ชาติกำเนิดไม่อาจบ่งชี้ชีวิตคน เรื่องราวของ บุษบา ลูกสาว ของหวาน เพื่อนเรณู และเรื่องราว ของประณต ลูกชาย เรณู จากเรื่อง กรงกรรม
รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,บุษบาตาคลี,จุฬามณี,รัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุษบาตาคลีชาติกำเนิดไม่อาจบ่งชี้ชีวิตคน เรื่องราวของ บุษบา ลูกสาว ของหวาน เพื่อนเรณู และเรื่องราว ของประณต ลูกชาย เรณู จากเรื่อง กรงกรรม
“ ชาติกำเนิด ไม่อาจบ่งชี้ ชีวิตคน!”
นี่คือวลีเด็ดที่ตอกย้ำความเป็นตัวตนของ “บุษบา” ให้ก้าวข้ามความทุกข์ความทดท้อใจกับการเกิดมาเป็น “ลูกเมียเช่า” แม้ต้องถูกคนปรามาสว่า “ก็แม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น เหมือนลูกไม้ย่อมหล่นใต้ต้น… ยายก็มีหลายผัว แม่ก็เป็นอย่างนั้น แล้ว “บุษบา” จะไม่เป็นเหมือนแม่ หรือยายได้อย่างไร “บุษบา” ที่เกิดมาสวยด้วยมีพ่อเป็นฝรั่งต่างชาติ เป็นทหารขับเครื่องบินรบกับเวียดนาม แม่มาตายจากไปตั้งแต่บุษบายังเล็ก จึงโตมากับยายแหวนผู้มากชาย และมากความรู้ความสามารถในการทำขนม และอาหารหลากหลาย ซึ่งได้สั่งสอนให้บุษบาเรียนรู้เพื่อเป็นอาชีพในอนาคตและสอนไม่ให้เป็นคนมีนิสัยจับจด คิดฝันแต่ใช้รูปโฉมเพื่อรวยทางลัด งานบ้านงานเรือนต้องหยิบจับเป็น รู้จักรับผิดชอบชีวิตเป็นอย่างดี และความกตัญญูกตเวทีที่บุษบามีต่อนางแหวนนั้นไม่สูญเปล่าในวันที่ชีวิตตกต่ำ ความดีนั้นย่อมสนองกลับมาในรูปแบบของความเมตตาจากผู้ใหญ่ทุกฝ่าย “บุษบาตาคลี” ผลงานเล่มล่าสุดจากนักเขียนหลากรางวัล ที่ไม่เคยสร้างความผิดหวังให้กับนักอ่านตลอดเส้นทางที่อยู่ในวงการน้ำหมึก ซึ่งการันตีโดยหลายเรื่องได้ถูกนำไปสร้างเป็นละครให้ตราตรึงใจในทุกตัวละครจนยากจะลืมเลือน
*นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจินตนาการ โดยใช้ฉากเป็นสถานที่จริง หากชื่อตัวละครหรือเหตุการณ์ไปเกี่ยวข้องกับบุคคลใด ผู้เขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ต้นปีพุทธศักราช ๒๕๓๐
“บุษ...บุษ เอ๊ย ตื่นได้แล้วลูก จะตีห้าแล้ว ลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน จะได้ไปขายของกัน” เสียงปลุกด้วยน้ำเสียงอารีของผู้เป็นยายไม่ส่งผลให้บุษบาที่นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ที่ซ้อนกันสองชั้นรู้สึกตัวจนขยับร่างกาย ออกมาเผชิญความหนาวเย็นของอากาศนอกมุ้งแต่อย่างใด กระทั่งนางแหวนลงจากเรือนไปที่โอ่งใส่น้ำซึ่งตั้งอยู่หลังบ้าน ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย เดินกลับขึ้นเรือน มองผ่านผ้าม่านลายดอกที่ใช้บังตากั้นความเป็นสัดส่วนของเรือนไม้ขนาดเสาสิบสองต้น ไปยังมุ้งของหลานสาววัยสิบห้าปี ซึ่งถือว่าเป็นวัยกำลังกินกำลังนอน และอาการนอนหลับอุตุ โดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นมาช่วย กันทำมาหากิน ตามความต้องการของนาง ที่ปลุกตั้งแต่ลุกมากดสวิตช์ไฟฟ้าให้แสงสว่าง อารมณ์จากเย็นตามสภาพอากาศช่วงต้นปี ก็กลับเป็นเหมือนไฟจากกองฟางที่ใช้ผิงกันหนาว เสียงอารีประหนึ่งเสียงนางฟ้าเมื่อก่อนหน้า จึงเปลี่ยนเป็นเสียงของนางยักษ์ทันที
“อีบุษ อีบุษ อีห่ากิน หลายบุษแล้วนะ ไม่ลุกซะที ตีสักที ดีไหมมึงฯ”
