อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย - CHAPTER 5 ล่าตัวตาย โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี

รายละเอียด

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา

ผู้แต่ง

นิวไม่จิ๋ว

เรื่องย่อ

เลขาสาวดวงซวยลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บริษัทจึงลากเพื่อนไปเอาในเวลาดึกดื่นโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นคืนสุดท้ายของพวกหล่อน เมื่อพบกับความลับอันดำมืดบางอย่างของบริษัทนี้

สารบัญ

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 1 เล่นซ่อนหา,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 2 ดิ้งดอง,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 3 พรมสีชาด,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 4 กฎแปลก,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 5 ล่าตัวตาย,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 6 ลิฟต์ทะลุตาย,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 7 ยื้อชีพก่อนรุ่งสาง,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 8 ไซต์กลืนวิญญาณ,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 9 มิติล่ามรณะ,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10 สิ้นหนทางเดิน,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.1 ตัวเลือกที่ 1 : ดิ้นให้หลุด,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.2 ตัวเลือกที่ 2 : เชื่อมั่นในตัวชานนท์,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.3 ตัวเลือกที่ 1 : ขอกาญจนาแต่งงาน,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.4 ตัวเลือกที่ 2 : ขอบัวแต่งงาน

เนื้อหา

CHAPTER 5 ล่าตัวตาย

ก่อนที่ฉันจะตายโดยฝีมือของภารโรงโรคจิต ความทรงจำสุดแสนเลวร้ายที่ถูกเก็บอยู่ในส่วนลึกสุดห้วงซึ่งถูกปิดผนึกได้ฉายภาพให้เห็นเหตุการณ์หลังจากรอดชีวิตจากสวนสัตว์ประหลาดแห่งนั้นได้อย่างชัดเจน หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นฉันได้สัญญากับตัวเองด้วยความสัตย์จริงว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับงานประหลาด ๆ นั่นอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ด้วยสถานภาพทางการเงินที่ตัวเองมีในตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรกับขอทาน (แค่อุปมาอุปมัย)

แน่นอนว่าฉันว่างงานมาได้สักพัก หลังจากเอาเงินเดือนที่ได้มาจากการทำงานก่อนหน้ามาเช่าคอนโดอยู่กับเพื่อนสาวคนสนิทอย่าง ‘มิลิน’

เธอคือเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยประถม บอกได้เลยว่าเมื่อก่อนเราตัวติดกันไม่ต่างจากปาท่องโก๋ พอถึงช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ความต้องการของเราสองคนนั้นแตกต่างกัน จึงทำให้แยกสายอาชีพเรียนซึ่งแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวตามที่ตัวเองต้องการ มิลินเรียนนิเทศศาสตร์ ส่วนฉันเรียนบัญชี ความแตกต่างของสังคมจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ก่อนจะกลับมาเจอกันอีกครั้งโดยบังเอิญในเวลาต่อมา

มิลินทำงานเป็นกราฟิกให้กับบริษัทเอเจนซีชื่อดังและรับงานฟรีแลนซ์เป็นจ๊อบเสริมประปรายเพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกว่างงานจนเกินไป อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหารายได้มาช่วยจ่ายค่าห้อง รวมถึงค่าน้ำค่าไฟ แน่นอนว่าเธอเคยอยู่กับพ่อแม่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนเหล่านั้น แม้ลึก ๆ แล้วก็รู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อยก็ตาม เพราะในความเป็นจริงเธอก็อยากย้ายออกไปตั้งตัวด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่ด้วยความเป็นลูกคนเดียว ทายาทคนสุดท้ายคนเดียวของตระกูลที่จะสืบทอดมรดกต่าง ๆ ที่พวกท่านเหลือไว้ให้มีเพียงมิลินแต่เพียงผู้เดียว แม้ไม่มีพินัยกรรมก็ยังเห็นได้ชัด

พอฉันทักไปหาเธอเพื่อเสนอเรื่องแชร์คอนโดอยู่อาศัย เจ้าตัวก็สนองให้อย่างไม่ลังเลพร้อมแบกข้าวของที่จำเป็นมาอาศัยอยู่ด้วยกัน จึงกลายเป็นบททดสอบใหญ่สำหรับสาวแกร่งอย่างเธอเลยทีเดียวว่าจะสามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเองและสามารถสยายปีกเหินฟ้าไปให้สูงได้โดยไม่มีพ่อแม่คอยพยุงได้หรือไม่

แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายที่ต้องเป็นห่วงต้องเป็นฉันมากกว่า แน่นอนว่าทั้งแต่หนีออกมาจากงานดูแลสวนสัตว์นั้นก็ว่างงานมาโดยตลอด วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอกจากกิน นอน ดูหนังหรือซีรีส์ และออกไปเที่ยวเล่นลั้ลลาในยามราตรีตามสไตล์สาวโสดจนกระทั่งเห็นตัวเลขหลักร้อยเหลืออยู่ในบัญชีธนาคาร

“ฉิบ…หาย” ฉันเม้มปากก่อนกะพริบตาถี่ ๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองในขณะที่กำลังจะจ่ายค่าเครื่องดื่มสุดหรูในร้านกาแฟสตาร์บักส์ แน่นอนว่าตัวเลขในบัญชีไม่เพียงพอสำหรับจ่าย แต่ยังโชคดีที่เหลือเงินสดในกระเป๋าสตางค์ อุณหภูมิในร่างกายร้อนผ่าวขึ้นทันตาเห็น และเย็นวาบไปทั้งสันหลังในเวลาเดียวกัน

“ทั้งหมด 150 บาทค่ะ” พนักงานสาวเอ่ยเสียงใสตอกย้ำตัวเลขในบัญชีของฉันผู้ซึ่งเป็นลูกค้าเหมือนกับนักล่ากำลังตอกลิ่มทะลุหัวใจแวมไพร์ สายตาของหล่อนหรี่ลงเล็กน้อย เลื่อนดวงตามองเรียวมือขาวอันสั่นเทาราวกับสามารถอ่านใจออกทะลุปรุโปร่ง แต่เมื่อเห็นธนบัตรสีเทาปรากฏออกมาจากกระเป๋าสตางค์ใบหรู จึงคลายความกดดันลงพลางคิดในใจว่า

‘อีนี่มันถังแตกนี่หว่า แล้วยังมีหน้ามากินของแพง สุดท้ายก็ขี้ออกมาอย่างไร้ค่าเหมือนกันแหละวะ’ แม้ว่าหล่อนคิดในใจ แต่ภายนอกกลับยิ้มอย่างสดใส

“เปลี่ยนเป็นรับเงินสดแทนการชำระแบบโอนคิวอาร์โค้ดนะคะ เงินทอน 850 บาทค่า เดี๋ยวรอรับเครื่องดื่มทางขวามือได้เลยนะคะ” พนักงานสาวให้เงินทอนพร้อมใบเสร็จรับเงิน และผายมือไปยังฝั่งซ้ายมือของตัวเอง

"ขอบคุณค่ะ" ฉันยิ้มเหยเกก่อนปลีกตัวออกไปรอเครื่องดื่มช็อกโกแลตเย็นปั่น ใส่น้ำเชื่อมสองปั๊ม ราดคาราเมลฉ่ำ ๆ โรยผงโอวัลติน พร้อมเสียบคิทแคทแท่งและวิปครีมแน่น ๆ ...ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานภาพทางการเงินของฉันเลยสักนิด เมื่อมันถูกเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า ความสวยงามถูกตกแต่งอย่างประณีตทำให้ฉันรู้สึกตัวลีบเล็กลงด้วยความผิดบาปในตัวเองอย่างเห็นได้ชัด เครื่องดื่มแก้วนี้มันสูงส่งยิ่งกว่าฐานะของฉันเสียอีก ราวกับว่าฉันไม่สามารถดื่มมันได้แม้ว่าเป็นคนสั่งและจ่ายเงินไปแล้ว จึงกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะประกบริมฝีปากไปยังหลอด

…………….

