ชาติกำเนิดไม่อาจบ่งชี้ชีวิตคน เรื่องราวของ บุษบา ลูกสาว ของหวาน เพื่อนเรณู และเรื่องราว ของประณต ลูกชาย เรณู จากเรื่อง กรงกรรม
รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,บุษบาตาคลี,จุฬามณี,รัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บุษบาตาคลีชาติกำเนิดไม่อาจบ่งชี้ชีวิตคน เรื่องราวของ บุษบา ลูกสาว ของหวาน เพื่อนเรณู และเรื่องราว ของประณต ลูกชาย เรณู จากเรื่อง กรงกรรม
“ ชาติกำเนิด ไม่อาจบ่งชี้ ชีวิตคน!”
นี่คือวลีเด็ดที่ตอกย้ำความเป็นตัวตนของ “บุษบา” ให้ก้าวข้ามความทุกข์ความทดท้อใจกับการเกิดมาเป็น “ลูกเมียเช่า” แม้ต้องถูกคนปรามาสว่า “ก็แม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น เหมือนลูกไม้ย่อมหล่นใต้ต้น… ยายก็มีหลายผัว แม่ก็เป็นอย่างนั้น แล้ว “บุษบา” จะไม่เป็นเหมือนแม่ หรือยายได้อย่างไร “บุษบา” ที่เกิดมาสวยด้วยมีพ่อเป็นฝรั่งต่างชาติ เป็นทหารขับเครื่องบินรบกับเวียดนาม แม่มาตายจากไปตั้งแต่บุษบายังเล็ก จึงโตมากับยายแหวนผู้มากชาย และมากความรู้ความสามารถในการทำขนม และอาหารหลากหลาย ซึ่งได้สั่งสอนให้บุษบาเรียนรู้เพื่อเป็นอาชีพในอนาคตและสอนไม่ให้เป็นคนมีนิสัยจับจด คิดฝันแต่ใช้รูปโฉมเพื่อรวยทางลัด งานบ้านงานเรือนต้องหยิบจับเป็น รู้จักรับผิดชอบชีวิตเป็นอย่างดี และความกตัญญูกตเวทีที่บุษบามีต่อนางแหวนนั้นไม่สูญเปล่าในวันที่ชีวิตตกต่ำ ความดีนั้นย่อมสนองกลับมาในรูปแบบของความเมตตาจากผู้ใหญ่ทุกฝ่าย “บุษบาตาคลี” ผลงานเล่มล่าสุดจากนักเขียนหลากรางวัล ที่ไม่เคยสร้างความผิดหวังให้กับนักอ่านตลอดเส้นทางที่อยู่ในวงการน้ำหมึก ซึ่งการันตีโดยหลายเรื่องได้ถูกนำไปสร้างเป็นละครให้ตราตรึงใจในทุกตัวละครจนยากจะลืมเลือน
*นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจินตนาการ โดยใช้ฉากเป็นสถานที่จริง หากชื่อตัวละครหรือเหตุการณ์ไปเกี่ยวข้องกับบุคคลใด ผู้เขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
พอได้เวลา นางแหวนก็ให้หลานสาวกลับบ้านเพื่อแต่งตัวไปโรงเรียนท่ามกลางความเป็นห่วง แต่นางแหวนก็ทำได้เพียงกำชับไปว่า “ดูแลตัวเองด้วยนะ รู้ไหม”
รู้ไหม? ในที่นี้ เพราะตั้งแต่บุษบาอายุได้สิบขวบ เริ่มสงสัยใคร่รู้เรื่องรอบ ๆ ตัวที่ได้ยินได้ฟังมา...ยามช่วยกันทำงานบ้านหรือทำของเตรียมไว้ขาย บุษบาก็ซักถามไปพลาง นางแหวนก็ถือโอกาสค่อย ๆ บอกเล่าและสั่งสอนไปในที เริ่มตั้งแต่ เรื่องสามีคนแรกที่ชื่อ นายจบเป็นสมุนโจร...บุษบาถามว่า
“ฉุดกันไปทั้งที่ไม่รู้จักกันเนี่ยเหรอยาย”
“รู้สิ ก็คนหมู่บ้านติดกัน เห็นกันมานี่แหละ แต่ไม่คิดว่าเขาจะทำ”
“แล้วทำไม ถึงไม่มาสู่ขอกันล่ะ”
