ชาติกำเนิดไม่อาจบ่งชี้ชีวิตคน เรื่องราวของ บุษบา ลูกสาว ของหวาน เพื่อนเรณู และเรื่องราว ของประณต ลูกชาย เรณู จากเรื่อง กรงกรรม

บุษบาตาคลี - บทที่ 3 ดอกไม้ริมทาง โดย จุฬามณี @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,บุษบาตาคลี,จุฬามณี,รัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บุษบาตาคลี

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

บุษบาตาคลี,จุฬามณี,รัก

รายละเอียด

บุษบาตาคลี โดย จุฬามณี @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาติกำเนิดไม่อาจบ่งชี้ชีวิตคน เรื่องราวของ บุษบา ลูกสาว ของหวาน เพื่อนเรณู และเรื่องราว ของประณต ลูกชาย เรณู จากเรื่อง กรงกรรม

ผู้แต่ง

จุฬามณี

เรื่องย่อ

“ ชาติกำเนิด ไม่อาจบ่งชี้ ชีวิตคน!”

นี่คือวลีเด็ดที่ตอกย้ำความเป็นตัวตนของ “บุษบา” ให้ก้าวข้ามความทุกข์ความทดท้อใจกับการเกิดมาเป็น “ลูกเมียเช่า” แม้ต้องถูกคนปรามาสว่า “ก็แม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น เหมือนลูกไม้ย่อมหล่นใต้ต้น… ยายก็มีหลายผัว แม่ก็เป็นอย่างนั้น แล้ว “บุษบา” จะไม่เป็นเหมือนแม่ หรือยายได้อย่างไร  “บุษบา” ที่เกิดมาสวยด้วยมีพ่อเป็นฝรั่งต่างชาติ เป็นทหารขับเครื่องบินรบกับเวียดนาม แม่มาตายจากไปตั้งแต่บุษบายังเล็ก จึงโตมากับยายแหวนผู้มากชาย และมากความรู้ความสามารถในการทำขนม และอาหารหลากหลาย ซึ่งได้สั่งสอนให้บุษบาเรียนรู้เพื่อเป็นอาชีพในอนาคตและสอนไม่ให้เป็นคนมีนิสัยจับจด คิดฝันแต่ใช้รูปโฉมเพื่อรวยทางลัด งานบ้านงานเรือนต้องหยิบจับเป็น รู้จักรับผิดชอบชีวิตเป็นอย่างดี และความกตัญญูกตเวทีที่บุษบามีต่อนางแหวนนั้นไม่สูญเปล่าในวันที่ชีวิตตกต่ำ ความดีนั้นย่อมสนองกลับมาในรูปแบบของความเมตตาจากผู้ใหญ่ทุกฝ่าย “บุษบาตาคลี” ผลงานเล่มล่าสุดจากนักเขียนหลากรางวัล ที่ไม่เคยสร้างความผิดหวังให้กับนักอ่านตลอดเส้นทางที่อยู่ในวงการน้ำหมึก ซึ่งการันตีโดยหลายเรื่องได้ถูกนำไปสร้างเป็นละครให้ตราตรึงใจในทุกตัวละครจนยากจะลืมเลือน

 

*นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจินตนาการ โดยใช้ฉากเป็นสถานที่จริง หากชื่อตัวละครหรือเหตุการณ์ไปเกี่ยวข้องกับบุคคลใด ผู้เขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

 

สารบัญ

บุษบาตาคลี-จากใจนักเขียน จุฬามณี,บุษบาตาคลี-บทที่ 1 นางแหวน แม่ของหวาน ยายของบุษบา,บุษบาตาคลี-บทที่ 2 ลูกเมียน้อย ลูกเมียเก็บ,บุษบาตาคลี-บทที่ 3 ดอกไม้ริมทาง,บุษบาตาคลี-บทที่ 4 ครอบครัวนางปรานี,บุษบาตาคลี-บทที่ 5 เป็นสาวแล้ว จ้า....,บุษบาตาคลี-บทที่ 6 คู่วุ่นวัยหวาน,บุษบาตาคลี-บทที่ 7 ลุงพีช,บุษบาตาคลี-บทที่ 8 ประณต อัศวรุ่งเรืองกิจ,บุษบาตาคลี-บทที่ 9 ปลาวาฬ กับ เสือน้อย,บุษบาตาคลี-บทที่ 10 แม่สื่อแม่ชัก,บุษบาตาคลี-บทที่ 11 ลูกชายแม่เรณู,บุษบาตาคลี-บทที่ 12 พรรณราย,บุษบาตาคลี-บทที่ 13 คนโตทันกัน,บุษบาตาคลี-บทที่ 14 ฟ้าใหม่ ชีวิตใหม่,บุษบาตาคลี-บทที่ 15 บ้านอัครเดช,บุษบาตาคลี-บทที่ 16 วันแรกในกรุงเทพ ฯ,บุษบาตาคลี-บทที่ 17 บุพเพสันนิวาส หรือ เป็นเรื่องเวรกรรม! ,บุษบาตาคลี-บทที่ 18 ลองฝืนใจตัวเองดูสักตั้ง,บุษบาตาคลี-บทที่ 19 ในสายตาของบุษ บุษว่าลุงแก่ไหม,บุษบาตาคลี-บทที่ 20 ชาติกำเนิดไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตของใคร,บุษบาตาคลี-บทที่ 21 ดับแสงดาว,บุษบาตาคลี-บทที่ 22 ปมรัก รอยอดีต,บุษบาตาคลี-บทที่ 23 รักที่ต้องจากลา,บุษบาตาคลี-บทที่ 24 ศักดิ์ชาย ชัยสิทธิ์,บุษบาตาคลี-บทที่ 25 ความลับในลิ้นชัก,บุษบาตาคลี-บทที่ 26 เพรงรักอสูร,บุษบาตาคลี-บทที่ 27 สุขสันต์วันวิวาห์,บุษบาตาคลี-บทที่ 28 อ้อมกอดที่รอคอย,บุษบาตาคลี-บทที่ 29 ฮันนี่มูน,บุษบาตาคลี-บทที่ 30 รักในมุมมืด,บุษบาตาคลี-บทที่ 31 โลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน,บุษบาตาคลี-บทที่ 32 คนเราไม่ได้ดี เลว เพราะคำของใครหรอก,บุษบาตาคลี-บทที่ 33 หากมีใครสักคน รักเรา โดยที่ไม่ได้สนใจ พื้นฐานของเรา,บุษบาตาคลี-บทที่ 34 เลือดคนตาคลี,บุษบาตาคลี-บทที่ 35 สิทธิ์หัวใจ,บุษบาตาคลี-บทที่ 36 สมัยนี้ หรือสมัยไหน ผู้ชายเขาไม่ได้ถือสาเรื่อง ผู้หญิงผ่านมือผู้ชายมาแล้วหรอก,บุษบาตาคลี-บทที่ 37 ตอนจบ แฮปปี้ เอ็นดิ้ง