สุดท้ายฉันแทบเลียทุกหยดเพื่อไม่ให้สูญเปล่าจนแก้วสะอาดแทบไม่จำเป็นต้องล้างน้ำพร้อมนำกลับมายังห้องพัก มิลินกำลังหารายได้ด้วยการแต่งรูปงานของลูกค้าอย่างขะมักเขม้น ผิดกับฉันที่วัน ๆ เอาแต่ผลาญเงิน

ฉันตัดสินใจเปิดแล็ปท็อปพร้อมเข้าเว็บไซต์หางาน ด้วยทักษะการค้นหาอันรวดเร็วแบบชนิดหาจับได้ยากมากจนเจองานที่ตรงกับสายเรียนและค่าตอบแทนในระดับที่พอรับได้จนถึงดีพอสมควร แน่นอนว่าฉันมีเรซูเมข้อมูลอัปเดตปัจจุบันเตรียมพร้อมสำหรับการนี้อยู่แล้ว จัดการส่งไปทางอีเมลของฝ่ายบุคคลของบริษัทต่าง ๆ กว่าสิบแห่ง ความเร็วในการรัวแป้นพิมพ์ของฉันนั้นอยู่ในระดับขั้นปีศาจ บอกได้เลยว่าไม่มีใครหน้าไหนเอาชนะความเร็วของฉันได้แม้แต่คนเดียว นั่นคือหนึ่งในพรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด อีกทั้งฉันยังระบุมันเอาไว้ในเอกสารประกอบการสมัครงาน เผื่อว่าบริษัทไหนจะเห็นความสำคัญของความสามารถของฉันอย่างแน่นอน

“มีงานอะไรให้ฉันพอทำได้บ้างไหม มิลิน?” ฉันหงายท้องนอนบนเตียงพลางถามเพื่อนสนิทอย่างเบื่อหน่าย ยามร้อนเงินมักชวนให้ใจร้อนไปด้วย ช่างไม่อภิรมย์สักนิด ในใจแอบอิจฉาเพื่อนสนิทที่ทุกวินาทีผ่านไปถวายให้กับงานอย่างคุ้มค่า

“งานที่กูทำอยู่มึงทำไม่ไหวหรอก” มิลินหันกลับมาพร้อมดวงตาอันแดงก่ำเนื่องจากจ้องมองมอนิเตอร์มากเกินไปโดยไม่ใส่แว่นกรองแสง “แค่ใบปริญญาของมึงกับกูก็ต่างสายงานกันแล้วปะวะ ไปหางานอย่างอื่นทำเถอะ นักบัญชีเก่ง ๆ อย่างมึงน่าจะรับทำบัญชีให้คนนั้นคนนี้ก็ได้นี่”

“ก็กูไม่ค่อยไว้ใจคนเท่าไหร่นี่ แถมไม่รู้ด้วยว่าต้องคิดเรตราคากันยังไง ถ้าทำออกมาไม่ดีแล้วเขาจะว่าไหม จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า จะเอาไปรีวิวแย่จนดับอนาคตในสายงานเลยหรือไม่ก็ไม่รู้ ฉันกลัวความผิดพลาดพวกนั้นที่สุด! กลัว! กลัว! กลัว! ไปหมด” ฉันขยุ้มกลุ่มผมจนกระเซอะกระเซิง แววมีรายได้ของฉันนั้นช่างมืดมนเสียจริง แต่หากมองในทางกลับกัน งานดูแลสวนสัตว์ในตอนนั้นถือว่าได้รับเงินค่าจ้างดี ซึ่งมันต้องแลกกับการเสี่ยงอันตรายรายล้อมทุกย่างก้าว ให้ความรู้สึกเหมือนชีวิตถูกขึงไว้บนเส้นด้าย เมื่อนึกถึงคืนนั้นทีไร จิตวิญญาณกลับสั่นไหวราวกับต้องการหลุดจากกายหยาบให้ได้ หลังจากเหตุการณ์คืนสุดแสนวิปริตยังคงหลอกหลอนแม้กระทั่งในความฝัน และฉันคอยภาวนาให้เจองานปกติธรรมดามาตลอด ต้องสารภาพอย่างหนึ่งว่าไม่เคยคิดจะจริงจังในการหางานทำเท่าวินาทีนี้จริง ๆ

“มึงก็เอาแต่กลัวอยู่แบบนี้ไงถึงไม่ยอมทำอะไรสักที แล้วนี่อยู่ดี ๆ ก็ส่งเรซูเมไปสมัครที่นั่นที่นี่เพราะเริ่มร้อนเงินแล้วหรือไง?” มิลินถามโดยไม่หันมามองราวกับว่าหล่อนหยั่งรู้ทะลุปรุโปร่งก่อนถอนใจยาว “ก็แล้วแต่นะ ถ้าอยากเริ่มเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ตอนนี้ก็ยังดี เผื่อมันจะช่วยทุ่นแรงในอนาคตไปได้เยอะ ถ้าสมมติ….”

“เดี๋ยว!!” ฉันลุกพรวดขึ้นทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอมือถือ ทำเอาตาลุกวาวเป็นประกายเลยทีเดียว ภายในใจแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีการตอบรับได้รวดเร็วขนาดนี้ ฉันรีบกดเข้าไปในแอปพลิเคชันอีเมล พร้อมแตะจดหมายที่เพิ่งถูกส่งมาเมื่อกี้ด้วยหัวใจเต้นระทึกโครมครามแทบทะลุออกมาจากอก “มาแล้ว! มาแล้ว! มาแล้ว!”

“อะไรมาของมึงวะ?” มิลินถอนหายใจกับความไม่แน่นอนทางอารมณ์ของฉัน

แน่ล่ะ ฉันไม่สน

เพราะฉันกำลังจะได้งานใหม่!!

หัวข้ออีเมล : สมัครงาน

“สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่สนใจส่งเรซูเมมาสมัครงานกับทางบริษัทของเรา แต่ในขณะนี้ ตำแหน่งที่ต้องการเต็มแล้วค่ะ ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้”

เรื่องสยองไม่กี่บรรทัดคือเรื่องจริงผ่านน้ำหมึกของแท้ ความหวังดับวูบราวกับนางฟ้าตกสวรรค์สู่นรกภูมิ ความฝันอันสุขล้นถูกเหยียบย่ำจนจมดินด้วยความจริงอันโหดร้าย จังหวะหัวใจของฉันแทบหยุดลงในครานัั้น จิตวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง

“เป็นไรวะ?” มิลินหันมามองเมื่อไม่รับรู้ถึงปฏิกิริยาใด ๆ จากเพื่อนสาว ในใจของหล่อนเองก็หวังอยากให้เพื่อนมีงานทำ เพื่อจะได้มีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น รวมถึงรายได้ “ได้งานที่เงินเดือนสูงลิ่วจนอึ้งไม่พูดไม่จากันเลยหรือไง?”

หญิงสาวผมยาวสีดำชะงักเมื่อเห็นสีหน้าอันเรียบเฉยของฉันในร่างกายแข็งทื่อราวกับหินแต่กลับอ่อนแรงนั่งอยู่บนเตียง ในมือถือโทรศัพท์เครื่องหวง จากนั้นมันก็ตกอยู่ข้างตัว ซึ่งปกติฉันไม่เคยปล่อยให้มันหลุดจากมือแบบนี้ยกเว้นเวลานอน

แต่นี่มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่ปกติยังไงล่ะ!!

ซึ่งมิลินดูออก

“มึงส่งไปกี่ที่ละเพื่อน?” เธอถามด้วยน้ำเสียงเรียบ

“ประมาณยี่สิบกว่าที่…” หญิงสาวชะงักเมื่อได้ยินคำตอบ จึงชักเริ่มสงสารในความพยายาม

“แล้วตอบกลับมากี่ที่?”

“ที่เดียว…”

“แล้วเป็นไง…?”

“ถูกปฏิเสธ”

“กูไม่รู้ว่ามึงส่งไปยังไงนะ แต่กูคิดว่าถูกปฏิเสธกลับมาแค่ครั้งเดียวมันไม่ได้คอขาดบาดตายขนาดนั้นหรอก” มิลินพยายามคิดหาคำพูดปลอบใจ แต่ในฐานะสาวอินโทรเวิร์ตของเธอจึงทำได้ออกมาไม่ดีเท่าไหร่ “ยังมีอีกหลายที่ยังอาจยอมรับและเห็นศักยภาพหรือสามารถมอบที่ยืนในบริษัทให้ก็ได้ ไม่ต้องไปคิดมากหรอก…”

“เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ เดี๋ยวก่อนหยุด!! อย่าเพิ่งพูดอะไร!!” ฉันยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามอีกฝ่ายทันควันพร้อมดวงตาเป็นประกายราวกับสุนัขเห็นกระดูกของโปรดด้วยความดีใจ ไม่คิดว่าผลลัพธ์จะออกมาได้รวดเร็วขนาดนี้

**ข้อความในเมล

เรียนคุณ กมลาภา (คุณบัว)

ทางเราได้รับเรซูเมเป็นที่เรียบร้อยและได้เปิดอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนพร้อมพิจารณาให้คุณเข้ามาร่วมสัมภาษณ์ในวันที่ 13 กันยายน เวลาสิบโมงเช้า ณ ตึกบริษัทยอนอู ชั้นที่ 5 พร้อมค่าตอบแทนเป็นเงินจำนวนหนึ่งพันบาท หากคุณกมลาภาต้องการเข้าร่วมให้ส่งอีเมลตอบกลับมาทางอีเมลนี้จะยินดีเป็นอย่างยิ่ง

หวังว่าจะได้ร่วมงานกันในสักวันนะครับ

Best Regards

ประธานชานนท์

บริษัท ยอนอู จำกัด (มหาชน)