“ใคร ๆ ก็รู้ว่า ตาเขาเป็นสมุนโจร ใครที่ไหนจะยกลูกสาวให้ไปตกระกำลำบาก ๔๐ ๕๐ ปีก่อน มันมีแต่ป่าแต่ดง มันไม่ได้เจริญอย่างสมัยนี้ ไปไหนก็ต้องเดิน ต้องหาบคอน แบกหาม บางที่ทางเกวียนก็ยังไม่มีเลย ไกลหูไกลตาทางราชการ เสือร้ายก็เยอะ คนเป็นเสือ เป็นโจร บางทีไม่อยากเป็น ก็ต้องเป็น เพื่อป้องกันตัวเอง ป้องกันญาติพี่น้อง อย่างพ่อของยาย ก็เสือเก่าเหมือนกัน ขึ้นชื่อว่าเสือปล้น ไม่หักหลังกันเอง ไม่ถูกเจ้าทรัพย์ยิงตาย ก็ต้องตายเพราะทางการ พ่อของยาย ก็ตายเพราะโดนยิงเหมือนกัน ตอนนั้นยายก็ยังเด็กไม่รู้เรื่องอะไร แม่ของยายก็บอกแค่ว่า ตายเพราะถูกยิง ก็คงไม่แคล้วเรื่องพวกนี้แหละ แล้วพอยายถูกฉุดไป ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา”
“ตอนนั้นยายกลัวไหม”
“กลัว”
“กลัวอะไรหรือยาย”
“ก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปอยู่อย่างไร ไม่รู้อนาคต ไม่รู้ว่าจะต้องไปเป็นเมียใครบ้าง”
“ขนาดนั้นเลยหรือยาย”
“แต่ชุมโจร เขาก็มีคุณธรรมพอตัว ไม่มีเรื่องรุมขืนใจอะไรหรอก เขาก็ว่า เขาเห็นยายแล้วรักยาย ยายก็อยู่กินกับเขามาจนมีลุงเอ็ง แล้วเขาก็ถูกยิงตายไป ยายก็หอบลุงเอ็งกลับมาที่บ้าน”
“ตอนนั้นยายรู้สึกอย่างไร ยายดีใจหรือเสียใจ ที่พ่อของลุงโดนยิง”
“บอกไม่ถูก อยู่ด้วยกันเป็นปี ๆ ก็ผูกพัน ก็สงสาร เพราะเขาก็ดีกับยายอยู่เหมือนกัน”
“ดีอย่างไรหรือยาย”
“ก็ซื้อผ้าซื้อผ่อนมาให้ยายนุ่ง เขาเป็นคนรู้งาน รู้หน้าที่ของตัวเองดี ตื่นเช้ามาก็รู้ว่าต้องทำอะไร ไม่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไช เขาจะตัดฟืน เผาถ่านให้เมียหุงข้าว รู้ว่าต้องหาบน้ำมาให้เมียใช้ รู้ว่าต้องเอาควายออกจากคอก รู้จักตัดไม้เลื่อยไม้มาขยายเรือน จริง ๆ เขาก็หวังสร้างเนื้อสร้างตัวแล้วจะเลิกเป็นเสือนั่นแหละ แต่คนมันเดินบนทางเส้นนี้ไปแล้ว มันเลิกยาก สุดท้ายเขาก็ตาย ตายแล้ว พ่อแม่พี่น้องเขาก็จัดการเรื่องศพ ก็เผาง่าย ๆ บนเชิงตะกอนตามประสาเสือ บ้านช่องพ่อแม่เขา ก็รื้อเอาไม้ไป”
“แล้วยายรักตาเขาบ้างไหม”
“ก็...ไม่ได้เกลียดเหมือนตอนถูกฉุดไปใหม่ ๆ”
“แล้ว กับตาของหนูล่ะ ยายรู้สึกอย่างไร”
“แรก ๆ เป็นความตื่นเต้น หวังว่าเขาจะพาชีวิตของยายให้ดีขึ้น แต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็แค่เมียน้อย และก็ไม่รู้ว่า เป็นน้อยลำดับที่เท่าไหร่ด้วย เขาไปกับขบวนรถไฟ ก็มีเมียไปทั่ว บุษเอ๊ย คนกินน้ำใต้ศอกเขาน่ะ อย่างไรมันก็ไม่มีความสุขจีรัง ไม่มีอนาคตแน่นอนอะไร เหมือนคนผัวเดียวเมียเดียวหรอก ตอนเขาอยู่กับเรา ปากก็ว่ารักเรา ชอบเรา พอใจในตัวเรา พอจากเราไปแล้ว มันก็เอาคำพูดแบบนี้ไปพูดกับคนอื่นอีก ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ยายก็จะไม่หลงคารมของเขา อดทนสักนิด เช่าบ้าน ค้าขายไปอะไรไป ก็คงมีคนดี ๆ ที่เขาไม่ถือว่ายายเคยมีผัวมีลูกมาแล้ว เข้ามาในชีวิตยายสักคนหรอก แต่ชีวิตคนเรา มันเหมือนสายน้ำ มันไม่ไหลกลับ เวลามันหวนคืนไม่ได้ และบางที มันก็เหมือนเป็นเรื่องของ โชค วาสนา ชะตาชีวิตด้วย ดวงมันจะต้องเป็นอย่างนั้น มันก็ยากจะฝืน”
