อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย - CHAPTER 1 เล่นซ่อนหา โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี

รายละเอียด

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา

ผู้แต่ง

นิวไม่จิ๋ว

เรื่องย่อ

เลขาสาวดวงซวยลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บริษัทจึงลากเพื่อนไปเอาในเวลาดึกดื่นโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นคืนสุดท้ายของพวกหล่อน เมื่อพบกับความลับอันดำมืดบางอย่างของบริษัทนี้

สารบัญ

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 1 เล่นซ่อนหา,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 2 ดิ้งดอง,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 3 พรมสีชาด,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 4 กฎแปลก,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 5 ล่าตัวตาย,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 6 ลิฟต์ทะลุตาย,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 7 ยื้อชีพก่อนรุ่งสาง,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 8 ไซต์กลืนวิญญาณ,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 9 มิติล่ามรณะ,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10 สิ้นหนทางเดิน,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.1 ตัวเลือกที่ 1 : ดิ้นให้หลุด,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.2 ตัวเลือกที่ 2 : เชื่อมั่นในตัวชานนท์,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.3 ตัวเลือกที่ 1 : ขอกาญจนาแต่งงาน,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.4 ตัวเลือกที่ 2 : ขอบัวแต่งงาน

เนื้อหา

CHAPTER 1 เล่นซ่อนหา

"ฉิบหายละ..." ฉันสบถออกมาครั้งจากที่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมแฟ้มเอกสารสำคัญที่ต้องใช้ในการประชุมกับบอร์ดบริหารของท่านประธานพรุ่งนี้ที่โต๊ะทำงานประจำตำแหน่งเลขาของฉัน ในนั้นมีเอกสารที่ต้องตรวจสอบหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นข้อมูลยอดขาย งบดุลประจำปี รวมถึงงบบัญชีทุกอย่างในนั้นจนหมด จะให้มั่นใจว่าการประชุมในพรุ่งนี้จะราบรื่นไปด้วยดี...

โอ้! ไม่นะ...ฉันดันลืมสมุดโน้ตของตัวเองที่ในนั้นได้จดกำหนดการของท่านประธานด้วย ในความเป็นจริงฉันควรจะนำมันกลับมาที่บ้านเพื่อจัดการตารางเวลาให้เหมาะสมและไม่เละเทะจนเกินไป ท่านประธานเองก็คอยเอ็นดูตลอดเวลาที่ฉันได้รับตำแหน่ง 'เลขาส่วนตัว' ของเขา แม้ว่าฉันจะยังไม่ 'ได้' ท่านประธานที่เป็นหนุ่มหล่อ ร่างสูง จมูกเป็นสัน พนันได้เลยว่าซิกซ์แพ็ตเป็นลอนสวยนั้นซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตของเขาอย่างแน่นอน ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เขายังโสด

ไม่นะ!! ช่วงนี้ฉันกำลังทำแต้มเพื่อให้เขาเห็นความเก่งและความฉลาดเป็นกรดของฉัน หลังจากนั้นฉันก็จะเริ่มโปรยเสน่ห์ใส่เขาให้ตกหลุมรักจนโงหัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว!

"ที่จริงบัวควรใช้ไอแพดแทนสมุดโน้ตมากกว่านะครับ เผื่อผมจะได้ส่งไฟล์งานให้บัวแล้วเปิดได้ทันที" ท่านประธานพูดกับฉันเมื่อเช้าที่ท่านพาไปประชุมงานที่บริษัทลูกที่เข้าได้เพิ่งซื้อไปเพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของโปรเจ็กต์ที่เขาได้มอบหมายไว้

"ดิฉันชอบใช้สมุดโน้ตมากกว่าค่ะ" ฉันด้วยน้ำเสียงที่ใสเกินปกติ "ไม่มีการแฮงก์และเวลาตกก็ไม่พังเสียหาย อย่างมากก็แค่สันสมุดยุบไปบ้างน่ะค่ะ"

"อืม...เข้าใจแล้วครับ" เขาเป็นประธานบริษัทที่ฟังลุกน้องเดือบทุกคนในบริษัทและไม่เคยยกทิฐิตัวเองเป็นใหญ่ รวมถึงไม่เคยสั่งงานเกินหน้าที่ แถมเงินเดือนก็ยังสมน้ำสมเนื้อแบบนี้ใครอยากจะไปลาออกกันล่ะ แต่สำหรับฉันที่เรียนจบปริญญาโทจากคณะบริหารธุจกิจสาขาการบริหารแบบนี้ยิ่งทำให้โปร์ไฟล์ของฉันยิ่งเข้าตาท่านประธานมากกว่าคนอื่นๆ โดยเฉพาะใบหน้าที่สวยงามตามธรรมชาติของฉัน (แม้ว่าจะมีเสริมจมูกบ้างก็ตาม)

แต่ถ้าการประชุมในวันพรุ่งนี้ข้อมูลไม่ครบถ้วนจะทำให้บอร์ดบริหารกว่าสิบชีวิตจับจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาอำมหิตและตำแหน่งเลขาส่วนตัวของฉันอสจจะต้องพังทลายและมีคนใหม่มาแทนที่...ฉันจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด ทั้ง ๆ ที่ใช้เต้าไต่มาจนถึงทุกวันนี้ก็ลำบากมามากมาย

 

'ใช้สิ่งที่อยู่ทรงหว่างขาให้เป็นประโยชน์' เซอร์ซี่ แลนนิสเตอร์ได้กล่าวไว้

 

ได้เลยค่ะท่านควีน ฉันจะตามรอบพระบาทของท่านทุกชาติไป ท่านคือไอดอลในดวงใจหนึ่งเดียงของหนู!!