เพียงสิ้นประโยคก็ทำเอาฉันแทบควบคุมตัวเองให้แหกปากกรีดร้องไม่อยู่ ด้วยความที่มิลินไม่ต้องการให้ทั้งชั้นต้องอบอวลไปด้วยมลพิษทางเสียง จึงนำหมอนหนุนศีรษะใบใหญ่ฟาดเข้าที่ใบหน้าของฉันอย่างแรงทำให้จมูกแทบยุบลงไป เม็ดฝุ่นจำนวนมากคละคลุ้งไปบนอากาศ ใบหน้าของหล่อนนิ่งเรียบราวกับหุ่นยนต์ จึงไม่สามารถระบุได้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่เธอไม่เพียงฟาดใบหน้าของฉันอย่างเดียว แต่กลับกดหมอนลงบนใบหน้าตรึงไว้กับเตียงด้วยพละกำลังอันมหาศาล

“อื้อ! อื้อ! อื้อ!” ฉันพยายามตะเกียกตะกาย ดิ้นทุรนทุรายไขว่คว้าหาอิสรภาพ แต่กลับได้เพียงอากาศอันว่างเปล่า ออกซิเจนถูกกักจากภายนอกจนไม่สามารถแหวกว่ายเข้ามาถึงรูจมูกได้แม้แต่นิดเดียว

“อย่าคิดจะแหกปากแล้วใจเย็น ๆ” มิลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเรียบเย็นพร้อมทั้งสายตาอันคมกริบน่าสยดสยอง “วันก่อนเราก็เพิ่งโดนข้างห้องร้องเรียนเรื่องเสียงดังของหล่อนอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? ถ้าขืนโดนร้องเรียนอีกก็มีสิทธิ์โดนไล่ออกจากห้องนี้ที่อุตส่าห์ฝ่าฟันต่อสู้กับเหล่าคู่แข่งเลือดตาแทบกระเด็น”

เมื่อฉันใจเย็นลงแล้วจึงยกมือขึ้นเป็นดั่งสัญญาณก่อนตบลงบนเตียงเป็นจำนวนสามครั้งเพื่อแสดงให้เห็นว่ายอมแพ้แล้ว มิลินเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจยาวและคลายกำลังจากหมอนออก พบใบหน้าอันซีดเผือดดูทรมานและแดงก่ำอย่างน่าอนาถใจ ฉันหายใจยาวหลายสิบครั้งเพื่อลำเลียงเหล่าออกซิเจนเข้าปอดให้ได้มากที่สุดจนพ้นขีดอันตราย

“ถ้าคิดจะเสียงดังอีก ฉันฆ่าเธอตายแน่ “มิลินทำเสียงขู่พร้อมใบหน้าสวยเรียวมนได้รูป ดวงตาเป็นประกายดั่งดวงแก้วมณี” โดนร้องเรียนมาตั้งหลายครั้งแล้วไม่รู้จักจำ”

“ก็เพราะคนพวกนั้นมันขี้เสือกนี่ อยู่ดีไม่ว่าดีอยากเปิดวอร์ โถ ๆ คนว่างงานก็แบบนี้ล่ะนะ” ฉันยักไหล่อย่างดูถูกโดยไม่หันกลับมาดูสถานะปัจจุบันของตัวเอง

“มึงเองก็เป็นพวกว่างงานเหมือนกันค่า!!” เพื่อนสาวกอดอกพร้อมเอ่ยสวนกลับด้วยใบหน้าเรียบนิ่งราวกับเจ้าหญิงหิมะ

“ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว!!” ฉันแสยะยิ้มอย่างถือไพ่เหนือกว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป กูจะมีงานทำ!!”

……………..

วันรุ่งขึ้น

อาจเป็นเช้าที่เหมือนกับวันก่อน ๆ สำหรับฉัน นอกจากต้องตื่นเช้าและมีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้วฉันยังหลับอุตุอยู่บนเตียง ส่งเสียงกรน “คร่อกฟี้!!~” ส่วนมิลินยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานส่งลูกค้าอย่างขะมักเขม้นพลางสวมหูฟังครอบทั้งหูเพื่อย้ายตัวเองไปสู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งนั่นคือหนึ่งในวิธีการทำสมาธิของเธอ ในมือข้างขวาถือพอดบุหรี่ไฟฟ้าแท่งสีดำแบบใช้แล้วทิ้งพลางเป่าควันออกมาโขมงทั่วห้อง กลิ่นหวานหอมของผลไม้ลอยมาเตะจมูกของฉันทำให้เป็นดั่งแขนอันมองไม่เห็นฉุดกระชากให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงจากภวังค์

“ฟุดฟิด ๆ กลิ่นหอมจัง” ฉันยิ้มอย่างหลงเสน่ห์ในกลิ่นอันรัญจวนฝัน

“ก็หอมสิ เป็นกลิ่นน้ำยาพอดผสมกับกลิ่นปากกูนี่” มิลินโบกแท่งดูดไปมาบนอากาศ “วันนี้ไม่ไปสัมภาษณ์งานแล้วเหรอ? นี่มันไก่โห่แล้วนะ”

เมื่อได้ยินคำจากเพื่อนสาวจึงหันไปมองนาฬิกาบนหน้าจอมือถือ จึงเห็นได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงเช้า!! ประธานชานนท์นัดฉันไว้เวลาสิบโมงเช้า นั่นหมายความว่าไม่มีเวลาให้โอ้เอ้แล้ว!!

“ไม่สนแล้วโว้ย!!” ฉันจัดการปลดเปลื้องเรียวกาย ณ ตรงนั้นก่อนพุ่งเข้าไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบชุดที่คิดว่าใส่แล้วดูมีกาลเทศะมากที่สุดอย่างเสื้อเชิ้ตสีขาว กระโปรงทรงเอสีดำเข้าชุดกับเสื้อคลุมเบลเซอร์สีเดียวกันมาสวมโดยไม่อาบน้ำ แต่ฉันกลับหารองเท้าคัชชูไม่เจอ!! “มึง! กูขอยืมรองเท้าคัชชูหน่อยสิ!!” ฉันวิ่งวนหารองเท้าเจ้าปัญหารอบห้องแต่ก็ไม่เจอสักที แน่นอนว่าไม่มีคู่สำรองของตัวเองแม้แต่คู่เดียว

“คิดว่ากราฟิกอย่างกูจำเป็นต้องใช้ของแบบนั้นด้วยเหรอ?” มิลินพูดเสียงเขียวใส่ พร้อมส่งสายตาอำมหิตของหญิงแท้อย่างฉันไม่อยากแตะต้องเรื่องนี้ในบทสนทนา แต่มิรู้ได้ว่าเพียงเรื่องรองเท้าคัชชูคู่เดียวถึงกับทำให้โกรธขนาดนั้นด้วย “ไม่มีหรอกของพรรค์นั้น ถ้าไม่มีก็ซื้อใหม่ซะ”

“แต่เงินกูไม่พอแล้วนะ!!” ฉันโอดครวญ “ถ้ากูไม่ได้งานนี้มีหวังต้องไปนอนขอทานข้างสะพานลอยตลอดชีวิตแน่ ๆ”

ฉันเริ่มสติแตกอีกครั้ง พลางนึกจินตนาการเรื่องราวความเป็นไปในอนาคตอันใกล้หากไม่ได้งานทำ ในคราวนี้ชีวิตของฉันคงต้องดิ่งพสุธาสู่เหวนรกภูมิอย่างแน่นอน

“โอ๊ย!! พอสักทีเถอะน่าอีนกกระจิบ!!” มิลินหมดความอดทนพร้อมพ่นคำสบถราวกับเปลวเพลิง “ถ้าแก้ปัญหาแค่นี้ด้วยตัวเองไม่ได้ขนาดนั้นก็ไปนอนใต้สะพานให้พวกลุง ๆ ขอทานข่มขืนซะเลย!!”

….ว้าว….ไม่เคยเห็นเพื่อนสาวปากแจ๋วขนาดนี้มาก่อน

“ปะ…ไปก็ได้…” ฉันตัดสินใจสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวซึ่งไม่เข้ากับการแต่งตัวโดยรวมเลยสักนิด และเลือกนั่งวินมอเตอร์ไซค์ฝ่าแดดฝ่าลมไปจนถึงบริษัทยอนอู โชคดีที่ผมเผ้าไม่ได้กระเซอะกระเซิงมากนัก แต่ใบหน้ากลับแดงก่ำเพราะปะทะแดดนานเกินไป บอกได้เลยว่าพลานุภาพของแดดประเทศไทยนั้นสามารถเผาร่างกายมนุษย์ได้ชั่วพริบตา (นี่ก็คำอุปมาอุปมัย) จนเครื่องสำอางก็มิอาจต้านทานได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันรู้สึกถึงผิวบางส่วนแสบร้อน แน่ล่ะ…การออกนอกบ้านช่วงหน้าร้อนระอุของประเทศเราโดยไม่ทาครีมกันแดดนั่นไม่ใช่ความคิดเข้าท่าสักเท่าไหร่ ซึ่งฉันรีบกุลีกุจอมากเกินไปจนลืมทา นับเป็นความผิดอย่างมหันต์สำหรับหญิงสาวผู้ดูแลผิวกายยิ่งกว่าทำความสะอาดห้องน้ำ

"น้องเนี่ยใจกล้ามากเลยนะครับที่นั่งมอเตอร์ไซค์ในวันที่แดดแรงขนาดนี้" พี่วินฯ เอ่ยขึ้นในขณะจอดรอสัญญาณไฟจราจร

"...." ฉันพยายามกลั่นกรองคำพูดที่ดูดีที่สุดออกมา "คือว่า..ว้ายยย!!"