ถ้อยคำแสลงหูเร้าอารมณ์มาเป็นสายธาร และดังคับบ้านเหมือนเปิดลำโพงขยาย โดยไม่ได้สนใจคนที่นอนอยู่ในห้อง หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ทำให้เด็กสาวที่เพิ่งทำบัตรประชาชนไม่ถึงขวบปีสะดุ้งพรวด ตวัดผ้าห่มออกจากตัว รีบออกจากมุ้ง แสดงอาการแบบลิงหลอกเจ้าวิ่งหลบมือที่ง้างจะตีแล้วผลุบลงบันไดพลางบอกว่า “ออกไปแต่เช้ามืด ใครที่ไหนจะมาซื้อล่ะยาย หนาว ๆ แบบนี้ กว่าจะแจ้ง กว่าพระจะออกบิณฑบาต”
“คนมาไม่มา พระจะบิณไม่บิณ ก็ต้องออกไปให้มันตรงเวลาที่เคยไป ทำมาหากิน มัวรอเวลาได้รึ เร็ว ๆ เลยนะ อย่าให้กูต้องมีน้ำโหหนักกว่านี้”
บุษบารีบแปรงฟันล้างหน้าแบบลวก ๆ วางขันลงที่ปากโอ่งเด็กหญิงก็ถามยายว่า “ขอหนูเข้าส้วมก่อนได้ไหมยาย หนูปวดท้อง”
“แล้วตะกี้ มึงทำไมไม่ปวด ถ้ามึงปวดตั้งแต่กูเปิดไฟ ป่านนี้ก็จะไปได้ละ”
“ก็มันเพิ่งปวด ของแบบนี้ มันเอาแน่ได้รึยาย” ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็รีบวิ่งไปยังห้องส้วมที่ปลูกแยกออกไปจากตัวบ้าน
“เรื่องกระบิดกระบวนละเป็นที่หนึ่ง” บ่นพลางนางแหวนก็ตรวจทานของบนรถเข็นที่อยู่หน้าครัวซึ่งปลูกเป็นเพิงแยกจากตัวบ้าน...เพราะถ้าลืมอะไรไป นอกจากจะต้องเสียเวลาให้บุษบาวิ่งจากตลาดมาเอาไป นางแหวนก็รู้อยู่แก่ใจว่าอย่าให้หลานสาวไกลหูไกลตา และอย่าปล่อยน้ำตาลไว้ใกล้มดเด็ดขาด กันไว้ดีกว่าแก้ นั่นคือ คติที่ นางแหวนระลึกตั้งแต่หลานสาวกำพร้าฉายแววสวยแปลกผิดจาก ผู้หญิงไทยในตลาดตาคลี!
ช่วง สี่ ห้า ปี มานี้ บุษบาต้องตื่นแต่เช้ามืดมาช่วยยายแหวนติดเตาไฟและช่วยแคะขนมครกอยู่จนถึงเจ็ดโมงเช้า ถึงจะรีบวิ่งกลับไปบ้านเพื่อแต่งตัวไปโรงเรียนที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก
และด้วยใช้แรงงานหลานสาวให้ช่วยทำมาหากินอย่างเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่อยู่ชั้น ป.๔ ป.๕
บางคนก็บอกนางแหวนว่า เด็กกำลังกินกำลังนอน ก็ควรได้นอนให้เต็มที่ เพราะการนอนจะทำให้เด็กเจริญเติบโตขึ้นมาด้วยสรีระที่สมบูรณ์ รวมถึงจะทำให้สมองปลอดโปร่งตลอดทั้งวัน เพื่อจะทำให้เรียนหนังสือได้เก่ง ๆ
บ้างก็บอกกับนางแหวนว่าบุษบาลูกของ ‘หวาน’ ลูกสาวคนกลางของนางแหวนที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุ ระหว่างอยู่ที่กิโลสิบ สัตหีบ ชลบุรี ใกล้ ๆ กับสนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง เมื่อสิบปีก่อน ยิ่งโตก็ยิ่งสวยแปลกผิดจากเด็กไทยทั่วไป เพราะนอกจากเส้นผมและดวงตา สีน้ำตาล ผิวสีขาวจนแดง บุษบาก็มีสรีระที่สูงกว่าเด็กไทยอีกด้วย
และความสวยแปลก ก็ทำให้นางแหวนถูกปรามาสอีกว่า ไม่แคล้ว คงจะได้ขายหลานกินอีกคน เช่นที่เคยขายแม่ของบุษบามาแล้ว หรือไม่ แม่หลานสาวคนนี้ ก็คงไม่พ้นจากปากเหยี่ยวปากกา ซึ่งเป็นสามีใหม่ของแหวน ซึ่งมีอายุน้อยกว่านางแหวนเกือบสิบปีเป็นแน่แท้
จึงเป็นที่มาของการบังคับให้ออกมาช่วยกันทำงานเพื่อกันไว้ดีกว่าแก้ และถึงแม้จะใช้วิธีการอ้างให้เข้าท่าเข้าทาง นายบุญเลี้ยง ผัวคนปัจจุบันวัยห้าสิบปี ก็ค่อนขอดว่าระแวงไม่เข้าเรื่อง นางแหวนฉลาดพอที่จะไม่ต่อปากต่อคำ แต่ก็บอกเหตุผลไปว่า มันโตแล้ว ก็อยากให้มันพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญเมื่อไม่มีเงินส่งเสียให้มันได้เรียนต่อเมื่อจบ ม.๓ ในปีนี้ ก็ควรหาอาชีพไว้ให้มันไว้เลี้ยงตัวเอง และจะได้ช่วยกันปลดเปลื้องหนี้สินก้อนโตด้วย...