เนื้อหา

บทที่ 3 ดอกไม้ริมทาง

๓.

นอกจากจะมีบ้านหลังใหญ่บนเนื้อที่กว้างขวาง นางปรานีกับนายสวัสดิ์ก็ยังมีรถเก๋ง และรถมอเตอร์ไซค์ฮอนด้า C ๙๕ และจักรยานคานคู่ ประดับบารมี ภายในบ้านก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกตามยุคสมัย และที่เป็นชื่นชอบของหวานเป็นอย่างมาก ก็คือเครื่องเล่นแผ่นเสียง นายสวัสดิ์ก็มีรสนิยมสูงและมีเงินสะสมแผ่นเสียง ความชอบนั้นถ่ายทอดไปที่ลูกชายทั้งสองด้วย นายสวัสดิ์จะส่งเสริมให้ลูก ๆ มีความสามารถพิเศษทางดนตรี โดยทุกช่วงปิดเทอม เขาจะให้ลูก ๆ กลับไปอยู่ที่บ้านย่าในกรุงเทพฯ และเรียนดนตรีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ลูกชายทั้งคู่ เลือกเรียนเครื่องดนตรีสากล เพราะรู้สึก     โก้เก๋กว่าเครื่องดนตรีไทย ส่วนประไพชอบวิชาขับร้อง  ประภาให้ความสนใจเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องสาย อย่างขิม ซอ และจะเข้ มากกว่าการขับร้อง ยามหวานไปบ้านของนางปรานีคราใด หวานจะได้อาศัยความเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของประไพ ช่วยประไพประสานเสียงเป็นลูกคู่ ทำให้วงดนตรีวงย่อม ๆ เกิดขึ้น และด้วยที่บ้านนั้นมีเครื่องเล่นและแผ่นเสียงทั้งของนักร้องไทยและสากลเป็นจำนวนมาก เด็ก ๆ ก็จะอาศัยฟังและฝึกซ้อมโดยมีวิจักษ์พี่ชายคนโตเป็นคนคอยรับผิดชอบป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น

จึงเป็นที่มาให้หวานและวิจักษ์ มีความใกล้ชิดผูกพันรักใคร่กัน จนนางปรานีจับความรู้สึกได้...ส่วนถวิลชอบอ่านหนังสือมากกว่า ถวิลจะมีความสุขกับชั้นหนังสือของนายสวัสดิ์โดยไม่ได้สนใจว่าหวานและวิจักษ์มีความรู้สึกต่อกันอย่างไร...

  หลังจากที่ได้ยินคำถามของหวาน นางแหวนจึงกรากเข้าไปนั่งประชิด แล้วก็ถามด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “มึงพูดอย่างนี้ หมายความว่า มึงกับไอ้จักษ์ไปถึงไหน ๆ กันแล้วใช่ไหม”

หวานก้มหน้างุด ไม่ยอมตอบ...จนนางแหวนต้องตะคอก 

“กูถาม  มึงก็ตอบกูมาสิ มึงนอนกับมันไปแล้วใช่ไหม”

“ถ้าฉันเสียตัวให้เขาไปแล้ว แม่จะช่วยอะไรฉันได้ล่ะ”

“ทำไมจะช่วยไม่ได้ กูเป็นแม่มึงนะ”

“ฉันไม่เชื่อหรอก”

“ทำไม”

“ที่ผ่านมา แม่ก็เชื่อฟังป้าปรานีเขามาตลอด เขาหาผู้ชายมาให้ แม่ก็เห็นดีเห็นงามไปกับเขา เขาบอกอะไร แม่ก็เชื่อเขาหมด ถ้าแม่ไปหาเขา แล้วบอกเรื่องฉันกับพี่จักษ์ เขาก็คงเกลี้ยกล่อมให้แม่เย็นลง พอเย็นแล้ว เขาพูดอะไรมา แม่ก็คงนิ่งฟัง  แล้วสุดท้าย ฉันก็ได้มาแค่แหวนวงนี้แหละ”

“สรุปว่ามึงเสียตัวให้มันไปแล้ว”

หลังหวานยอมรับว่ามีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับวิจักษ์ไปแล้วหลายครั้งหลายหน ส่วนสถานที่ก็เป็นในป่าละเมาะข้างทาง โดยวิจักษ์ทำทีชวนหวานซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ของพ่อออกไปเที่ยว...

