ชาติกำเนิดไม่อาจบ่งชี้ชีวิตคน เรื่องราวของ บุษบา ลูกสาว ของหวาน เพื่อนเรณู และเรื่องราว ของประณต ลูกชาย เรณู จากเรื่อง กรงกรรม

บุษบาตาคลี - บทที่ 4 ครอบครัวนางปรานี โดย จุฬามณี @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่,บุษบาตาคลี,จุฬามณี,รัก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

บุษบาตาคลี

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-หญิง,ผู้ใหญ่

แท็คที่เกี่ยวข้อง

บุษบาตาคลี,จุฬามณี,รัก

รายละเอียด

บุษบาตาคลี โดย จุฬามณี @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาติกำเนิดไม่อาจบ่งชี้ชีวิตคน เรื่องราวของ บุษบา ลูกสาว ของหวาน เพื่อนเรณู และเรื่องราว ของประณต ลูกชาย เรณู จากเรื่อง กรงกรรม

ผู้แต่ง

จุฬามณี

เรื่องย่อ

“ ชาติกำเนิด ไม่อาจบ่งชี้ ชีวิตคน!”

นี่คือวลีเด็ดที่ตอกย้ำความเป็นตัวตนของ “บุษบา” ให้ก้าวข้ามความทุกข์ความทดท้อใจกับการเกิดมาเป็น “ลูกเมียเช่า” แม้ต้องถูกคนปรามาสว่า “ก็แม่เป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น เหมือนลูกไม้ย่อมหล่นใต้ต้น… ยายก็มีหลายผัว แม่ก็เป็นอย่างนั้น แล้ว “บุษบา” จะไม่เป็นเหมือนแม่ หรือยายได้อย่างไร  “บุษบา” ที่เกิดมาสวยด้วยมีพ่อเป็นฝรั่งต่างชาติ เป็นทหารขับเครื่องบินรบกับเวียดนาม แม่มาตายจากไปตั้งแต่บุษบายังเล็ก จึงโตมากับยายแหวนผู้มากชาย และมากความรู้ความสามารถในการทำขนม และอาหารหลากหลาย ซึ่งได้สั่งสอนให้บุษบาเรียนรู้เพื่อเป็นอาชีพในอนาคตและสอนไม่ให้เป็นคนมีนิสัยจับจด คิดฝันแต่ใช้รูปโฉมเพื่อรวยทางลัด งานบ้านงานเรือนต้องหยิบจับเป็น รู้จักรับผิดชอบชีวิตเป็นอย่างดี และความกตัญญูกตเวทีที่บุษบามีต่อนางแหวนนั้นไม่สูญเปล่าในวันที่ชีวิตตกต่ำ ความดีนั้นย่อมสนองกลับมาในรูปแบบของความเมตตาจากผู้ใหญ่ทุกฝ่าย “บุษบาตาคลี” ผลงานเล่มล่าสุดจากนักเขียนหลากรางวัล ที่ไม่เคยสร้างความผิดหวังให้กับนักอ่านตลอดเส้นทางที่อยู่ในวงการน้ำหมึก ซึ่งการันตีโดยหลายเรื่องได้ถูกนำไปสร้างเป็นละครให้ตราตรึงใจในทุกตัวละครจนยากจะลืมเลือน

 

*นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจินตนาการ โดยใช้ฉากเป็นสถานที่จริง หากชื่อตัวละครหรือเหตุการณ์ไปเกี่ยวข้องกับบุคคลใด ผู้เขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย

 

สารบัญ

บุษบาตาคลี-จากใจนักเขียน จุฬามณี,บุษบาตาคลี-บทที่ 1 นางแหวน แม่ของหวาน ยายของบุษบา,บุษบาตาคลี-บทที่ 2 ลูกเมียน้อย ลูกเมียเก็บ,บุษบาตาคลี-บทที่ 3 ดอกไม้ริมทาง,บุษบาตาคลี-บทที่ 4 ครอบครัวนางปรานี,บุษบาตาคลี-บทที่ 5 เป็นสาวแล้ว จ้า....,บุษบาตาคลี-บทที่ 6 คู่วุ่นวัยหวาน,บุษบาตาคลี-บทที่ 7 ลุงพีช,บุษบาตาคลี-บทที่ 8 ประณต อัศวรุ่งเรืองกิจ,บุษบาตาคลี-บทที่ 9 ปลาวาฬ กับ เสือน้อย,บุษบาตาคลี-บทที่ 10 แม่สื่อแม่ชัก,บุษบาตาคลี-บทที่ 11 ลูกชายแม่เรณู,บุษบาตาคลี-บทที่ 12 พรรณราย,บุษบาตาคลี-บทที่ 13 คนโตทันกัน,บุษบาตาคลี-บทที่ 14 ฟ้าใหม่ ชีวิตใหม่,บุษบาตาคลี-บทที่ 15 บ้านอัครเดช,บุษบาตาคลี-บทที่ 16 วันแรกในกรุงเทพ ฯ,บุษบาตาคลี-บทที่ 17 บุพเพสันนิวาส หรือ เป็นเรื่องเวรกรรม! ,บุษบาตาคลี-บทที่ 18 ลองฝืนใจตัวเองดูสักตั้ง,บุษบาตาคลี-บทที่ 19 ในสายตาของบุษ บุษว่าลุงแก่ไหม,บุษบาตาคลี-บทที่ 20 ชาติกำเนิดไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตของใคร,บุษบาตาคลี-บทที่ 21 ดับแสงดาว,บุษบาตาคลี-บทที่ 22 ปมรัก รอยอดีต,บุษบาตาคลี-บทที่ 23 รักที่ต้องจากลา,บุษบาตาคลี-บทที่ 24 ศักดิ์ชาย ชัยสิทธิ์,บุษบาตาคลี-บทที่ 25 ความลับในลิ้นชัก,บุษบาตาคลี-บทที่ 26 เพรงรักอสูร,บุษบาตาคลี-บทที่ 27 สุขสันต์วันวิวาห์,บุษบาตาคลี-บทที่ 28 อ้อมกอดที่รอคอย,บุษบาตาคลี-บทที่ 29 ฮันนี่มูน,บุษบาตาคลี-บทที่ 30 รักในมุมมืด,บุษบาตาคลี-บทที่ 31 โลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน,บุษบาตาคลี-บทที่ 32 คนเราไม่ได้ดี เลว เพราะคำของใครหรอก,บุษบาตาคลี-บทที่ 33 หากมีใครสักคน รักเรา โดยที่ไม่ได้สนใจ พื้นฐานของเรา,บุษบาตาคลี-บทที่ 34 เลือดคนตาคลี,บุษบาตาคลี-บทที่ 35 สิทธิ์หัวใจ,บุษบาตาคลี-บทที่ 36 สมัยนี้ หรือสมัยไหน ผู้ชายเขาไม่ได้ถือสาเรื่อง ผู้หญิงผ่านมือผู้ชายมาแล้วหรอก,บุษบาตาคลี-บทที่ 37 ตอนจบ แฮปปี้ เอ็นดิ้ง