"ทำบ้าอะไรอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งตั้งนานแล้ว! ออกไป๊!! ฉันจะเป่าผม!" 'มิลิน' เพื่อนสาวรูมเมทของบ้านปากจัดปากแจ๋วทำเสียงเขียวใส่ฉันเมื่อต้องการใช้เครื่องเป่าผมพลังเทอร์โบแรงช้าง ฉันไม่ได้ใส่ใจกับความปากจัดของนางเท่าไหร่ แต่ก็มีไว้ก็ดีเหมือนกันเพราะเวลามีผู้ชายหน้าตาเจ้าชู้มาหลอกตีบฉัน มิลินนี่แหละคือโล่ป้องกันชั้นดี

"แล้วทำไมไม่ซื้อใช้เองบ้างล่ะ มันก็ไม่ได้แพงมากนะ" ฉันถอนหายใจ ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้เพื่อนสาวที่คบกันมาตั้งแต่มหาวิทยาลัยใช้เท่าไหร่ เพราะด้วยความสนิทสนมเลยไว้ใจให้ใช้ของส่วนตัวบางชิ้นด้วยกันได้

"แล้วเมื่อกี้มึงอุทานฉิบหายทำไมวะ?" มิลินถาม

"คือกูลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บริษัทอะดิ..." ฉันพูดความจริงออกไป แต่ก็ยังหวั่น ๆ อยู่ว่าเพื่อนสาวจะโวย

"ถ้ามันสำคัญจริง ๆ แล้วทำไมถึงลืมวะอีบัว?" สาวปากแจ๋งเริ่มบรรเลงกระบวนท่าปากที่หนึ่ง

 

'เมียบ่น'

 

"กูไม่ได้ว่ามึงหรอกนะว่ามึงจะใช้ร่างกายหรือหีของมึงในการไต่เต้าขึ้นมาจากพนักงานต่ำต้อยเงินเดือนเดือนละหมื่นสี่ไม่รวมหักค่าประกันสังคมจนกลายมาเป็นเลขาส่วนตัว แล้วตอนนี้เป้าหมายต่อไปคืออะไรล่ะ..."

"เมียประธาน" ฉันตอบอย่างหน้าด้าน ๆ

"อุบ๊ะ!!" มิลินหันขวับมามองฉันอย่างไม่เชื่อสายตาของตัวเอง "มักใหญ่ไฝ่สูงนะหล่อน"

"อ่ะ แน่นอน!" ฉันยักไหล่อย่างไม่แคร์คำพูดของเพื่อนสาว "ชั้นน่ะถนัดเรื่องใช้เต้าไต่ระดับมาตลอดนั่นแหละ สมัยมัธยมก็ได้ประธานนักเรียนถึงสามคน ตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็ได้เดือนของแต่ละคณะแต่ละเทอมมาตลอด พอเรียนจบมาก็อยากจะได้ประธานบริษัทบ้างไม่ได้หรือไง?"

"ไม่ได้โว้ยยย!!" มิลินโวยวาย "แล้วอีประธานคนนั้นไม่มีแฟนไม่มีลูกมีเมียบ้างหรือไงวะ!?"

"เอาเถอะ ๆ พอก่อน ๆ ตอนนี้ยังไม่ดึกมาก ฉะนั้น...ช่วยพากูไปเอาแฟ้มเอกสารกับสมุดโน๊ตของกูที่บริษัทหน่อยได้ปะ?" ฉันขอร้องจนทำให้เพื่อนสาวเบิกตาโต

"นี่มึงจะบ้าเหรออีนี่!" เธอไม่เห็นด้วยกับความคิด แบบนี้ "ถ้าโดนจับได้จะทำยังไง?"

"ไม่เป็นไรหรอกน่า ที่นั่นมียามที่เขาไว้ใจฉันได้อยู่ รับรองว่าฉลุยอย่างแน่นอน"

 

.....................................

 

กว่าจะกล่อมอีเพื่อนสาวปากจัดมาที่ออฟฟิศสำนักงานเป็นเพื่อนได้ก็แทบจะกราบพระบาท

ด้วยความที่การเข้าที่จอดรถไปจะต้องมีลัตรประจำตัวพนักงานระดับสูงเท่านั้นถึงจะสามารถสแกนเข้าจอดรถได้ทุกเวลา ซึ่งบัตรประจำตัวของฉันจัดเป็นพนักงานระดับสูงเช่นกัน

รถเก๋งซิวิคสีขาวแล่นผ่านแผงกั้นสีแดงสลับขาวที่ยกขึ้นอัตโนมัติ เป็นระบบที่สามารถลดพนักงานที่คอยรับควบคุมแผงกั้นซึ่งมักจะแอบหลับในเวลางาน ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาได้อย่างเฉียบขาด

แม้ว่าในตัวเมืองนั้นจะเต็มไปด้วยแสงไฟไม่ต่างจากตอนกลางวันก็ตาม แต่ผิดกับตึกสำนักงานสูงสามสิบชั้น ภายในลานจอดรถนั้นมืดสนิทเสียจนไม่สามารถมองอะไรเห็นหากไม่เปิดไฟหน้ารถในโหมดไฟสูง ฉันจอดมันไว้หน้าประตูทางเข้าลิฟท์ซึ่งเป็นที่จอดรถประจำของฉันและคนทั้งบริษัทรู้กันดีแม้แต่เด็กฝึกงาน