นางแหวนนึกอยากจะจิกทึ้งตบตีหวานที่ใจง่ายเห็นแก่ขนม ตั๋วหนัง และทองคำเฟื้องเดียว แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น... นางมองหน้าบุตรสาวที่มีน้ำตารินออกมา แล้วก็ถามว่า  “เมื่อมึงพลีกายให้เขาเปล่า ๆ ปรี้ ๆ ทั้งที่มึงอายุเท่านี้ แล้วมึงคิดจะแก้ปัญหานี้อย่างไร มึงบอกกูมาซิ”

“ฉันคิดไม่ออกหรอกแม่”

“แล้วถ้ามึงท้องขึ้นมา มึงจะทำอย่างไร”

“ไม่รู้”

นางแหวนถอนหายใจออกมา...รู้สึกหนักใจเพราะที่ผ่านมา นางก็เป็นอย่างที่หวานพูดออกมาจริง ๆ  แต่เพื่ออนาคตของลูก นางแหวนจะไม่ยอมให้ความสาวของหวานเป็นเหมือนของให้ทานหมามันไปอย่างเด็ดขาด... 

หลังจากกลั่นกรองคำพูด เพื่อประโยชน์ของหวาน นางแหวนก็รีบไปที่บ้านนางปรานี แต่พอไปนั่งอยู่ต่อหน้านางปรานี เห็นสายตาของคนที่มีอำนาจเงินเหนือกว่า นางแหวนก็รู้สึกเหมือนน้ำท่วมปาก 

 “เอ้า มีธุระอะไรก็ว่ามาซิ”

“วิจักษ์อยู่ไหม” นางปรานีจะเรียกชื่อลูกสองพยางค์นำคนอื่น คนอื่น ๆ ก็จึงเอ่ยถึงชื่อจริง ของลูก ๆ นางปรานีไปด้วย

“มีธุระอะไรกับมัน”

“เรื่องอีหวานน่ะสิ”

“วิจักษ์มันเข้ากรุงเทพฯ ไปแล้ว ย่าเขาให้ไปเรียนต่อที่โน่น อีกนานแหละ กว่าจะได้กลับมา”

“แต่วิจักษ์มัน”

อีแหวน กูบอกมึงแล้วใช่ไหม ให้ระวังคนของมึงไว้ให้ดี แล้วกูก็บอกกับมึงแล้วว่า ลูกสะใภ้กู ต้องไม่ใช่ลูกมึง เพราะฉะนั้น มึงไม่ต้องมาพิโอดพิครวญอะไรกับกูหรอก”

“กูก็เตือนมันแล้ว แต่เมื่อเรื่องมันถึงขั้นนี้  มึงจะไม่เห็นอกเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกันเลยรึไงอีนี่”

“เห็นน่ะกูเห็น แต่กูเห็นกับอนาคตของลูกกูมากกว่า แล้วแค่ไปเที่ยวด้วยกัน แค่ซ้อนท้ายรถเครื่องไปเที่ยวป่าเที่ยวเขาแค่นั้น มันไม่ได้บุบสลายอะไรหรอก”

“แต่อีหวานมันบอกกับกูว่า มัน...มันกับไอ้จักษ์ ไปถึงไหน ๆ กันไปแล้ว”

“แต่ลูกกู บอกกับกูว่า แค่ขี่รถพากันไปเที่ยวป่า เก็บดอกไม้ดอกไร่ ไปตามประสาเด็ก ๆ ที่เห็นว่าโลกใบนี้ มีแต่ของสวยของงาม”

“อีปรานี มึง อี... อีฉิบหาย”

“อ้าว อีนี่ วอนแล้วไหมล่ะ นี่บ้านกูนะ กล้าดีอย่างไร มาด่ากูถึงในบ้าน ถ้าไม่เห็นว่าโตมาด้วยกัน มึงโดนตบคว่ำไปแล้ว”

“ก็มึงพูดเอาแต่ได้นี่หว่า”

“กูไม่ได้คิดเอาแต่ได้อะไรจากมึง แต่กูคิดป้องกันความเสียหายของของกูมากกว่า และมึงน่ะ คงคิดเสี้ยมให้ลูกมึง จับลูกกูล่ะสิ  เชอะ อย่าหวังไปเลย ลูกกู กูบอกมันตลอด ว่าดอกไม้ดอกไหน ควรตัดมาไหว้พระปฏิมา ดอกไหนมีค่าควรนำมาปักแจกันประดับบ้าน และดอกไหนเป็นแค่ดอกไม้ริมทาง”

“อีเวรตะไล”

“อีแหวน มึงกลับบ้านมึงไป กูไม่อยากเสียเพื่อน...เอาเป็นว่า เรื่องอีหวาน ถ้ามันท้องโต แล้วลูกมันออกมาหน้าเหมือนคนบ้านกู เราค่อยมาคุยกันใหม่...ดีไหม”

“อีฉิบหาย”

“แล้วเรื่องนี้ มึงก็ไม่ต้องร้องแรกแหกกระเชอไปหรอก        พูดพร่ำรำพันไปทั่ว คนที่เสียราคา ก็คือลูกมึงนั่นแหละ...ไป กลับไปได้แล้ว กูต้องหุงหาข้าวปลาให้ลูกผัวกูกิน”

