อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย - CHAPTER 6 ลิฟต์ทะลุตาย โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี

รายละเอียด

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา

ผู้แต่ง

นิวไม่จิ๋ว

เรื่องย่อ

เลขาสาวดวงซวยลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บริษัทจึงลากเพื่อนไปเอาในเวลาดึกดื่นโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นคืนสุดท้ายของพวกหล่อน เมื่อพบกับความลับอันดำมืดบางอย่างของบริษัทนี้

สารบัญ

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 1 เล่นซ่อนหา,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 2 ดิ้งดอง,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 3 พรมสีชาด,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 4 กฎแปลก,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 5 ล่าตัวตาย,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 6 ลิฟต์ทะลุตาย,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 7 ยื้อชีพก่อนรุ่งสาง,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 8 ไซต์กลืนวิญญาณ,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 9 มิติล่ามรณะ,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10 สิ้นหนทางเดิน,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.1 ตัวเลือกที่ 1 : ดิ้นให้หลุด,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.2 ตัวเลือกที่ 2 : เชื่อมั่นในตัวชานนท์,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.3 ตัวเลือกที่ 1 : ขอกาญจนาแต่งงาน,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.4 ตัวเลือกที่ 2 : ขอบัวแต่งงาน,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-เตือนภัย แผ่นดินไหว

เนื้อหา

CHAPTER 6 ลิฟต์ทะลุตาย

ชีวิตของการเป็นหัวหน้าของเหล่ามนุษย์เงินเดือนผู้สามารถกุมอำนาจชะตาชีวิตของเหล่าพนักงานนั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อราวกับกำลังครอบครองแหวนเอกธำมรงค์

แน่ล่ะ...ก็เป็น HR นี่นา ไม่ว่าจะยังไงฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลนั้นเป็นงานที่ต้องใช้หลักจิตวิทยาสูงในระดับหนึ่ง วัน ๆ จำเป็นต้องรับมือเรื่องของ 'คน' ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก เรียกได้ว่ามีข้าศึกขนาบข้างเลยทีเดียว ตั้งแต่ผู้มาสมัครงานใหม่ จนถึงบริหารคนในองค์กรให้อยู่กับร่องกับรอย ในความเป็นจริงมันค่อนข้างเกินหน้าที่ไปหน่อย แต่ด้วยประธานชานนท์ได้ให้ค่าตอบแทนต่อเดือนสูงลิ่ว จึงถือว่าสมน้ำสมเนื้อในฐานะ 'คุณจินตนา' HR ขั้นเทพ ผู้ได้รับฉายา ‘รถเมล์บุบ’ แน่นอนว่าฉายานี้ไม่ได้มาเพราะปากเปล่า เนื่องจากฉันเคยวิ่งมาทำงานด้วยความรีบร้อนสมัยที่ยังเป็นเพียงเด็กฝึกงานเพราะตื่นสาย แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด รถเมล์สายในตำนานพุ่งเข้ามาชนร่างปลิวไถลครูดไปกับพื้นยางมะตอยร้อน ๆ ยาวถึงห้าเมตร แต่ด้วยอะดรีนาลินในร่างกายสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง ฉันจึงกระโดดขึ้นมายืนแล้ววิ่งไปยังบริษัทต่อได้โดยทิ้งไว้เพียงรอยบุบที่กันชนของรถโดยสารประจำทางคันนั้นจวบจนถึงทุกวันนี้

หลังจากการจากไปของคุณกมลาภาหรือน้องบัว อดีตเลขาสาวสวยข้างกายประธานชานนท์ ผู้ชนะบททดสอบอันหฤโหดไปได้แบบสะบักสะบอม ฉันเองคิดว่าหล่อนก็เหมือนกับคนอื่น ๆ แต่แล้วก็คิดผิด น้องบัวมีความกระหายในการเอาชนะยิ่งกว่าใคร สายตาของหญิงสาวนั้นยิ่งกว่าสัตว์ป่า บ่งบอกถึงความไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา แม้ว่าหล่อนเป็นสาวกร้านโลกไปนิด ไม่ค่อยทำตามกฎระเบียบเท่าไหร่ อย่างน้อยก็เข้าตาประธานชานนท์จนถึงขั้นมารับด้วยตัวเอง ฉันจึงไม่มีอะไรจะโต้แย้ง ในเมื่อน้องบัวในตอนนั้นเป็นเพียงพนักงานใหม่โดยมีตำแหน่งเลขามาประดับร่างกายจิตวิญญาณ นั่นหมายถึงความรู้ต่อทุกสิ่งทุกอย่างในบริษัท ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ฉันจึงให้หล่อนเรียนรู้งานตั้งแต่ต้นแบบคร่าว ๆ ไม่ได้เจาะลึกเกินไป ซึ่งเธอใช้เวลาไม่นานกว่าจะไต่เต้าขึ้นไปจนสามารถยืนเคียงข้างประธานได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะอะไรเธอก็สามารถหามาได้ ฉันจึงไม่มีความจำเป็นต้องเป็นห่วงหล่อนอีกต่อไป กาลเวลาไหลผ่านจนกระทั่งได้รับทราบถึงการจากไปของน้องบัว ภายในใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ ตีกัน