ก่อนจะได้เอ่ยอะไรออกมา สัญญาณไฟสีเขียวดันมาเสียก่อน จึงส่งผลให้ฉันเกือบหงายหลังหัวฟาดพื้นถนนร้อนราวกับกระทะทองแดงดับอนาถกลายเป็นผี จักรยานยนต์พุ่งกระชากทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วจนเกือบทิ้งจิตวิญญาณไว้ หากไม่จับตัวรถไว้ให้มั่นคงไม่รอดอย่างแน่นอน

เพียงชั่วอึดใจก็ถึงตึกสำนักงานบริษัทยอนอู ป้ายโลโก้บริษัทสีขาวคลีนนวลตาขนาดใหญ่ติดอยู่คงไม่ทำให้หลงทางได้ง่าย ฉันเดินก้าวฉับ ๆ เข้าไปในตัวสำนักงาน ผ่าน รปภ. หน้าเข้มแต่ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่แล้วจู่ ๆ ก็ถูกดักด้วยกระบองรักษาความปลอดภัยจากฝีมือใครบางคน เขาเป็น รปภ. หุ่นล่ำ ใบหน้าดูแก่ชรา ดวงตาเป็นประกายสีแดงราวกับอสูร รอยยิ้มแสยะออกไม่ต่างจากสัตว์ป่าในชุดยามสีฟ้าสว่างและกางเกงขายาวสีน้ำเงินเข้ม เขาพินิจมองฉันก่อนเอ่ยคำถาม

"คุณไม่มีบัตรพนักงาน แต่ไม่อยู่ในรายชื่อของคนที่จะมาคุยงานในนี้ รบกวนเชิญออกไปด้วยครับ ที่นี่ยังไม่ต้อนรับคุณ" ยามชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงพลัง ทำให้ผู้คนที่เดินไปเดินมาในนั้นหันมามองเป็นตาเดียว

"ฉะ...ฉันมาสมัครงาน เออ...สัมภาษณ์งานกับประธานชานนท์ค่ะ คะ...คุณกมลาภา น่าจะอยู่ในรายชื่อนะคะ" เสียงของฉันสั่นคลอ รู้สึกถึงออร่าอำมหิตพวยพุ่งออกมาจากร่างของอีกฝ่าย แรงกดดันอันมหาศาลแทบทำเอาพะอืดพะอมและปั่นป่วนในช่องท้องราวกับผีเสื้อบินว่อนวุ่นวาย

"อย่างนั้นเหรอครับ อืม..." ยามชราหยิบคลิปบอร์ดขึ้นมาพลิกกระดาษไล่รายชื่อด้วยสายตาอันเฉียบคม

ในระหว่างนั้นฉันสังเกตป้ายชื่อที่ติดอยู่บนหน้าอก เขาไม่ได้ปักชื่อและนามสกุลแต่อย่างใด ปักแค่ชื่อเรียกสั้น ๆ ว่า 'ยามป้อม'

"อ้า! ผมเจอแล้วครับ คุณกมลาภา ผู้สัมภาษณ์หมายเลขสิบของวันนี้สินะครับ ถ้าอย่างนั้นรบกวนแลกบัตรประชาชนด้วยครับ และรบกวนเซ็นตรงนี้ด้วยนะครับ" ยามป้อมยื่นซองเอกสารสีนำตาลตัดช่องให้เห็นกระดาษขาวภายใน ฉันคิดว่าเป็นเพียงลงชื่อเท่านั้นจึงเซ็นไปโดยไม่คิดอะไร "ขอบพระคุณอย่างสูงครับ"

เมื่อแลกบัตรเป็นที่เรียบร้อย ฉันจึงรีบขึ้นไปยังชั้น 5 ซึ่งเป็นสถานที่นัดสัมภาษณ์ นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาเก้าโมงห้าสิบนาที ฉันจำเป็นต้องไปให้ทันเวลาเพื่อประธานชานนท์จะได้เห็นว่าฉันเป็นคนตรงเวลาขนาดไหน ลิฟต์ตัวกลางเปิดพอดี ฉันจึงรีบซอยเท้าให้ถี่ขึ้นเพื่อไปให้ทัน แต่อนิจจา ไม่มีใครอยู่ในตู้โดยสาร จึงไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือให้กดปุ่มหยุดประตูรอก่อนได้ ฉันพยายามยื่นมือไปให้สุดแขนเพื่อสอดเข้าไประหว่างประตูเหล็กหนา เวลารอบข้างค่อย ๆ หมุนช้าลง ดวงตาของฉันเห็นสิ่งรอบข้างค่อย ๆ ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกได้ว่าตัวเองเคลื่อนที่เร็วขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่...

ผลุบ....

ประตูลิฟต์ปิดลงเร็วกว่า ทำให้ต้องผิดหวังในความพยายามของตัวเอง

ฉันรีบกดปุ่มเรียกตู้โดยสารรัว ๆ แม้จะรู้ว่าการกดหนึ่งครั้งเสียค่าไฟกี่บาท นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉันสักหน่อย เพราะไม่ได้เป็นคนจ่ายยังไงล่ะ!!

ผ่านไปห้านาที ตัวเลขบนหน้าปัดยังหยุดอยู่ที่ชั้น 100 ไม่มีท่าทีขยับเลยแม้แต่น้อย ส่วนหน้าปัดนาฬิกาชี้ไปยังเลขสิบเอ็ด เพียงห้านาทีก็จะถึงเวลาแล้ว หากรอให้ตู้โดยสารเฮงซวยนี่มาถึงคงถูกมองว่าไม่ตรงต่อเวลาแล้วถูกไล่ออกตั้งแต่ยังไม่เริ่มงาน ฉันจึงตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดหนีไฟไปชั้นห้า ไม่รู้ว่าตัวเองเอาพละกำลังและพลังใจมาจากไหนถึงสามารถปีนขึ้นไปถึงชั้น 5 อย่างรวดเร็วด้วยเวลาเพียง 1 นาที หยดเหงื่ออาบแผ่นหลังและรักแร้จนเสื้อเชิ้ตเปียกแฉะเปรอะเปื้อนแนบเนื้อ แต่ยังโชคดีที่มีเสื้อคลุมเบลเซอร์ช่วยปิดไว้ แม้แต่รอยน้ำเหงื่อและกลิ่นก็มิอาจหลุดรอดออกมาได้

"แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก..." ฉันหอบอย่างเหนื่อยอ่อนหลังจากที่อะดรีนาลินเริ่มจางลงจนต้องก้มมองพื้น พยายามหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดให้ได้มากที่สุด จู่ ๆ เท้าเรียวขาวสวยในรองเท้าคัชชูหนังยี่ห้อแบรนด์หรูเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน เมื่อเงยหน้าขึ้นพบกับหญิงสาวในชุดเบลเซอร์สีดำคล้ายตัวเอง แต่เธอตัดผมสั้นเพียงประบ่า ใบหน้าตกแต่งด้วยเครื่องสำอางบาง ๆ ดูควรสวย นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายเรียบนิ่งแต่เฉียบคมจับจ้องมายังฉัน ในมือถือคลิปบอร์ดสีดำคุมโทน

"คุณกมลาภา ผู้สัมภาษณ์หมายเลข 10 สินะคะ" เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "ดิฉันชื่อ 'จินตนา' ฝ่ายบุคคลของบริษัทนี้ จะทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินในการสัมภาษณ์งานในครั้งนี้ค่ะ"

"ขะ...ขอบคุณค่ะ ว่าแต่เริ่มสัมภาษณ์เลยไหมคะ?" ฉันถามก่อนพยายามยืดตัวให้ตรงพร้อมเอ่ยด้วยความมั่นใจ "ดิฉันพร้อมแล้วค่ะ"

"รู้สึกดีที่ได้ยินแบบนี้จังเลยค่ะ แต่การสัมภาษณ์ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่พบกับยามป้อมแล้วล่ะค่ะ"

ฉันชะงักในทันทีเมื่อรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า อาการหักมุมนี้มันอย่างไรกัน...?