นั่นเป็นครั้งแรกที่นางแหวนเดินออกมาจากบ้านนางปรานีพร้อมกับคำสาปแช่งต่าง ๆ นานา และหลายปีต่อมา นางแหวนก็ไม่รู้ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกสาว หลานสาว ของนางปรานี เป็นเพราะคำสาปแช่งของตนหรือเปล่า แต่นางแหวนก็ได้ตระหนักว่า ชีวิตของ ผู้หญิงจะได้ดีได้ชั่วในภายหน้าหรือไม่ จะต้องมี ผู้ชาย เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทุกคนไป

และเรื่องของวิจักษ์กับหวาน นางแหวนก็มารู้ทีหลังว่า มีคนไปเห็นวิจักษ์กับหวานกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่ในป่า และก็คาบข่าวนั้นมาบอกนางปรานี พอนางปรานีรู้เรื่องเข้า ก็รีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม โดยวิจักษ์ไม่ได้กลับมาบ้านที่ตาคลีเป็นเวลาหลายปี ระหว่างนั้น           นางแหวนก็ถามหวานว่าได้เขียนจดหมายไปหาวิจักษ์ หรือ  วิจักษ์ได้เขียนจดหมายมาหาบ้างหรือเปล่า หวานก็ตอบมาว่า “ตอนไปใหม่ ๆ มีเขียนมาหาฉันสองสามฉบับ และก็เงียบหายไปเลย ฉันเดาว่าจดหมายที่ฉันเขียนไป ก็คงไม่ถึงมือพี่จักษ์เขาหรอก แม่ก็น่าจะรู้ว่าเพราะอะไร”

“งั้น เอ็งก็ตัดใจจากเขาซะ คิดซะว่าให้ทานหมามันกินไป เสียแล้วเสียไป  ต่อไป ก็ตั้งใจเรียนหนังสือให้มันจบ ไปให้มันดีกว่า         อีประไพ อีประภา ไปให้คนที่มันดูถูกเอ็ง เห็นเอ็งในวันหน้า แล้วจะต้องเสียดาย”

“งั้น จบ มศ. ๓ ฉันขอเข้าไปเรียนต่อที่ปากน้ำโพได้ไหมแม่ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ไหวแล้ว”

“ทำไม”

“ฉันอายเพื่อน ๆ และฉันก็เจ็บที่หัวใจ”

“จะไปอยู่อย่างไร เราไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่โน่นสักคน”

“ที่ปากน้ำโพ มีโรงเรียนแบบกินนอน นะแม่นะ แม่บอกอาขจรให้ช่วยแม่ ช่วยฉันอีกสักหน่อย ค่าหอค่าเรียน ฉันสืบราคามาจากเพื่อนที่ไปเรียนตั้งแต่จบ ป.๔ แล้ว ไม่เท่าไหร่หรอก ไม่เกินกำลัง     คุณอาเขาหรอก”

“แต่ที่เขาให้แม่มา แม่ก็รู้สึกว่ามันมาก จนเกรงใจเขาจะแย่แล้ว”

“อีกสองปีเท่านั้น เดี๋ยวฉันก็จะทำงานแล้ว เป็นลักษณะเงินกู้ก็ได้นะ ฉันเรียนจบฉันจะผ่อนใช้เขาเอง แม่บอกเขาหน่อยนะ หรือแม่จะให้ฉันคุยกับคุณอาเอง”

เป็นอันว่านางแหวนเป็นคนคุยกับนายขจร พอนายขจรรู้เรื่อง ก็สอบถามถึงสาเหตุที่ต้องย้ายเข้าไปเรียนในตัวจังหวัด และเพื่อให้เขารู้สึกเห็นใจ นางแหวนจึงได้เล่าเรื่องหวานกับวิจักษ์ให้เขารับรู้ 

หลังจากรู้แล้ว เขาก็อนุมัติเงินก้อนหนึ่ง โดยเขาบอกกับ     นางแหวนว่า ถ้าจบ ม.ศ.๕ แล้ว หวานจะต้องกลับมาทำงานที่โรงปูน หรือที่ไหน ๆ เพื่อใช้หนี้เขา เงินก้อนนี้ สำหรับหวานจะไม่ใช่เงินให้เปล่า เช่นที่ให้นางแหวนในฐานะเมียของเขาคนหนึ่ง 

และนางแหวนก็ไม่คิดว่าเงิน ที่เขายินดีส่งเสียให้หวานไปเรียนที่ปากน้ำโพ  เป็นเพียงเศษเงินที่เขาหยิบยื่นให้ เพราะหวังจะขม้ำลูกสาวของนาง!  

กว่านางแหวนจะรู้ว่า หวานที่ไปเรียนที่ปากน้ำโพ ตกเป็นเมียของนายขจรอีกคน ก็มีเรื่องมีราวใหญ่โตให้ต้องขายหน้าไปทั้งบาง เพราะหวานที่อยู่ทางโน้น ไม่ได้ยอมนอนกับนายขจรแบบเป็นเมีย  ลับ ๆ รอคอยอยู่ในห้องเช่าใกล้ ๆ โรงเรียน แบบเช้าไปเรียน เย็นกลับมานอนรอ ด้วยความจงรักภักดี แต่หวานใช้ช่วงที่นายขจรอยู่ทางนี้ คบหาลูกเจ้าของโรงสีจากอำเภอท่าตะโกที่เข้ามาเรียนในเมืองด้วยอีกคน นายขจรรู้เรื่องเข้า ก็มีเรื่องมีราวใหญ่โต เขาทำร้ายไอ้หนุ่มคนนั้นจนเลือดตกยางออก และหวานก็ต้องออกจากโรงเรียนตามไอ้หนุ่มกลับไปอยู่ที่ท่าตะโก 

