ความรักของคนสองคนจะยั่งยืนหากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - บทที่ 5 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 5 โดย เฟื่องนคร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,รัก,ชายหญิง,ผู้ใหญ่,เฟื่องนคร,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชายหญิง,ผู้ใหญ่,เฟื่องนคร

รายละเอียด

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน โดย เฟื่องนคร @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ความรักของคนสองคนจะยั่งยืนหากทั้งคู่รู้จักปรับตัวเข้าหากัน

ผู้แต่ง

เฟื่องนคร

เรื่องย่อ

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน หัวใจของเธอปฏิเสธเขามาโดยตลอด ทำให้ต่างฝ่าย ต่างต้องมีคนในหัวใจ ที่ไม่ใช่เจ้าของแท้จริง 'อสมาภรณ์' หญิงสาวมีปัญหาครอบครัว ประชดชีวิตโดยไม่สนใจอนาคตตนเอง 'สันติ' เพื่อนชายที่เติบโตมาด้วยกัน เขามีเธอผู้เดียวเป็นผู้ครอบครองหัวใจ ความดี ความผูกพัน ความรัก และระยะเวลาทำให้เธอล่วงรู้ว่าชีวิตของเธอจะขาดเขาไม่ได้ ทว่ารักแท้ที่อยู่ลึกสุดหัวใจกลับไกลห่าง เหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ อย่างนั้นหรือ?

สารบัญ

หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-จากใจนักเขียน เฟื่องนคร,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 1 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 1,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 2 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 2,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 3 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 3,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 4 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 4,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 5 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 5,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 6 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 6,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 7 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 7,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 8 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 8,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 9 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 9,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 10 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 10,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 11 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 11,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 12 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 12,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 13 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 13,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 14 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 14,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 15 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 15,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 16 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 16,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 17 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 17,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 18 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 18,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 19 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 19,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 20 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 20,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 21 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 21,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 22 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 22,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 23 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 23,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 24 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 24,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 25 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 25,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 26 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 26,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 27 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 27,หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน-บทที่ 28 ตอนจบ

เนื้อหา

บทที่ 5 หัวใจไม่ใช้เส้นขนาน - 5

กลับถึงบ้านแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดกางเกงขาสั้นเสื้อกล้ามกระโดดขึ้นเตียงนอน สันติก็เปิดสัญญาณโทรศัพท์ ทันทีที่โหลดโปรแกรมเรียบร้อย มีข้อความแจ้งให้เขาทราบถึงสายที่ไม่ได้รับมากกว่า 20 สาย ไม่กดปุ่มทำรายการต่อก็รู้ว่าเป็นโทรศัพท์จากใคร 

เขาครุ่นคิดหาข้อแก้ตัว ทั้งที่ใจจริงอยากให้ความสัมพันธ์กับหญิงสาวจบเสียแต่ตอนนี้ 

แต่ว่ามันจะจบลงง่ายๆ อย่างนั้นหรือ เกือบสามปีที่คบหากันมา เขามัดหัวใจเธอไว้แน่นหนาเพียงไหน หากเขาบอกความจริง เธอจะเจ็บปวดเพียงไหน สันตินึกถึงครั้งที่อสมาภรณ์ทุรนทุรายเพราะรูปภาพ สวีทหวานระหว่างพี่ภัทร์กับหญิงอื่นที่เพื่อนผู้หวังดีส่งมาให้ 

หญิงสาวร้องห่มร้องไห้ กินไม่ได้นอนไม่หลับไปตั้งหลายคืน จนกระทั่งวันอาทิตย์เขาเห็นว่าเธอน่าจะมีเวลาว่างสำหรับเขาแล้ว เขาจึงเอ่ยปากชวนให้เธอไปดูหนังเป็นเพื่อน แม้หนังจะสนุกแค่ไหนแต่เธอก็ยังซึมเศร้าจนกระทั่งหนังจบ เธอขอกลับบ้านกลับมาเจอภาพเหตุการณ์ที่ร้ายยิ่งกว่า 

เมื่อเขาและเธอถึงที่หน้าประตูรั้ว พ่อแม่มีปากเสียงกันอยู่ชั้นสอง เป็นครั้งแรกที่อสมาภรณ์รู้ว่า พ่อไม่ใช่ผู้ชายที่รักครอบครัวร้อยเปอร์เซ็นต์ 

“บอกว่าไปสัมมนา คนเขาโทรมารายงานกันให้แซ่ดไปหมดว่าคุณนอนกกกับอีนังนั่นอยู่ที่ไหน ยอมรับมาเสียดีกว่า อย่าให้ฉันต้องตามไปทำให้เรื่องมันจบลงเอง” แม่เสียงดัง 