“อีแหวน เงินดอกเบี้ยของกูว่าไง” ระหว่างที่ง่วนอยู่หลังเตาขนมครก นางแหวนก็ยิ้มแหย ๆ ให้นางปรานี เจ้าแม่เงินกู้ และเท้าแชร์ ผู้ไม่เคยมีความปรานีเหมือนชื่ออันไพเราะซึ่งกำลังเดินเก็บดอกเบี้ยในตลาดสดแห่งนี้เช่นที่เห็นอยู่ทุกช่วงเช้าสายของวัน ถ้าวันไหน นางปรานีติดธุระ นางก็จะให้ ‘ลูกน้อง’ ที่ฝนเขี้ยวเล็บไว้คมมากทำหน้าที่แทน...
นางปรานีกับนางแหวนเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน รู้จักมักคุ้นกันมานาน คำพูดคำจา จึงมีความชัดเจนทางความรู้สึก จะว่าหยาบก็หยาบ แต่ถ้าใช้มธุรสวาจาก็จะกลายเป็นดัดจริตไปเสียอีก
“อ้าปาก ก็เห็นลิ้นไก่แล้ว”
“กูยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”
“จะผ่อนดอก ผ่อนต้น เท่าไหร่ก็ผ่อนมา” บอกพลาง นางปรานีก็เหลือบไปมองหน้าของหลานสาวคนสวยของนางแหวน...
“หลานมึง ยิ่งโต ก็ยิ่งสวย เลี้ยงให้ดีละกัน”
ด้วยพอรู้ว่านางปรานีจะพูดถึงเรื่องอะไรต่อ นางแหวนจึงรีบตัดบท “วันนี้มีให้แค่สิบบาทก่อนได้ไหม”
“เมื่อวานมึงก็ให้กูมาแค่สิบบาท ให้กูจดบวกเป็นต้นสิบบาท บอกตรง ๆ นะอีแหวน กูปวดหัวกับระบบบัญชีของมึงจะแย่อยู่แล้ว ดอกเบี้ย วันละแค่ยี่สิบ มึงก็จ่ายมาให้มันครบ ๆ เหมือนคนอื่นเขา ผ่อนต้นได้ มึงก็ต้องผ่อนบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้มันเป็นดินพอกหางหมูอยู่อย่างนี้”
“กูมีเรื่องต้องใช้” นางแหวนเสียงอ่อยลง
“จำเป็นทุกคนแหละ แต่กูบอกมึงไว้ก่อนนะ ถ้าดอกทบต้น จนมันท่วมราคาบ้านมึง กูยึดบ้านมาขายทอดตลาด มึงไม่มีที่อยู่ จะหาว่ากูไม่เตือน ไม่มีเมตตา ไม่ปรานี มึง ไม่ได้นะ”
“เออ รู้แล้วนะ”
ได้เงิน ๑๐ บาทเป็นค่าดอกเบี้ยแล้วนางปรานีก็เดินจากไปเก็บดอกเบี้ยจากรายอื่น ๆ กระทั่งนางปรานีออกไปจากบริเวณหน้าตลาด นางแหวนถ่มน้ำลายลงพื้น มองตามไปด้วยสายตาขุ่นเคือง
เคืองเพราะ นางปรานีเป็นคนบ้านเดียวกับนางแหวน ทำไร่ทำนาขุดดินดายหญ้าเก็บของป่า เรียนหนังสือมาด้วยกัน เพียงแต่โชคและวาสนาของนางปรานีมีมากกว่าใคร ๆ
