหอบแฮกๆ เพราะว่าร้านหมูกระทะเจ้าอร่อยนั้นอยู่ที่เลยลึกเข้าไปของซอยนี้ ซึ่งสามารถออกถนนใหญ่ได้อีกสาย
“ให้เอารถมาก็ไม่เอา” ประโยคนั้นคือความเห็นใจ
“ออกกำลังกายบ้าง รู้สึกตัวเองอ้วนขึ้น กลัวเสื้อกับกางเกงคับน่ะ” เขาบอกเหตุผลซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงทั้งหมด ความจริงคือเขาอยากให้เธอนึกถึงเมื่อครั้งที่เธอกับเขายังไม่มีบัตรประชาชน
ตอนนั้นเธอเป็นของเขาเพียงคนเดียวไม่มีใครแบ่งปันความรู้สึกของเธอไปจากเขาได้
เขากับเธอเหมือนร่างกายกับเงา มันอยู่คู่กันมาถึงแปดปี
แต่เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป เมื่อร่างกายของ ‘เงา’ เริ่มทำตามเสียงร้องเรียกของหัวใจ เธอก็ผละหนีจากไป ทิ้งเงาให้ปวดร้าวทรมาน
“ใส่เสื้อเบอร์อะไร”
“คนจนอย่างพี่ ไม่มีเงินเป็นอำนาจ จะไม่สามารถ บังคับสะกดจิตใจ คนสวยของพี่ จึงคิดจะมีรักใหม่ ไปนั่งท้ายมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ เมดอินเจแปน จักรยานของพี่ราคาไม่กี่ร้อยบาท ถึงช้าอืดอาด แต่ก็ เมดอินไทยแลนด์ ต้องใช้ขาปั่น รถพี่มันถึงจะแล่น ไม่เหมือนรถเครื่องต่างแดนยิ่งเร่งยิ่งแล่นเพราะใช้น้ำมัน…รองตรองดูเถิดหนา ขวัญใจ จักรยานกับมอเตอร์ไซค์ อย่างไหนปลอดภัยกว่ากัน รถพี่ช้า กว่า แต่ช้าปลอดภัยถึงบ้าน มอเตอร์ไซค์วิ่งไวชนกัน ถึงโรงพยาบาลมาแล้วมากมาย”
เขาร้องเพียงท่อนหนึ่งของเพลง จักรยานคนจน ผลงานของยอดรัก สลักใจ ผสมกับเสียงเหนื่อยหอบออกมาแทนคำตอบที่หญิงสาวต้องการ
และเมื่อได้ยินเสียงเพลงลูกทุ่งของเขา มือที่จับที่ชายเสื้อก็ขยับไปสัมผัสให้ความรู้สึกอุ่นไปถึงผิวที่เส้นใยของผ้ากั้นไว้ เธอรู้ตลอดมาว่าหลังจากพ้นสถานะที่มีคำนำหน้าว่าเด็กชายเด็กหญิง เขามีความรู้สึกกับเธออย่างไร ดังนั้น เธอจึงต้องรีบถอยเพราะไม่อยากให้เขาเจ็บปวด
การย้ายที่เรียนโดยไม่สนใจความรู้สึกของเขา ก็เพื่อให้เขา ค่อยๆ ห่างไปจากชีวิตของเธอ ตอนเช้าเธอนั่งรถไปจนถึงที่ทำงานของพ่อแล้วนั่งรถต่อไปมหาวิทยาลัย ส่วนเขายังคงเดินไปขึ้นสะพานลอยข้ามไปอีกฝั่งแล้วนั่งรถไปโรงเรียนพาณิชย์โดยไม่มีเธอเคียงข้างตลอด 2 ปี จนกระทั่งเขาจบปวส. แล้วเข้าทำงาน
สองชีวิตที่เคยคุ้นแยกไปกันคนละทางถึง 4 ปี แต่บ้านหลังนี้ ด้วยหน้าที่ส่งผ้าของเขา เธอจึงยังได้พบเห็นได้คุยทักทายกับเขาแม้ไม่สนิทสนมเท่าเดิม
และบ่อยครั้งที่เขามาพบเธออยู่กับพี่ภูวภัทร์นักเรียนรุ่นพี่จากรั้วโรงเรียนพาณิชย์ที่บ้าน
สีหน้าของเขาเกลื่อนกล่นปิดความรู้สึกผิดหวังไว้ไม่มิด
เพื่อนที่โรงเรียนพาณิชย์บอกกับเธอว่า เขาเปลี่ยนความผิดหวังเสียใจเป็นการมุมานะเรียนจนได้เกรดสี่ทุกวิชาและยังบ้าตื๊อเรียนพิเศษภาษาอังกฤษกับครูฝรั่งที่บ้านในวันเสาร์-อาทิตย์
แล้ววันนี้เขาก็ได้ดีอย่างที่มุ่งหวัง
ส่วนเธอกับพี่ภูวภัทร์ไปกันคนละทาง ครอบครัวเคยอุ่นก็อันตรธานหายไปเหมือนสวรรค์แกล้ง