“ผมบอกว่าผมไม่ได้ คุณนี่เห็นคนอื่นดีกว่าผมที่หาเลี้ยงคุณหรืออย่างไร”

“เดี๋ยวนี้มีขึ้นเสียงเหรอ เมื่อก่อนคุณไม่เป็นคนอย่างนี้”

“ผมทนมานานแล้วต่างหาก ผมเบื่อ เบื่อคนพูดมากขี้บ่นอย่างคุณ วันๆ เอาแต่มานั่งจ้องหวาดระแวงว่าผมจะไปถึงไหน ถามจริงๆ แค่ที่ผมส่งเสียเลี้ยงดูคุณกับลูกให้อยู่สุขสบายนี่มันไม่พอหรือไง ปล่อยให้ผมมีความสุขตามประสาผมไม่ได้หรือไง”

“ยอมรับแล้วใช่ไหมล่ะว่าคุณมีคนอื่น ยอมรับแล้วใช่ไหม”

“เออ”

“คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร” น้ำเสียงของป้าอรชุนเกรี้ยวกราดยิ่งขึ้น

แล้วก็มีเสียงตุ้บตั้บโอดครวญดังขึ้นจากชั้นบน ตอนนั้นอสมา-ภรณ์จึงตัดสินใจเข้าบ้านเพื่อไปห้ามศึก แต่เธอกลับได้พบภาพอันน่าสลด 

ทั้งเรื่องพี่ภัทร์และเรื่องพ่อกับแม่เข้ามาพร้อมๆ กันทำให้ อสมาภรณ์เสียสติ ส่วนป้าอรชุนเองเมื่อรู้ว่าผู้ชายเป็นอื่นก็คลั่งจนควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ และถ้าวารุณีรู้ว่าเขากำลังจะตีจากล่ะ สันตินึกถึงอารมณ์เกรี้ยวกราดหลายต่อหลายครั้ง เมื่อรู้ว่าเขาให้ความสำคัญ   อสมาภรณ์มากกว่าเดิมในช่วงหลังมานี้ พิษรักแรงหึงไม่เข้าใครออกใครเสียจริงๆ ปากเธออาจจะบอกว่าจบ แต่ใจของวารุณีอาจจะอาฆาตคิดทำร้าย และเขาจะให้อสมาภรณ์มารับผลจากการกระทำนี้ของเขาไม่ได้ 

เขาจะค่อยๆ ให้วารุณีคลายมือ แต่จะทำอย่างไรดีละ เขาไม่เคยมีแฟน ไม่เคยบอกเลิกกับใคร

โทรศัพท์ในมือของเขาดังขึ้นอีกครั้ง เขารีบกดรับพร้อมกับกรอกเสียงตอบรับกลับไปทั้งที่ยังคิดหาคำพูดประกอบไม่ได้ 

“ติเหรอ ปิดโทรศัพท์ทำไม” น้ำเสียงคล้ายสะกดอารมณ์พลุ่งพล่านไว้

“ผม คะคะคือวันนี้มีประชุมตอนเย็น ผมปิดเครื่องไว้ เพิ่งมาเปิดดูเมื่อกี้นี้เอง กำลังจะโทรกลับ พอดีวาก็โทรกลับมาเสียก่อน วามีอะไรหรือ”

“เดี๋ยวนี้ต้องมีอะไรถึงจะโทรหาได้หรือ” มีคำถามย้อนกลับมา ใช่ซิ เมื่อก่อนพอโทรศัพท์ดังเขาก็จะมีเรื่องรายงานความเป็นไปในแต่ละวันให้เจ้าหล่อนรับทราบ ไปทำอะไร กับใคร กินข้าวมื้อกลางวันที่ไหน กับใคร รสชาติเป็นอย่างไร คุยกันเรื่องเหตุบ้านการเมือง ดินฟ้าอากาศ รสนิยมที่ชอบ คุยกันหลายเรื่อง แต่ตอนนี้เขารู้สึกอึดอัดหัวใจ ยิ่งมาตั้งคำถามแบบนี้อีก 

“ก็ยังคุยได้เหมือนเดิม เพียงแต่ผมย้ายที่ทำงานใหม่แล้ว ความรับผิดชอบมันมากขึ้น เวลาปวดหัวก็ไม่อยากเอาอะไรไปสุมให้วาได้เครียดอีก งานวาก็เครียดพอแล้วไม่ใช่หรือ”

แปลกใจตัวเองว่ากะล่อนเอาตัวรอดไปจนได้ ได้อย่างไร 

“งั้นหรือ วานึกว่า ช่างมันเถอะ”