แต่กระนั้น ฉันไม่สามารถเอาเรื่องความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาผสมปนเปกับงานได้ ไม่งั้นเดี๋ยวจะโดนกล่าวหาโดยผู้จ้องแทงข้างหลังว่าไม่มีความเป็น 'มืออาชีพ' มากพอ

งานศพเล็กลับถูกจัดขึ้นในวัดไกลจากตึกบริษัท มีเพียงฉันคนเดียวที่มาร่วมงาน แน่นอนว่าน้องบัวไม่ได้เป็นศพเดียวของคืนนั้น ยังมีอีกศพหนึ่งซึ่งหล่นมาจากที่สูงกระแทกกับหลังคารถยนต์เสียชีวิตคาที่ ใบหน้าของฉันนิ่งราวกับหุ่นยนต์ ดวงตาจับจ้องไปยังเปลวไฟที่กำลังลุกโชนมอดไหม้ร่างกายไร้วิญญาณซึ่งบรรจุอยู่ในโลงสี่เหลี่ยมถูก ๆ เสียงสะเก็ดไฟแตกดังเปรี๊ยะ ๆ เบา ๆ ชวนให้จิตของฉันลอยล่องไปสู่มิติอื่นโดยไม่ตั้งใจ ความคิดของฉันขาวโพลนไปหมดทั้งหัว ไม่รู้สึกถึงไอร้อนลอยมาปะทะกับเนื้อหนังภายใต้ชุดทำงานสีขาวดำซึ่งเหมาะสมกับงานอัปมงคลอย่างน่าประหลาด

 

ภายในใจลึก ๆ ยังคงสงสัยในท่าทาง รวมถึงคำพูดของประธานชานนท์กับยามป้อม

 

ท่านประธานกับยามป้อมปะกันหน้าประตู ตอนนั้นฉันต้องมารายงานความเป็นไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในบริษัท และยื่นใบสมัครพนักงานใหม่ให้ประธานหนุ่มพิจารณา ซึ่งเป็นหน้าที่หลักในฐานะผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ฉันหยุดนิ่ง รอให้ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าหล่อเหลาซึ่งเป็นที่จับตามองของสาว ๆ ในบริษัท แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับฉัน เขาก็หล่อ รวย และฉลาดดีนะ...แต่เขาไม่ใช่สเปก

 

"อย่างนั้นเองเหรอ?" เขาพูดขึ้นพลางผงกศีรษะแล้วหันมาหาฉันพร้อมเอ่ยคำสั่งแรกของวันก่อนรับฟังรายงานประจำวัน "งั้นก็จัดหาเลขาส่วนตัวให้ผมอีกคนก็แล้วกันนะครับ คราวนี้ขอแบบฉลาดกว่านี้หน่อยนะ"

ฉันได้ยินดังนั้นจึงตกใจอย่างมาก กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องบัว แต่ในสถานการณ์แบบนี้ต้องตามน้ำไปก่อน

"ได้ค่ะท่าน...แต่ว่าน้องบัวมีปัญหาอะไรเหรอคะ" ฉันถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ นิ้วมือเรียวออกแรงบีบกระดาษรายงานเย็บเล่มใส่สันพร้อมใบสมัครงานจนยับไม่ทันตั้งใจ สายตามีแววหวาดหวั่น เพราะการที่เขาสั่งแบบนี้นั่นหมายความว่าเป็นคำสั่ง 'พิเศษ' ซึ่งต้องยกมาทำก่อนงานอื่น

ฉันถอนหายใจเบา ๆ และพยายามเก็บอาการไว้ให้ได้มากที่สุด แม้ว่าตัวเองอยากจะถามถึงรายละเอียดมากขนาดไหน แต่ด้วยสายตาของท่านประธานและยามป้อมที่มองมานั้นสามารถแทนคำตอบได้