“ดวงมันจะต้องเป็นอย่างนั้น”
“ยายเคยดูหมอเมื่อตอนสาวรุ่น โตกว่าเอ็งสักหน่อย ยายคนดูเป็นหมอตำแยด้วย แกว่าดวงของยายเป็นดวงมากชู้หลายผัว ตอนนั้นยายก็ไม่คิดว่าชีวิตของเรา เราต้องลิขิตเองได้สิ แต่พอมีคนผัวแรกแบบนั้นและเขาก็ตายไป ยายก็รู้แล้วว่า อย่างไรยายก็คงไม่ได้มีแค่ผัวเดียวแน่ ๆ เพราะผู้หญิงมันต้องมีผัวไว้คอยคุ้มครอง”
“คนเราหนีดวงไม่ได้จริง ๆ หรือยาย”
“เคยถามพระ ท่านก็ว่า ของแบบนี้มัน ห้าสิบห้าสิบ ห้าสิบแรกคือ บุญทำกรรมแต่ง อีกห้าสิบ ท่านว่า มันอยู่ที่ตัวของเราด้วย หลังจากนั้น ท่านก็ร่ายยาว ยายก็ฟังไป งงไป”
“แล้วที่ยายอยู่กับตาเป็นสิบปี ยายรักตาบ้างไหม”
“แรก ๆ ก็รักใคร่ เวลาเขาไม่มาหา ก็คิดถึง แต่อยู่ ๆ ไป คิดถึงมาก ๆ เข้า ใจมันก็เป็นทุกข์ พอเป็นทุกข์ ใจมันเจ็บเพราะคำว่า คิดถึง รักมันหายไป มันเหลือเพียงหน้าที่ และยายก็ไม่คิดว่า เขาจะไปง่าย ๆ แบบนั้น แต่พอเขาไปซะได้ ว่าไป ยายก็โล่งใจอย่างบอกไม่ถูก”
“ทำไมถึงโล่งใจ”
“ของลักกิน ขโมยกิน มันจะมีความสุขเหมือนกินของของตัวเองไหมล่ะ”
“ก็จริงนะยาย”
“ฉะนั้น สวย ๆ อย่างเอ็ง อย่าคิดเรื่องการเป็นเมียน้อยใคร กินน้ำใต้ศอกใครอย่างเด็ดขาด รู้ไหม”
“แต่พอตาไป ยายก็ยังเป็นเมียน้อยต่ออีก”
“คนเรามันก็โง่ก่อนฉลาดด้วยกันทั้งนั้นแหละอีบุษ ที่ยายเล่าเรื่องยายให้เอ็งฟัง เพราะยายอยากให้เอ็งมีชีวิตที่มันดีกว่าชีวิตยาย ดีกว่าชีวิตแม่ของเอ็ง เอ็งต้องหัดมองคนที่เขาประสบความสำเร็จไว้ให้มาก ๆ ส่วนคนที่เขาล้มลุกคลุกคลาน เอ็งก็เห็น ๆ อยู่นี่ สุดท้ายมันเป็นอย่างไร ดูแล้วเปรียบเทียบเอา กรองเอา ว่าจะยึดอะไรเป็นหลักในการใช้ชีวิต”
“จ้ะ”
“ตาเลี้ยง ไม่ใช่ ตาแท้ ๆ ของเอ็ง เอ็งต้องระวังตัวให้มาก ๆ อย่าเข้าใกล้ อยู่ห่าง ๆ เข้าไว้ อย่าไปเที่ยวต่อปากต่อคำ ยั่วอารมณ์เขา เวลาผลัดผ้าอาบน้ำ เวลาอาบน้ำ เวลานุ่งผ้าก็ระมัดระวังตัว ถ้าตอนที่ยายไม่อยู่บ้าน เขาอยู่บ้าน ก็ไปเล่นที่บ้านอีเรียม รอยาย อย่าปล่อยตัวให้เขามีโอกาส เอ็งมันสวยนัก ถนอมเนื้อตัวไว้ให้ดี ทำตัวให้มีราคาให้เป็น”
“ทำตัวให้มีราคา เป็นอย่างไรหรือยาย”