“นึกว่าอะไร” เขารุกเร้าเอาคำตอบ เพราะถ้าวารุณีเป็นฝ่ายเบื่อเธอก็จะปล่อยมือจากเขาเองเช่นกัน

“นึกว่าติกำลังจะนอกใจวานะซิ แต่ถ้าติทำจริงๆ ตายอย่างเดียว”

“ขนาดนั้นเลยหรือ”

“ไม่รู้ รู้แต่ว่า พอรู้ว่าติจะไป วารู้สึกว่าคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้สักที”

สันตินึกถึงตอนที่คุณอรชุนตบตีคุณลุงเกษมจนกระทั่งผลักกันตกบันไดลงมา อารมณ์ผู้หญิงมันรุนแรงกว่าที่เขาคิดไว้เยอะจริงๆ

“ฟังวาอยู่หรือเปล่า”

“ฟังซิ กำลังหวาดๆ อยู่เนี่ย”

“ถ้าติไม่ได้นอกใจวาก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ก็ละนะผู้ชายมักไม่บอกอยู่แล้วว่ากำลังนอกใจจนกว่าผู้หญิงจะจับได้ไล่ทันเอง”

“คุยเรื่องอะไรซีเรียสจัง”

“เค้าเป็นอย่างไรบ้างละ” คำถามคล้ายกำลังดักไว้ให้เขาพูดความจริงออกมา แต่เขาก็เลือกที่จะโกหก

“ไม่รู้”

“นึกว่าตามไปเฝ้าดูแลกันอยู่ ห่างๆ กันได้แล้วนะ อย่าใกล้ชิดมาก เพราะความใกล้ชิดเป็นบ่อเกิดของความรักและความเห็นใจ”

วารุณีพูดถูก และเพราะใกล้ชิดกันมายาวนานนี่เองจึงทำให้เขาตัดใจจากอสมาภรณ์ไม่ได้ ทุกซอกทุกมุมของหัวใจเขามันมีแต่อสมาภรณ์เท่านั้น ที่ผ่านมากับวารุณีมันเป็นเพียงวิธีที่รักษาความเจ็บปวดหัวใจของผู้ชายเห็นแก่ตัวเท่านั้น

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นเบอร์ของไอ้ม่วย อสมาภรณ์รีบกดรับเพราะรู้สึกเบื่อที่ต้องนั่งอยู่แต่ในบ้าน

“โทษทีนะ พอดีเมื่อวานเมื่อคืนไม่ว่าง ก็เลยไม่ได้ไปหา”

“ดีนะที่ยังโทรมาบอกตอนนี้” อสมาภรณ์ตอกกลับไป 

“คืนนี้มีแข่งพนันเงินกัน จะลงขันด้วยไหม”

“ใครแข่ง แกเหรอ”

“เออ กับ กลุ่มไอ้กวัก ถ้าแข่งกับผู้หญิง เอ๊ย แข่งกับอีทอมหนึ่งต่อหนึ่ง ถ้าแข่งกับผู้ชายสอง-หนึ่ง ก็เลยเลือกแข่งกับผู้ชาย” ทางนั้นบอกเรื่องราคาต่อรองมา 

“เราจะลงเท่าไหร่ก็ได้ มันพร้อมสู้ ตกลงลงขันไหมจะได้ไปเอาเงิน”

“ถ้าไม่ได้ไปเชียร์ด้วย ไม่เอาหรอก ไม่ได้ความตื่นเต้น”

“แขนแกยังไม่ดีอย่าออกมาเลย”

“แล้วแกโทรมาตามทำไม”

“โอเคถ้าหาเงินไม่ได้ จะไปรับแล้วกัน ไม่ใช่ไม่ห่วงนะ ห่วงนะโว้ย แต่ไม่มีเวลาไปดูแลว่ะ อีกอย่างพ่อแกมันก็สั่งไว้ว่าอย่ามายุ่งกับแกอีก ไม่งั้นมันจะอัดให้น่วม”

“กลัวมันซิ พวกแกใช่น้อยหรือ” ‘มัน’ ที่คนทั้งคู่เอ่ยถึงก็คือ ‘สันติ’

“อยากให้ยำมันจริงหรือเปล่าล่ะ รู้หรอกว่า เอาเข้าจริงๆ แกก็จะตายเอาอีก ถึงเค้าจะเป็นอย่างนี้แต่เค้าก็มีหัวใจโว้ย มันห่วงมันรักแก ฉันก็ดูออก”

“หยุดพูดเลย”

“ไม่พูดก็ได้ เออแค่นี้นะจะเก็บตังค์ไว้โทรหาสาวๆ”