เพราะเมื่อแตกเนื้อสาว ช่วงว่างเว้นจากการช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา หรือช่วงที่พอมีของป่าอย่างน้ำผึ้งและผักหญ้าของพื้นบ้าน พอได้หาบคอนมานั่งขายในตลาดด้วยกันในช่วงเช้าตรู่หน้าตลาดเช้าหรือถ้าขายไม่หมดก็เร่ขายไปตามบ้านเรือนตึกแถวย่านการค้าของตลาดบน ความสวยงามของนางปรานีก็ไปต้องชะตากับผู้ช่วยนายสถานีรถไฟตาคลี จากกล้วยไม้ป่า นางปรานีจึงกลายเป็นคุณนายปรานี ครั้นได้ผัวเป็นฉัตรแก้วกั้นเกศ ดวงชะตาของนางปรานีก็ยังพุ่งไม่หยุด เพราะถนนพหลโยธินตัดผ่านที่ดินของพ่อนางปรานี ทำให้ที่ดินที่ขนานไปกับถนนทั้งสองฝั่ง มีราคาสูงขึ้นไปด้วย บางส่วนสังข์พ่อของนางปรานีก็แบ่งขายเพื่อนำเงินมาจับจองที่ดินในย่านตลาดศรีเทพ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าตลาดล่าง เพราะเล็งเห็นว่าในอนาคตความเจริญจะขยายจากฝั่งตลาดบนซึ่งมีพื้นที่จำกัดข้ามฟากมาอีกฝั่งของสถานีรถไฟ และการมองการณ์ไกลเป็นไปตามคาด เมื่อมีคหบดี ยกที่ดินสร้างศูนย์ท่ารถ ตลาดล่างหรือตลาดศรีเทพ จึงถูกพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมมาตั้งแต่บัดนั้น และที่สำคัญ ในช่วงที่ทางการยินยอมให้ประเทศสหรัฐอเมริกาใช้กองบิน ๔ เป็นฐานทัพรบกับเวียดนามเหนือ ตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ ถึง ๒๕๑๘ ยิ่งทำให้ผู้คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลเข้ามา ขุดทองที่ตาคลี
นางปรานีซึ่งมีเงินทั้งจากฝั่งครอบครัวเดิมของสามี และมรดกเดิมที่พ่อยกให้ก็ร่ำรวยยิ่งขึ้น ๆ
ผับบาร์ ร้านอาหาร สถานเริงรมย์ บ่อนการพนัน ที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด นับนิ้วแทบไม่ถ้วน มีชื่อนางปรานีเข้าไปเอี่ยวไปหุ้นอยู่ถึงสิบแห่ง บังกะโล ห้องเช่าที่ให้บรรดานายทหารฝรั่งเช่าให้เมียเช่าอยู่บำรุงบำเรอความสุข หรือเช่าไว้สำหรับพาโสเภณีมาเริงสำราญแทนการไปเปิดโมเต็ลก็มีของปรานีไม่รู้จักกี่ที่ นอกจากนั้นนางปรานีก็ยังเป็นแม่เล้าหากินกับผู้หญิงมากหน้าหลายตามาก่อน ทำให้นางปรานีมีสายตาที่มองเห็นความสวยงาม และเห็นราคาของผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ได้ยินสำเนียง สบสายตาและเห็นอากัปกิริยา นางปรานีก็สามารถทำนายอนาคตว่าจะต้องไปในทางดีหรือทางเลว หรือควรจะไปทางไหนชีวิตถึงจะได้ดี
จึงเป็นที่มาที่ทำให้นางแหวนต้องตัดบท เมื่อนางปรานีเอ่ยปากชมว่าบุษบายิ่งโตก็ยิ่งสวย
เพราะความสวย นอกจากเป็นคุณ นางแหวนก็รู้ดีว่า อาจจะนำภัยมาให้ได้เช่นกัน...เพราะนางแหวนเองก็ใช่ว่า จะเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใด...