“ผู้หญิงที่มันเสียตัวไปแล้ว เขาเรียกผู้หญิงมีราคี ถ้าเอ็งโดนใครเขาปลุกปล้ำ แม้เอ็งจะยังไม่เสียตัวเสียสาวอย่างตอนที่ยายโดนฉุดไปแบบนั้น เขาเรียกว่ามีราคีแล้วเหมือนกัน พูดง่าย ๆ เอ็งต้องรู้จักรักนวลสงวนตัว ผู้ชายดี ๆ ผู้ชายที่จะเป็นเครื่องเชิดหน้าชูตาให้ผู้หญิงเราได้ มันไม่ใช่แค่ตัวมันหรอก มันมีเรื่องโคตรเหง้าของมันมาเกี่ยวข้องด้วย คนมีสกุลรุนชาติ เขารู้ว่าผู้หญิงคนไหนเป็นดอกฟ้า และคนไหนเป็นผู้หญิงดอกทอง ผู้หญิงมีราคี มันไม่ได้ราคา เข้าใจที่ยายพูดไหม”
บุษบาพยักหน้า นางแหวนเองก็รู้สึกโล่งใจ...หวังใจว่า ‘ลูกปู’ จะซึมซับ คำสั่งสอนจาก ‘แม่ปู’ ไปบ้าง นางแหวนรู้ดี และได้ยินอยู่เสมอว่าคนอื่น ๆ ต่างเล่าประวัติของตน ของหวาน แม่บุษบา และประวัติคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นผู้หญิงมากชู้หลายผัว ผู้หญิงทำงานกลางคืน เรื่องเมียเช่าฝรั่ง โสเภณี ที่เคยมีกลาดเกลื่อนเมืองตาคลี เมื่อครั้งที่ทหารจีไอยังอยู่ให้บุษบาฟัง และก็มีหลายคนพูดแบบไม่ได้ถนอมน้ำใจคนฟังสักนิด ทำนองในวันข้างหน้า ‘ลูกปูก็คงจะเหมือนแม่ปู’ อย่างแน่นอน และวลีเปรียบเปรย บุษบาก็นำมาถามนางแหวน...
นางจึงอธิบายไปว่า “ก็แม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น เหมือนลูกไม้ย่อมหล่อนใต้ต้น...ยายมีหลายผัว แม่เอ็งก็เป็นอย่างนั้น จนมีลูกหัวแดงประจานอยู่นี่ไง เขาก็คิดว่าต่อไป เอ็งจะต้องเป็นอย่างนั้นบ้าง”
“หนูไม่มีวันเป็นอย่างนั้นหรอกยาย”
“ให้จริง ๆ เถอะ”
“ยายคอยดูไปก็แล้วกัน”
นึกถึงอนาคตของหลานสาวที่ยากจะหยั่งรู้... อดีตของตัวเองก็ไหลออกมาเป็นสาย...
เพราะนายบุญทัน นายช่างขุดคลองชัยนาท ไม่ใช่แค่ผัวคน ที่ ๓ ซึ่งผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอย่างที่ได้เล่าให้ใครต่อใครฟัง...ระหว่างอยู่ด้วยกัน นางแหวนรู้ว่าเขาเป็นคนใจใหญ่ ช่วงนั้นนางแหวนแทบไม่ได้ขายของเช่นเคย เขาถามว่าขายของได้กำไรวันละเท่าไหร่ พอนางบอกจำนวนเงินรายได้ พร้อมจาระไนค่าใช้จ่ายรวมถึงเงินที่จะต้องส่งหวานกับถวิลเรียนหนังสือให้จบ ม.ศ.๕ ตามที่ได้ตั้งใจไว้ เขาก็ตั้งเงินเดือนมากกว่าที่เคยขายของได้ ถึงสองเท่า...
และทุกเย็น เขาก็จะมารับไปอยู่กับเขาที่แคมป์งานก่อสร้าง ในแคมป์ฯ นอกจากเรื่องบำรุงบำเรอความสุขให้เขา ก็มีเหล้ายา และการพนัน ตามประสามีแต่ผู้ชายห่างบ้าน พักอยู่ด้วยกัน ช่วงแรก ๆ นางแหวนก็เพียงนั่งเฝ้าดูเขาเล่น ต่อมาเป็นการเรียนรู้ และเล่นโดยมีเขาเป็นนายทุน เรื่องกินเหล้าเมายาก็เช่นกัน จากที่เป็นคนกินไม่เป็น นางเริ่มหัดดื่ม และสูบบุหรี่ไปกับเขา และเขาก็จะมีคำพูดติดปากอยู่คำ คือ ผู้หญิงของเขาจะต้องสวยเก๋ โก้หรู อยู่ตลอดเวลา เขาไม่แค่พูด แต่เขาจะให้เงินพิเศษสำหรับซื้อเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ทองคำติดตัว และที่ทำให้นางแหวนรู้สึกอัศจรรย์ใจ คือเมื่อเขารู้ว่า นางแหวนอยากมีที่ดินสำหรับปลูกบ้านสักหลังในตลาดตาคลี เขาก็เป็นธุระซื้อหาให้...