ตอนนั้นนางแหวนรับรู้จากปากของเพื่อนของหวาน เด็กในตลาดตาคลีที่ไปเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับหวานว่านายขจรใช้สิทธิ์ความเป็นผู้ปกครองให้หวานออกจากหอพักของโรงเรียน มาอยู่ห้องเช่าเพื่อความสะดวกในยามที่เขาหลบไปหาหวาน โดยที่นางแหวนไม่มีความระแวดระวังหรือระแวงอะไร เพราะก่อนหน้าหวาน ก็ไม่ใคร่จะชอบหน้านายขจรอยู่แล้ว...และนางแหวนก็ไม่คิดว่านายขจรที่ไปเป็นธุระเรื่องเรียนต่อของหวานตั้งแต่แรก จะมาตลบหลังตนแบบนี้

หลังจากนั้นอีกหลายปี หวานก็มาสารภาพกับนางแหวนว่า เป็นเพราะทีท่าตะบึงตะบอนยามเมื่อเห็นเขามาที่บ้าน ทำให้นายขจรอยากเอาชนะ จนกระทั่งตามไปเจรจาที่ปากน้ำโพ ว่าถ้าหวานไม่ยอมนอนกับเขา หวานและถวิลก็จะไม่ได้เรียนต่อ และเขาเองก็จะเลิกกับแม่ ไม่ส่งเสียเลี้ยงดูเช่นที่เคยทำมา เขากล่อมหวานว่าในเมื่อหวานเสียสาวไปเสียแล้ว จะลองเล่นกับเขาสักปีสองปี เพื่อผลประโยชน์เพื่อความสุขของคนในครอบครัวบ้างจะเป็นไรไป โดยเขาได้ยื่นข้อเสนอว่า จะให้เงินค่าขนมเพิ่มขึ้น และไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ หลังหวานเรียนจบ หวานจะไปไหนก็ไป และช่วงที่นายขจรหลบนางไปหาหวาน หวานก็บอกกับมานพ หนุ่มจากท่าตะโกว่าพ่อแวะมาเยี่ยม มาทำธุระ และอยู่ค้างด้วย...จนกระทั่งวันหนึ่ง นายขจรไปหาหวานในช่วงเวลาที่ไม่เคยไป ทำให้เขารู้ว่าหวานสวมเขาให้ จนกลายเป็นเรื่องเป็นราวทำร้ายร่างกายกัน

หลังรับรู้ว่าหวานต้องออกจากโรงเรียนกลางคันพร้อมมานพ และหอบผ้าไปอยู่บ้านผู้ชายที่มีอายุห่างจากหวานเพียงปีเดียว         นางแหวนก็ไม่ได้ตามไปดูดำดูดีหรือสืบสาวเอาความเรื่องของลูกสาวที่ทำขายหน้าที่อำเภอท่าตะโกแต่อย่างใด...นางแหวนคิดเพียงว่า ลูกเลี้ยงได้แต่ตัว ส่วนหัวใจและเส้นทางชีวิต ยากจะเข้าไปบงการ เหมือนที่ตนเองตัดสินใจทิ้งลูกไว้กับแม่ แล้วเข้ามาอยู่ในตลาดตาคลี ส่วนชีวิตรักแบบเป็นเมียเก็บ พอเรื่องที่นายขจรไปมีความสัมพันธ์กับหวานที่ปากน้ำโพแดงขึ้นมา นางแหวนกับเขาก็อยู่กันไปแบบคนมองหน้ากันไม่ติด นางแหวนไม่ได้ตีโพยตีพายเพราะรู้วิสัยของตนว่าทำได้แค่ไหน แต่เมื่ออารมณ์พิศวาสมันหายไปเหลือเพียงความชิงชังน้ำหน้า เวลาอยู่ด้วยกัน มันจึงไม่มีความสดชื่นเริงอารมณ์ ในหนึ่งสัปดาห์ เขาปลีกเวลามาหาน้อยวันลง และเริ่มหายไปในที่สุด 

ตอนนั้นนางแหวนรู้แล้วว่าสุดท้ายจะต้องพึ่งตัวเอง จึงหันกลับมาทำของกินขายที่สถานีรถไฟ ท่ามกลางเสียงเยาะเย้ยถากถางจากคนรอบ ๆ ตัว แต่นางก็แสร้งทำหูทวนลม ทั้งที่ใจนั้นเดือดดาล พาลโทษบุญกรรรมที่ทำมาน้อยจนชีวิตเหมือนเป็นคนไร้วาสนา 

และข่าวล่าสุดที่เกี่ยวกับนายขจร คือเขาได้ย้ายไปอยู่ที่โรงงานเพชรบุรี...เป็นอันจบชีวิตรักกับสามีคนที่ ๔ ที่เข้ามาให้บ้านหลังใหญ่ พร้อมตราบาปติดตัวของหวาน กระทั่งเป็นชนวนเหตุให้หวานต้องกระโจนลงไปสู่วังวนของการค้าน้ำกาม เมื่อตาคลีรุ่งเรืองจากการเข้ามาของทหารจีไอ

และเรื่องราว ของหวานกับวิจักษ์ และหวานกับนายขจร นางแหวนไม่ได้เล่าให้บุษบาฟังแต่อย่างใด นางแหวนบอกกับบุษบาเพียงว่า พอจบชั้น ม.ศ. ๓ ที่ตาคลี หวานก็ขอไปเรียน ม.ศ.๔ ม.ศ.๕ ที่ปากน้ำโพ และไปพบรักกับหนุ่มจากท่าตะโก ทำให้เรียนไม่จบ หอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ที่ท่าตะโก มีลูกด้วยกัน สองคน   ชื่อ ฉันทนา กับ อนันต์ และหลานสองคนนี้ นางแหวนก็ไม่เคยเห็นหน้าแต่อย่างใด 