“แล้วฉันนี่ไม่สาวเหรอแก”

“ผอมมีแต่กระดูกอย่างแกกระเดือกไม่ลงว่ะ อย่างไอ้ม่วยมันต้องขาวอวบเอ็กซ์อึ๋มและก็ดูเร้าใจ” ไอ้ม่วยยังบรรยายสรรพคุณสาวๆ ของมันอยู่นานจนกระทั่งอสมาภรณ์แกล้งตัดสายทิ้ง 

ถึงแม้จะยังอายที่แขนยังมีเฝือกแต่จะให้ทนอยู่บ้านทั้งวัน    อสมาภรณ์ก็ทำไม่ได้ เวลาบ่ายโมงหญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวนั่งรถมอเตอร์-

ไซด์รับจ้างมายังห้างสรรพสินค้า หาบรรดาอาหารขยะใส่ท้องแล้วก็ปรี่ไปซื้อตั๋วเข้าชมภาพยนตร์ หัวเราะบ้าง ขำบ้าง ร้องไห้ปล่อยใจให้กับบทบาทของนักแสดง จนกระทั่งหนังจบ หญิงสาวก็ออกจากห้องมืดที่จัดเก้าอี้ให้นั่งดูฉากมายา มาผจญกับความเป็นจริงของชีวิต 

ความเหงาแล่นเข้ามาเยือน ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีอนาคตเพื่อใคร มีแต่ตัวเอง กับความสุขอันกะพร่องกะแพร่งเท่านั้น เดินดูนั่นดูนี่ฆ่าเวลา จนกระทั่งไปหยุดที่ร้านขายเสื้อบุรุษ ตั้งแต่งานรับปริญญาของสันติ เธอก็ไม่เคยซื้อของขวัญอะไรให้เขาอีกเลย สองเท้าก้าวยาวๆ ไปยังแผนกเสื้อผ้าผู้ชาย แล้วเธอก็เห็นหลังของภูวภัทร์ไหวๆ อยู่กับเสื้อทำงานของผู้ชาย หญิงสาวจะหันหลังหนีแต่เหมือนกับเขามีตาอยู่ข้างหลัง เขาหันมาร้องเรียกเธอไว้ 

“แอ๋ม” เขากรากเข้ามาหายิ้มกว้าง อสมาภรณ์ยิ้มเก้อๆ ไม่คิดว่าจะได้พบกับเขาโดยบังเอิญที่นี่ หากเป็นก่อนได้พบเขาเมื่อวานนี้ เธอคงจะตบหน้าเขาสักฉาดที่บังอาจทำให้เธอขื่นขม 

“มาหาซื้ออะไรหรือแอ๋ม”

“มาดูเสื้อผู้ชาย จะซื้อเป็นของขวัญให้เพื่อน”

“งั้นให้พี่ช่วยเลือก และก็มาช่วยเลือกให้พี่ด้วย พี่จะเริ่มงานตอนสิ้นเดือน ดีจังเลยเจอแอ๋มวันนี้ เหมือนเป็นนิมิตหมายอันดีนะ”

“หรือคะ” หญิงสาวทำหน้าปั้นยาก แต่ชายหนุ่มหาได้สนใจ เขาดึงข้อมือข้างขวาของหญิงสาวเข้าไปยังราวเสื้อที่แขวนเสื้อเชิ้ตหลากสีสัน 

 

สันติชะงักเท้าในขณะที่เดินเคียงคู่มากับวารุณี หญิงสาวทำงานในสำนักงานของห้าง และวันนี้เธอรีบโทรไปชวนเขาแต่เช้าว่าอยากเดินตากแอร์เล่น สายตาของสันติหยุดนิ่งอยู่กับหนุ่มสาวสองคนที่ยิ้มให้กันหลังจากที่มือที่สะดวกข้างเดียวของหญิงสาวทาบเสื้อลงที่ตัวของชายหนุ่มหน้าตาดีคนที่สาวคนไหนเห็นก็ต้องเหลียวหลังกลับไปหาอีกครั้ง 

“ใครหรือติ” วารุณีเอ่ยถาม

“เพื่อน”

สันติจะก้าวเท้าต่อ พอดีกับที่อสมาภรณ์หันมาเห็น 

“อ้าวติ” คนที่ยืนอยู่เคียงข้างกับหญิงสาวเอ่ยทัก สันติยิ้มให้ เขาฉุดข้อมือของอสมาภรณ์ขยับเข้ามาหา จึงจำเป็นที่ต้องมีการแนะนำคนยืนข้างๆ ให้อีกคนได้รู้ 

“นี่พี่ภัทร์ นี่แอ๋ม และนี่วาครับ”