เนื้อหา

บทที่ 4 ครอบครัวนางปรานี

๔.

หลังนางปรานีทรุดตัวลงนั่ง ‘น้อย’ ก็ถือแก้วน้ำเย็นมาวางให้บนโต๊ะกลางพลางถามว่าจะให้ตั้งข้าวเช้าเลยหรือไม่...นางปรานีเหลือบตามองน้อย แล้วถอนหายใจหนัก ๆ  เพียงแค่นั้น น้อยก็รู้แล้วว่านางปรานีหิวข้าวและอารมณ์ไม่ดี น้อยจึงรีบหลบไปทางหลังบ้าน เพื่อตั้งสำรับเช้าในช่วงสาย นางปรานีจะกินข้าวต้มกุ๊ย กินอาหารเบา ๆ โดยมีน้อยเป็นคนทำกับข้าวตามคำสั่งไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ระหว่างละเลียดข้าวต้มด้วย   สีหน้าซังกะตาย น้อยก็บอกกับ            นางปรานีว่า “ป้า ลุง ไปคราวนี้ ไปหลายวันจัง ทำไม ป้าไม่โทรไปตาม ยิ่งป้านิ่งแบบนี้ อีบ้านนั้น ก็จะยิ่งได้ใจ”

นางปรานี ละช้อน มองหน้าหลานสาวผู้ไม่ค่อยเต็มเต็ง เพราะความเวทนาไม่อยากเห็นน้อยตากแดดทำไร่ หาบน้ำ เผาถ่าน           นางปรานีจึงให้มาอยู่ที่บ้านในฐานะคนทำงานบ้าน ให้ช่วยเฝ้าบ้าน ในยามที่นางปรานีต้องออกจากบ้านไปดูแลกิจการสารพัดอย่างในตลาดตาคลี

น้อยยิ้มแหย ๆ ทำหดคอ ซึ่งนางปรานี รู้ว่าน้อยหาได้สลด  จริง ๆ ถ้านางไม่ดุไม่เสียงดัง อีกสักพักน้อยก็จะต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ถ้าไม่พูดเรื่อง ลุงสวัสดิ์ น้อยก็จะพูดเรื่องลูกสาวและลูกเขยที่มีบ้านอยู่ในรั้วเดียวกัน จนกระทั่งเรื่องของหลาน ๆ ไล่จนไปถึงเรื่องของเพื่อนบ้านทางซ้ายทางขวาของบ้าน และฝั่งตรงกันข้าม หรือไม่ก็พูดถึง ‘เรียม’ ซึ่งเป็นมือขวาของนาง ยามที่นางขี้เกียจออกไปไล่บี้เก็บดอกเบี้ย นางก็จะให้เรียมแม่ค้าขายหมูปิ้งในช่วงสาย ๆ ของวันไปจนถึงช่วงเย็น ซึ่งเป็นคนร่างใหญ่เสียงดังฟังชัด ไม่กลัวคน ออกไปทำงานให้ โดยแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ตามสมควร 

 “อิ่มละ อยากนอนสักงีบ” ว่าแล้วนางปรานีก็ลุกขึ้น หยิบกระเป๋าที่มีสมุดบัญชีลูกหนี้เดินขึ้นชั้นบน กดเปิดพัดลมเพดาน วางกระเป๋าเงินไว้บนโต๊ะบัญชีแล้วนางปรานีก็ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง มองไปบนผนังที่มีรูปถ่ายของคนในครอบครัว และมองไปยังที่นอนข้างตัว แล้วนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งอดีต

ตอนพบรักกับนายสวัสดิ์ เจ้าหน้าที่การรถไฟคนไกลจากกรุงเทพฯ ใคร ๆ ก็คิดว่า เป็นวาสนาของนางแต่เบื้องหลัง ฉากสวยงามราวเทพนิยาย เรื่องเจ้าชายรูปงามกับแม่สาวดอกไม้ป่า มีปัญหามากมาย แม้จะได้แต่งงานถูกต้องตามประเพณี แต่ผู้ใหญ่ที่เป็นเถ้าแก่มาสู่ขอ และเป็นสักขีพยานรัก ไม่ใช่พ่อกับแม่และญาติโกโหติกาของเขา ซึ่งทั้งคู่ตั้งป้อมรังเกียจเดียดฉันท์ ลูกสะใภ้ที่ไร้สกุลรุนชาติ ไร้การศึกษาและไร้สมบัติพัสถานเสมอกัน  ดีแต่ที่นายสวัสดิ์เป็นคนหัวดื้อ ไม่เชื่อฟังความต้องการของบุพการี หลังแต่งงานกัน เขาเคยพาไปกราบพ่อกับแม่ของเขาที่บ้านซึ่งน่าจะเรียกว่าคฤหาสน์ และประวัติโดยละเอียดชีวิตครอบครัวเดิมของเขาก็พรั่งพรูออกมา 