แต่วิมานยังไม่ทันจะเป็นรูปร่าง เขาก็ย้ายไซต์งานส่วนที่รับผิดชอบไปจากเขตตาคลี เพราะคลองชัยนาท ป่าสัก นั้นเริ่มจาก อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ไปสิ้นสุดโครงการที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เสร็จสิ้น หลังเขาจากไป โดยทิ้งเงินไว้ให้ก้อนหนึ่ง นางแหวนก็กลับมาขายของส่งลูกเรียนตามเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิม คือนางแหวนเป็นขี้ปากบรรดาแม่ค้าที่รู้ไส้รู้พุงกันดี จะมีก็แต่นางปรานีเท่านั้นที่พูดสั้น ๆ ว่า “สนใจ ลมปากพวกมัน แล้วท้องมึงอิ่มไหม เมื่อพวกมันไม่ได้ให้มึงกิน ก็อย่าไปสนใจ”
ช่วงแรก ๆ นางแหวนก็หวังใจว่า นายช่างจะหวนกลับมาเพราะลุ่มหลงในรสเสน่หาที่นางปรนเปรอ แต่เมื่อเห็นว่าเขาไปแล้วไปลับ นางแหวนที่รู้สึกว้าเหว่ ก็เริ่มมองผู้ชายที่รู้ว่าตนเป็นแม่ร้าง ผัวที่เคยเลี้ยงดูก็ทิ้งไป ก็เร่เข้ามาขายขนมจีบ เริ่มจากพวกทำงานรถไฟ แต่นางแหวนก็ตั้งใจไว้ จะไม่ยุ่งกับคนเหล่านี้อีก มองไปหาบรรดาเจ๊กที่เข้ามากะลิ้มกะเหลี่ยเพราะนางแหวนเป็นแม่ค้า นางแหวนก็รู้ดีว่า ถ้าปล่อยตัวข้องเกี่ยวด้วยก็คงจะได้เพียงเศษเงิน หรือดีไม่ดี ก็จะมามีปัญหาด่าทอตบตีให้อับอายขายขี้หน้า แหวนนึกถึงคำพูดของนางปรานีผู้กว้างขวางเมื่อสองสามปีก่อน
‘ระหว่างนายทหารในกองบิน นายช่างขุดคลอง พวกสร้างทาง ตัดถนน พวกมาทำงานโรงปูน มึงอยากได้ใครเป็นผัวคนถัด ๆ ไป’
นางแหวนก็ทำทีเป็นเข้าไปขอคำปรึกษาปัญหาชีวิต เพียงแค่จะอ้าปากพูดความในใจ นางปรานีก็หัวเราะคิก ๆ แล้วก็บอกว่า “กูเล็ง ไว้ให้มึงอยู่คนแล้วละ อีแหวน คราวนี้ เป็นวิศวกรโรงปูน เขาเป็นรุ่นน้องผัวกู เรียนโรงเรียนเดียวกันมา คนห่างเมีย แล้วทางบ้านเดิมก็พอมีฐานะ เมียเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย”
โรงปูน เป็นภาษาปากสำหรับคนตาคลี มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า บริษัทชลประทานซีเมนต์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อผลิตปูนซีเมนต์สำหรับใช้สร้างเขื่อนภูมิพลที่จังหวัดตาก จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙ และ และได้ทำการก่อสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ที่ตาคลี ในปี พ.ศ.๒๕๐๑
“เมียเขาดอกฟ้าขนาดนั้น เขาจะมาสนใจ ผู้หญิงลูกสาม อายุสามสิบหกรึ”
“ของแบบนี้มันอยู่ที่ คนชักนำจะเจรจาด้วยโว้ย ยุ่งกับคนเป็นสาว ก็มีแต่จะยุ่ง ยุ่งกับสาวแก่ก็ตาขาวไม่เป็นงาน ยุ่งกับมึง โดยมีกูเป็นคนกลาง ตกลงกันซะให้รู้เรื่องซะก่อน ก็ดีกว่าที่เขาจะซื้อหากินให้ติดโรคไหมวะ แล้วอีกอย่าง มึงเองว่าไป กูว่ามึงอวบอัดน่าฟัดกว่าตอนเป็นสาวซะอีก”
อาจจะเป็นเพราะการดื่มกิน และอาหารชั้นดี เมื่ออยู่กับนายบุญทัน หรืออาจจะเป็นด้วยช่วงวัย ทำให้ นางแหวนดูมีน้ำมีนวล... ซึ่งนางปรานี ก็บอกว่า “อย่างมึงนะเขาเรียกกระดังงาลนไฟ เมียครูอาจารย์นั่น กูเดานะว่า คงจะใส่แว่นหนา ๆ หน้าตาจืดชืด นอนเป็นท่อนไม้”
นางแหวนนิ่งคิดพอเป็นพิธี แล้วก็บอกไปว่า “ก็แล้วแต่แกจะเห็นสมควรแล้วกัน แต่จะให้ดี ตอนนี้ ข้าได้ที่ดินมาแปลงละ ถ้าได้เรือนไม้สองชั้นสักหลัง หรือครึ่งหลัง มันก็น่าจะคุ้มกับการเป็นขี้ปากชาวบ้าน”
และชาวบ้านร้านตลาดก็ว่าต้องเงียบกริบ ที่เห็นว่านางแหวนมีบ้านไม้ใต้ถุนสูงสองชั้นเสาสิบสองต้น ภายในไม่กี่เดือน หลังจากนางปรานีทำหน้าที่เป็นแม่สื่อ...