เมื่อตอนเป็นสาวรุ่น ความสวยทำให้นางแหวนมีผู้ชายมาหมายปองมากหน้าหลายตา ครั้นเห็นว่านางปรานีใช้ความสวยเป็นใบเบิกทาง พาชีวิตสูงขึ้น นางแหวนก็หวังโอกาสนั้นบ้าง และ นางแหวนในวัยหกสิบเอ็ดปี ก็ได้แจ้งแก่ใจ คำคนโบราณว่า แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ เพราะความสวยประหนึ่งดอกเอื้องดง ทำให้นางแหวนถูกสมุนของเสือร้ายโจรปล้นฉุดคร่า ระหว่างไปตักน้ำจากหนองน้ำท้ายไร่ ไปบำรุงบำเรอความสุขความปรารถนาของมัน สังข์แม่ซึ่งเป็นแม่ม่ายเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะไปต่อกรกับเสือร้ายยื้อแย่งลูกสาวคืนมา และนางก็เสียสาวให้เป็นข่าวฉาวไปเสียแล้ว แม่จึงจำใจเพียงให้พากันกลับมาขอขมาผูกข้อมือเลี้ยงผีตามประเพณี แล้วก็ให้นางแหวนกลับไปอยู่กับโจรในดงโจร
อยู่กันได้สองปีกว่า มีลูกด้วยกันหนึ่งคน แม้จะไม่ได้รักใคร่ไยดีเป็นทุนเดิม แต่คนเราเมื่ออยู่ด้วยกันฉันผัวเมีย ก็ผูกพันกลายเป็นรัก แฝงไปด้วยความเจ็บแค้นใจในที่สุด อยู่ต่อมาไม่นานหัวหน้าโจรก็พาลูกน้องออกปล้นเขากินตามประสาเสือร้าย สุดท้ายระหว่างทำการปล้น ผัวของนางแหวนก็ถูกเจ้าของทรัพย์ยิงตาย นางแหวนรู้ข่าวว่าทางการจะมาทลายซ่องโจรแล้วตัวเองจะมีความผิดติดตัวไปด้วย จึงได้หอบลูกชายกลับมาอยู่บ้านท่ามกลางเสียงค่อนขอดของพี่ ๆ น้อง ๆ นางแหวนรู้สึกรำคาญใจ และคิดว่าชีวิตน่าจะมีทางไปได้ดีกว่าอยู่บ้าน นางจึงทิ้งลูกไว้กับแม่ แล้วเข้ามาอยู่ในตลาดตาคลี โดยหวังพึ่งใบบุญของนางปรานีเพื่อนที่เคยเล่นหัวกันมาตั้งแต่จำความได้ แต่นางปรานีก็ช่วยได้เพียงหางานที่อื่นให้ และประโยคผลักไสระคนเมตตาปรารถนาดี นางแหวนก็ยังจำได้ดี...
‘กูก็ยังไม่ได้ร่ำรวยขนาดจะต้องมีคนรับใช้ให้ช่วยเลี้ยงลูกซักผ้าถูบ้านอะไรหรอกนะอีแหวน แต่เอาอย่างนี้ละกัน เดี๋ยวกูจะพาไปฝากให้เป็นลูกจ้างที่ร้านเจ๊กให้ เผื่อบุญวาสนามึงจะพอมีได้ผัวดีกว่าสมุนเสือปล้น’
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ กำลังระอุ กองบิน ๔ เพิ่งเริ่มก่อสร้าง ทหารญี่ปุ่นเพ่นพ่านอยู่ทั่วเมือง นางแหวนเป็นลูกจ้างอยู่ในร้านเจ๊กรับซื้อพืชไร่ได้ปีกว่า ๆ ก็ต้องลาออก เหตุเพราะนางแหวนที่ตกพุ่มม่ายตั้งแต่ยังสาวทำให้เมียเถ้าแก่หึงหวง ก่อนออกจากงาน นางแหวนปรึกษานางปรานีเช่นเคย นางปรานีก็แนะนำห้องเช่าซึ่งเป็นเรือนแถวสร้างจากไม้ชั้นเดียวราคาถูก และใช้บารมีของผัวนางปรานีทำให้ นางแหวนขายของกินเล่นพวกกล้วยทอดมันทอดที่หน้าสถานีรถไฟ และก็ขายของบนขบวนรถไฟช่วงที่รถหยุดรับส่งผู้โดยสาร โดยที่เจ้าถิ่นคนขายอยู่เดิม ไม่สามารถทำอะไรนางแหวนได้
ตรงนี้ ถือเป็นบุญเป็นคุณที่นางแหวนไม่มีวันลืม โดยเฉพาะที่สถานีรถไฟตาคลีแห่งนี้ ทำให้นางแหวนได้พบกับพนักงานห้ามล้อ พ่อของหวาน ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนตัวเปล่า แต่ด้วยคารมคมคายประกอบกับความเหงาตามประสาคนเคยผ่านการมีผัวนอนกกกอด หลังไปมาหาสู่ คบหาดูใจจนกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านอยู่เกือบปี นางแหวนก็ยอมเป็นเมียน้อย เป็นบ้านอีกหลังของเขา เพราะหวังความสบาย หวังยึดเขาเป็นที่พึ่งพิง และพาตัวเองไปสู่สังคมที่สูงขึ้น ซึ่งพอตกล่องปล่องชิ้นไปแล้ว นางแหวนก็พึ่งเขาได้เพียงเศษเงิน และก็อยู่กินหลับนอนกับเขาแบบแบ่งเศษเวลาที่เหลือจากทำงานซึ่งมีอยู่น้อยนิดอยู่แล้ว และนางแหวนก็มารู้ความจริงว่า ตนเองไม่ใช่บ้านหลังที่สองหรือสามของเขา แต่เป็นบ้านหลังที่เท่าไหร่ ก็ไม่อาจทราบได้
ตอนนั้นนางแหวนนึกอยากจะเลิกราเปลี่ยนผัวใหม่เสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่นางก็เห็นแก่หน้าลูกทั้งสอง
หวาน กับ ถวิล...กลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของนางแหวน แทนสามีที่ต้องแบ่งปันกับสตรีไม่รู้กี่คนต่อกี่คน และนางแหวนก็หวานอมขมกลืน ด้วยไม่สามารถใช้สิทธิ์ใด ๆ ในความเป็นเมียของเขาและไม่มีสิทธิ์หึงหวงในตัวของเขาได้เหมือนคู่ผัวตัวเมียทั่วไป...