เริ่มตั้งแต่เขามีคุณปู่เป็น ‘พระยา’ มากเมีย ส่วนย่าของเขาเป็นภรรยาน้อยลำดับท้าย ๆ แต่ย่าก็มีสมบัติพัสถานฝั่งทวดมากพอดู และดีที่ย่ามีพ่อของเขาเป็นลูกชายโทน  พ่อของเขาได้ไปเรียนที่ต่างประเทศ กลับมาก็ทำงานที่ ‘กรมรถไฟหลวง’ บารมีของปู่แผ่มาถึงพ่อของเขา รวมถึงเขา ทำให้เขาเข้าทำงานในกรมรถไฟหลวงตามพ่อ เริ่มต้นตำแหน่งผู้ช่วยนายสถานีที่ตาคลี ตอนที่พบกัน เขาพูดว่าเป็นเพราะ บุพเพสันนิวาส ทำให้เขาต้องจากเมืองหลวงมาสู่ชนบท และมาพบกับนาง เห็นครั้งแรกก็รู้สึกต้องชะตา  หลงรักและยิ่งได้พูดคุยด้วยก็รู้ว่า นางเป็นคนฉลาด ทันคน คำพูดคำจาตรงไปตรงมาผิดกับลูกท่านหลานเธอ ผู้มีการศึกษา ที่เขารู้จักและที่ถูกชักนำให้รู้จักกันเมื่อก่อนหน้า  และเขาก็เปรียบว่านางเป็นเสมือน ‘นางสิงห์’ ที่มีความหยิ่งทระนงในตัวเองเหมาะสมที่จะเป็น ภรรยาเป็นแม่ของลูกเขา...

เขาทำให้นางรู้สึกปลาบปลื้มใจ ในรูปสมบัติและคุณสมบัติ เรื่องปฏิภาณไหวพริบตลอดมา จนกระทั่งอยู่ด้วยกันมาได้ยี่สิบกว่าปี ลูก ๆ โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแยกครอบครัวออกไปตามกาล 

ความรักความภักดี ที่มีให้นาง ก็แปรเปลี่ยน 

ช่วงที่ตาคลีรุ่งเรืองเพราะทหารจีไอเข้ามา นางได้เปิด ไนต์คลับ ผับ บาร์ บ้านเช่า บังกะโล ทั้งแบบเจ้าของคนเดียว และร่วมหุ้น ทำให้ไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องกินเรื่องอยู่ ที่หลับที่นอน ของสามีอย่างที่เคยทำเหมือนเมื่อก่อนหน้า ประกอบกับตำแหน่งหน้าที่ของเขาสูงขึ้น และระบบเส้นสาย ทำให้เขาย้ายเข้า ‘กรม’ ช่วงนั้นพ่อเทพบุตรก็เปลี่ยนไป...จากที่เคยนั่งรถไฟกลับมาบ้านที่ตาคลีในทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาก็เริ่มอ้างเรื่องประชุม อบรม สัมมนา กระทั่งเรื่องแดงขึ้นมาว่าเขามีลูกกับเมียน้อยซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับประไพ ตอนนั้น บ้านที่เคยเป็นวิมานเพียบพร้อมเพราะสมบัติทั้งฝั่งของเขาและของนาง รวมถึงวิสัยทัศน์ของนางที่เขาภูมิใจมากช่วยกันก่อร่างสร้างมา หวังความสุขในบั้นปลายชีวิต เริ่มลุกเป็นไฟ...

เรื่องต่าง ๆ ประเดประดังเข้ามา ประหนึ่งว่า บาปกรรม ที่เคยทำไว้ตามมาทัน...

และความผิดบาปที่รบกวนจิตใจนางปรานีตลอดมา คือการ    ยุยงส่งเสริมให้นางแหวนเป็นเมียน้อยถึงสามครั้งสามครา ส่งผลให้นางต้องตกที่นั่งเป็น ‘เมียหลวง’ บ้าง แต่เรื่องนี้นางก็ไม่ได้ตีโพยตีพายให้คนทั้งตาคลีรับรู้ ร่วมทุกข์ตรอมตรมกับนาง เพราะลึก ๆ นางก็กลัวว่าจะถูกสมน้ำหน้า

 นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องของหวานกับวิจักษ์ ที่นางปัดความรับผิดชอบอย่างเลือดเย็น หลังรับรู้ว่าลูกชายรักชอบหวานจนเลยเถิด นางก็รีบพรากวิจักษ์ให้เข้าไปอยู่กรุงเทพฯ  ปิดกั้นการติดต่อกันทางจดหมาย นางรู้ว่าตอนนั้น นางแหวนต้องสาปแช่งต่าง ๆ นานา แต่คนเป็นแม่คนทุกคน ก็ต้องเห็นแก่ตัว เพื่อปั้นอนาคตของลูกให้ออกมาดีที่สุด...

และไม่ใช่แค่วิจักษ์กับหวานที่นางขีดเส้นชะตาชีวิต  ยังมีประไพกับมาโนช ลูกชายแม่ค้าขายผักในตลาดสดมีพ่อขี่สามล้อ มี     พี่น้องเป็นโขยง ที่นางกีดกันความรัก ตัดไฟเสียแต่ต้นลม โดยการส่งประไพ และประภา ตามวิจักษ์ พิชัย ไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ  แต่ประไพหัวดื้อ และไม่รักดี คิดไม่ได้ว่านางรักและปรารถนาดี วาดหวังถึงหน้าที่การงานที่ต้องไปได้เหนือกับคำว่าข้าราชการในเขตภูธร และมีคู่ชีวิตที่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่การงานและฐานะทางการเงินของทางบ้าน เหมือนที่วิจักษ์คิดได้ และเชื่อฟัง 