"รับทราบค่ะท่าน ดิฉันจะจัดการให้ค่ะ" ฉันตัดสินใจยอมแพ้และก้มหน้า ก่อนเดินจากไปเพื่อจัดการสิ่งที่ฉันได้เอ่ยวาจาไป

ตอนนี้ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ฉันแกล้งทำเป็นเดินไปก่อนพุ่งไปหลบอยู่หลังกำแพงอย่างรวดเร็วและเงียบสงัดดั่งนินจา

"เธอแพ้งั้นเหรอ?" ท่านประธานถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ฟังดูไร้จิตวิญญาณ

"ครับท่าน" ยามป้อมตอบพร้อมแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย "นางแพ้"

"งั้นช่างมัน เงินก้อนต่อไปจะถูกโอนเข้าไปในบัญชีของนายภายในบ่ายโมงของวันนี้" ท่านประธานเอ่ยเพียงเท่านี้ ก่อนจะเดินเข้าไปในลิฟต์และพาเขาขึ้นไปบนชั้นสามสิบ

ท่านประธานรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น!!

เขากับยามป้อม...มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่...?

ทำไมพวกเขาถึงพูดคุยกันอย่างสนิทสนมแตกต่างจากพนักงานทั่วไปกันล่ะ?

การที่เขาได้มาเป็นหนึ่งในบททดสอบ เป็นเลขามหาโหดตามระเบียบของบริษัทนับว่าไม่ธรรมดา

ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม...นั่นไม่ใช่กงการอะไรของฉัน จึงทำได้เพียงถอนใจยาวแล้วเดินออก ตรงกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองในส่วนแผนกทรัพยากรมนุษย์

ภายในแผนกเป็นเพียงห้องขนาดกลาง มีพนักงานตำแหน่งล่างถัดจากฉันจำนวนห้าคนนั่งง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์ของตัวเอง แน่นอนว่าพวกหล่อนไม่ได้ตั้งใจทำงานกันขนาดนั้น ดูจากซองขนมทอดกรอบจำนวนไม่น้อยตั้งเรียงกันบนโต๊ะซึ่งข้าง ๆ มีแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ ของบริษัทตั้งไว้อย่างไม่เป็นระเบียบที่พร้อมโค่นทลายลงมาได้ทุกเวลา

เมื่อฉันเข้าไป สาว ๆ ผู้เกียจคร้านทำตัวผักชีโรยหน้าด้วยการแกล้งทำเป็นเปลี่ยนแววตาจากขี้เกียจกลายมาเป็นแววตาแห่งความมุ่งมั่น กลบเกลื่อนตบตาโดยไม่รู้เลยว่าหัวหน้าของพวกหล่อนรู้แกวมาตั้งนานแล้ว เพราะฉันเองก็เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน ทำไมถึงไม่รู้เล่ห์กลของพวกหล่อนกันล่ะ แต่ก็นั่นแหละ มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร เพราะงานที่ฉันมอบหมายแต่ละคนไปก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น แถมยังเป็นแผนกที่ดูเหมือนสบาย แต่ก็ไม่ได้สบายขนาดถึงกับสามารถอู้งานนั่งดูซีรีส์ผลาญเวลาได้ขนาดนั้น หน้าที่หลักของฉันคือการกระจายหน้าที่ในแต่ละส่วนให้กับลูกทีม แต่ตัวเองก็มีหน้าที่ในการเฟ้นหาเลขาส่วนตัวให้กับประธานชานนท์ ส่วนหน้าที่ในการรับสมัครงานในตำแหน่งทั่วไปตกเป็นของ ‘อิ้ง’ สาวร่างอวบผู้มีขนมคาปากตลอดเวลา

“หัวหน้าคะ วันนี้น้องบัวไม่เข้างานนะคะ แถมไม่ได้โทร. มาแจ้งลาด้วยค่ะ หนูเลยให้เขาขาดงานนะคะ” เฌอแตม สาวร่างแคระมัดผมหางม้ายาวถึงสะโพกเดินเข้ามารายงาน เธอรับหน้าที่ดูแลเรื่องระเบียบปฏิบัติของพนักงานทุกคนในบริษัท ซึ่งงานรูทีนของหล่อนทุกเช้านั่นคือการเช็กการขาดลามาสายต่าง ๆ เพื่อมาสรุปเงินเดือนส่งไปยังแผนกบัญชี แน่นอนว่าเธอเป็นนักศึกษาไฟแรงจบใหม่และยังเพิ่งเข้าทำงานได้ไม่กี่สัปดาห์ แน่นอนว่าพนักงานใหม่หลายคนมักไฟแรงเสมอ เมื่อเวลาผ่านไปก็คงรู้กันดีว่าประสิทธิภาพในการทำงานลดลงตามกาลเวลาอย่างเห็นได้ชัด