ข้อดีของเขาก็มี แม้เขาจะมีหลายบ้าน แต่เขาก็ยังรับผิดชอบนางแหวนและลูกตลอดมา ค่าเช่าบ้าน ค่ากิน ค่าอยู่ และค่าเสื้อผ้าชุดนักเรียน หนังสือเรียน เขาหยิบยื่นให้ตรงเวลา แต่ก็ไม่พอให้ฟุ่มเฟือยหาของที่เพ้อฝันถึงมาบำรุงบำเรอความสุขได้
นางแหวนเฝ้าอดทน ขายของที่สถานีรถไฟเพราะบารมีผัวนางปรานีและผัวของตน มาเป็นเวลาสิบปีกว่า ท่ามกลางความฝันถึงบ้านหลังเล็ก ๆ ในที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์ตัวเอง ไม่ต้องอยู่ห้องเรือนแถวเก่าแก่แออัด และหวังเห็นหวานกับถวิล ได้เรียนหนังสือต่อจนจบสูงกว่าชั้น ป.๗ และรับราชการมีเงินเดือนมีชีวิตที่ดีกว่านาง และความฝันนั้นก็ดูจะริบหรี่ ตอนหวานอยู่ชั้น ป.๔ เขาก็บอกกับหวานว่าจะไม่ให้เรียนต่อ ให้หวานออกมาช่วยแม่ทำมาค้าขาย พออายุมากกว่านี้ค่อยเข้ากรุงเทพฯ ไปหางานในโรงงานทำ อนาคตของนางแหวนที่หวังไว้กับหวานดับวูบลง...แน่นอนว่าชีวิตของถวิลก็จะต้องเป็นไปทางเดียวกับพี่สาว แต่ถวิลเรียนเก่งกว่าหวาน และฝันไว้สูงมากกว่า ถวิลจึงต่อรองว่า “พ่อจ๋า ถ้าแม่ มีพี่หวานช่วยแล้ว ก็ขอหนูเรียนต่อได้ไหม จบ ม.ศ.๓ ก็ยังดี หลังจากนั้น หนูจะดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองเอาเอง”
“ก็แล้วแต่พวกมึงจะตัดสินใจเถอะ โต ๆ กันแล้ว กูเองก็จะเกษียณแล้ว...เหนื่อยมามาก อายุมากขึ้น ก็อยากพักผ่อนสบาย ๆ บ้าง”
นอกจากจะใกล้เกษียณจากงานรถไฟ เขาก็บอกกับนางแหวนว่า บ้านใหญ่ได้ยื่นคำขาดว่าหลังเกษียณ ถ้ายังประพฤติตัวเป็นหมาหลายราง หรือคนหลายบ้านเช่นเมื่อครั้งทำงานขึ้นล่องไปกับขบวนรถไฟ บ้านใหญ่ที่ใช้สิทธิ์ภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีบ้านพักสวัสดิการให้อยู่ที่สถานีปากน้ำโพ มีเงินช่วยเหลือค่าเทอมของบุตร ค่ารักษาพยาบาลตลอดมาจนลูกเรียนจบได้ทำงานมั่นคง เลี้ยงดูแม่เป็นอย่างดีจะตัดหางเขาปล่อยวัด แก่ตัวไป ถ้าเมียน้อยตามรายทางรถไฟทั้งหลายของเขา ดูแลสุขทุกข์ของเขาไม่ได้ เขาจะไม่มีทางได้กลับไปตายรังอย่างแน่นอน
พูดง่าย ๆ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เขาได้บอกเลิกกับนางแหวนอย่างเป็นทางการ และอนุญาตให้นางแหวนมีผัวใหม่ได้ และเลี้ยงดูลูกไปตามกำลังของตน ตอนนั้นนางแหวนไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย เพราะสิบปีที่ผ่านมา ใจมันไม่ได้รักอย่างเพ้อฝัน ใจมันด้านชาทุกข์ทรมานจากการรอคอยวันเวลาที่เขาจะว่างเว้นจากภารกิจการงานหลวง