ประไพบูชาความรัก ยึดความรู้สึกของตนเองเป็นที่ตั้งมากกว่าอนาคต...ประไพเลือกเรียนสายครู หลังเรียนจบปริญญาตรี ประไพก็แอบกลับมาสอบบรรจุครูที่นครสวรรค์ และเลือกโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่อยู่ในตัวอำเภอตาคลี เพราะต้องการกลับมาคบหากับมาโนช ซึ่งเรียนจบแค่ ม.ศ.๓ ประกอบอาชีพรับจ้างไปทั่ว และที่เป็นหน้าเป็นตาให้มาโนชมากหน่อย ก็ตรงที่เขาได้เข้าทำงานในร้าน P.X. หรือ ร้านค้าของฐานทัพอากาศแห่งกองทัพสหรัฐ มีรายได้เป็นรายชั่วโมง แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังมีภาระเรื่องส่งเสียน้องชายน้องสาวเรียนหนังสือ จึงยากที่จะตั้งตัวได้ในเร็ววัน เมื่อประไพกลับมาอยู่ที่ตาคลี ทำงานมั่นคง มีเกียรติ เป็นที่นับหน้าถือตา

ประไพก็พูดเสียงแข็งกับนางว่า “ต่อไป ชีวิตเป็นของหนู...หนูจะเลือกทางเดินชีวิตของหนูเอง และถ้ามันจะไม่ได้ ดี เท่าพี่เท่าน้องหนูก็จะไม่โทษใคร”

“อีไพ อีลูกไม่รักดี”

“ถ้าหนูไม่รักดี หนูไม่อดทนจนเรียนจบปริญญาตรีแล้วสอบบรรจุจนได้เป็นข้าราชการแบบนี้หรอกแม่...ถ้าหนูไม่รักดี หนูหนีตามมาโนช ไปตั้งแต่ตอนเรียน ม.ศ.๓ แล้วแม่”

“แต่มึงมีโอกาสที่จะได้เจอคนที่ดีกว่าไอ้โนชตั้งเยอะแยะ...ลูกเจ๊กในตลาดที่เหมาะสมกับมึงก็มี เพื่อนครูรุ่น ๆ เดียวกันที่บ้านเขาพอมีฐานะก็มีไม่น้อย  นายทหารหนุ่มโสดในกองบินสี่ ที่พ่อแม่รู้จักเอย เพื่อนพี่วิจักษ์ก็มีเยอะแยะ ทำไมมึงถึงไม่มอง ไม่คิดถึงพวกเขา ไม่คิดถึงอนาคต ที่จะทำให้มึงสุขสบาย และมีเกียรติยศสูงขึ้น มีเงินมีทองมากขึ้น”

“ก็หนูรักมาโนช...และเขาก็รักหนูมาก”

“ความรักมันกินไม่ได้หรอกประไพ แต่งงานกันไป แล้วนึกบ้างไหม ว่าญาติพี่น้องของมัน จะมารุมทึ้งมึงกับกู”

“แม่ เกี่ยวอะไรด้วย”

“จะไม่เกี่ยวได้ไง กูเป็นแม่มึง ถ้ามึงตกทุกข์ได้ยาก ด้วยเรื่องอะไรก็ตาม กูจะปล่อยให้มึงตายไปต่อหน้าต่อตาได้ไง”

ตอนนั้นประไพนิ่งเงียบ นางคิดว่าประไพจะเชื่อฟัง...แต่ไม่กี่วันต่อมา ประไพก็บอกว่า “หนูกับมาโนชจะแต่งงานกันนะแม่”

“แต่งงานกัน คนอย่างมัน จะเอาเงินสินสอดจากที่ไหน มาให้กู”

“แต่งแบบเงียบ ๆ ให้ครูใหญ่เป็นผู้ใหญ่ผูกข้อมือ จดทะเบียนสมรส  แล้วหนูจะย้ายออกจากบ้านนี้ ไปอยู่ที่บ้านพักครู”

“อีไพ มึงนึกถึงหน้ากูกับพ่อมึงบ้างไหม”

“หนูกับเขา เป็นผัวเมียกันไปแล้วนะแม่ ตอนนี้หนูตั้งท้องได้สองเดือนแล้วด้วย”

“อีฉิบหายฯ” 

ตอนนั้นนางนึกอยากจะเข้าไปตบตี แต่ใบหน้าของนางแหวน กับ หวาน รวมถึงผู้หญิงที่เดินทางมาขุดทองที่ตาคลีอีกหลาย ๆ  คน ซึ่งมีทั้งแบบเต็มใจมา กับถูกบังคับขู่เข็ญ ถูกหลอกลวงมา ซึ่งนางก็มีส่วนทำให้มีสุขเจือปนไปด้วยความทุกข์ ก็ผุดเข้าในความรู้สึก แล้วคำว่า ‘เวรของกรรม’ ก็ทำให้นางต้องกัดฟัน สูดลมหายใจเข้าปอด ปล่อยให้ประไพ ไปมีชีวิตตามความต้องการของตน ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทา เพราะพิธีแต่งงานของประไพ นางไม่ได้ให้จัดแบบเรียบง่ายที่โรงเรียนตามความต้องการของประไพ นางให้จัดที่บ้านแบบเงียบ ๆ ซึ่งก็ยังดีกว่า และก็บอกกับคนอื่น ๆ ว่า “ประไพเขาต้องการแบบนั้น เขาเรียนสูง ความคิดความอ่านเขาไม่เหมือนคนอย่างเรา ๆ หรอก”

คำแก้ต่างนั้น นางรู้ว่า ไม่มีใครเชื่อ แต่มันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะหลังแต่งงาน นางก็ยังให้ประไพกับมาโนชอยู่ในบ้าน