ฉันเตรียมตัวมาดี ไฟฉายไล่ผีรุ่นพิเศษที่สั่งซื้อมาจากอินเตอร์เน็ตกระบอกโตอยู่ในกระเป๋าถือใบหรูที่รูดบัตรเครดิตซื้อมา ถ้าเทียบกับเงินเดือนห้าหมื่นบาทต่อเดือนถือว่าแค่นี้ขี้ประติ๋ว เมื่อฉันเปิดไฟฉาย ความมืดได้มลายหายไปราวกับน้ำแข็งที่พบกับลาวา ความสว่างที่เรียกได้ว่าฉันกำลังเสกคาถาผู้พิทักษ์เลยทีเดียว ยามที่สาดไปทั่วก็ทำให้ผีที่สถิตอยู่ในตัวตึกนี้ต้องหนีหายจากไป

"มึงจะสาดไฟเยอะขนาดนี้หาเตี่ยมึงเหรอ?" มิลินตวาดเสียงเขียวใส่

"ก็ซื้อมาทั้งทีเพิ่งใช้ครั้งแรกปะ?" ฉันขมวดคิ้วก่อนจะเดินขึ้นบันไดหนีไฟอย่างไม่กลัวอะไร ในความเป็นจริงฉันไม่ได้อยากให้มิลินมาเป็นเพื่อนด้วยหรอกเพราะด้วยความปากจัดของนางที่เห็นอะไรจะต้องวิจารณ์ต้องพูดไปทั่ว และฉันไม่ได้กลัวผี ไม่ได้กลัวความมืด แต่มีหล่อนอยู่ก็ทำให้ใจชื้นไปบ้าง

ฉันเดินนำขึ้นไปประมาณสองชั้น เพื่อนสาวแรงตกเมื่อก้าวบันไดถึงชั้นที่ยี่สิบ หายใจแรงขึ้นรวมถึงเหงื่อที่ท่วมกาย แต่ฉันยังไม่รู้สึกหอบแม้แต่นิดเดียว เพราะฉันเดินขึ้นเดินลงตั้งแต่มาทำงานตั้งแต่วันแรกเนื่องจากไม่อยากจะไปเบียดเสียดกับมนุษย์เงินเดือนเหม็นเหงื่อให้เสื้อผ้าติดกลิ่นเหม็นพวกนั้นมาด้วยหรอก

"ไม่ไหวแล้วเหรอ?" ฉันถาม "อีกชั้นเดียวเองสู้หน่อยสิ"

"มึงทำได้ยังไงวะ...แฮ่ก! แฮ่ก!" หล่อนกัดฟันเดินขึ้นมาเกาะแขนฉันแน่น

"ก็เดินทุก ๆ วันน่ะ" ฉันตอบพลางยักไหล่

"ขะ...แข็งแกร่ง...." เธอหายใจเข้าไปลึก ๆ แล้วมองลงไปด้านล่างผ่านช่องว่างของบันไดก็เห็นเป็นความฝันลึกลงไปราวกับเป็นหลุมดำที่ไร้สิ้นสุด

เมื่อขึ้นมาถึงชั้นที่สามสิบซึ่งเป็นชั้นที่ฉันทำงานอยู่อีกทั้งยังเป็นห้องทำงานของท่านประธาน เมื่อเปิดประตูออกมาดูบัตรประจำตัวของฉันก็พบกับโต๊ะทำงานของฉันตั้งอยู่ ส่วนด้านข้างเป็นประตูไม้บานใหญ่ที่เพียงผลักเข้าไปจะเป็นห้องของท่านประธาน

ฉันพุ่งเข้าไปหยิบแฟ้มสีดำพร้อมกับสมุดสีขาวปกหนังใส่กระเป๋าถืออย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเดินออกไปจากตรงนั้นก็ได้ยินเสียงบางอย่างออกมาจากห้องท่านประธาน

.

.

.

.

ความอยากเสือกพุ่งขึ้นเป็นทวีคูณ จึงค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ ๆ ห้องของท่านประธานก่อนจะเอาหูไปแนบ

"อ้าาๆๆ!!..เ..เบาๆๆ!!...อ้าาๆ!!..เ..เสียวว!!.....อ้าๆๆ!!..เ...เเด๊ดด!!.อ้าาๆๆ!!..เ..เราเสียวว!!..อ๊าาส์!!" เสียงครางของผู้หญิงดังออกมา ในหัวฉันมีเพียงภาพที่ท่านประธานกำลังเอากับพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งในบริษัท...ไม่นะ...ท่านประธานที่ใจดีคนนั้น ท่านประธานผู้มีเมตตาคนนั้นจะเป็นคนแบบนี้เหรอ...? มันก็ไม่แปลกหรอก นี่มันสมัยไหนแล้ว...เขาจะทำแบบนั้นมันก็ไม่แปลก

 

แต่แอบดูหน่อยดีกว่าว่าหุ่นของท่านประธานจะแซ่บขนาดไหน

 

ฉันค่อย ๆ ผลักประตูแง้มเข้าไป สอดส่องดวงตาลอดผ่านช่องประตู มีเงาสองคนอยู่กลางห้อง ร่างหนึ่งกำลังคล่อมอีกร่างหนึ่งอยู่ เท่าที่พยายามสังเกตดูแล้วรูปร่างไม่เหมือนท่านประธานเลยแม้แต่นิดเดียว

"พี่ป้อมคะ...หนูเสียวไปหมดแล้ว~" เสียงใส ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นเบา ๆ ซึ่งคุ้นหูฉันเป็นอย่างมาก "เหมือนที่เขาลือไปทั้งบริษัทเลยค่ะ"

"น้องแอ้มชอบใจพี่ก็ดีใจจ้ะ" เสียงของยามป้อม! ปกติแล้วเขาจะต้องประจำอยู่ที่ชั้นหนึ่งไม่ใช่เหรอ...? การที่เข้ามาทำเรื่องอย่างว่าในห้องประธานแบบนี้ได้ยังไง!!?