“แฟนนาย”

“ครับ”

เมื่อได้ยินคำตอบแม้ไม่เต็มคำ สีหน้าของอสมาภรณ์ก็สลดวูบลง 

วารุณีถึงบางอ้อกับปฏิกิริยาของสันติในทันที แม่แอ๋มเธอได้ยินชื่อมานาน ตั้งแต่ตอนที่สันติวุ่นวายอยู่กับงานศพของตัวพ่อของแม่คนนี้ ช่วงนั้นเขาแทบจะลืมเธอ อ้างแต่ว่ากำลังยุ่งๆ เธอเห็นใจเพราะเป็นเรื่องคนเป็นคนตายที่เขาอ้างว่ามีบุญคุณ และบ่อยครั้งที่เขาอ้างกับเธอว่า    แม่แอ๋มก่อเรื่อง เช่นหายออกไปจากบ้านไปเจ็ดวันโดยไม่ส่งข่าวคราว มีอยู่หนึ่งครั้งที่สันติเที่ยวได้ตระเวนขับรถไปหาตามบ้านเพื่อนที่พอรู้จักหญิงสาวจนเสียงานเสียการจนเป็นที่มาของการลาออกจากงานแล้วหาที่ทำงานใหม่ 

หน้าตาสะสวยทีเดียว แต่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่หล่อนก็รู้จักดี แสดงความเป็นเจ้าของจนออกนอกหน้าอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว 

“คุณวาทำงานที่นี่หรือครับ”

“ค่ะ ชุดฟอร์มฟ้องขนาดนี้” วารุณีเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มหวาน

“คุ้นๆ หน้า เคยเห็นกันที่ไหนหรือเปล่าครับ” หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อยในขณะที่ถาม

วารุณีเอ่ยชื่อโรงเรียนมัธยมชื่อดังที่ตนเคยเรียนออกไป 

“ใช่แล้ว รุ่นน้องพี่ใช่ไหม” สีหน้าของเขาคล้ายจะดีใจที่รู้ว่าคนรู้จักเป็นคู่รักของสันติ

“จุดไต้ตำตอดีนะครับ” สันติต้องคุยเพื่อสร้างบรรยากาศไม่ให้อึดอัด 

เขาอึดอัดเพราะสีหน้าไร้ความรู้สึกของอสมาภรณ์

“โลกมันไม่ได้กว้างนักหรอกค่ะ ตกลงได้อะไรกันหรือยังคะ     ติกับวา ขัดจังหวะพี่ภัทร์กับแฟนแน่ๆ เลย”  วารุณียัดเยียดเจ้าหล่อนคืน

ให้เขาไปบ้าง 

“ขอตัวพี่เขาก่อนดีกว่าติ เราจะไปหาอะไรกินกันค่ะ ไปก่อนนะคะ”

สันติแลสบตาของอสมาภรณ์แล้วต้องเดินไปเพราะแรงฉุดของวารุณี 

 

หลังเลี้ยงอาหารเย็นในร้านอาหารญี่ปุ่นแล้วเขาก็ขับรถกลับมาส่งอสมาภรณ์ที่หน้าบ้าน ระหว่างที่เลือกซื้อผ้า จนกระทั่งเข้าร้านอาหารและนั่งรถกลับมา เขาเอาแต่พูดคุยเพื่อให้หญิงสาวมีอารมณ์ร่าเริงเช่นครั้งที่คบหากันเป็นแฟน แต่ว่าอสมาภรณ์ก็ซ่อนอารมณ์หม่นเศร้าไว้ไม่ได้เช่นเมื่อก่อน หญิงสาวถามตัวเองว่าเป็นเพราะอะไรจึงสลัดอารมณ์ขุ่นให้หลุดออกไปจากใจได้ยาก คำตอบที่ได้คือภาพของพ่อที่ร่วงบันไดลงมานอนนิ่งอยู่ต่อหน้าต่อตา เสียงหวีดร้องที่หลุดออกมาเองคราวนั้นทำให้รู้สึกโลกใบนี้มันมีสองด้าน นั่นคือความมืดและความสว่าง และเธอก็ตกลงสู่ห้วงของความมืดจนหาทางออกได้อย่างยากเย็น 

“ม่วยมารับฉันหน่อย อย่างไรแกต้องมาก่อนที่ฉันจะโทรหาแก๊งอื่น”

“เป็นอะไรของแกเนี่ย” ไอ้ม่วยโวยวายกลับมา 

“มาเหอะ สองพันพอเดิมพันกับพวกมันไหม”

 