 และในความเป็นแม่  นางก็หวังอยู่ลึก ๆ ว่านางน่าจะปั้นมาโนชเพื่อทำให้ประไพมีความสุข มีอนาคตที่ดีได้เทียมพี่น้อง...แต่ความหวังก็ดูจะยากยิ่งนัก เพราะมาโนชผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลาเหมือนคนมีเชื้อสายแขก ไม่มีความเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี เขาเป็นคนทำงานหยิบโหย่ง เป็นคนสำอางกลัวแดดลม เป็นคนตาขาว ไม่สู้คน เป็นคนที่รักครอบครัวเดิมมากเกินไป จนทำให้ประไพเดือดร้อนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่เขายังคงจุนเจือครอบครัวเดิม อย่างที่นางคาดคิดไว้ 

พอได้ใกล้ชิด นางก็รู้สึกว่า คารมคมคายของมาโนชเหมือนพระเอกลิเก คือปากหวานออมชอม ฟังแล้วรู้สึกเคลิบเคลิ้ม นอกจากนั้น เขาก็เป็นคนธรรมะธัมโมกลัวบาปกรรม เพราะพื้นฐานทางบ้านยากจน ทำให้เขาคลุกคลีอยู่กับวัด เพื่อขอข้าวก้นบาตรนำมาให้พ่อแม่เลี้ยงน้อง ๆ มาตั้งแต่เด็ก 

หลังจากที่ทหารจีไอยกทัพกลับประเทศ นางเคยให้มาโนช มาช่วยดูแลกิจการร้านอาหาร ร้านเหล้าที่ยังพอเดินหน้าต่อไปได้ ด้วยคนในภูมิภาคนี้รู้ว่าตาคลีเป็นสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยว เขาก็ทำได้เพียงดูแล และทำงานตามที่สั่งเท่านั้น ไม่มีความคิดก้าวหน้า หรือคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ  กระทั่งร้านเหล่านั้นปิดลง เพราะรายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย เขาก็อยู่บ้านเลี้ยงลูก ทำงานบ้าน ขับรถให้นางไปทำธุระบ้าง ซึ่งก็นับเป็นข้อดีของเขา แต่พอเห็นลูกสาวต้องทำงานอยู่คนเดียว   นางก็เลยขอคืนตึกจากผู้เช่า เปิดร้านขายจักรยานให้มาโนชดูแล เขาก็ทำได้ดีระดับหนึ่ง แต่นางจะต้องไปคอยกำกับควบคุมระบบบัญชี ตรวจสอบรายรับรายจ่ายและสินค้าคงคลัง ด้วยเกรงว่าพอมีเงินอยู่ในมือ ญาติพี่น้องของเขาที่ยังลำบากจะเข้ามารุมทึ้ง และด้วยลูกเขยกับลูกสาวทำงานกันคนละแบบ นางเองก็ต้องคอยเป็นหูเป็นตาให้ เพราะกลัวความเผอเรอ จะทำให้มาโนชแอบซุกซ่อนเมียน้อยให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจเหมือนที่นางประสบ แต่ที่ไหนได้คนที่ตกเป็นข่าวลือเรื่องคบชู้สู่ชาย กลับเป็นประไพ...

ข่าวลือที่ครูประไพคบชู้กับเพื่อนครูด้วยกัน ทำให้นางนอนไม่หลับ เพราะกลัวการถูกให้ออกจากราชการ กลัวการเสื่อมเสียชื่อเสียง กลัวมาโนชจะบันดาลโทสะเข่นฆ่าประไพกับชายชู้ แต่ประไพกลับบอกด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า “จะเป็นชู้เป็นแชร์ อะไรกัน      ครูกบ เขา เอ่อ...เขาเป็นกะเทย”

“เขาก็ดูเหมือนผู้ชายปกติ” เพราะคลุกคลีอยู่กับกะเทยที่มาหากินอยู่ที่ตาคลีมาหลายปีและมากหน้าหลายตา ทำให้นางมีภาพจำของผู้ชายลักษณะนี้ชัดเจน

“แต่เขาชอบผู้ชายน่ะแม่”

“ชอบผู้ชาย”

“ใช่ค่ะ เรื่องนี้ มาโนชเขารู้ดี และครูที่โรงเรียนก็รู้กันดี เพียงแต่มันมีคนหมั่นไส้หนู ที่มีพ่อแม่รวยมีบ้านช่องใหญ่โตแต่งตัวดี มีรถขับไปโรงเรียน เกินฐานะครูคนอื่น และที่หนูคบหากับครูกบ ก็เพราะว่า พื้นฐานทางบ้านเขาก็รวยเหมือนกัน...พ่อเขาเป็นนายทหาร แม่เขาเป็นครูอยู่ลพบุรี และตอนนี้เขาก็มีแฟนเป็นนายทหารอยู่ที่กองบินสี่ด้วย ข่าวที่ว่าหนูควงผู้ชายสองคน ไปกินตามร้านนั้นร้านนี้ ก็ไปกับเพื่อนที่เป็นแฟนกัน แค่นั้นค่ะ แต่หนูจะพูดมากไปอย่างไรได้...พูดมากไปเพื่อนก็เสียหายอีก”

“คุณพระ ผู้ชายแท้ ๆ กับผู้ชายแท้ ๆ”

“แม่ไม่ต้องตกใจไปหรอก เรื่องพวกนี้ วันนี้มันยังต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ แต่ในภายหน้า ถ้าแม่ยังไม่ไปสวรรค์ซะก่อน แม่ได้เห็น ผู้ชายแท้ ๆ กับผู้ชายแท้ ๆ แต่งงานกันแน่ ๆ”

เพราะคำพูดของประไพในวันนั้น ก็ตามมาสะกิดเข้าที่ใจของนางปรานีอยู่จนถึงวันนี้...