"การเข้าใจความขัดแย้งและใช้คำพูดเปลี่ยนจากเรื่องเล็กให้จบเรื่องได้ง่าย ๆ จึงผ่านยามป้อมมาได้ นั่นคือการสัมภาษณ์รอบที่หนึ่งค่ะ" คุณจินตนาเอ่ยพลางพลิกกระดาษ "การสัมภาษณ์รอบที่สองคือการตรงต่อเวลา ท่านประธานชานนท์ได้ระบุเวลาไว้อย่างชัดเจนในอีเมลคือเวลาสิบโมงเช้า เราทำการหยุดลิฟต์ไว้ที่ชั้น 100 เพื่อจะดูว่าเธอเลือกจะยืนรอให้ลิฟต์ลงมาด้วยความร้อนรนหรือดิ้นรนหาทางแก้ไข ซึ่งดิฉันให้คะแนนเต็มทั้งสองหัวข้อนี้ค่ะ"

ถึงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยฉันเองก็รู้สึกกลายเป็นคนพิเศษขึ้นมาทันที

"วันนี้มีผู้เข้าสมัครสัมภาษณ์จำนวน 10 คน ไม่ผ่านไปแล้ว 7 คน" หญิงสาวเอ่ยน้ำเสียงเรียบดังเดิม "ตอนนี้อีก 2 คนก่อนหน้ากำลังเข้าสัมภาษณ์รอบสุดท้ายอยู่ค่ะ แต่ตอนนี้เชิญคุณกมลาภาเข้าไปสัมภาษณ์พร้อมกันได้เลยนะคะ"

"เอ๋...?" ฉันเอียงศีรษะไปสิบองศาด้วยความแปลกใจในประโยคสนทนา "ไปพร้อมกันเลยจะดีเหรอคะ?"

"ไม่เป็นไรค่ะ ยิ่งจบเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี" คุณจินตนาพูดทิ้งปมปริศนาเอาไว้ ก่อนหันหลังเดินตรงไปยังประตูโลหะบานหนึ่ง ฉันกระชับเสื้อคลุมให้เรียบร้อยก่อนเดินตามไปติด ๆ พอสังเกตบรรยากาศอันเงียบวังเวงเทียบกับล็อบบี้ซึ่งตกแต่งอย่างสวยงามไม่ต่างจากโรงแรมห้าดาว เมื่อเดินไปถึงประตูบานนั้น ฉันหันไปมองด้านหลังจึงได้รู้ความจริงที่ว่า ทั้งชั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากประตูเพียงสองบาน นอกนั้นเป็นทางเดินโล่งแคบ ผนังทาด้วยสีขาว และมีกระเบื้องในสีเดียวกัน

"ชั้นนี้ดูแปลกดีนะคะ" ฉันชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อทำลายความเงียบลง "คนสร้างน่าจะเงินเหลือเยอะน่าดูพอควรเลยค่ะ"

"ถามแบบนี้ระวังจะเสียคะแนนเอาง่าย ๆ นะคะ" อีกฝ่ายเตือนโดยที่ฉันแทบสงบปากสงบคำเอาไว้ไม่ทัน

คุณจินตนาเปิดประตูเหล็กบานใหญ่ออกด้วยมือข้างเดียว แสดงให้เห็นว่าหล่อนมีพละกำลังอันมหาศาลขนาดไหน พอเห็นความหนาของประตูเหล็กที่มีความหนาไม่ต่ำกว่าสามสิบเซนติเมตรฉันแทบเข่าอ่อน

นั่นไม่ใช่สิ่งที่มาหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานของฉันได้หรอก!!

"ดิฉันต้องทำอะไรบ้างเหรอคะ?"

"นี่เป็นการทดสอบวัดความอดทนและการใช้สมองในการแก้ปัญหาเพื่อบรรลุเป้าหมาย" หญิงสาวเริ่มอธิบาย "ข้างในห้องนี้เป็นทางเขาวงกตที่มืดสนิท จะมีคบไฟให้ระหว่างทางจำนวน 1 อัน สิ่งที่คุณต้องหาให้เจอคือทองคำแท่งหนักห้าบาทแล้วนำกลับมายังจุดเริ่มต้นให้ได้"

เมื่อได้ยินสิ่งที่ฝ่ายบุคคลสาวเอ่ยก็ใจชื้น นึกว่าจะต้องไปนั่งพูดอะไรที่เป็นทางการเสียแล้ว

ง่ายกว่าที่คิดแฮะ

ฉันจึงก้าวเข้าไปด้านในด้วยความมั่นอกมั่นใจ รอยยิ้มแสยะบนใบหน้าพลางนึกถึงตัวเองในอนาคตที่จะมีเงินเอาไปฟาดหัวพนักงานร้านสตาร์บักส์นั่นให้มาคุกเข่าขอขมาต่อหน้าเลยคอยดู

"ขอให้โชคดีค่ะ คุณกมลาภา" สิ้นเสียงอีกฝ่าย ประตูก็ปิดลงทันที

ภายในห้องเขาวงกตแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นคาวอันไม่พึงประสงค์มากมายจนฉันต้องรีบยกมือขึ้นมาบีบจมูกพร้อมสีหน้าเหยเก

"กลิ่นเหี้ยอะไรวะเนี่ย...?" ฉันสบถด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็นึกถึงโจทย์การทดสอบที่คุณจินตนาได้บอกเอาไว้ "นี่คือบททดสอบการอดทนสินะ เหอะ! เหอะ! กลิ่นแค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอกโว้ย! ตอนเด็ก ๆ ฉันมีสระว่ายน้ำเป็นคลองแสนแสบเชียวนะ!!"

สักพักแสงไฟดวงหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา ฉันรีบมุ่งหน้าไปตามแสงนั่นทันที คบไฟอันหนึ่งแขวนอยู่บนกำแพงมอบแสงสว่างรอบข้างในรัศมีพอมองเห็น ไล่ความมืดสร้างความอุ่นใจให้ตัวเองไม่น้อย นอกจากเสียงสะเก็ดไฟแตกเบา ๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย มันเงียบเชียบอย่างกับเป่าสาก ความวังเวงเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ

ตุ้บ…ตุ้บ…ตุ้บ…

เสียงฝีเท้าหนัก ๆ กระทบพื้นซีเมนต์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ฉันกวาดสายตาหาต้นเสียงด้วยความกระวนกระวาย รอบข้างเป็นเพียงกำแพงก่ออิฐหนาขนาบข้าง ส่วนที่เหลือเป็นทางเดินยาวซึ่งมีแต่ความดำมืดเหมือนหลุมดำไร้สิ้นสุด

“สิบ” เสียงทุ้มต่ำฟังดูประหลาดหนักขึ้นไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยฉุดวิญญาณฉันเกือบออกจากร่าง ฉันยิ่งกวาดสายตาออกอย่างกระวนกระวายพร้อมคว้าคบไฟนั่นมาตั้งท่าเตรียมสู้ต่างอาวุธให้อุ่นใจ อย่างน้อยก็เป็นไม้ติดไฟ น่าจะสร้างความเสียหายให้กับไม่ว่าอะไรก็ตามที่ต้องการเข้ามาทำร้ายฉัน

“เก้า” มืออันเรียวสวยกระชับคบไฟไว้มั่นราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

“แปด” ฉันหลับตาลง พยายามฟังว่ามาจากด้านหน้าหรือด้านหลัง

“เจ็ด” มันมาจากด้านหน้า…ทางรอดของฉันก็คือไปด้านหลัง

“หก” แม้คุณจินตนาจะไม่ได้บอกว่าสิ่งที่กำลังทดสอบฉันอยู่มันคืออะไร แต่ฉันมั่นใจได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดี ชวนให้นึกถึงตอนที่ทำงานอยู่ในสวนสัตว์ หลังจากวันนั้นฉันแทบกลัวสิ่งเหล่านี้น้อยลง…น้อยลงที่ไม่ได้หมายความว่าไม่กลัวเลย

“ห้า” ขาของฉันค่อย ๆ เริ่มก้าวออก ฉันพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อหนีจากสิ่งที่ไม่รู้จัก ด้วยสัญชาตญาณของตัวเองในตอนนี้บอกให้หนีไปให้ไกลที่สุดแล้วหาทองแท่งที่ว่านั่นให้เจอ เท่าที่คุณจินตนาบอกโจทย์การ ‘สัมภาษณ์’ ไป ฉันไม่คิดว่ามันจะง่าย เพราะบททดสอบที่ผ่านมาทั้งสองครั้งนั้นอาจเป็นเพราะโชคช่วย ครั้งที่สามอาจจะไม่โชคดีเหมือนครั้งก่อนหน้าแน่นอน

“สี่” เสียงค่อย ๆ ห่างจากฉัน นั่นเป็นเหมือนสัญญาณบ่งบอกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว แต่จู่ ๆ ดันมานึกขึ้นได้ว่าด้านหลังเป็นประตูที่ฉันเข้ามา นั่นหมายความว่าตัวเองกำลังกลับไปยังจุดเริ่มต้น!!