งานราษฎร์ที่ห้ามเอ่ยปากถามถึง ทุกอย่างที่ดำเนินมา ไปตามหน้าที่ของ ‘แม่’ ของผู้หญิงคนหนึ่งที่จะต้องหยัดยืนด้วยลำแข้งตัวเองให้ได้ในสักวัน และนางแหวนที่เห็นนางปรานีเจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ ๆ ก็ปลงใจได้ว่าวาสนาของตนน้อยนัก แต่นางแหวนก็ไม่นึกย่อท้อต่อชะตาตัวเอง เพราะเมื่อต้นทุนมีน้อย ถ้าขาดความเพียรเสียแล้ว ชีวิตก็จะยิ่งต้องย่ำอยู่ในโคลนตมต่อไป ทางเดียวที่จะขยับฐานะของตัวเองสูงขึ้นได้บ้างก็คือต้องส่งลูกสาวทั้งสองเรียนให้จบชั้นสูงที่สุด
หลังเห็นว่านางแหวนเลิกกับผัวที่ทำงานรถไฟได้อย่างเด็ดขาด นางปรานีก็เข้ามาในชีวิตของนางแหวนอีกรอบ เริ่มจาก นางแหวนเข้าไปขอคำปรึกษาเรื่องการเรียนของหวานและถวิล ในทำนองที่ว่า อยากส่งลูกสาวสองคนให้ได้เรียนต่อ เพราะที่ไร่ที่นาส่วนที่ตัวเองพึงจะได้จากแม่ พี่ ๆ น้อง ๆ ก็ขอให้ตนยกให้ลูกชายคนโตไปแล้ว ปัจจุบันตัวเองก็ไม่มีไร่มีนา ไม่มีกิจการร้านค้าใด ๆ ให้ลูกสาวสืบทอด เหลือก็เพียงจะให้วิชาความรู้ ติดตัวแก่ลูกทั้งสองไปได้เท่านั้น นางปรานีที่นิ่งคิดอยู่นานก็บอกว่า
“ได้ กูจะช่วยมึง เท่าที่กูจะช่วยได้ กัดฟันอีก ๕ - ๖ ปี ให้พวกมันจบ ม.ศ.๕ ซะ อย่างน้อยพวกมันก็จะได้ไปสู่โลกกว้างอย่างคนมีอาวุธ แต่ปัญหาชีวิตมึง กูว่ามันก็ยังพอมีทางออก”
“ทางไหนบ้างล่ะ”
“มึงก็ยังสาวยังแส้ หาผัวใหม่ ช่วยเลี้ยงดูลูกสิอีแหวน”
“กูสามสิบกว่าแล้วนะ ผู้ชายดี ๆ รุ่นราวคราวเดียวกันที่ไหน มันจะยังเป็นโสดทั้งแท่ง ถ้ามีใหม่ก็คงไม่แคล้วเป็นเมียน้อยเขาอีก”
“ก็ใช่ว่าไม่เคยเป็น แต่เป็นคราวนี้ มึงก็เลือกเฟ้นให้มันดีกว่าคนเดิมหน่อย เลือกคนที่เขาพอจะมีฐานะค้ำจุนมึงได้จริง ๆ”
“ตาคลีแคบแค่นี้ เกิดไปสมยอมใครเขาไป เดี๋ยวเมียหลวง มันจะมาแหกอกกูเอา”
“ก็หาจับไอ้คนที่มันไกลลูกไกลเมีย มีเนื้อมีหนังให้มึงแทะเล็มสิวะ”
ตอนนั้นนางแหวนนิ่งคิดถึงทางลัดที่จะทำให้ชีวิตสุขสบายขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย เพราะรู้ดีว่า มันคงยากที่จะเจอเสี่ยใหญ่กระเป๋าหนักรักจริง จนทุ่มเทให้ เมื่อรู้ว่าเป้าหมายยากจะเอื้อมถึง ภวังค์นั้น นางแหวนก็รู้ตัวดีว่า นาที่แล้งน้ำ มันเป็นอย่างไร สู้เล่นกับชะตาชีวิตอีกสักตั้ง ได้ไม่ดีก็ทิ้งแล้วมีใหม่อย่างที่ นางปรานีคิดไว้ให้ แต่นางแหวนก็ยังมีความละอายที่จะพูดอย่างที่ใจคิด จึงได้แต่นิ่งฟังนางปรานีร่ายความคิดอ่านต่อไป...