เพราะ ลูกทั้ง ๔ คน วิจักษ์ที่ลาออกจากราชการทหารอากาศมาขับเครื่องบินพาณิชย์ ก็แต่งงานมีครอบครัวมีลูกชายหญิงไปแล้ว แถมออกจะเจ้าชู้ยักษ์ ให้เมียที่เป็นแอร์โฮสเตส ต้องมาฟ้อง ให้ช่วยปรามอยู่บ่อย ๆ หน้าที่ของแม่ เมื่อลูกสะใภ้อุทธรณ์ นางก็ปรามพอเป็นพิธี เพราะวิจักษ์มีหน้าที่การงานที่สูงเกินใคร และตัวเขาก็ถือว่าเป็นใหญ่ในสายงาน เรื่องเจ้าชู้ถึงจะมีประสาผู้ชาย เขาก็รับผิดชอบครอบครัวได้ดี ลูกเต้าส่งเรียนโรงเรียนที่ดีที่สุดของเมืองไทย หลานสายนั้น อนาคตไกลกันทุกคน เพียงแต่คนเป็นเมีย คงยากจะยอมรับสถานะบ้านใหญ่ที่ต้องอยู่อย่างหวานอมขมกลืน...มีโอกาสอยู่ลำพังกับลูกชาย นางก็จะบอกว่า “จะมีอีกกี่คน แกก็อย่าพาออกงาน พาเที่ยวเตร่ หยามหน้าแม่ศรีวรรณเขานะวิจักษ์ ความอดทนของคนเรา มีขีดจำกัด และเขาก็ไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกแต่อย่างใด พ่อเขาก็นายทหาร แม่เขาก็ผู้ดีเก่า เขาทนไม่ไหว หย่าร้างกันขึ้นมา จะมาเสียใจทีหลัง”

“ผมรู้ครับแม่ เพราะผมเป็นลูกพ่อ”

“วิจักษ์”

“แม่ก็บอกกับศรีวรรณเขาด้วยสิครับ ว่าต้องทำตัวอย่างไร วางใจอย่างไร บ้านถึงจะเป็นบ้านที่เหมือนมีความสุข โดยที่คนนอกบ้านไม่รู้สึกว่าบ้านนั้นร้อนเป็นไฟ”

พอลูกชายยอกย้อน  น้ำตาของนาง ‘ตกใน’ นางรู้ว่า วิจักษ์ไม่เคยลืม เรื่องที่นางพรากเขากับหวาน แม้ว่าวันนี้ หวานจะห่างจากเขาไปจนเหลือแต่ชื่อ แต่เรื่องความรัก ความผิดหวัง ความทุกข์ทรมานใจเพราะถูกพรากไม่ให้สมรักนั้นมันทรมานเพียงใดนางรู้ดี 

สำหรับเรื่องหวานกับวิจักษ์ นับว่ายังมีข้อดี ตรงที่วิจักษ์ไม่ประชดประชันจนเสียผู้เสียคน หรือไปคว้าผู้หญิงที่ไม่มีค่าไม่มีราคามาเป็นดอกไม้ปักแจกันประดับเรือน...หลังข่มอารมณ์ ไม่ด่าว่าลูกชายที่สะกิดแผลของตนได้แล้ว พอมีโอกาสอยู่ตามลำพังกับศรีวรรณ นางก็ทำหน้าที่ แม่ และ แม่ผัว ที่ดี... เพราะเมื่อมีผัวเจ้าชู้ และยากที่จะเลิกกันให้ต้องอับอายขายหน้า หรือจะต้องดำรงคำว่าครอบครัวเพื่อรักษาความรู้สึกของลูก ๆ ไว้ ทางเดียวที่คนเป็นเมีย ที่ตกอยู่ในสถานะ      เมียหลวง พึงกระทำได้ ก็คือ ต้องใช้ คำว่า ‘อดทน’ เช่นที่นางอดทน เหมือน ๆ กับ บรรดาเมียทั้งหลายแหล่ ที่นางยุยง ให้นางแหวนไปเป็นเมียน้อยต้องอดทน 

แต่ศรีวรรณก็ปากเร็วพอที่จะตอบกลับมาว่า  “คนโบราณอาจจะอดทนกับเรื่องพวกนี้ได้มาก แต่คน   ยุควรรณ ไม่น่าจะมีถึงขั้นนั้น ถ้าเอาสั้น ๆ  ถ้าคุณวิจักษ์ ไม่หยามหน้า ย่ำยีความรู้สึกของวรรณจนเกินไป วรรณก็จะอดทนเพื่อลูก...แต่ถ้ามันเกินจะทน วรรณบอกได้คำเดียวค่ะ ว่าวรรณอธิบายให้ลูก ๆ เข้าใจได้ไม่ยากหรอก ว่าทำไมพ่อกับแม่ต้องหย่าขาดจากกัน และลูก ๆ ของวรรณ วรรณ และตา ยาย ของเขา เลี้ยงดูได้ค่ะ คุณแม่”

ส่วนประภาแม่สาวเปรี้ยว  เบื้องหน้าที่ใคร ๆ รับรู้ คือ หลัง

เรียนจบปริญญาตรีในคณะอักษรศาสตร์ ก็สอบชิงทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา แล้วก็ไปคว้าสามีเป็นฝรั่งมังค่าอย่างที่นางเคยคุ้นตาเมื่อตาคลีเจริญสุดขีด เพียงแต่ลูกเขยฝรั่งคนนี้ ไม่ใช่ทหารจีไอ เขาเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียไปทำปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยเดียวกับประภา พบรักกันก็จ่ายเงินชดใช้เงินทุนให้ทางการไทยแล้วหอบหิ้วกันกลับประเทศหลังเรียนจบ สองปีสามปีประภาก็จะบินกลับไทยพาหลานสาว หลานชาย เขยฝรั่งหัวแดง มาเยี่ยมเยียนพ่อแม่พี่น้อง และ ‘ลูกสาว’ ที่เรียกตัวประภาว่า ‘น้า’

ใช่แล้ว...นางเพิ่งมารู้ทีหลังว่า แท้จริงแล้ว ที่ประไพอ้างว่าท้องก่อนแต่งงานกับมาโนช ประไพอ้างเพราะต้องการให้ความช่วยเหลือประภา...