สันติเปิดประตูบ้านเข้าไป เปิดไฟจึงได้เห็นถุงของห้างวางไว้บนโต๊ะกลาง เขาถือวิสาสะเปิดถุงกระดาษออกดูจึงได้เห็นว่าข้างในมีเสื้อเชิ้ตตัวสีขาวมีลายจางๆ สีฟ้ากับสีเหลืองบริเวณสาบหน้าและขอบของปกเสื้อ ถึงไม่ได้เอ่ยปากแต่เขาก็รู้ว่าอสมาภรณ์ต้องการซื้อเสื้อตัวนี้มาให้เขา แต่ตอนนี้เธอหายไปไหน สันติตัดสินใจโทรศัพท์หา เสียงของมันดังอยู่ในครัวนี่เอง มีร่องรอยว่าเธอจัดการกับอาหารของเจ้าโตแล้ว สันติกดดูเบอร์โทรออกเป็นเบอร์ของไอ้ม่วยซึ่งเขามั่นใจว่าถ้าโทรย้อนกลับไปมันจะไม่รับสายเขาเด็ดขาด และในเครื่องก็มีเบอร์ใหม่ที่เจ้าหล่อนเพิ่งจะบันทึกไว้ ก็คือเบอร์ของพี่ภัทร์

สันตินั่งไม่ติดที่ ใจเริ่มทุรนทุราย 

เขาเปิดประตูรั้วรีบขับรถออกจากหน้าบ้าน ถึงแม้จะเดาไม่ถูกว่าไอ้ม่วยจะพาอสมาภรณ์ไปไหน แต่ให้เขากลับเข้าบ้านไปนอน เขาก็คงนอนไม่หลับ สันติขับรถไปตามท้องถนน นึกถึงแหล่งที่จะมีเด็กวัยรุ่นนำรถมอเตอร์ไซค์มาแข่งขันกัน แต่ก็คงไม่แข่งกันตั้งแต่ยังไม่ถึงเที่ยงคืนแบบนี้ เขาขับรถเข้าไปในปั๊มน้ำมัน จอดรถแล้วโทรศัพท์หาคนที่เขาอยากคุยด้วยอีกคน 

“พี่ภัทร์หรือครับ ผมสันติ”

“เอาเบอร์พี่มาจากไหน แล้วติมีอะไร”

“อยากคุยเรื่องแอ๋มครับ”

“อยากคุยทางโทรศัพท์หรือจะนั่งคุยกันดีละ”

สันติเอ่ยชื่อปั๊มน้ำมันในย่านที่ตนจอดรถอยู่ออกไป ปลายสายจึงนัดในร้านเหล้าที่อยู่ละแวกนั้น

 

จะรักทำไม ให้เจ็บให้ช้ำ รักทำไม ให้เหนื่อยให้ล้า อยู่กันไป ก็เปลืองเวลา ก็มีแต่ทุกข์ในใจ ที่เขาดีๆ ทำไมไม่รัก รักทำไมแต่คนไม่ดี จะมัวทนอย่างนี้ ทำไมทำไมอยู่ จะทนเพื่ออะไร มีแต่เสียใจ

ท่อนฮุกของเพลง ‘คนดีทำไมไม่รัก’ ทำให้สันติต้องนั่งมองนักร้องบนเวทียกพื้นเตี้ยๆ ด้วยสายตาครุ่นคิด มันเหมือนกับชีวิตของเขา หรือชีวิตของคนที่นั่งฟังเขาระบายอยู่ตรงหน้านี้หนอ 

“แล้วติจะให้พี่ทำอย่างไร”

“พี่ต้องถามตัวเองก่อนว่าการกลับมาครั้งนี้พี่จะจริงจังกับแอ๋มเขาแค่ไหน ที่ผมเล่าให้พี่รู้ไว้ก็เพราะว่าเขาไม่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นข้อที่ผมห่วงคือ ผมกลัวพี่จะทำเธอเจ็บปวดอีก ในกรณีที่พี่รับกับความเป็นแอ๋มในวันนี้ไม่ได้”

“พี่ก็ว่าเขาปกตินะ จะแปลกๆ หน่อยก็ตรงดวงตาเศร้าๆ แล้วก็พูดไม่ค่อยมีน้ำเหมือนเมื่อก่อน”

“แต่มันผิดไปจากแอ๋มคนเดิมมาก ไม่ยอมเรียนหนังสือ ไม่สนใจอนาคต แถมทำตัวได้แย่ลงได้จนผมนึกไม่ถึง แขนที่เข้าเฝือกก็เพราะคบกับพวกแก๊งซิ่งรถ มันเป็นเพื่อนสมัยประถมนะครับ”

“ที่เขาเป็นอย่างนี้น่าจะเป็นเพราะพี่ด้วยนะ เอาเป็นว่าพี่จะลอง

ดูกับเขาสักตั้งแล้วกัน ขอบใจนะที่มาบอกกัน แอ๋มรู้คงดีใจ ที่อย่างน้อยมีใครสักคนที่รักและห่วงแอ๋มจริงๆ เจ็บปวดไหม”

“พูดเรื่องอะไรหรือครับ”

“พี่ดูออกนะว่านายชอบแอ๋มมาตั้งแต่ชั้นปวช.”