“สาม” สิ่งที่คิดกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะประตูได้หายไปแล้ว คราวนี้ฉันหลงทิศอย่างสมบูรณ์แบบ ดวงตาเป็นประกายสะท้อนเปลวเพลิงกวาดตามองไปรอบ ๆ อย่างลุกลี้ลุกลน มิอาจรู้ได้เลยว่าตอนนี้ฉันต้องก้าวไปทางไหนต่อ แล้วไอ้คนที่มันนับเลขถอยหลังอยู่มันเป็นใคร? หรือมันคือสัญญาณบอกว่าบททดสอบกำลังจะเริ่มต้นขึ้น

“สอง” ฉันยื่นนิ่งหลับตาลงตั้งสมาธิ พยายามดึงสติเข้ามาให้ได้มากที่สุด ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรฉันก็พร้อมเผชิญหน้าได้ทุกเวลา ด้วยประสบการณ์ก่อนหน้าขัดเกลาให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น ฉันต้องได้งานนี้ ต่อให้เอายานอวกาศมาฉุดก็ไม่อาจถอยหลังได้แม้แต่ก้าวเดียว

“หนึ่ง” ฉันหยุดนิ่งเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่เรียวขาของฉันสั่นเทิ้มไปหมด อากาศรอบข้างเริ่มเย็นลงจนหายใจออกมาเป็นควัน โชคดียังมีเปลวเพลิงให้ความอบอุ่นกายใจ

….

จังหวะการนับของมันหายไปนานจนผิดสังเกต ความเงียบนั้นค่อย ๆ กัดกินจิตใจของฉันจนลืมหายใจ

“ศูนย์”

“กรี๊ดดด!!” ฉันสะดุ้งสุดตัว วิญญาณแทบหลุดจากร่าง เมื่อเสียงนับเลขของมันดังอยู่ข้างหู ฉันกระโดดหนีไปอีกทางพลางส่องคบไฟเพื่อเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย

สุดท้ายคือความว่างเปล่า….

อะไรกัน….?

เป็นไปได้ยังไง เพียงเสี้ยววินาทีมันจะหายไปเร็วขนาดนี้ได้ยังไง!?

คำถามมากมายถาโถมเข้ามาทำให้จิตใจของฉันหวั่นกลัว ฉันกวาดสายตาและหมุนตัวไปรอบทิศทาง ไม่ไว้ใจแม้แต่อากาศหายใจ ฉันยื่นคบไฟออกสุดแขนดั่งเกราะอาวุธสุดท้ายที่มี หยดเหงื่อตามร่างกายแห้งสนิทไปแล้ว เหลือแต่ความเย็นวาบบนแผ่นหลังแทน

‘มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ไหน…?’

ฉันมั่นใจว่าตัวเองได้เสียงข้างหู

ฉันมั่นใจว่าตัวเองรับรู้ถึงลมปากกลิ่นเหม็นเน่ากระทบใบหู

ฉันมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้จินตนาการไปเอง!!

ฉัน มั่น ใจ

ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างตะโกนบอกให้ฉันต้องรีบดิ่งไปยังทิศทางปริศนาแบบดับเครื่องชน ไม่คิดว่าจะต้องมาเล่นซ่อนหาแบบนี้อีกเลย จู่ ๆ คบไฟที่ให้ความสว่างรอบข้างได้ไปส่องใบหน้าอันบิดเบี้ยวของอะไรบางอย่างซึ่งยืนอยู่หลังกำแพง ดูยังไงมันก็คือหน้ากาก แต่เมื่อมันโผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัวนั้นแทบทำเอาฉันเกือบทรุดตัวลงไปกับพื้น

“กรี๊ดดด!!” ฉันแหกปากกรีดร้องเต็มที่ด้วยความกลัวถึงขีดสุด น้ำปัสสาวะไหลออกตรงหว่างขาเปรอะเปื้อนกระโปรงสุดหวงแหน หากฉันยังมีชีวิตรอด ภาพนี้อาจหลอกหลอนไปตลอดชีวิต

มันมีรูปร่างสูงใหญ่ สวมหน้ากากสีขาว ใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่าประหลาดเปื้อนไปด้วยโลหิตแดงก่ำน่าสยดสยอง ดวงตาถูกเงาดำกลืนกิน แต่เมื่อแสงไฟส่องเข้าไปกลับเกิดประกายเรืองแสงสีแดงฉานออกมาสร้างความหวาดผวาเป็นอย่างมาก ผิดกับลักษณะการแต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำล้วนเต็มยศ แต่เสื้อเชิ้ตด้านในเป็นสีขาวเปื้อนเลือด

พอลองมาคิดเชื่อมโยงกันแล้ว เลือดบนหน้ากากและเสื้ออาจจะเป็นของผู้มาสมัครงานก่อนหน้าฉันแน่นอน

ส่วนฉันก็เป็นคนสุดท้าย

“ผู้สมัครงานหมายเลข 10 คุณต้องรอดจากการล่าของผมไปให้ได้ หากผมจับคุณได้สามครั้ง คุณก็จะตาย ตอนนี้คุณถูกผมจับได้หนึ่งครั้งแล้ว เหลืออีกสองครั้ง” มันพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำน่าสยดสยองก่อนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งปมปริศนาลูกใหญ่

สามครั้ง…?

ตอนนี้โดนไปแล้วหนึ่งครั้ง

เหลือสองครั้ง

หากแพ้ก็จะตาย…

“ฉิบหาย” ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าได้สบถคำนี้ออกไป ตอนนี้เป้าหมายของฉันคือเอาชีวิตรอดจากไอ้โรคจิตนั่นให้ได้

ฉันตัดสินใจออกวิ่งพลางจดจำเส้นทางอันคดเคี้ยวสลับซับซ้อนไปมาเป็นแพตเทิร์น ซึ่งต้องใช้พลังสมองอย่างมากเลยทีเดียว เลี้ยวซ้ายทีขวาที พลางเก็บเศษหินข้างทางขึ้นมาขีดเป็นเส้นบนกำแพงเพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่าฉันเคยผ่านทางนี้ไปแล้ว จากนั้นจะได้สามารถคำนวณหาเส้นทางใหม่ แต่ข้อเสียคือมันระบุตำแหน่งของตัวเองให้นักล่าสวมสูทให้พุ่งเข้ามาจับเป็นครั้งที่สอง ซึ่งฉันไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น

“ไม่เอาแล้ว!! ไม่เอาแล้ว!! ไม่เอาแล้ว!!” ฉันกรีดร้องในใจพลางซอยเท้าถี่ยิบ โชคดีที่ใส่รองเท้าผ้าใบแทนรองเท้าคัชชู ไม่อย่างนั้นคงต้องถอดรองเท้าวิ่งอย่างแน่นอน

"จะหนีไปไหนเหรอจ๊ะ!?" เสียงอันโหยหวนดังอยู่ข้างหู จากนั้นมืออันใหญ่หยาบกร้านรวบร่างอันแสนบอบบางของฉันส่วนอีกมือขยำอกนูนเลื่อนลงมาเกือบถึงหว่างขาก่อนผละหายตัวไป ทิ้งให้อยู่ท่ามกลางความมืด แสงจากคบเพลิงค่อย ๆ เล็กลงทุกที รัศมีการมองเห็นแคบลงเรื่อย ๆ เมื่อกี้นี้ฉันถูกมันจับได้ครั้งที่สองแล้ว อีกเพียงครั้งเดียว...อีกแค่ครั้งเดียวฉันอาจไม่มีชีวิตรอดออกไปอย่างแน่นอน

จู่ ๆ มือได้สัมผัสกับของเหลวบางอย่าง เมื่อหยิบคบเพลิงส่องไปจึงเห็นร่างอันไร้วิญญาณของหญิงสาวพิงกำแพงถูกแหวกเครื่องใน ตับไตไส้พุงกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ พร้อมโลหิตนองพื้นอย่างน่าสยดสยอง ใบหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉานและของเหลวแปลก ๆ สีขาวขุ่น ซึ่งฉันพอเดาออกว่าไอ้ฆาตกรนั่นมันทำอะไรกับศพไว้บ้าง เพียงภาพในหัวชัดเจนยิ่งทำให้ฉันรู้สึกร่างกายแข็งทื่อจนมิอาจเคลื่อนที่ไปไหนได้อีกแล้ว แต่เมื่อสังเกตเห็นบางอย่างประกายแวววาวจากมือเรียวเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตแห้งและขี้ดินจึงรู้ได้ทันทีว่ามันคือสิ่งของที่กำลังตามหา

'ทอง!'

มันคือทอง!!

ไม่ผิดแน่!!