ประภา นำเรื่อง ‘ท้อง’ มาปรึกษาพี่สาว ประไพจึงได้หาทางออกให้แบบนี้...นางมารู้ก็ตอนที่รู้สึกว่าคนท้อง แต่กลับไม่ค่อยเหมือนคนท้อง จนกระทั่งประไพต้องยอมรับความจริง...และนางก็ไม่รู้ว่าสองพี่น้องใช้เล่ห์กลอะไรบ้าง ทำให้หลังคลอดในใบเกิดของ     ลูกสาวของประภา มีแม่ชื่อประไพ และมีพ่อชื่อมาโนช...

ส่วนพ่อตัวจริงของหลานสาวคนนี้ ประภาไม่ยอมปริปากพูดถึง ส่วนประไพก็บอกว่า “ภาเขาไม่บอก เราก็ไม่จำเป็นต้องไปอยากรู้ค่ะ...ให้เขารู้แค่ว่า หนูเป็นแม่ มาโนชเป็นพ่อ ก็พอแล้ว”

“แล้วแก แน่ใจนะว่ามาโนชมันจะไม่ปริปากพูดมากไปในภายหลัง”

“เขารับปากว่าจะให้เรื่องนี้เป็นความลับไปจนตัวเขาตาย ก็ต้องเชื่อใจเขาค่ะ...แต่ถ้าความจริงจะต้องเปิดเผยภายหลัง ถึงตอนนั้น เด็กก็น่าจะโตจนเข้าใจเหตุผลของผู้ใหญ่แล้วแหละ”  

ปัญหาเมื่อมันประดังเข้ามา จึงทำให้นางปรานีรู้สึกว่า ตัวเองกำลังรับกรรมบางอย่างที่พลั้งเผลอทำลงไปเพราะ  ความรู้เท่า ไม่ถึงการณ์ และเมื่อปัญหาบางปัญหาคลี่คลายไปในทางที่ดี นางก็คิดอีกมุมหนึ่งว่า บุญที่หมั่นทำไว้อยู่เนือง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบุญที่เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ บุญที่หมั่นทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสร้างวัดสร้างพระพุทธรูป และเป็นภรรยาที่ดีของสามี ก็ยังส่งผลช่วยดลให้ร้ายกลายเป็นดีได้...

เมื่อ พิมพ์พร  ลูกสาวคนโตของประไพไม่ใช่ลูกของมาโนช นางจึงต้องให้น้อยเข้าไปช่วยเลี้ยงดู เอาใจใส่มากกว่า พรรณราย ผู้เป็นน้องสาว...และความแตกต่างในเรื่องผิวพรรณหน้าตาของสองศรีพี่น้อง ก็มีคนพูดให้นางได้ยินอยู่บ่อย ๆ ทำนองว่า หลานแม่ปรานีคู่นี้ ทำไมหน้าตาไม่ค่อยเหมือนกัน คนพี่ก็ขาวตาหยีอย่างกับลูกเจ๊กลูกจีนผิดพ่อแม่ คนน้องก็ผิวคล้ำเหมือนลูกแขก นางเองรวมถึงประไพและมาโนช ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้... นั่นเป็นข้อดีอีกเรื่องของมาโนช ที่ทำให้นาง ให้อภัยกับทุกอย่างที่หลอมรวมเป็นเขาได้...

  ส่วน ‘พิชัย’ ลูกชายคนที่สอง ผู้มีความเป็นศิลปินอยู่ในสายเลือดสูงจนเกินไป และใคร ๆ ก็ว่า เขา ‘ติสท์’ หลังเรียนจบมัธยมปลาย เขาก็ไปเรียนทางด้านจิตรกรรม ทำตัวเป็นศิลปินแต่งตัวเป็นฮิปปี้ไว้ผมยาวบดบังความหล่อ ช่วงเรียนก็เล่นดนตรีตามไนต์คลับ และช่วงที่ตาคลียังรุ่งเรือง เขาก็กลับมาอยู่ที่บ้านช่วยนางทำร้านอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนั้นนางระแวดระวังผู้หญิงที่ห้อมล้อมตัวเขา จนใคร ๆ ก็ว่านางเป็นจงอางหวงไข่ และนางปรามเขาอยู่บ่อย ๆ ให้ระวังตัวให้ดี จะพลาดท่าเสียทีแม่รีแม่แรดที่อพยพมาขุดทองที่ตาคลีเอาได้ เขาเองก็ได้แต่หัวเราะ ไม่โต้แย้ง แต่ก็ยังทำทีเล่นทีจริงกับพวกเจ้าหล่อนไปทั่ว แต่ก็ไม่เห็นดูจริงจังอะไรกับใครสักคน  

พอตาคลีซบเซาเขาก็กลับไปอยู่กรุงเทพฯ  เพราะรักงานเล่นดนตรี และเขาก็ยังมีรายได้จากการวาดรูปและถ่ายภาพซึ่งต่อมากลายเป็นงานประจำของเขาไปอีกงาน เพราะพิชัย พอสนใจอะไรเขาก็ทุ่มเทให้กับมันอย่างเต็มที่ แต่พอเบื่อหน่าย หรือมีปัญหา เขาก็พร้อมจะเปลี่ยนไปหาเป้าหมายใหม่ในทันที ขณะนี้เขามีอายุเลข ๔ นำหน้า เขาก็ยังไม่มีวี่แววจะแต่งงานมีครอบครัว เวลาเขากลับมาเยี่ยมบ้าน พอนางถามถึงเรื่องสำคัญของชีวิตคนส่วนใหญ่ เขาก็ตอบว่า 

“ผมไม่แต่งงานสักคน  ไม่มีลูกสักคน ไม่ส่งผลดีผลร้ายต่อประเทศชาติหรอกครับแม่”

“แต่ถ้าไม่แต่งงาน ไม่มีลูก แก่ตัวไป แกจะอยู่อย่างไร ลอยไปลอยมาอย่างนี้ มันไม่ต่างอะไรกับคนหลักลอย”