“เอาอย่างนี้ ต่อไป มึงก็แต่งเนื้อแต่งตัวให้มันสดใสสดชื่นกว่าเดิมหน่อย ไอ้พวกรถไฟ มึงตัดทิ้งไปได้เลย ผัวชาวบ้านในเขตนี้ มึงก็ไม่ต้องไปสน...เดี๋ยวกูจะหาผัวใหม่ที่พูนพร้อมมาให้มึงเอง”
“มึงจะหาจากที่ไหน”
“ระหว่างนายทหารในกองบิน นายช่างขุดคลอง พวกสร้างทาง ตัดถนน พวกมาทำงานโรงปูน มึงอยากได้ใครเป็นผัวคนถัด ๆ ไป”
ได้ฟังประโยคคำถามที่เหมือนทำได้ง่าย ๆ จากปากนางปรานีผู้กว้างขวาง และเริ่มมีอิทธิพลในตาคลี ทำให้นางแหวนต้องเปรยว่า “ถัด ๆ ไป”
“มึงจำคำกูไว้นะอีแหวน ชีวิตมึง ไม่ต้องดูดวงที่ไหน ก็รู้แล้วว่าไม่มีทางได้ผัวดีเป็นฉัตรแก้วกั้นเกศกับเขาได้หรอก เพราะฉะนั้น ถ้ามึงจะต้องมีอีกกี่ผัว เปลี่ยนอีกกี่ผัว มึงก็ระลึกไว้แค่ว่า จะมีเพื่อผลประโยชน์ของมึงเท่านั้น มึงยังสาวยังแส้จะปล่อยตัวให้แห้งเหี่ยวเป็นนาขาดน้ำฝนอยู่ทำไม มึงท่องไว้ ระลึกไว้ ว่าลูกมึง ต้องมีความรู้ มึงต้องมีบ้านช่องอยู่ ใครให้อะไรมึงได้มากที่สุด มึงเอาคนนั้น ใครเข้ามาแล้ว ไม่ทำให้ชีวิตมึงดีขึ้น ถีบหัวส่งได้ ถีบมันไป”
“ลูก ๆ มันจะขาดศรัทธาในตัวกูหรือเปล่า” เอาเข้าจริง ๆ คำว่า ‘แม่’ ทำให้นางแหวนมีความลังเล
“ขาดก็ช่างมันปะไร รึมึงอยากให้ลูกมึง เป็นแค่ลูกแม่ค้าหาบเร่แผงลอย แล้วสุดท้าย พวกมันก็หาผัวเป็นพวกกุลีแถวตาคลีนี่ได้เท่านั้น อ้อ อย่างไร เรื่องที่พวกมันก็เป็นลูกเมียน้อย มันก็ลบไปจาก สารบบชีวิตมันไม่ได้หรอกนะ...อย่างไรคนก็รู้กันทั้งตาคลี แล้วถ้าแม่มัน จะเป็นเมียน้อยอีกสักครั้งสองครั้ง มันก็คงไม่ทำให้พวกมันทุกข์ร้อนอะไรนักหรอก”
หลังคล้อยตามความคิดของนางปรานีได้ไม่กี่วัน นางปรานีก็พาผัวคนที่สามของนางแหวนเข้ามาในชีวิต เขาเป็นนายช่างควบคุมการขุดคลองชัยนาท-ป่าสัก หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่าคลองอนุศาสนนันท์ เพียงเห็นหน้าผู้ชายคนนี้ นางแหวนนึกรักมากกว่าคนที่สองเพราะเขาเป็นหนุ่มใหญ่ผมสีดอกเลาตัวสูงใหญ่ ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน แต่งตัวดี หลังอยู่กินกันอย่างลับ ๆ ได้ปีกว่า ๆ โดยที่เขามารับนางแหวนไปหลับนอนอยู่ที่แคมป์คนงาน เขาก็ซื้อที่ดินสำหรับปลูกบ้านให้หนึ่งแปลง แต่อีกหนึ่งปีถัดมา จบโครงการขุดคลองในเขตนั้น เขาก็หายลับเข้ากลีบเมฆ...
แม้ไม่ได้บอกลาอย่างเป็นทางการเหมือนผัวคนที่สอง แต่ นางแหวนก็เข้าใจได้เองว่า ชีวิตนี้จะต้องเปลี่ยนผัวไปอีกกี่คน ก็ต้องเปลี่ยน!