 

สองคนนั้นกำลังบรรเลงรักอย่างเคลิ้บเคลิ้มแต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของมิลินที่เพิ่งขึ้นมาถึง

 

"ไอ้เหี้ย!!! ทำไมมึงไม่เคยรอกูเลยวะ!!" เสียงของอีมิลินดังไปทั่วชั้นทำให้ยามป้อมหันขวับมาที่ฉัน! ฉิบหายแล้ว...ถ้าเขารู้ว่าฉันมาเจอเขาที่กำลังทำเรื่องอย่างว่าอยู่ในห้องเจ้านายแบบนี้คงตะฆ่าฉันปิดปากแน่นอน จากที่ไม่เห็นจุดสีแดงจากกล้องวงจรปิดแบบนี้หมายความว่าเขาปิดมันจะทำเรื่องอย่างว่าโดยที่ไม่มีใครรู้

ยามป้อมไล่ให้ผู้หญิงที่เขาซื้อบริการรีบแต่งตัว เขานึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาอยู่ในตึกสำนักงานในเวลานี้นอกจากเขายามหนุ่มวัยกลางคนค่อย ๆ เดินไปยังประตูห้องก่อนจะผลักออกไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่พบก็คือความว่างเปล่า เขาไม่ได้เป็นคนเชื่อเรื่องผีสาวนางไม้เท่าไหร่เพราะตั้งแต่เข้าเวรที่นี่ในกลางดึกก็ไม่เห็นผีตัวไหนออกมาหลอกสักตัว

 

เหอะ ๆ ผีน่ะมันก็แค่เรื่องงมงายที่แต่งขึ้นเอามาไว้หลอกเด็กเท่านั้นแหละ

 

"มีอะไรเหรอคะ?" สาวขายบริการที่แต่งตัวอย่างลวก ๆ เสร็จแล้วเดินมาถาม "เรายังไม่เสร็จกันเลยนะ"

"กลับไปเถอะครับ เดี๋ยวผมลงไปส่ง" ยามป้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น จู่ ๆ ก็มีสิ่งหนึ่งทำให้เขาชะงัก ดวงตาของเขาเหล่มองไปที่โต๊ะปนะจำตำแหน่งเลขาส่วนตัวของท่านประธาน ซึ่งฉันกำลังหลบอยู่อย่างเงียบเชียบพร้อมเอามือปิดปากอีกเพื่อนผีเจาะปากมาพูดนี่จนมิด "คิดอีกที เดี๋ยวให้คุณลงลิฟท์ไปเองดีกว่า เพราะผมต้องเก็บกวาดอะไรบางอย่างหน่อย"

"ก็ได้ค่ะ งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่นี่เวลาเดิมนะคะ" เสียงของหญิงสาวพูดเสียงใสก่อนจะลงลิฟท์ไปก่อนที่ทุก ๆ อย่างจะเงียบสงัดราวกับป่าช้า

 

เสียงถอนหายใจของยามป้อมดังขึ้นเบา ๆ

 

"ไม่ต้องหลบแล้วล่ะ ลุงไม่ทำอะไรพวกหนูหรอก" ยามป้อมพูดขึ้นด้วยเสียงที่ก้องกังวาน ทำให้ทั้งฉันและมิลินสะดุ้งไปตาม ๆ กัน เสียงผีเสื้อขยับปีกอาจจะฟังดูเบาจนไม่ได้ยิน แต่ด้วยความเงียบเช่นนี้มันเป็นเสียงที่สามารถได้ยินและระบุตำแหน่งได้

 

รวมถึงเสียงขยับของพวกเราด้วย

 

"อีเพื่อนเลว..." ฉันตวาดเพื่อนสาวเบา ๆ ก่อนจะแสดงตัวออกไปพร้อมกับไฟฉายมือถือเพราะไม่อยากให้แสงไฟจากไฟฉายไล่ผีต้องทำให้ดวงตาของเขาต้องเสียหาย

"สะ...สวัสดีค่ะ...หยะ...ยามป้อม..." ฉันแสร้งเป็นยิ้ม

"อ้าว! คุณเลขาบัว มาทำอะไรที่บริษัทในยามวิกาลเช่นนี้โดยไม่ได้แจ้งผมก่อนหรือเปล่าครับเนี่ย?" ยามป้อมถามเสียงใสทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายไปได้หนึ่งเปาะ

 

อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โกรธอะไร แถมยังพูดดีกับฉันอีกด้วย

 

"อ่ะ...เออ...บัวแค่มาเอาแฟ้มเอกสารที่ลืมไว้บนโต๊ะของบัวน่ะค่ะ" ฉันพูดความจริง "บัวก็กำลังจะกลับแล้วค่ะ"

"ดีครับ ดีครับ เมื่อกี้ผมแต่ไปตรวจสอบบางอย่างในห้องของท่านประธานมานิดหน่อย แต่ก็พบอะไรเยอะแยะไปหมดเลยครับ อยากจะมานั่งฟังกันหน่อยไหมครับ?" ยามป้อมเชื้อเชิญด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่น่าไว้วางใจ