“แล้วผม ขอเงินใครใช้ มีแต่แม่แหละ เปิดกระเป๋าสตางค์ผม เห็นว่าไม่มีเงินใช้ แม่ก็จับยัดให้เอง”

“ถ้ามีเมีย มีลูก มันก็จะทำให้แกรู้จักรับผิดชอบมากขึ้น รู้จักวางแผนอนาคตมากขึ้น”

“ผมก็รับผิดชอบตัวผมเองได้ ในระดับหนึ่งนะแม่”

“แต่มันยังไม่พอสำหรับแม่ อย่าลืมนะ พี่น้องเขาเรียนจบปริญญาตรี โท มีการมีงานทำกันทุกคน”

“ผมไม่จบปริญญา ผมก็มีงานทำ ทำจนแทบไม่มีเวลากลับมาเยี่ยมแม่ กี่เดือนแล้วนะที่ผมหายไป... นี่นะแม่ รู้ไหม ถ้าผมไม่ได้ไปถ่ายรูปที่เชียงใหม่ ผมก็ไม่ได้แวะมาหาแม่หรอก งานเล่นดนตรีที่กรุงเทพฯ มันมีทุกคืน...ไหนจะงานวาดรูปอีก จริง ๆ แล้วผมมีเงินเป็นฟ่อน ๆ ฝากไว้ในธนาคารจนบัญชียาวเป็นหางว่าว แต่ผมแกล้งทำตัวจนไปอย่างนั้นเอง อยากจะลองใจแม่ดูนะว่า รักผมมากแค่ไหน...ไป ๆ ผมมาหาทั้งที ทำแกงขี้เหล็กใส่กะทิข้น ๆ ใส่เนื้อย่างให้ผมกินหน่อยดีกว่า”

ใจจริงนางอยากจะถามให้ลึกซึ้งกว่านั้น ถามในเรื่องที่ประไพเคยบอกไว้ แต่มันก็พูดไม่ออก เวลาเขามาหา หรือเวลานางไปกรุงเทพฯ ก็ได้แต่ลอบสังเกตดูว่าเขาเบี่ยงเบนทางเพศหรือเปล่า       การแต่งเนื้อแต่งตัวของเขาก็เหมือนผู้ชายปกติคนหนึ่ง ติดไปทางปล่อยตัวจนเหมือนกุ๊ยเสียด้วยซ้ำ เทียบกับครูกบและแฟนนายทหาร หรือเทียบกับกะเทยที่นางรู้จัก มองอย่างไรเขาก็เป็นผู้ชาย แต่ทำไม พิชัยถึงไม่สนใจผู้หญิง...

และเรื่องที่เขาดำรงตัวเป็นโสดมาอย่างยาวนาน นางก็เคยถามประไพที่เข้าไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ พร้อมๆ กัน พักอยู่ที่บ้านย่าด้วยกันว่าเห็นพิชัยเคยมีแฟนบ้างหรือเปล่า ประไพส่ายหน้า นางจึงไม่รู้ว่า เขามีปมอะไรในใจทำไมถึงได้รักความเป็นโสด...แต่นางก็หวังใจว่า จะได้เห็นชีวิตที่มั่นคงของเขาในวันหนึ่ง หรือไม่ ถ้าเขาเอาตัวไม่รอด ทรัพย์สมบัติที่ดินตึกแถวที่ตาคลีที่เป็นสิทธิ์เป็นส่วนที่เขาพึงจะได้รวมถึงสมบัติพัสถานที่ย่าของเขาจัดสรรไว้ให้หลาน ๆ ทุกคน ก็น่าจะทำให้เขา ไม่ลำบากจนเกินไป แต่ถึงอย่างไร นางก็ยังรู้สึกเป็นห่วง...ตามประสาคนเป็นแม่คน...

ถอนหายใจหนัก ๆ แล้ว นางก็มองไปยังรูปของนางกับนายสวัสดิ์ที่ถ่ายหน้าตรงและขยายเตรียมไว้สำหรับใช้หน้างานศพ ซึ่งของนางก็มีเช่นกัน  ถามว่า ทำไมนางถึงไม่ตามราวี ทำให้นายสวัสดิ์และเมียน้อย ลูกน้อย ไม่มีความสุข... ก็เพราะนางรู้ดีว่า ตัวเองบกพร่องเรื่องบนเตียง ไม่มีความต้องการทางเพศตั้งแต่หมดประจำเดือน และช่วงที่นางมีส่วนค้ามนุษย์ในยุคที่ตาคลีรุ่งเรือง นางก็เคยบอกกับเขาว่า ถ้าจะซื้อกิน ก็ให้ซื้อจากที่ไกลจากบ้าน อย่าทำรุ่มร่ามให้คนแถวนี้มาถอนหงอกเอาได้ เขานั่นแหละ ที่บอกว่า ยิ่งนางพูดแบบนั้น เขาก็ยิ่งละอาย แต่พอความแตก หลังจากนางอุทธรณ์ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำอย่างนี้ เขาก็บอกว่า ก็นางเคยบอกให้เขาทำแบบนี้ และพอทำไปแล้ว พลาดมีลูกด้วยกันไปแล้ว มันก็ต้องรับผิดชอบ และเขาก็สัญญาว่า จะไม่ทำให้ทางบ้านใหญ่เดือดร้อน...นางทำใจอยู่พักใหญ่  และสุดท้าย ก็ปลงได้ว่า เขาเคยมอบความรัก ความภักดี มอบความสุขให้นางแต่ผู้เดียวมาถึงเกือบสี่สิบปี ในบั้นปลายชีวิตของเขาและนาง ก็ควรปล่อยให้เขาไปมีความสุขตามใจเขาบ้าง พอมีคนถามถึงนายสวัสดิ์ นางก็จะบอกว่า เขาอยู่กับวิจักษ์ พิชัย ญาติพี่น้องของเขาที่กรุงเทพฯ และนางก็กำชับน้อยด้วยว่า อย่าได้พูดเรื่องนี้ไปอีกด้วย