สิ่งที่ฉันกำลังตามหามันคือเจ้านี่นั่นเอง

"ไม่ว่าเธอจะเป็นใคร แต่ก็ขอบคุณมากที่สละตัวเอง ฉันจะรับงานนี้แทนเธอและจะทำงานในส่วนของเธอ ไม่ให้ผิดหวังแน่นอน" ฉันยกมือไหว้ภาวนาก่อนชันตัวลุกขึ้น พละกำลังใจฟื้นคืนเต็มที่ ความหวังแม้ริบหรี่ แต่ยังไม่มืดบอดจนไม่เหลืออะไรในมือ สัมผัสของมือหยาบกร้านลวนลามตามร่างกายยังคงรู้สึกถึงมันได้อยู่ เปรียบเสมือนคำเตือนครั้งสุดท้ายแบบถึงเนื้อถึงตัวก่อนปลิดชีพ ฉันเก็บทองไว้ในกระเป๋าเสื้อเบลเซอร์พร้อมตรวจสอบให้มั่นใจว่ามันจะไม่หล่นหายระหว่างทาง จากนั้นฉันถอดถุงเท้าทั้งสองข้างจุดไฟที่กำลังมอดก่อนพันรอบ ๆ คบเพลิงเชื้อไฟ จากนั้นจึงถือวิสาสะฉีกเสื้อเชิ้ตจากศพผู้สมัครคนก่อนหน้ามาพันไว้เพื่อกันไม่ให้แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวมอดดับ

เมื่อเตรียมการเสร็จสิ้นฉันถึงรีบวิ่งกลับทางเดิม ความทรงจำของฉันขาดช่วงไปเสี้ยวหนึ่ง เป็นเพราะไอ้ฆาตกรตัวนั้น แต่โชคดีที่ใช้หินขีดบนผนังไว้เป็นสัญลักษณ์บอกทางจึงมั่นใจว่าไม่หลงทางในเขาวงกตอย่างแน่นอน

ครืด!! ครืด!! ครืด!!

เสียงหินขูดกับพื้นเสียงดังก้องพร้อมทั้งเขาวงกตเริ่มสั่นคลอนราวกับแผ่นดินไหว

แผ่นดินไหวงั้นเหรอ!? เป็นไปไม่ได้ ประเทศเรามันไม่ได้ตั้งอยู่ในจุดที่แผ่นดินไหวได้ง่ายเหมือนประเทศแดนอาทิตย์อุทัย จู่ ๆ สายตาเลื่อนไปเห็นฆาตกรชุดสูทยืนจังก้าอยู่ไม่ไกล ทำเอาดวงตาของฉันเบิกโพลง มันชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้วก่อนใช้นิ้วชี้ลากไปตามคอหอยแนวนอนยาวสื่อถึงความตายที่มันจะมอบให้กับฉันอย่างเต็มใจ แต่จู่ ๆ กำแพงหินได้เลื่อนมากั้นระหว่างทั้งสองเอาไว้ ส่วนกำแพงอีกข้างพุ่งเข้ามาหมายจะบดขยี้ร่างฉันให้แหลก แต่ฉันกลับเบี่ยงตัวหลบได้ตามสัญชาตญาณ

"แฮ่ก ๆ" ฉันเบิกตามองเมื่อเห็นว่าขีดสีขาวที่ฉันทำเอาไว้ปรากฏขึ้นตรงหน้า เมื่อมองไปยังกำแพงซ้ายขวาจึงพบว่าขีดสีขาวเหล่านั้นปรากฏอยู่เช่นกัน ฉันจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองทำไปกี่เส้น แต่ในตอนนี้ 3 ขีดนั่นอยู่ตรงหน้า สร้างความสับสนพร้อมบดขยี้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ หายไปต่อหน้าต่อตา ความสิ้นหวังเข้าครอบงำอีกครั้ง

'เอาไงดีล่ะทีนี้...?' ฉันยกมือขึ้นกุมขมับ พลางนึกย้อนกลับไปตั้งแต่หนีออกจากสวนสัตว์แห่งนั้น ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานประหลาดอีกต่อไป หากมีชีวิตอยู่คงต้องทนทุกข์ทรมานไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น แต่ว่าตายตอนนี้ก็จะสบายเหมือนศพก่อนหน้า พวกหล่อนไม่จำเป็นต้องดิ้นรนต่อสู้เอาชีวิตรอดอีกต่อไปแล้ว วิญญาณของเธอลอยล่องสู่อีกภพหนึ่ง ทิ้งกายหยาบไว้ให้เน่าเปื่อยย่อยสลายไปตามกาลเวลา ส่วนฉันที่ยังมีชีวิตอยู่จึงถูกส่งต่อบางอย่างเพื่อไปให้ถึงเส้นชัย

แต่ฉันกลับทำไม่ได้...ฉันอ่อนแอเกินไปที่จะแบกรับทุกอย่างไว้บนบ่า

ตุ้บ...ตุ้บ...ตุ้บ...

เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ เพียงไม่กี่อึดใจ ร่างของฆาตกรชุดสูทปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าพร้อมดาบคาตะนะเล่มยาว ใบมีดเปื้อนเลือดสะท้อนแสงเปลวเพลิงแวววาวเป็นประกาย คมดาบของมันน่าจะเชือดเฉือนผ่านร่างคนมาไม่น้อย ฉันรู้สึกถึงรังสีแห่งความตายอันมืดมนแผ่ซ่านเข้ามาถึงทรวง

ฉันไม่รอดแล้ว...

ฉันตายแน่

.

.

.

ลาก่อน มิลินและทุกคนที่ฉันรัก และขอสาปแช่งอีคุณกาญจนาที่ทำให้ฉันมีแผลใจจนถึงทุกวันนี้!!

เมื่อครั้นอีกฝ่ายเงื้อดาบขึ้นเตรียมประหาร ร่างกายของฉันกลับขยับไปโดยอัตโนมัติ พุ่งผ่านช่องว่างไปอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ รอดพ้นคมดาบและความตายอย่างหวุดหวิด อะดรีนาลินในร่างกายสูบฉีดพลุ่งพล่านชวนให้ร่างกายร้อนผาวไปหมด ความรู้สึกสิ้นหวังถูกความร้อนในตัวแผดเผาสิ้น ฉันทำอะไรอยู่นะ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงได้วิ่งหน้าตั้งอย่างนั้นล่ะ! ทิศทางนี้มันทางไหน แล้วฉันจะหาทางออกเจอได้ยังไง!?

ครืด!!

กำแพงหินหนาพุ่งเข้ามาหมายปลิดชีพอีกครั้ง คราวนี้มันรวดเร็วกว่าจนทำให้ฉันเบรกตัวไม่ทันจนร่างกระแทกเข้ากับมันอย่างจัง ส่งผลให้ช้ำไปทั้งร่างกาย

ตุ้บ!...ตุ้บ!!...ตุ้บ!!!...

เสียงฝีเท้าของฆาตกรกำลังใกล้เข้ามา ฉันกัดฟันแน่น รีบชันตัวเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก พาตัวเองออกจากสถานการณ์อันสยดสยองให้เร็วที่สุด

"แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก!"

ตุ้บ!...ตุ้บ!!...ตุ้บ!!!...

"แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก!"

ตุ้บ!...ตุ้บ!!...ตุ้บ!!!...

เสียงฝีเท้าดังสลับกับเสียงหอบหายใจของฉัน จังหวะการก้าววิ่งแต่ละครั้งช่างยากเย็น อะดรีนาลินยังคงสูบฉีดไปทั่วร่างกายทำให้ไม่รู้สึกบาดเจ็บบริเวณที่ช้ำมาก แต่หากพ้นจากความตายมาได้ ร่างกายของฉันได้พังเละไม่เป็นท่า ให้ความรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นแน่นอน

แอ๊ดดด!!

เสียงฟังดูเหมือนกับบานประตูกำลังเปิดออก แสงสว่างสีขาวลอดผ่านช่องว่างระหว่างกำแพง เมื่อเลี้ยวไปยังแสงสว่างนั้นจึงเกิดลมกรรโชกไหววูบหนึ่ง ส่งผลให้คบไฟมอดดับพลัน นั่นไม่ใช่ปัญหาเลยหากสิ่งที่ฉันเห็นอยู่ด้านหน้าคือ 'ทางออก' ปลายทางเห็นคุณจินตนากำลังกอดอก ดวงตาเรียบเย็นจับจ้องมายังฉัน

"ชะ...ช่วยด้วย!! มีฆาตกรกำลังจะฆ่าฉัน!!" ฉันตะโกนเสียงดังพร้อมชูทองแท่งโบกไปมาบนอากาศ เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ก็กำลังใกล้เข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง "ฉันได้ทองมาแล้ว! ฉันได้ทองมาแล้ว!! ช่วยฉันที!!"