"ไม่ดีกว่าค่ะ" ฉันปฏิเสธทันควัน หัวใจเต้นโครมคราม "เดี๋ยวบัวก็จะไปแล้วค่ะ พรุ่งนี้มีประชุมของท่านปนะธานแต่เช้าแล้วบัวจะต้องไปพักผ่อนค่ะ"

"อ๋อ! ได้ครับได้ เดี๋ยวให้ลงลิฟท์ก็แล้วกันนะครับ" ยามป้อมแสยะยิ้มแล้วผายมือไปยังลิฟท์

"อ้าว! ไม่เป็นไรแล้วเหรอ!!" มิลินชะโงกหน้าออกมาพร้อมกับพูดเสียงดัง ทำให้ฉันและยอมป้องตกใจเป็นอย่างมาก

นางโผล่ออกมาจากใต้โต๊ะก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ฉัน

"ลุงทำอะไรอยู่ในห้องของคุณประธานนั่นเหรอคะ?" ด้วยความที่เป็นคนตรงไปตรงมาจนเกินเหตุบวกกับความมืดจึงทำให้คำว่า 'กาลเทศะ' ไม่ได้สลักไว้ในจิตใจของเธอเลยแม้แต่น้อย

"อ๋อ! ลุงแค่ไปตรวจตรา..."

"จริงเหรอคะ?" สาวปากเคราะห์ร้ายพูดแทรกขึ้นมาโดยที่ไม่ได้อ่านสถานการณ์เอาเสียเลยว่าตอนนี้มันเป็นยังไง...

 

มีดที่อยู่ในมือขวาของยามป้อมไม่รู้ว่าจะถูกจ้วงเมื่อไหร่นี่สิ...

 

ดวงตาของยามอายุวัยกลางคนจ้องเขม็งไปยังมิลินก่อนจะตวัดมือขวาที่ถือของมีคมเฉือนเส้นเลือดใหญ่บริเวณคอของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว เสียงใบมีดอันคมกริบเชือดเฉือนผ่านเนื้อของมิลินอย่างรวดเร็วและแม่นยำ เลือดอุ่น ๆ พุ่งออกมาจากบาดแผลกระเด็นเซ็นซ่านไปทั่ว ร่างของเพื่อนสาวล้มลงไปนอนตายที่พื้น รอยยิ้มแสยะกว้างของยามป้อมปรากฎขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง

 

ฉิบหายแล้ว...

 

"วันนี้กะว่าจะไม่ฆ่าใครแล้วนะเนี่ย" เขาพูด "เอาเถอะ เดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบไปเองนั่นแหละ"

น้ำเสียงของเขาที่ฟังดูไม่ต่างจากปีศาจทำให้ฉันปัสสาวะรดกางเกงกางสั้นของฉัน จู่ ๆ ความคิดหนึ่งก็เข้ามาในหัวของฉัน ในทุก ๆ วันจะมีพนักงานอย่างน้อยหนึ่งคนลาออกจากบริษัทอย่างไม่ทราบสาเหตุ แถมเงียบหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

 

หรือเหมือนกับว่าถูกฆ่าไปยังไงยังงั้น!!

 

"แม้ว่าจะเป็นพนักงานระดับสูงของท่านประธานก็ตาม กฎของบริษัทนี้มีกฎเหล็กอยู่หนึ่งข้อที่มีคนและท่านประธานสองคนที่รู้เรื่อง" ยามป้อมพูด "อย่างแรกก็คือ ใครเหยียบเข้ามาที่นี่จะถือว่าเป็นเหยื่อของผมและต้องเลือกระหว่างตายที่นี่หรือเล่นเกมฆาตกรกับผม"

"หยะ...ยังไงก็ตายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?" เสียงของฉันสั่นเครือดวงตายังคงมองศพขอลเพื่อนสนิทด้วยความหวาดกลัวเลือดที่ไหลออกมาราวกับก๊อกแตกท่วมพื้นพร้อมกับน้ำปัสสาวะของฉันไปหมด

"เอายังไงดีล่ะครับคุณบัว จะเลือกโอกาสรอดห้าสิบห้าสิบหรือไม่มีเลย?" ยามป้อมชูมีดด้ามใหญ่เปื้อนเลือดและชื่นชมมันราวกับเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ "ผมอธิบายเพิ่มก็แล้วกัน เกมที่จะเล่นก็คือ 'ไล่จับซ่อนหา' ผมจะเป็นคนหาแล้วคุณเป็นคนซ่อน โดยผมจะนับสิบถึงศูนย์เพื่อให้เวลาไปซ่อน อย่าให้ผมเจอ มีเวลาถึงเช้า ถ้ารอดไปได้ผมจะลางานให้คุณไปพักผ่อนหนึ่งวัน หากแพ้ก็ตาย ง่าย ๆ แค่นี้เลยครับ"

 

ฉันยืนนิ่งก่อนจะวิ่งหนีเข้าไปในห้องของท่านประธานทันที

 

"คำตอบได้ถูกเลือกแล้ว" ยามป้อมหลับตาแล้วเริ่มนับถอยหลัง

 

........................................