“หรือครับ ผมแสดงอะไรออกไป พี่ถึงมั่นใจว่าผมชอบเค้า”

“ไม่รู้ซิ เรื่องแบบนี้นายเองย่อมรู้อยู่แก่ใจ แต่ว่าตอนนี้นายก็มีแฟนแล้วนี่ น่ารักมากด้วย ถ้าจำไม่ผิดน้องวานี่พ่อแม่เขาเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไม่ใช่หรือ แถมเป็นลูกสาวคนเล็กอีก ตกถังข้าวสารเหมือนกันนี่” น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่ดวงตาดูเป็นคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางในจิตใจของเขาจนอ่านเกมชีวิตของเขาออก 

“พี่กำลังดูถูกผมนะครับ”

“เค้าใจกว้างนะที่ไม่คิดถึงเรื่องฐานะ” คนตรงหน้ายังไม่เลิกตอกย้ำอารมณ์คู่สนทนาให้ขุ่น

“พี่คบคนเพราะฐานะด้วยหรือครับ” 

“พี่พอมีอยู่แล้ว คบหาใครก็เลยไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดมาก แต่นายเป็นผู้ชาย ก็แค่คิดว่าเรื่องแบบนี้มันก็ต้องคิดกันให้มากหน่อย ผู้ชายมีศักดิ์ศรี ผู้หญิงบางคน เขาก็เลือกด้วยเรื่องพวกนี้เหมือนกัน”

คำว่า ‘ลิ่วล้อ’ ผุดขึ้นมาในความรู้สึกของสันติที่อสมาภรณ์ไม่เลือกเขาในวันวานก็เพราะ เขามันต่ำต้อยอย่างที่พี่ภัทร์พูดนั่นเอง ระหว่างที่คนทั้งคู่คบหากันฉันคนรักอยู่นั้น คนที่เขาคิดว่าจะไม่ทำร้ายเขา คงเอาเขาไปพูดกับคนรักก็เป็นได้ ความรู้สึกดีๆ ต่อหญิงสาวที่มีอยู่เริ่มกระจาย ความน้อยใจแล่นเข้ามาเป็นเจ้าเรือน เมื่อเธอไม่รักตัวเอง แล้วทำไมเขาจะต้องมาห่วงใยเธอด้วยเล่า 

“ผมกลับก่อนนะครับ พรุ่งนี้ผมต้องทำงานแต่เช้า ผมเลี้ยงนะครับ”

“ไม่ต้อง พี่ออกเอง พี่ชวนนายออกมานี่”

พนักงานถือบิลมา เพื่อเป็นการแสดงให้เขารู้ว่า บัดนี้เขาทำงานมีเงินเดือนมากพอ สันติจึงต้องยื่นเครดิตการ์ดสีทองไปให้ 

สันติลับสายตาไปแล้ว ภูวภัทร์ไหวไหล่ แล้วโทรศัพท์มือถือของ

เขาก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย ชายหนุ่มนิ่วหน้า กดรับสายด้วยความ

หวาดระแวง 

“ภู คุยกับบุศหน่อย”

เขาจำได้ว่าเป็นเสียงใช้อำนาจของใคร ชายหนุ่มกดตัดสัญญาณทิ้งกดปุ่มปิดเครื่องแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อพลางถอนหายใจออกมา 

บุศยรัตน์ ‘ไฟ’ ที่เผาเด็กอ่อนหัด ผู้ไม่เคยรู้จักกับ ‘ไฟ’ อย่างเขา 

 

สองวันแล้วที่ถุงเสื้อยังวางอยู่บนโต๊ะกลาง อสมาภรณ์รู้สึกแปลกใจที่สันติไม่ยอมเข้ามาวุ่นวายกับเธอในบ้านเหมือนทุกๆ ครั้ง   หญิงสาวครุ่นคิดว่าเป็นเพราะอะไร จนกระทั่งในเวลาสี่ทุ่มของคืน      วันพฤหัสบดีซึ่งเขาจะกลับมาถึงบ้านราวๆ นี้เพราะต้องเรียนพิเศษภาษาจีน เมื่อรู้เวลาที่เขาจะกลับมา อสมาภรณ์ก็เลยถือบุหรี่ไปนั่งสูบที่ม้าหินใต้ต้นมะม่วง เขามาถึงเปิดประตูรั้วแล้วถอยรถเข้าโรงจอด ลงจากรถล็อกประตูรถแล้วหันมาเล่นกับเจ้าโตที่กระโดดโลดเต้นเข้าหาเขา 