ผู้ชายคนนี้ของนางแหวน ชื่อนายขจร เป็นรุ่นน้อง นายสวัสดิ์สามีของนางปรานีอีกด้วย ทำให้ความสัมพันธ์ ของแหวนกับนางปรานีแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะถ้าสามีนางปรานีมีเวลาช่วงเย็นเขาก็จะมานั่งดื่มกินที่บ้านของนางแหวน หรือไม่ก็พากันไปกินที่บ้านหลังใหญ่บนเนื้อที่กว้างขวางเกือบหนึ่งไร่ของนางปรานี
ตอนนั้นนางปรานี มีลูกชายสองคน มีลูกสาวสองคน
ลูกชายคนโต ชื่อวิจักษ์ เกิดในช่วงญี่ปุ่นมาสร้างสนามบิน มีอายุมากกว่า หวาน ๔ ปี
คนรองชื่อพิชัย มีอายุมากกว่าหวาน ๓ ปี
และผู้หญิงอีกสองคน ชื่อประไพ และประภา...
ประไพ อายุเท่ากับหวาน ส่วนประภาอายุน้อยกว่าถวิลหนึ่งปี
เมื่อแม่กับแม่เป็นเพื่อนกัน และพ่อทั้งสองฝ่ายคือนายสวัสดิ์ กับนายหอมแม้อายุจะห่างกัน แต่ก็ทำงานการรถไฟเหมือนกัน ลูกที่อายุไล่เลี่ยกัน จึงโตมาด้วยกัน เพียงแต่มันมีเส้นบาง ๆ ของคำว่า ‘ครอบครัว’ อยู่ในสองครอบครัวนี้ จนกลายเป็นความเหลื่อมล้ำ จนยากที่จะลงเอยเป็นทองแผ่นเดียวกัน
นางปรานีซึ่งมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และชัดเจนกับความรู้สึกของตนเองจึงต้องบอกกับ นางแหวนตรง ๆ ว่า “อีแหวน มึงเตือน ๆ อีหวานไว้บ้างนะ ดูมันแรด ๆ แก่แดดแก่ลม มองไอ้จักษ์ด้วยสายตาเปิดเผยความรู้สึก อย่าให้กูต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะลูกมึง ก็เหมือนหลานกู มึงรู้แค่ว่าลูกกู ต้องมีอนาคตไกลกว่าพ่อมัน และสะใภ้ของกู ก็คงไม่ใช่ลูกสาวมึงแน่ ๆ”
นางแหวนก็สังเกตเห็น และลึก ๆ ก็เห็นว่าวิจักษ์เล่นด้วยกับหวาน เพราะหวานสวยงามน่ารักได้ส่วนดีทั้งของนางที่หน้าตาคมคายและของพ่อซึ่งเป็นคนตัวสูงใหญ่ และหวานก็โตเกินวัย แต่เมื่อแม่ฝ่ายชายเอ่ยปากชัดเจนแบบนี้ แน่นอนว่าหวานกับวิจักษ์ ไม่มีทางได้ลงเอยกันอย่างแน่นอน...ต่อให้เด็กรักใคร่กันมากเท่าไหร่ นางปรานีก็จะต้องหาทางกีดกันได้มากขึ้นเท่านั้น และเพื่อไม่ให้ลูกเจ็บปวดกับความรัก พออยู่ลำพังกับหวาน นางแหวนก็จำต้องปรามลูก
“หวาน เวลาไปบ้านป้าเขา แต่งเนื้อแต่งตัวให้มันมิดชิด แล้วก็อย่าเที่ยวได้ไปคลุกคลีตีโมงกับ พี่จักษ์เขามากไป ตอนนี้ เอ็งกับเขาน่ะ ไม่ใช่เด็ก ๆ กันแล้ว”
“ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วมันเป็นอย่างไรหรือแม่”
“เอ็งก็รู้นี่ พวกเขาเป็นใคร เขาก็ให้แม่มาเตือนเอ็งไว้เพราะไม่อยากให้เอ็งถลำใจปล่อยตัวไปมากกว่านี้ ลูกเขามีชาติตระกูลดีกว่าพวกเรา ดีกว่าคนที่นี่ เขาก็วาดอนาคตไว้สูง คงหวังคนที่เขาสูงกว่าคน
อย่างเรา ๆ”
นางแหวนพยายามตะล่อมไม่ใช้คำรุนแรง ไม่ได้เปรียบแค่เขากับเรา แต่เปรียบให้เห็นว่าบ้านนั้นสูงกว่าคนส่วนมากของตาคลี แต่นางแหวนไม่คิดว่า หวานที่อายุเพียงสิบกว่าขวบจะย้อนให้...