“แสดงว่าวันนี้ก็เป็นวันแรกที่น้องบัวขาดงานสินะ” ฉันทำท่าครุ่นคิดกลบเกลื่อนเพราะบางอย่างในบริษัทซึ่งฉันรับผิดชอบคำสั่งตรงจากท่านประธานมักเป็นความลับสุดยอดเสมอ “ไม่เป็นไรจ้ะ วันนี้วันเดียวก็ให้ขาดงานไปก่อน เดี๋ยวรอดูว่าอีกสองวันเธอจะมาทำงานไหม ถ้าไม่ก็ให้ออกได้เลยจ้ะ เดี๋ยวพี่จะเตรียมหาคนใหม่มาเสียบ”

“แต่การเปลี่ยนเลขาส่วนตัวของท่านประธานนั้นดูไม่ดีต่อภาพลักษณ์บริษัทเท่าไหร่นะคะ” หญิงสาวร่างเล็กแย้ง แววตาแสดงออกถึงความกระตือรือร้นมากมาย ทำเอาอยากสำรอกออกมาเป็นรุ้งกินน้ำ

“ไม่เป็นไรจ้ะ เมื่อกี้พี่ไปคุยกับท่านประธานมาแล้ว” ฉันเดินมานั่งยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งด้วยท่าทางสบายพร้อมกดสวิตซ์เปิดคอมพิวเตอร์ เพราะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร “ถ้าเลขาส่วนตัวของท่านประธานผู้ซึ่งเปรียบดั่งนักรบมือขวาขาดความรับผิดชอบแบบนี้ก็หมดคุณสมบัติแล้วล่ะจ้ะ”

“อ๋อ…ค่ะ” น้องเฌอแตมผงกศีรษะพลางเม้มปากอย่างน่าเอ็นดู หากฉันเป็นเลสเบี้ยนคงจับหล่อนจูบปากเสียตรงนี้ให้ริมฝีปากเขียวเลยคอยดู

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปทำงานเถอะ เดี๋ยวฝ่ายบัญชีตามงานแล้วจะยุ่งอีก” ฉันเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่บรรจงปั้นขึ้นมาเพื่อการนี้ อีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ ก่อนหันหลังกลับไปประจำที่พร้อมรัวแป้นพิมพ์อย่างขะมักเขม้น แตกต่างจากที่เหลืออีกสี่คนราวฟ้ากับเหว

เห้อ…ยอนอูเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศแท้ ๆ แต่ระบบภายในช่างเน่าเฟะไม่มีชิ้นดี ไม่รู้ทำไมถึงยังอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบัน

ช่างเถอะ บริษัทจะเป็นยังไงก็ให้ตามน้ำไป พนักงานเงินเดือนอย่างฉันกินรายได้รายเดือนในแต่ละเดือนที่บริษัทมอบให้ก็ถือว่าบุญแล้ว

“น้องเบนซ์คะ งานอบรมที่ฝ่ายคิวซีร้องขอมาเดินเรื่องไปถึงไหนแล้วคะ?” ฉันเค้นเสียงเอ่ยถาม สร้างความตกใจให้หญิงสาวผมทองติดกิ๊บลายการ์ตูนมากมายจนไม่เหลือพื้นที่ว่างอย่างมาก แววตาของหล่อนเปล่งประกายก็จริง แต่แฝงไปด้วยความลนลาน

HR ผู้แข็งแกร่งจำเป็นต้องเก่งกาจในหลักการจิตวิทยาและการมองคนอย่างเฉียบคม

“อ๊ะ!! เออ…พี่จินคะ พอดีทางนั้นยังไม่ตอบกลับมา” ในระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังลนลานเค้นหาคำตอบ ฉันได้กดเข้าอีเมลของตัวเองอย่างรวดเร็ว จึงพบว่าคำตอบของหล่อนนั้นสวนทางกับความเป็นจริงอย่างเห็นได้ชัด

“พี่ให้ตอบใหม่ค่ะ” ฉันหรี่ตามองน้องเบนซ์ ซึ่งในตอนนี้เริ่มทำตัวไม่ถูก แน่ล่ะ…มาทำงานเกือบสายไม่พอ ไม่กระตือรือร้นอีก แบบนี้น่าให้ใบเตือนสักใบ “ระเบียบของแผนกเราคือการตรวจเช็กอีเมลทุกครั้งก่อนไม่ใช่เหรอคะ?”