 

'สิบ'

 

ฉันจำได้อย่างแม่นยำว่าท่านประธานได้สร้างห้องลับไว้แถว ๆ ชั้นหนังสือเอาไว้ซ่อนอะไรบางอย่าง ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ ที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ ทั้งยามป้อมที่คอยเอ็นดูฉันตลอดมาได้กลายเป็นฆาตกรเลือดเย็นที่ตวัดมีดฟันคอเพื่อนสาวปากหมาตายคาออฟฟิศที่ฉันทำงานอยู่

 

'เก้า'

 

หนังสือเล่มไหนกันนะที่เป็นเลื่อนออกมาเป็นสวิตช์เปิดประตู...ฉันตัดสินใจเปิดไฟฉายไล่ผีสาดแสงไฟอันสว่างไปยังชั้นวางหนังสือที่มีหนังสืออัดแน่นอยู่เต็มไปหมด แต่ละเล่มนั้นมีปกลวดลายอักขระที่ฉันไม่รู้จัก ไม่มีความแตกต่าง...ไม่สิ...ฉันไม่สามารถแยกความแตกต่างของหนังสือแต่ละเล่มได้เลยว่าเล่มไหนที่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสวิตช์นั่น

 

'แปด'

 

คิดสิคิด!! หนึ่งในร้อยเล่มพวกนี้นี่แหละ!! ดวงตาของฉันสอดส่องไปมาอย่างเร่งรีบ เพราะสิบวินาทีนั้นเป็นสิบวินาทีที่ฉันต้องใช้ให้คุ้มค่าที่สุดเลยทีเดียว!!

 

'เจ็ด'

 

ฉันตัดสินใจหยิบตั้งแต่เล่มที่หนึ่งแล้วปล่อยให้มันตกลงพื้น เสียงหนังสือที่ตกลงพื้นนั้นทำให้ได้ยินเสียงเหรียญตกลงบนพื้นแทนต่างหาก

 

'หก'

 

"ขอโทษนะคะ ท่านประธาน! ไว้หนูจะชดใช้คืนให้นะคะ!" น้ำตาของฉันไหลอาบแก้มเมื่อคิดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาหากฉันรอดไปได้

 

'ห้า'

 

หากฉันรอดไปได้จะไปฟ้องท่านประธานให้ไล่ออกไปเลย! มียามโรคจิตในบริษัทแบบนี้มันใช่ซะที่ไหนกัน!!

 

'สี่'

 

มือทั้งสองข้างต่างคว้าหนังสือโยนลงพื้นอย่างเร่งรีบ เล่มแล้งเล่มเล่าก็ไม่มีท่าทีว่าจะมีประตูลับอะไรนั่นเลย...หรือว่าจะไม่มีกันนะ...ให้ตายสิ!! มันต้องมีสิ!!

 

'สาม'

 

แม่งเอ้ยย!!

 

'สอง'

 

ขอให้ทันทีเถอะ!!!

 

'หนึ่ง'

 

!!!!!!!

 

ยามป้อมลืมตาพร้อมกับรอยยิ้มที่แสยะออกมา เขาเดินข้ามร่างอันไร้วิญญาณที่จมกองเลือดของมิลินผลักประตูเข้ามาในห้องทำงานของท่านประธาน สิ่งที่เขาเห็นหลังจากที่สาดไฟฉายประจำตัวเข้ามาในห้องแล้วเห็นแต่ความว่างเปล่า

"คุณนี่โง่กว่าที่ผมคิดอีกนะครับ ทำให้ผมคิดไม่ตกจริง ๆ ว่าระดับสติปัญญาของคุณถึงขึ้นมาเป็นเลขาส่วนตัวของประธานได้ยังไง" เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย "เหมือนในหนังฆาตกรไล่เชือดโหล ๆ ทุนต่ำทั้งหลายที่นางเอกวิ่งหนีฆาตกรพร้อมกับมองเช็คว่าฆาตกรกำลังตามมาหรือไม่ จะเช็คทำไมวะในเมื่อฆาตกรต้องการจะฆ่ามือให้ตายกับมืออยู่แล้ว และการที่หันไปมองก็ทำให้สปีดในการวิ่งลดลงอีก มัสมองก็คิดให้แตกฉานกว่านี้สักหน่อยสิวะ!"

 

เขาสาดไฟฉายไปที่ชั้นหนังสือของท่านประธานที่มีหนังสือจำนวนมากวางกองไว้กับพื้น

 

"แสดงว่าตอนนี้มีคนรู้ว่าท่านประธานมีห้องลับหลังตู้หนังสือ เอาไว้สำหรับนั่งทำสมาธิและทำกิจกรรมบางอย่างที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ ก็แน่ล่ะ ชายหนุ่มมหาเศรษฐีและโสดอย่างเขาก็มีเหงาบ้างเป็นเรื่องธรรมดาจริงไหมครับ?" เขายังพูดต่อ "การที่คุณบัวไต่เต้าขึ้นมาจากการเป็นพนักงานสัญญาจ้างรายเดือน ขึ้นมาเป็นเลขาส่วนตัวได้ภายในเวลาแค่นี้ถือว่าเก่ง...หรือโกงกันนะ โธ่ ๆ คุณบัวครับ ถ้าคิดว่าจะเอาเรื่องที่ผมฆ่าคนไปบอกท่านประธานล่ะก็ไม่ต้องดีกว่า เพราะเขากับผมเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่อนุบาล"

ฉันที่ฟังอยู่ก็เบิกตาโพล่งด้วยความตกใจกับความจริงที่ยามป้อมได้พูดออกมา...แต่อีกใจนึงกลับปฏิเสธ