“ก็เป็นเพราะแม่ เป็นแบบนี้ไง เขาถึงดูถูกเราเอาได้”
“อีหวาน!”
“ก็จริงไหมล่ะ”
“อีนี่ ถ้ากูไม่เป็นอย่างนี้ มึงจะมีเงินเรียนหนังสือ มีบ้านช่อง มีที่ซุกหัวนอนดี ๆ แบบนี้ไหม”
“ถ้ามีความรู้ มีบ้านหลังใหญ่ แล้วต้องแลกกับคำว่าลูกเมียน้อย เมียเก็บ...ฉันก็ไม่อยากมีหรอก”
“แล้วมันแก้ไขอะไรได้ไหมล่ะ”
“แล้วก่อนทำ ทำไมแม่ไม่คิดก่อนล่ะ...เป็นแค่ลูกเมียน้อย ฉันก็อายคนอื่นจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังเป็นเมียน้อยเมียเก็บเขาอีกสองคน และก็ยังไม่รู้ว่าจะมีไปอีกกี่คน บอกตรง ๆ นะแม่ ฉันกับอีหวินอายเพื่อน ๆ อายจนไม่อยากจะไปโรงเรียนกันแล้ว แม่รู้บ้างไหม”
“อีหวานอีห่าราก อีเนรคุณ อี” นางแหวนด่าลูกอีกยืดยาว แต่ลูกสาวก็หาได้นั่งฟังด้วยอาการสำนึก หวานลุกขึ้นและเดินย่ำเท้าขึ้นบนเรือนไปอย่างท้าทาย...
นางแหวนได้แต่กัดฟันกรอด และก็นึกถึงคำพูดของใครบางคนที่เห็นพฤติกรรมของนางแหวนครั้งที่อยู่กับนายบุญทัน และประพฤติตัวระริกระรี้ตามประสาเมียน้อยที่ได้น้ำเลี้ยงดีจนไม่ต้องตากหน้าขายของให้เหนื่อยยาก ‘แหวนเอ๊ย เอ็งมีแต่ลูกสาวนะ ทำตัว แรด ๆ ไป ลูกมันจะไม่ศรัทธาเอาได้’
ไม่เพียงแต่ลูกไม่ศรัทธา อย่างที่นางแหวนเคยคิดไว้ แต่ลูกยังโทษว่าเป็นเพราะนางเป็นผู้หญิงมากชู้หลายผัว ถึงทำให้ชีวิตรักของลูกพังภินท์ไปด้วย
และมากไปกว่านั้น หวานที่เป็นสาวแรกรุ่นก็เริ่มประชดประชัน ยามที่นายขจรคนปลูกเรือนให้มาที่บ้าน...หวานแสดงอาการไม่ยินดี ไม่ร่วมวงกินข้าวเย็นด้วย โดยอ้างว่าต้องทำการบ้าน หรือถ้าเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เขาจะมานอนค้างอ้างแรม ตั้งแต่คืนวันศุกร์ วันเสาร์ จนถึงคืนวันอาทิตย์ ช่วงกลางวันหวานก็จะมีเรื่องต้องขอออกไปจากบ้าน ไปพร้อมกับน้องบ้าง ไปตามลำพังบ้าง นางแหวนจำใจยินยอม เพราะส่วนตัวก็อยากอยู่ลำพังปรนเปรอเอาใจนายขจร เพราะหวังความสบายของตัวและลูก ๆ ในวันหน้า
กระทั่งวันหนึ่ง เพื่อนบ้านก็มากระซิบบอกกับนางแหวนว่า เห็นหวานกับวิจักษ์แอบไปพลอดรักกันในโรงหนัง แม้จะเดือดดาลในความดื้อด้านของลูกสาว แต่ขณะเดียวกัน นางแหวนรู้สึกยินดีกับความกล้ากับความรักของหวาน แต่ในความเป็นแม่ นางแหวนก็ต้องสั่งสอนแบบเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเพราะคำว่าพลอดรักของชาวบ้านมันยากจะหยั่งรู้ว่า ที่หลบซ่อนกระทำกันมันไปถึงไหนกันแล้ว พอสอบถามแล้ว หวานอ้างว่าเพียงนั่งซบอกป้อนขนมกันเท่านั้น และหวานก็ย้อนกลับมาอย่างเด็กแก่แดดว่า “หนูรู้หรอกว่า ความสาวของหนู จะต้องมีราคาเท่าไหร่”