คุณจินตนาไม่ขยับเขยื้อนหรือทำอะไรก็ตามที่สื่อว่าต้องการมาช่วยฉัน สิ่งที่เธอทำนั้นเพียงยื่นมือออกมาพร้อมแบ

จากนั้นก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก เหมือนให้ฉันคิดเองว่าต้องทำ

ฉันกัดฟันแน่นก่อนดีดตัวพุ่งออกไป กระโปรงทรงเอขาดรุ่งริ่งจนเห็นกางเกงในสีดำลายลูกไม้ภายใต้ถุงน่องสีเนื้อ คบไฟอันไร้ประโยชน์ถูกปล่อยทิ้งจากมือ แต่จู่ ๆ กำแพงทั้งสองด้านกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหมายบดขยี้ร่างให้แหลกละเอียด อีกเพียงสิบเมตรเท่านั้น ฉันกัดแน่นแล้ววิ่งไม่หยุดด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ

เก้าเมตร!

แปดเมตร!!

.

.

.

ห้าเมตร!!

สี่เมตร!!

ฉันอยู่ตรงหน้าหล่อนแล้ว!!

ขอตบสักเพียะหนึ่งเถอะ!!!

สองเมตร!!

กึก!!

ฉันสะดุดขาตัวเองจนล้มไปด้านหน้า เหลือเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น แต่จู่ ๆ อะดรีนาลินกลับเจือจางในขณะหน้าสิ่วหน้าขวาน

ให้มันได้อย่างนี้สิ!!

แม้ฉันยิ่งรู้สึกสิ้นหวังมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

ฉันต้องได้งานนี้!!

ฉันต้องได้งานนี้!!

ฉันต้องได้งานนี้!!

แววตาเย็นวาบของคุณจินตนาจับจ้องมาที่ฉันอย่างเยาะเย้ย กำแพงทั้งสองข้างเริ่มเคลื่อนบีบเข้ามาประชิดตัวแล้ว ฉันจึงรีบคลานอย่างทุลักทุเลไปหาหล่อน พร้อมยื่นทองคำแท่งเจ้าปัญหาไปให้

อีกแค่สิบเซนติเมตรเท่านั้น

อีกนิดเดียว!

อีกนิดเดียว

ให้ตายสิ ผนังมันสัมผัสกับร่างฉันแล้ว!!

ทันทีที่ทองคำแท่งสัมผัสกับปลายนิ้วของคุณจินตนา กำแพงได้หยุดเคลื่อนที่ชะงักงัน

"ยินดีด้วยค่ะ คุณกมลาภา คุณผ่านการทดสอบทั้งหมดแล้ว คุณจะได้ร่วมงานกับเราจนกว่าชีวิตจะหาไม่ค่ะ" หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงพลังก่อนกดปุ่มให้กำแพงเคลื่อนออก ฉันชันตัวลุกขึ้นก่อนเด้งตัวออกจากห้องเขาวงกตอันสยดสยองนั่นทันที พลางจ้องมองอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ยินดีบ้าบออะไรกันล่ะ! ฉันเกือบตายในนั้นเหมือนคนอื่น ๆ แล้วนะ!!” ฉันตวาดเสียงดังด้วยความโกรธเกรี้ยว รอยช้ำตามร่างกายเริ่มแสดงอาการเจ็บปวดกะทันหัน แต่ฉันไม่สนใจ "แล้วไอ้ฆาตกรนั่นอีก บริษัทที่มีการฆ่าคนแบบนี้ฉันไม่อยากทำงานด้วยหรอกนะ!! ฉันจะแฉเรื่องนี้ให้คนทั้งโลกรู้เลยว่าที่นี่แอบหมกศพไว้!!"

"น่าเสียดายจังเลยนะครับ คุณเป็นคนเดียวที่ผ่านการทดสอบแล้วแท้ ๆ" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมา พอมองไปยังเจ้าของเสียงจึงพบกับชายร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เพียงได้สบตาอันเฉียบคมบาดใจทำให้ความโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่มลายหายสิ้น เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวนวลซับรอยแดงบางอย่างบนใบหน้าของฉันอย่างแผ่วเบาชวนให้หลงเสน่ห์อย่างกับถูกมนตร์สะกดตรึงดวงตาให้จับจ้องเขาไม่ไหวห่างแม้แต่วินาที "ผมคือประธานชานนท์ครับ คุณกมลาภา ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ถ้าคุณเปลี่ยนใจก็สามารถติดต่อผมได้โดยตรงนะครับ"

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเนี้ยบยื่นนามบัตรสีขาวคลีน มีตัวหนังสือข้อมูลการติดต่อให้ แต่ฉันกลับไม่รับไว้

"ขะ...ขอบคุณค่ะ แต่ยังไงดิฉันก็จะพยายามแฉเรื่องในห้องนั้นกับสื่ออยู่ดี" ไม่ช้า คุณจินตนากางเอกสารแผ่นหนึ่งให้ดู โดยหัวข้อเขียนว่า 'เอกสารสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล' ซึ่งท้ายกระดาษมีลายเซ็นของฉันประทับไว้ชัดเจน สร้างความงงงวยแก่ตัวเองเป็นอย่างมาก

"เอกสารฉบับนี้คุณน่าจะรู้จักมันเป็นอย่างดี ผมสามารถเอาเจ้านี่เป็นตัวการันตีกิจการของผมในการเอาผิดคุณหากเกิดอะไรขึ้น" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น "ทางเลือกตอนนี้ของคุณมีสองทางก็คือ ออกไปจากที่นี่แล้วลืมเรื่องในนี้ไปให้หมด หรือจะมาเป็นเลขาคนสวยของผมดี"

"ดิฉันไปเซ็นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ!?" ฉันยังคงยิงคำถามต่ำ

"ตอนคุณแลกบัตรยังไงล่ะครับ ยามที่หน้าประตูให้คุณเซ็นอะไรสักอย่าง ซึ่งดูไม่ออกเหรอครับว่ามันคืออะไร การที่ไม่ละเอียดรอบคอบอย่างนี้ไม่สมควรให้มาเป็นเลขาผมเลยสักนิด" ประธานชานนท์พูดเสียดแทงใจดำแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย "การที่ผมอะลุ้มอล่วยให้ขนาดนี้ถือว่าเมตตาแล้วนะครับ ไม่อย่างนั้นผมอาจจะให้น้องชายของผมในเขาวงกตนั่นฆ่าคุณไปนานแล้ว"

"นะ...น้องชาย...?" ฉันยิ่งเบิกตาโตเมื่อได้ยินความจริงอีกอย่าง

ให้ตายสิ! ทำไมความลับของบริษัทนี้ช่างมากมายอย่างนี้นะ

....

"กะ...ก็ได้ค่ะ" ฉันก้มหน้ายอมรับชะตากรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากว่าชวดงานนี้ไปจะมีบริษัทไหนหยิบยื่นงานให้อีกไหมนะ...? อาจจะมีแหละ แต่ก็คงเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร "ท่านประธาน..."

"ดีมากครับ เริ่มทำงานวันจันทร์ได้เลยนะครับ หลังจากนี้จะให้คุณมาเป็นเลขาของผม แต่ก่อนหน้านั้นผมจะให้คุณไปฝึกงานในระดับล่าง ๆ เสียก่อนเพื่อเรียนรู้งานและระบบทุกอย่างในบริษัทครับ" ประธานชานนท์เอ่ยเสียงใสพร้อมรอยยิ้มอันเร่าร้อน

"รับทราบค่ะท่าน" ฉันตัดสินใจถอนสายบัวโค้งศีรษะให้สวยงามที่สุดเท่าที่จะทำได้

.................................

ในระยะเวลาเพียง 6 เดือน ฉันสามารถเรียนรู้ระบบการทำงานในบริษัทยอนอูได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงใช้ทักษะการใช้เต้าไต่ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนสามารถเป็นเลขาสาวสวยเงินเดือนหลักแสนราวกับความฝันที่เป็นจริงดั่งในนิยาย โดยเป้าหมายของฉันไม่หยุดอยู่เพียงแค่ตำแหน่งเลขา แต่เป็นตำแหน่งภรรยาต่างหาก แน่นอนว่าฉันฝันหวานถึงเรื่องนี้ อีกทั้งพยายามวางแผนอ่อยให้เขามามีใจให้ฉัน แค่คิดก็ฟินจนช่วงล่างแฉะไปหมดแล้ว

แต่แล้วก็ถึงวันนั้น...

วันที่ชีวิตของฉันกำลังจะหาไม่!!

เมื่อฉันกลับถึงบ้านพร้อมตรวจทานเอกสารสำหรับการประชุมใหญ่วันรุ่งขึ้น ซึ่งฉันจำเป็นต้องตรวจสอบความเรียบร้อยเพื่อไม่ให้การประชุมนั้นติดขัด...มันไม่อยู่ในกระเป๋า...มันไม่อยู่

มันไม่อยู่ มันไม่อยู่!!

ฉันเงยหน้าขึ้นมาจากกระเป๋าใบหรู เหงื่อเม็ดใหญ่ย้อยลงมาตามกรอบหน้าที่เคลือบด้วยเครื่องสำอางกันน้ำแพงหูฉี่

"ฉิบหายละ..."

_____________________________________________________________________

To Be Continue CHAPTER 6