อสมาภรณ์แกล้งไอแคกๆ เรียกร้องความสนใจ ซึ่งเขาเองดูไม่ใส่ใจผิดวันก่อน 

“กินข้าวหรือยัง” เขาเอ่ยถามหมาพลางลูบที่ท้องของมัน 

“อิ่มแล้วแน่ๆ เลย กลับบ้านก่อนนะ ง่วงนอนแล้ว” เขาพูดแค่นั้นแล้วเข็นรถจักรยานออกจากบ้าน แต่แล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าล้อหลังไม่มีลม แถมที่สูบลมก็อยู่ที่บ้านเสียด้วย สันติเข็นรถเข้ามาเก็บ ปิดประตูรั้วบานเล็กแล้วล็อกกุญแจ ก่อนจะเดินดุ่มๆ จากไป 

“เป็นอะไรของเค้านะ” อสมาภรณ์รู้สึกใจคอไม่ดี ตั้งแต่พ่อตาย เขาก็ไม่เคยแสดงอาการแบบนี้กับเธอ หรือว่าเป็นเพราะพี่ภัทร์ แล้วเขาล่ะ เขาเองก็มีแม่วาอะไรนั่นอยู่เคียงข้าง แล้วจะโกรธเธอทำไม 

อสมาภรณ์หงุดหงิดจนกระทั่งต้องโทรศัพท์เรียกไอ้ม่วยให้มาหา 

“เอาเบียร์มาด้วยนะแก ยังไม่ได้ฉลองที่ได้เงินมาวันนั้นเลย แล้วพวกมันชวนลงสนามอีกเมื่อไหร่”

“คืนนี้แหละ แกจะสู้อีกไหมล่ะ”

“สองพัน” หมายถึงครั้งที่แล้วเธอได้มา 2,000 จึงคิดเก็บส่วน

ได้มาไว้เล่นต่อ

“แต่ครั้งนี้มันให้เอาสาวๆ ซ้อนด้วยนะ ถ้าแพ้ต้องไปกับมันคืนหนึ่งแกเอาไหม”

“ไม่เอา” ตอบไปเลยโดยไม่ต้องคิด 

“หาแบบแค่คนใจถึงพอนะ” ใจถึงคือกล้าซ้อนไปกับรถคันที่แข่งด้วยนั่นเอง 

“แบบนั้นก็มี แข่งกับผู้ชายแต่ว่าแก๊งนี้มันไม่ให้สองหนึ่งนะ   หนึ่งๆ ไม่รู้ฉันจะสู้มันไหวหรือเปล่า เสี่ยงไหมล่ะ”

“เอาดิ กำลังเซ็งๆ อีกอย่างฉันไว้ใจแกอยู่แล้ว” 

“แต่งตัวรอแล้วกันเอาชุดเซ็กซี่หน่อยนะโว้ย ขอไอ้ม่วยพาโชว์หน่อย”

“ได้เลย” มีหรือที่สันติจะห้ามเธอได้ ชุดเหล่านี้ เธอไม่ส่งไปให้ป้าสมปองซักเสียก็สิ้นเรื่อง พอซักตากแห้งแล้วเธอก็ซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้าก็ได้ 

 

ด้วยดื่ม และเพลียจากงาน เครียดกับภาษาจีนชั้นสูง และเหนื่อยใจกับคนในหัวใจ ทำให้สันติหลับเป็นตายไม่ได้ยินแม้เสียงโทรศัพท์ที่แผดเสียงอย่างต่อเนื่อง 

ร้อนถึงแม่กับพ่อที่นอนอยู่ห้องติดกัน เสียงเคาะประตูดังปึงปังทำให้สันติหรี่ตาขึ้นมากดสวิตช์ไฟหัวเตียง โทรศัพท์ดังอีกรอบเขารีบกดรับ พร้อมกับเอ่ยรับพ่อกับแม่ว่าตื่นแล้ว 

“มีอะไร” น้ำเสียงของเขางัวเงียในขณะที่ตาหรี่มองนาฬิกาที่ข้างฝา ตีสามครึ่ง 

“โรงพักที่ไหน” ตาของเขาเบิ่งกว้างเมื่อรู้จุดประสงค์ของคนที่โทร.มาหา