“เออ…ค่ะ….อ๋อ!! ทางนั้นตอบกลับมาแล้วค่ะ” เธอรีบคลิกเมาส์อยู่หลายครั้ง ทำเอาฉันถอนใจยาวเป็นครั้งที่ร้อยของวัน

 

ให้ตายสิ…

 

……………….

 

หลังจากที่ต้องทำเสียงยักษ์เสียงมารดุเพื่อให้ได้งานที่มอบหมายไว้ทำเอาต้องกินยาแก้ปวดหัวไปเกือบหมดแผง วัน ๆ เจอแต่ลูกน้องไม่ได้เรื่องแบบนี้จะทำให้บริษัทเติบโตจากภายในได้ยังไง อีกทั้งแผนกอื่นก็เป็นคล้ายกัน สุดท้ายปัญหาร้อยแปดตกมาอยู่กับผู้จัดการแผนกต่าง ๆ เชื่อเถอะว่าหากถึงวันประชุมสรุปผลการดำเนินงานประจำเดือน เหล่าผู้ถือหุ้นและเหล่าบอร์ดบริหารจะต้องตำหนิ นับเป็นวาระสำคัญเลยก็ว่าได้

 

เวลาห้าโมงเย็น ถึงเวลาเลิกงานของเหล่าพนักงานทุกคนในบริษัท ซึ่งนับเป็นเวลาที่พวกเขาเหล่านั้นตรงต่อเวลามากที่สุดแทนที่จะเป็นเวลาเข้างาน

แน่นอนว่ารวมถึงพนักงานทั้งห้าของฉันก็ด้วย พวกหล่อนเริ่มเก็บของใส่กระเป๋าและปิดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์กันในเวลาสี่โมงห้าสิบ ซึ่งก่อนเวลาเลิกงานตั้งสิบนาที หากมองในอีกแง่หนึ่งคือสามารถทำงานเล็กย่อยให้เสร็จทันพอดี แต่ก็นะ…คนทำงานสมัยนี้ช่างเรียงลำดับความสำคัญไม่เป็นจริง ๆ เพียงไม่กี่นาทีผ่านไป ทั้งแผนกเหลือฉันคนเดียวที่กำลังทำงานอย่างแข็งขัน แน่ล่ะ…ฉันเองก็ไม่ได้ต้องการรีบกลับบ้านมากขนาดนั้น ขี้เกียจไปติดแหง็กกับรถติดบนท้องถนน อารมณ์เสียหากเกิดเหตุการณ์อันไม่คาดคิด แถมยิ่งอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ค่าแรงโอทีเพิ่มมากเท่านั้น ฉันเป็นผู้จัดการฝ่าย HR ไม่ว่าจะยังไงก็สามารถเขียนโอทีให้ตัวเองได้อยู่ดี

ฉันทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ถือว่าเป็นช่องทางหารายได้เสริมกึ่งสุจริตและทุจริตในเวลาเดียวกัน

 

กริ๊งงงง~~!!

 

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด ทำเอาสะดุ้งไปเล็กน้อย ฉุดดึงสติกลับมาให้อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อมองไปยังหน้าจอมือถือเห็นว่าเป็น ‘ยามป้อม’ ปกติเขาไม่ค่อยโทร. มาหาในเวลาเลิกงานแบบนี้หากไม่มีความจำเป็น คงอาจเห็นว่าห้องแผนก HR ยังเปิดไฟอยู่ก็เป็นได้

“สวัสดีค่ะ ยามป้อม” ฉันกดปุ่มเขียวเพื่อรับสาย หัวแม่มือจ่อปุ่มสีแดงเตรียมตัดสายหากอีกฝ่ายโทร. มารบกวนการทำงานโอทีอันเงียบสงบ “โทร. มามีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“ขออภัยที่โทร. มา พอดีเห็นห้องแผนกของน้องจินยังเปิดไฟอยู่ แต่มีอยู่ 4 ชั้นที่จู่ ๆ ก็ไฟดับอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยามคนอื่น ๆ กลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือแต่ผมคนเดียวที่อยู่ในห้องควบคุมไฟฟ้า จึงไม่สามารถเดินไปดูทุกชั้นได้ครับ” ยอมป้อมอธิบายเหตุและผลอย่างละเอียด “ยังไงรบกวนขอเวลาคุณจินขึ้นลิฟต์ไปสำรวจยังชั้นที่ผมขอร้องด้วยเถอะนะครับ”