หวานได้แต่เล่าว่า ชีวิตที่ท่าตะโก เต็มไปด้วยความอึดอัดคับใจ เพราะความที่มีแม่ยากจน ประกอบกับพื้นประวัติ ระหว่างที่ได้เจอกับลูกชายของเจ้าของโรงสีใหญ่ไม่ดีนัก เพราะเด็กจากท่าตะโกที่มาเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับหวานก็ไปลือกันให้แซ่ด เช่นเดียวกับเด็กจากตาคลีก็กลับมาพูดกันไปทั่ว ทำให้หวานเป็นที่รังเกียจของคนในครอบครัวของเขา และหวานไม่ใช่คนยอมคน ไม่ใช่คนเก็บความรู้สึก  เมื่อทางแม่ผัวตั้งแง่รังเกียจ และพยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้หวานต้องกระเด็นออกมาจากบ้าน หวานก็ยิ่งประชดประชัน และสุดท้าย หวานได้เรียกเงินไปก้อนหนึ่ง ทางนั้นตกลงให้ โดยมีเงื่อนไขว่า หวานจะต้องทิ้งลูกชายไว้ หวานรู้ดีว่าถ้านำลูกสาวซึ่งไม่เป็นที่ชื่นชอบของแม่ผัวคนจีนมาด้วยก็จะกลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม หวานจึงต้องทิ้งฉันทนาไว้อีกคน เพราะถึงแม้ย่าจะตะขิดตะขวงใจเรื่องที่ว่า ฉันทนาเป็นลูกของใครกันแน่ แต่ฉันทนาก็ยังมีพ่อและน้องชายคอยปกป้องคุ้มครอง

ออกจากท่าตะโกมาแล้ว หวานก็ระเหเร่ร่อนไปทำงานร้องเพลงตามไนต์คลับ บาร์  เลานจ์ ที่กรุงเทพฯ ใช้ชีวิตอย่างคนเจนโลก ทั้งที่ตอนนั้นหวานอายุยังไม่ถึง ๒๐ ปี และหวานก็เคยเล่าให้นางแหวนรับรู้ว่า ที่ตั้งใจไปกรุงเทพฯ ไม่กลับมาหาแม่ เพราะต้องการไปพบ     วิจักษ์ ผู้ชายซึ่งเป็นรักแรกของตัวเอง แน่นอนว่านางแหวนได้ซักไซ้ ถึงปมความรู้สึกนี้ ก็ได้คำตอบว่า “ฉันจำที่อยู่ที่เคยเขียนจดหมายไปหาเขาได้ ฉันก็ตามไปที่บ้านหลังนั้น บ้านเขาใหญ่โตมาก ฉันเจอทั้งพิชัย ประไพ และประภา ทั้งสามคนให้การต้อนรับฉันเป็นอย่างดี แต่พี่วิจักษ์เขาได้ดิบได้ดีสมความตั้งใจของป้าปรานีสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ และแยกเหล่าไปอยู่ที่โรงเรียนนายเรืออากาศดอนเมือง ฉันก็อยากจะตามไปหาเขาที่โรงเรียนนะแม่ แต่ประภาห้ามไว้ และก็บอกว่า ตอนนี้พี่วิจักษ์เขามีคู่รักไปแล้ว และชีวิตฉันกับเขาก็แยกจากกันจนยากจะหวนคืน ฉันก็เลยได้สติ...แต่ก็มีเรื่องตลกนะแม่     วันหนึ่งฉันก็สมความปรารถนา เขามาเที่ยวกับเพื่อนของเขาที่ไนต์คลับ   ที่ฉันทำงานนั่นแหละ เพื่อนเขา มีทีท่าสนใจฉัน ฉันก็เลยกะจะประชดไปนอนค้างกับเพื่อนเขา แต่เขากันท่าไว้ และคืนนั้น ฉันก็ยังได้นอนกับเขาอีกรอบ”

“อีหวาน”

“ก็วัวเคยค้าม้าเคยขี่ และคืนนั้น เขาบอกกับฉันว่า เขาไม่เคยลืมฉันหรอก จดหมายที่ฉันส่งมา เขาไม่ได้อ่าน เพราะแม่ของเขาสั่งคนทางบ้านย่าเขาไว้ ให้จัดการ และตอนหลังเขาก็เรียนหนัก จนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องในอดีต แต่เขาก็พอรู้จากปากน้อง ๆ เขา เพื่อนเขา       ที่   ตาคลี ว่าฉันไปเรียนต่อที่ปากน้ำโพ และก็ไปอยู่กับมานพที่           ท่าตะโก และเขาก็ไม่คิดว่า คืนนี้ จะมาเจอฉันในที่แบบนี้”

“แล้วอย่างไรต่อ”

“ก็ไม่อะไรหรอกแม่ ตอนนั้นฉันก็คบกับนักดนตรีอยู่ด้วย ดอดคบชู้กับผัวคนแรกน่ะ แต่ฉันก็ดีใจ และสุขใจอยู่นะ ที่รู้ว่า ช่วงเวลาที่ฉันคิดถึงเขามาก ๆ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ทุกข์ทรมานใจ ไม่ใช่เป็นฉันที่คิดถึงเขาอยู่คนเดียว”

กระทั่งตาคลีรุ่งเรืองสุด ๆ เพราะการมาของทหารจีไอ หวานก็เก็บกระเป๋ากลับมาหานางแหวน...