“อีหวาน อี”
“อย่าให้หนูพูดไปมากกว่านี้เลยแม่ เดี๋ยวแม่จะแสลงหู แต่หนูบอกแม่ไว้เลยว่า หนูไม่ได้คิดกับพี่จักษ์ไปเองคนเดียว พี่จักษ์เขาก็ชอบหนูด้วย ชอบมากด้วย ตั๋วหนังเขาก็ออกให้ ขนมเขาก็เลี้ยงหนู นี่เขาก็ว่าเขาจะซื้อแหวนทองมาหมั้นหนูไว้ด้วย”
“หมั้น ถุย! ตอนมันยังไม่ได้มึง มันก็ต้องพูด ต้องทำให้มึงเคลิ้มไปก่อนสิ พอมันได้มึงแล้ว ทีนี้แหละ มันก็จะหาเรื่อง หาข้ออ้างตีจาก และถ้ามึงพลาดท่าท้องไส้ขึ้นมาทีนี้แหละ”
“หนูจะไม่ยอมเสียตัวให้เขาง่าย ๆ หรอกแม่ สำหรับหนูกับเขา จะต้องลงเอยด้วยการแต่งงานกันเท่านั้น หนูจะไม่ยอมเป็นดอกไม้ริมทาง เป็นนางบำเรอของใครอย่างเด็ดขาด”
“ให้มันจริง”
“แม่คอยดูไปก็แล้วกัน”
“กูจะคอยดู แต่ไอ้เรื่อง ซบอก นั่งตัก ต่อไปมึงอย่าไปทำอย่างนั้นอีกนะ มึงอย่าลืมว่ามึงเป็นผู้หญิง ไม่เสียตัวแต่มันก็เสียชื่อ เสียหาย แล้วไอ้เรื่องแหวนหมั้นอะไร มึงก็อย่าฝันไปเลย เสียเวลาเปล่า”
ตอนนั้นหวานนิ่งเงียบ นางแหวนไม่รู้หรอกว่าหวานคิดอะไร จนวันหนึ่งนางแหวนก็เห็นหวานนั่งเหงาหงอยไร้ชีวิตชีวาอยู่ที่พนักระเบียง...พอสอบถามก็ได้ความว่า “ป้าเขาจะส่งพี่จักษ์ไปเรียนต่อ ม.๗ ม.๘ ที่กรุงเทพฯจ้ะแม่”
“แล้วไง”
“ฉันต้องคิดถึงเขามากสิแม่ แล้วเขาไปอยู่ทางโน้น ไปเจอสังคมใหม่ ๆ เขาก็ต้องเจอคนที่ดีกว่าฉัน”
“ของมันแน่อยู่แล้วอีหวาน ผู้ชายพอมันหันหลังให้เราแล้ว ใจมันก็เป็นอื่นไปด้วย อย่างไรมึงก็รีบตัดใจให้ได้แล้วกัน กูก็ปลอบมึงได้เท่านี้แหละ”
“แต่ฉันกับพี่จักษ์...เอ่อ” หวานทำท่าเหมือนน้ำท่วมปาก...
“มึงกำลังจะบอกอะไรกับกู”
“ปะเปล่าจ๊ะแม่ ไม่มีอะไร”
“มึงอย่าบอกนะว่า ไอ้จักษ์มัน”
“ไม่มีอะไรหรอกแม่” ว่าแล้วน้ำตาของหวานก็หยดลงมา แต่หวานก็รีบเช็ดมันออกไป ตอนนั้นเองที่นางแหวนได้เห็นว่าที่นิ้วนางข้างซ้ายของหวานมีแหวนทองคำติดอยู่...
“แหวนทองวงนี้ มึงเอามาจากไหน”
“พี่จักษ์เขาให้”
“ทำไมเขาถึงให้”
หวานไม่ยอมตอบคำถาม...แต่ก้มหน้างุดให้ชวนสงสัยและมีอารมณ์โมโหยิ่งขึ้น
“มึงเอาความสาวแลกมาใช่ไหมอีหวาน”
หวานที่มีอายุเพียงสิบสี่ปีมองหน้าแม่แล้วหลบสายตาลงต่ำ พอถามซ้ำหวานก็บอกว่า “ถ้าใช่ แล้วแม่จะช่วยอะไรฉันได้ล่ะ”