ฉันถอนหายใจยาวก่อนตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก

“ได้ค่ะยามป้อม จะให้ไปดูชั้นไหนบ้างคะ”

“เริ่มจากชั้น 4 ก่อนได้เลยครับคุณจิน ต้องรบกวนด้วยครับ” เขาเอ่ย “ตอนนี้ชั้นนั้นดับมาเป็นชั่วโมงแล้ว ผมก็เพิ่งได้รับรายงานจากลูกน้องมาเหมือนกัน แต่พอคุณจินขึ้นไปถึงแล้วไม่ต้องออกจากลิฟต์นะครับ ตอนนี้ผมกำลังทำการซ่อมแซมอยู่”

“ได้ค่ะ” ฉันตอบรับก่อนลุกขึ้นยืนแล้วยืดเส้นยืดสาย ให้ตายสิ…วัน ๆ เอาแต่นั่งโต๊ะทำงานจนข้อต่อกระดูกทั้งร่างดั่งกรอบแกรบขนาดนี้เชียวเหรอ

บรรยากาศภายในอาคารบริษัทยามค่ำคืนนั้นแสนสงบสงัดไม่มีผู้คนพลุกพล่านเหมือนในเวลาเช้า ห้องทำงานแผนก HR ตั้งอยู่ชั้น G ลึกลงไปจนเกือบสุดทางเดินฝั่งตรงข้ามประตูทางเข้าใหญ่ มีกล้องวงจรปิดจับความเคลื่อนไหวด้วยความร้อนสุดอัจฉริยะ สินค้ายอดขายถล่มทลายของบริษัทยอนอู แน่นอนว่าอุปกรณ์ใช้ภายในบ้านสุดไฮเทคต่างใช้เทคโนโลยีของบริษัทตัวเองทั้งนั้น เพื่อเป็นการทดสอบเบื้องต้นก่อนว่าต้องการการปรับปรุงแก้ไขอะไรหรือเพิ่มเติมฟังก์ชันต่าง ๆ ในตัวผลิตภัณฑ์หรือไม่เพื่อความพอใจสูงสุดของลูกค้า

ฉันมองไปยังกล้องวงจรปิดสีขาวติดอยู่บนมุมตึก ก่อนเดินไปข้างหน้าทีข้างหลังทีพร้อมหัวเราะเบา ๆ เมื่อเลนส์กล้องหมุนขยับตาม นับเป็นช่วงเวลาอันสนุกสนานเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่อนคลายความเครียดลงได้ในระดับหนึ่ง สุดท้ายใบหน้ายิ้มแย้มสดใสแสนหายากราวกับดอกไม้บานในฤดูหนาวกลับหุบลงก่อนเดินลงไปยังลิฟต์ แล้วยกเปิดลำโพงมือถือยกขึ้นมาเสมอริมฝีปากแดงอวบอิ่ม

"พี่ป้อมจะให้หนูไปชั้นไหนบ้างนะคะ?" ฉันถาม การให้บริการช่วยเหลือพนักงานในองค์กรนับเป็นหนึ่งในหน้าที่หลักของฉันเช่นกัน "เมื่อกี้เห็นบอกว่าไปชั้น 4 ของแผนกฝ่ายขายนะคะ"

"ใช่ครับผม ต้องขออภัยที่รบกวนเวลาทำงานของคุณจินนะครับ ไม่รู้ว่าทำไมไฟชั้นเหล่านั้นถึงดับไปได้ แม้ว่าผมจะมีความรู้เรื่องไฟฟ้าไม่มากก็ตาม ผมจะลองแก้ไขเบื้องต้นไปก่อนครับ" ยามป้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทำให้รู้สึกดีขึ้นเมื่อเวลาพูดคุยกับพนักงานระดับล่างกว่าตัวเอง ไม่คิดว่ายามป้อมจะสุภาพขนาดนี้

"ไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูอยู่โอทีพอดี ถ้าหนูยิ่งอยู่ดึกเท่าไหร่ก็ยิ่งได้เงินเยอะเท่านั้นค่ะ" ฉันพูดกึ่งจริงกึ่งเล่น