ตอนนั้นนางแหวนครองตัวเป็นเป็นโสด เพราะถวิลขอร้องไว้ว่าอย่าต้องมีใครให้ชาวบ้านเอาไปพูดถึงอีกเลย เพื่อเห็นแก่หน้าลูกที่โตเป็นสาวและใช้ชีวิตอยู่ที่ตาคลี นางแหวนก็ไม่ได้สนใจใคร 

จนกระทั่ง ถวิลจบชั้น ม.ศ.๕ ที่ตาคลี ก็ขอเข้ามาเรียน ชั้นประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาที่วิทยาลัยครูนครสวรรค์ ช่วงนั้นตาคลีกำลังรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก  และนางปรานีได้ทำกิจการร้านอาหาร ไนต์คลับ บาร์รำวง ห้องเช่า และบังกะโล เรื่องของ หวาน กับ วิจักษ์ ผ่านไปได้ ๓-๔ ปี และหวานก็ไปยุ่งกับพ่อเลี้ยง จนกระทั่งมีผัวมีลูก ทำให้ ความสัมพันธ์ ของนางแหวนกับนางปรานีกลับมาเหมือนไม่เคยมีอะไรในใจ อีกครั้ง

เริ่มจากนางปรานีมาทาบทามให้นางแหวนไปเป็นหัวหน้าแม่ครัว ช่วยงานในร้าน เพราะนางแหวนเป็นคนมีรสมือจัดจ้าน และเป็นคนสะอาด ไว้ใจเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ได้ระดับหนึ่ง ตอนแรกนางแหวนก็อิด ๆ ออด ๆ ไม่อยากเข้าไปอยู่ใต้อาณัติด้วยคำว่าคนงานให้ต้องเจ็บช้ำความรู้สึก แต่นางปรานีก็รู้จุดอ่อนของนางแหวน โดยนางปรานีบอกว่า  “นอกจากเงินเดือนที่จะให้มึงสูงกว่าแม่ครัวคนอื่นแล้ว กูก็จะช่วยส่งอีหวินมันเรียนให้จบวิทยาลัยครูด้วย  อีหวินมันเรียนเก่งกว่าอีหวาน  มันรักหนังสือ ตั้งใจเรียนมาแต่ไหนแต่ไร ถ้ามันรับราชการสักคน มึงก็จะได้มีสวัสดิการเรื่องค่ารักษาพยาบาลตอนเจ็บไข้ได้ป่วย”  

เมื่อเห็นข้อดี นางแหวนจึงต้องเก็บกั้นความรู้สึกริษยาในวาสนาของนางปรานี แล้วเข้าทำงานเป็นแม่ครัว มัดใจลูกค้าให้นางปรานี โดยใจก็มุ่งหมายถึงอนาคตที่สวยงาม และอีกสองปีต่อมา นางแหวนก็ได้ชื่นใจกับถวิล ที่เรียนจบและสอบบรรจุเป็นครูโรงเรียนประชาบาล และชีวิตของถวิลก็ห่างจากตาคลีไปเพราะได้บรรจุที่ ต.แม่วงก์ อ.ลาดยาว ซึ่งอยู่ไปทางทิศตะวันตกของตัวจังหวัดนครสวรรค์ และนับตามหลักกิโลเมตร จากอำเภอตาคลีก็เป็นระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร...ทำให้ถวิลไม่ได้รับรู้ร่วมสุขหรือทุกข์ ของแม่กับพี่สาวนับตั้งแต่บัดนั้น...

  และเมื่อถวิลแยกไปเรียนต่อในเมือง ประกอบกับนางแหวนกลับมาคลุกคลีอยู่กับนางปรานีอยู่กับแสงสีเสียงเพลง ทำให้ไฟราคะของนางแหวนกลับมาลุกโชนอีกครั้ง คราวนี้นางปรานีไม่ได้จัดหาให้ แต่เป็นนางแหวนเองที่เริ่มเปิดโอกาสให้กับผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เมื่อเคยเป็นเมียน้อยเขาถึงสามครั้ง  นางแหวนก็คิดว่าถ้าจะมีผัวคลายเหงา ก็อยากจะมีผัวเดียวเมียเดียวเป็นเพื่อนคู่คิดกันจริง ๆ และอายุเพียงสี่สิบกว่า ๆ ก็น่าจะมีลูกมีเต้ากับผัวใหม่อีกสักคนก็ยังได้    นางแหวนรอผู้ชายในฝันที่เป็นคนไม่มีพันธะเข้ามาในชีวิตอยู่พักใหญ่ แต่ก็หาได้มีเข้ามาสักคน ส่วนใหญ่ ก็จะเป็น พ่อบ้านเมียเผลอ หรือ   ไม่ก็เป็นพ่อหม้ายเรือพ่วงซึ่งก็มีอายุมากกว่านางแหวนเป็นสิบปี ไอ้ที่อายุไล่เลี่ยกัน และยังไม่เคยแต่งงาน ก็ไม่มีเข้ามาจนคนเดียว... 