"เอาเถอะ ผมไม่พูดมากละกัน จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อยู่ที่สติปัญญาอันน้อยนิดของคุณจะพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน" ยามป้อมเดินเข้าไปที่ชั้นหนังสือก่อนจะหยิบหนังสือปกสีดำออกมาทำให้กลไกประตูทำงานเผยให้เห็นช่องว่างเชื่อมไปยังห้องมืดห้องหนึ่ง "คนเรามันตลกนะครับ เกิดมาต่างฐานะแต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ แถมเงินเดือนของผมก็เยอะกว่าของคุณด้วย ถ้าผมจะแก่ตาย ผมด็อยากจะตายที่นี่แหละครับ และบอกไว้ก่อนว่า ผมอายุแค่สามสิบเท่ากันกับท่านประธานแต่ผมแค่หน้าแก่ไปหน่อยเดียวเอง"

ฉันที่หลบอยู่ใต้โต๊ะของท่านประธานโดยแหกขาทั้งสองข้างออกเป็นรูปตัวเอ็มอย่างไม่ได้ตั้งใจพร้อมทั้งภาวนาให้ย้อมป้อมออกไปจากที่นี่เสียที ถ้าเป็นไปได้ให้ลิฟท์ไปเลย

"อืม....เดี๋ยวผมขอเข้าไปดูหน่อยก็แล้วกัน" เสียงของยามป้อมค่อย ๆ เบาลง เป็นสัญญาณว่าฉันสามารถหนีออกจากที่นี่ได้ ฉันพ่นลมหายใจออกทางปากพร้อมปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาก่อนจะหุบขาและรีบพุ่งตัวออกไปจากที่ซ่อน เมื่อดวงตาของฉันสบตากับยามป้อมที่ยังคงยืนนิ่งอยู่!!

"กรี๊ดดดด!!" เขาไม่ได้เข้าไปในห้องนั้นนี่!

"ติดกับมุกย้ำเท้าอยู่กับที่นั้นเหรอครับ? เหมือนกับลุงแถวบ้านเลยแหะ เอาแต่ย้ำอยู่กับที่จนไม่สามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้" เขาพุ่งเข้ามาหมายจะจ้วงท้องของฉันด้วยมีดอันคมกริบ แต่ฉันเบี่ยงตัวหลบทัน ยามป้อมรู้ว่าฉันจะเบี่ยงตัวหลบ เขาจึงเปลี่ยนมีดมาอีกมือก่อนจะฟันถาก ๆ เขาที่แขนของฉัน

"อึ๊กกกก!!!" ความเจ็บแปลบเกิดขึ้นทำให้ฉันเกือบจะล่มลงไปกับพื้น ฉันสกัดรองเท้าแตะแล้ววิ่งออกไปจากห้องของประธานตรงไปยังบันไดหนีไฟทันที ถ้าจะให้กดลิฟท์ตอนนี้ก็เสียเงลาจนเกินไป

 

เพียงบันไดสามสิบชั้นแค่นี้ชิว ๆ อยู่แล้วน่า!!

 

จู่ ๆ ก็มีบางอย่างร่วงผ่านฉันลงไปทำให้ฉันกรี๊ดลั่นไปชั่วเวลาหนึ่งก่อนจะสามารถปิดปากได้ทันเวลา ไม่รู้หรอกนะว่าอะไรร่วงลงไป แต่ที่แน่ ๆ ก็คือมันไม่น่าจะมีอะไรดีแน่นอน!

เพียงยี่สิบนาทีฉันก็สามารถวิ่งลงมาถึงชั้นที่จอดรถได้แล้ว เรี่ยวแรงของฉันหายไปเกินกว่าครึ่ง ขาของฉันเริ่มแข็งจนไม่แรงก้าวไปไกลมากกว่านี้แล้ว หัวใจของฉันเต้นถี่ยิบแต่ก็แอบดีใจที่ว่าฉันได้หนีจากยามป้อมพ้นแล้ว เขาไม่มีทางจับฉันได้อีกต่อไป เพียงแค่ขึ้นรถและขับออกไปแจ้งความพร้อมหลักฐาน...ว่าแต่...หลักฐานที่ใช้มัดตัวยามป้อมนี่มันจะเป็นอะไรได้ล่ะ...? ภาพ...? วิดีโอ...? ไม่มีอะไรสักอย่าง แม้แต่มีดที่มีรอยนิ้วมือของเขา

ฉิบหาย...แฟ้มเอกสารก็ไม่ได้เอาติดตัวลงมา!!

.

.

.

.

.

.

ฉันเปิดประตูบันไดหนีไฟออกมาก่อนจะนั่งทรุดอยู่กับพื้นอย่างหมดแรง...วันนี้เป็นวันเหี้ยอะไรของกูวะ...? กูแค่ลืมแฟ้มเอกสารไว้ที่บริษัทแล้วต้องการมาเอาแค่นั้นเอง...ทำไมกูถึงต้องโดนตามล่าขนาดนี้วะ...จู่ ๆ ขาของฉันก็ไปโดนกับอะไรบางอย่าง พอหันไปมองพร้อมสาดไฟฉายก็พบกับศพของมิลินที่ยามป้อมโยนลงมาจากชั้นที่สามสิบ ร่างกายของเธอไม่เหลือเค้าโครงแต่กลับกลายเป็นเพียงเศษเนื้อที่เละไม่มีชิ้นดี ฉันกรีดร้องก่อนจะตะกายตะกายออกมาจากตรงนั้นแล้วร้องให้น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความสมเพชตัวเอง

"เป็นเหี้ยอะไรวะเนี่ยยย!!" ฉันสบถออกไปเสียงดังด้วยความหงุดหงิดตัวเองพร้อมกับกำปั้นทั้งสองข้างทุบไปที่พื้นโดยที่ไม่สนความเจ็บปวด

กะอีเรื่องแค่นี้เธอก็ไม่สามารถทำได้ ตำแหน่งเลขาท่านประธานเริ่มสั่นคลอนเสียแล้วสิ! เพราะตำแหน่งนี้เหมือนกับเป็นแฟนของท่านประธานที่หากหลุดไปจากตำแหน่งนี้แล้ว คนใหม่ก็จะเข้ามาเสียบแทน แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องของหัวใจ แต่เงินเดือนที่เยอะพอ ๆ กับของท่านประธานแล้ว...ไม่มีใครอยากจะพลาดหรอกจริงมั้ย?

"ตัวเงินตัวทองหรือที่เรียกว่าเหี้ยนั้นในโลกมีพบมากกว่า 70 ชนิดครับ มันก็แล้วแต่ว่าคุณเป็นเหี้ยอะไร" เสียงของยามป้อมดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งสุดตัว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเขานั่งอยู่บนหลังคารถของฉันแล้ว!!

ดวงตาของฉันเบิกโตด้วยความหวาดกลัวจนถึงขีดสุด ขาของฉันไม่มีแรงแม้จะลุกยืนอีกแล้ว...

 

ฉันมาได้แค่นี้แล้วล่ะ

 

"ก่อนที่มีดของผมจะได้ลิ้มลองเลือดของคุณ ผมจะสอนคุณอะไรอย่างหนึ่งก่อน" เขากระโดดลงมาจากหลังคารถยนต์ของฉันแล้วค่อย ๆ เดินมาหาฉันด้วยท่าทีที่ใจเย็นสุด ๆ เขานั่งยองจากนั้นก็ยื่นใบหน้าที่จริงจังเข้ามาหาฉันจนสามารถสัมผัสถึงลมหายใจที่เหม็นคาวเลือดได้ เขายื่นมือมาจิกเส้นผมของฉันเป็นกระจุกแล้วดึงขึ้นทำให้เจ็บหนังศีรษะไปหมด

 

"อย่าเสือกเรื่องชาวบ้าน"

 

ฉัวะ!!!

 

............................................

 

ท่านประธานหนุ่มหล่อซึ่งเป็นที่หมายปองของพนักงานสาว ๆ ทั้งบริษัทเดินเข้ามาในตึกสำนักงาน พนักงานทุกคนต้องยกมือขึ้นไหว้เขา เพราะด้วยความเก่งกาจและไร้ที่ติของเขารวมถึงการบริหารที่ได้ใจพนักงานทั้งบริษัทจึงทำให้ทุกคนสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวไม่ต่างจากเป็นแม่ทัพในสงครามสามก๊ก ซึ่งตัวละครที่เขาจะสามารถเป็นได้ก็น่าจะเป็นโจโฉหรือไม่ก็เล่าปี่...แน่ล่ะ คนเรามักมีสองด้านเสมอ แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะแสดงส่วนไหนให้เขาเห็นก็แค่นั้น

ชายหนุ่มในชุดสูทพอดีตัวหยุดอยู่ที่ยามป้อมที่พนมมือไหว้เพื่อเป็นการทักทายและแสดงความเคารพ ดวงตาที่ผู้รักษาความปลอดภัยหนึ่งเดียวของบริษัมได้มองมายังชายหนุ่มจึงทำให้คำถามในใจของท่านประธานได้ประจ่าง

"อย่างนั้นเองเหรอ?" เขาพูดขึ้น "งั้นก็จัดหาเลขาส่วนตัวให้ผมอีกคนก็แล้วกัน คราวนี้ขอแบบฉลาด ๆ หน่อยนะ"

"ได้ค่ะท่าน...แต่ว่าน้องบัวมีปัญหาอะไรเหรอคะ?" คุณจินตนา หัวหน้าฝ่ายบุคคลและทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องมารายงานเรื่องคนที่มายื่นใบสมัครในทุก ๆ เช้า แต่วันนี้ท่านประธานมีคำสั่ง 'พิเศษ' อีกแล้ว

คุณจินตนาถอนหายใจเบา ๆ อย่างใจเย็นและพยายามเก็บอาการไว้ให้ได้มากที่สุด แม้ว่าเธออยากจะถามมากขนาดไหน แต่ด้วยสายตาของท่านประธานและยามป้อมที่มองมานั้นสามารถแทนคำพูดได้

"รับทราบค่ะท่าน ดิฉันจะจัดการให้ค่ะ" เธอก้มหน้าก่อนจะเดินจากไปเพื่อจัดการสิ่งที่เธอได้เอ่ยวาจาไปเมื่อกี้

 

ตอนนี้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง

 

"เธอแพ้งั้นเหรอ?" ท่านปนะธานถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ฟังดูไร้จิตวิญญาณ

"ครับท่าน" ยามป้อมตอบ "นางแพ้"

"งั้นช่างมัน เงินก้อนต่อไปจะถูกโอนเข้าไปในบัญชีของนาย" ท่านประธานเอ่ยก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟท์และพาเข้าขึ้นไปบนชั้นสามสิบ

 

'เรื่องส่วนตัวของใครก็ไม่อยากให้เข้ามายุ่ง เพราะฉะนั้น...อย่าเสือก!!'

____________________________________________________

To Be Continue CHAPTER 2