"อย่างนั้นก็ดีเลยครับ วันนี้ผมคงจะทำให้รายได้ของคุณจินเพิ่มขึ้นสินะครับ ยังไงก็ขอบคุณคุณจินไว้ก่อนเลยก็แล้วกันครับ"

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เป็นหนูต่างหากที่ต้องขอบคุณ"

"งั้นเริ่มจากไปชั้น 4 ก่อนครับผม พอประตูลิฟต์เปิดแล้วถ้าปิดดับก็ขอให้บอกผมนะครับ" ยามป้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบปนง่วนอยู่กับอะไรบางอย่างตรงหน้า “รู้สึกว่าไฟหน้าลิฟต์ของชั้นนั้นจะดับไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ”

ฉันกดปุ่มไปชั้น 4 เมื่อประตูเหล็กหนาเปิดออกจึงเผยให้เห็นความมืดทอดยาวไปอย่างไร้จุดหมาย แม้ว่าตัวเองจะเคยย่างกรายเข้ามายังชั้นนี้เป็นประจำก็ตาม พออยู่ในเวลากลางคืนนั้นดันให้บรรยากาศช่างแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ความเงียบสงัดปกคลุมไปทั่วชั้น รวมถึงความมืดครอบงำ มีเพียงแสงสว่างจากดวงไฟจากตู้โดยสารเท่านั้น ฉันยื่นหน้ามองออกไปสอดส่ายสายตาจนทั่ว ไม่พบวี่แววของแสงสว่าง

“ไฟยังไม่ติดค่ะพี่ป้อม” ฉันบอกเพื่อทำลายความเงียบ สายตายังคงจับจ้องไปยังความดำมืด พลางจินตนาการถึงบางสิ่งบางอย่างราวกับออกมาจากฝันร้ายค่อย ๆ คืบคลานออกมาจากในเงาเหมือนกับในหนังสยองขวัญสักเรื่อง

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนน้องจินลงไปที่ชั้น 2 ทีครับผม” ยามป้อมเอ่ยขอ ฉันจึงทำตามนั้นทันที นิ้วขาวยาวเรียวรีบกดปุ่มปิดประตูเหล็กทันที ในขณะที่กำลังเลื่อนกระทบกันอย่างช้า ๆ รู้สึกเหมือนเห็นเงาดำบางอย่างกำลังเคลื่อนที่มาใกล้ ๆ ผ่านช่องแคบ แต่สุดท้ายจึงสะบัดศีรษะไล่ความคิดบ้า ๆ นั่นออกไป ตึกนี้เพิ่งสร้างเสร็จไม่กี่ปี แถมยังไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น จึงไม่มีทางที่ของอย่างนั้นจะวนเวียนอยู่แถวนี้ ถ้าจะผ่านเข้ามาคงต้องผ่านด่านเจ้าที่ให้ได้เสียก่อน

เมื่อถึงชั้นสอง ซึ่งเป็นโรงอาหาร แน่นอนว่าบรรยากาศชวนสยองไม่ต่างจากเดิม กลิ่นอาหารหอมปนเน่าเหลือลอยมาเตะจมูก ทำเอาหน้าเหยเกไประยะหนึ่ง

“ชั้น 2 ก็ยังไม่ติดค่ะ” ฉันรายงาน

“ของชั้น 2 นี่หนักเลยนะครับ ถ้าอย่างนั้นรบกวนขึ้นไปชั้น 6 ให้ผมทีนะครับ พอดูชั้นนั้นเสร็จแล้วให้กลับลงมาชั้น 2 นี่อีกทีครับ” ยามป้อมขอร้องอีกครั้ง แต่ในคราวนี้ฉันเริ่มสัมผัสกับบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล

“เอ่อ พี่ป้อมคะ ทำไมไม่ซ่อมชั้นนี้ให้เสร็จก่อนแล้วขึ้นไปชั้น 6 ทีเดียวล่ะคะ?” ฉันถามพลางขมวดคิ้ว “ให้ขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้มันเปลืองไฟนะคะ”

“จะทำยังไงได้ล่ะครับ ก็ท่านประธานสั่งมาโดยตรงเลย” ชายวัยกลางคนพูดอย่างช่วยไม่ได้ พออ้างท่านประธานทีไรจึงรู้สึกเหมือนว่าคำสั่งที่ถูกถ่ายทอดมานั้นศักดิ์สิทธิ์ จึงปฏิบัติตามอย่างไร้เงื่อนไข “จะให้ขัดคำสั่งของเจ้านายสูงสุดก็ไม่ใช่เรื่องที่คนฉลาดเขาทำจริงไหมครับ ช่วยผมอีกไม่กี่ชั้นก็เสร็จแล้วครับ ขอร้องล่ะครับ”