 จนวันหนึ่ง นางปรานีที่เห็นว่านางแหวนยังดูกล้า ๆ กลัว ๆ กับนายทำนอง พ่อหม้ายเรือพ่วงซึ่งเป็นหลงจู๊อยู่โรงสี ที่แวะเวียนมาเป็นลูกค้าในร้านอาหารที่ถือว่ามีราคาสูงกว่าของกินตามข้างถนนเพื่อจีบแม่ครัวใหญ่ นางปรานีก็ถามว่า “เขาก็ดูจะชอบมึงจริง ๆ แล้วมึงจะรีรออะไรอีก”

“เขาแก่เกินไป...แล้วลูกเต้าเขาก็ปากจัดกันทั้งก๊ก ข้ากลัวว่า  ลูก ๆ เขาจะมาถอนหงอกเอา”

“ห้าสิบหกสิบกว่า ๆ ก็ยังพอได้อยู่นะ แก่กว่ามึงแค่รอบเดียวรึมึงกลัวว่าจะตายแบบเมียเขา”

“ก็ด้วย”

“อีบ้า คนเรา มันก็มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา และกว่าที่เมียเขาจะตาย ก็อยู่ด้วยกันมายี่สิบกว่าปี เขาไม่ใช่คนกินเมียหรอก ส่วนเรื่องลูกเต้าปากจัดกันทั้งก๊ก ข้อนี้มึงก็คุยกัน ตกลงกันซะให้รู้เรื่องให้ชัดเจน ว่า ถ้าตกล่องปล่องชิ้นกันไป เขามาอยู่บ้านมึง เขาจะต้องจ่ายให้มึงเดือนละเท่าไหร่ เหลือเก็บไว้ใช้เท่าไหร่ ตอนนี้มึงไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกไร้สมบัติพัสถานนะเว้ย ใครเขาจะว่ามึงได้”

“ถ้าอีหวินมันรู้ มันจะเสียใจเอา”

“โอ๊ย แล้วมันจะกลับมาอยู่กับมึงไหม ก็คงไม่แล้ว มึงจะอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวใจไปได้อย่างไร หรือว่ามึงอยากจะลองมีผัวฝรั่งดูไหม กูเห็นที่มาจากทางเหนือ ทางอีสาน นั่งรอให้ไอ้หัวแดงมันซื้อบริการ วัยมึงก็ตั้งไม่รู้กี่คน และบางคน สวยก็ไม่สวย แต่คืน ๆ แทบไม่ได้หยุดเลยก็มี...พวกไอ้กัน มีรสนิยมไม่เหมือนคนไทยหรอก อย่างมึงนี่ ถ้ามันเห็น กูว่า มันทาบไปนอนด้วยแน่ ๆ”

“ไม่เอาหรอก เห็นแล้วแขยง”

“บ๊ะ อีนี่ เรื่องมาก งั้นก็อยู่แบบแห้งเหี่ยวไปละกัน”

นอกจากทำงานส่งถวิลเรียน ช่วงนั้น นางแหวนก็ติดหวย ติดสังสรรค์ และถ้าพอมีเวลาก็แก้เหงาด้วยการเล่นไพ่กับพวกคนงานด้วยกัน เพราะขณะนั้น เงินทองที่ตาคลีถือว่าสะพัด คนจากทั่วสารทิศต่างก็หวังมาขุดทองตั้งตัว รวมถึงหวานที่หายไปจากตาคลีเสียหลายปี ก็เก็บกระเป๋ากลับมาอยู่กับแม่เพื่อหาหวังกอบโกยเช่นกัน และพอหวานเห็นว่าชีวิตของนางแหวนดูไร้ชีวิตชีวา หวานก็พูดตรง ๆ ว่า “แม่ ถ้าเหงา จะมีผัวอีกคน ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แม่ยังสาวยังแส้ ฉันเข้าใจหัวอก”

“มึงมี กูมี จะกลายเป็น แม่ ลูก แข่งกันมีผัว หรือเปล่าอีหวาน”

“แล้วมันยังเหลืออะไร ให้ใครเขาไม่เอาไปนินทาละแม่...อยากมี ก็มีไปเถอะ ไม่ได้ไปนอนขี่กันบนหัวใครนี่ เอาเป็นว่า         ฉันอนุญาต ส่วนอีหวิน มันคงไม่กลับมาฟังใครเขานินทาว่าร้ายให้แม่ ให้ฉัน อีกแล้ว”

เมื่อหวานยุส่ง โดยอ้างเหตุผลประกอบ นางแหวน จึงตกลงปลงใจ อยู่กินกับนายทำนอง โดยคราวนี้ มีการผูกข้อไม้ข้อมือให้ชาวบ้านร่วมเป็นสักขีพยาน ว่าลูกเต้าของทั้งสองฝ่ายยินยอมพร้อมใจให้พ่อแม่อยู่กินด้วยกัน และเป็นครั้งแรกที่นางแหวนรู้สึกว่า ‘วัย’       ที่ต่างกันไม่เป็น ‘อุปสรรค’ ของคำว่า ‘รัก’ นายทำนองพูดว่า รัก และรักของเขาคือมีแต่ให้ เขาเอาใจนางแหวนมากกว่าที่จะรอให้นางแหวนปรนนิบัติเอาใจ ให้เกียรติยกย่อง ไม่เคยพูดถึงเรื่องในอดีตให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ เรียกนางแหวนว่าแม่มึง และแทนตัวเองว่า พ่อ อย่างเต็มปากเต็มคำ นางแหวนรู้สึกว่ารักของเขา ทำให้หัวใจชุ่มฉ่ำ และรักเขามากกว่าผู้ชายทุกคนที่ผ่านมา 

แต่อนิจจา เหมือนกับว่า คำนาย ผังชีวิตคู่ ยังไม่จบ... เขาก็อยู่กับนางแหวน ช่วยเลี้ยงบุษบาได้เพียง ๗ -๘ ปี เขาก็ด่วนจากไปด้วยโรคปอด...นางแหวนจึงได้มีสามีอีกคนในวัยห้าสิบกว่า ๆ