“ก็ได้ค่ะ” ฉันถอนใจยาวพลางคิดบ่นกระปอดกระแปดในใจแล้วกดปุ่มปิดลิฟต์พร้อมกดปุ่มชั้นที่ 6 คราวนี้ฉันเลือกเบี่ยงหน้าหันไปทางป้ายประกาศและข่าวคราวภายในบริษัท ซึ่งพนักงานใหม่อีกคนในแผนกของฉันเป็นคนเอามาติด หล่อนถือว่าทำงานดีที่สุดในแผนก แต่ก็ยังถูกฉันติเรื่องของความเรียบร้อยในแต่ละงาน

อีก 2 วันจะมีการอบรมด้านคุณภาพและระบบคุณภาพต่าง ๆ ถึงแผนกคิวซีรับหน้าที่จัดการอบรมในครั้งนี้โดยมีประธานชานนท์คอยสังเกตการณ์ พอคิดถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของท่านประธานก็แอบทำให้หัวใจพองโตเหมือน ๆ กับเหล่าพนักงานสาว ๆ ในตึกสำนักงาน

เมื่อถึงชั้น 6 ซึ่งเป็นส่วนของแผนกไอที โดยเวลากลางวันมักเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีคนเนื่องจากปัญหาด้านคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในบริษัทเกิดขัดข้องเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีเข้าไปกู้สถานการณ์ พอนึกย้อนกลับไปก็แอบหัวเราะในใจนิด ๆ ที่พนักงานบางคนทำงานอยู่ในบริษัทขายอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแห่งยุคระดับประเทศกลับแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์เบื้องต้นไม่เป็น โชคดีที่เคยมีแฟนเก่าเป็นช่างคอมพิวเตอร์มาก่อน เขายอมสอนฉันให้ตั้งแต่แก้ไขปัญหาด้วยโปรแกรมไปจนถึงประกอบคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง ในความเป็นจริงฉันควรไปอยู่แผนกไอทีมากกว่าเสียอีก

"ชั้น 6 ก็ไฟไม่ติดค่ะพี่ป้อม" ฉันรายงาน ดวงตาเริ่มค่อย ๆ ปรับสภาพเข้ากับความมืด อีกทั้งเห็นสภาพอันไม่เป็นระเบียบของเหล่าชายเนิร์ดแว่นตาหนาเตอะจริง ๆ หากสังเกตให้ดีดูเหมือนว่าพวกเขากำลังซุ่มทำโพรเจกต์สิ่งประดิษฐ์อะไรสักอย่าง เพราะดูแล้วแผนกนี้ไม่น่าจะสามารถวิจัยสินค้าของบริษัทได้

"อย่างนั้นเหรอครับ ถ้างั้นรบกวนลงมาชั้น 2 ได้เลยครับ รู้สึกว่าจะติดแล้ว" ฉันทำตามคำขออย่างไม่ลังเล กดปุ่มปิดลิฟต์และเลข 2 ขณะที่ตู้โดยสารกำลังเลื่อนลงไปรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างเคาะเพดานลิฟต์ ร่างกายอันบอบเบาบางสะดุ้งสุดตัวกับเสียงดังอันไม่คาดคิด จนความร้อนแผ่ซ่านไปทั้งร่าง เหงื่อเม็ดโตไหลย้อยไปตามกรอบหน้า เพียงไม่กี่อึดใจ สันหลังถึงเย็นวาบ ขาเรียวทั้งสองข้างสั่นระริก เมื่อถึงชั้น 2 ดวงไฟของโรงอาหารก็สว่างจ้าปัดเป่าความกลัวมลายหายสิ้น ฉันพ่นลมออกทางจมูกราวกับลมกรรโชกเนื่องจากหวาดกลัวจนลืมหายใจ

"ว่าไงครับน้องจิน?" เสียงจากปลายสายทำเอาสะดุ้งเบา ๆ ฉันพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุดก่อนตอบกลับไป "ฟะ...ไฟติดแล้วค่ะพี่ป้อม..."

"โอเคงั้น รบกวนไปชั้น 10 ให้ผมทีครับ" ยามป้อมเอ่ย ซึ่งฉันก็รีบปฏิบัติตามในทันที บอกตามตรงว่าตัวเองทำงานมาที่นี่หลายปี อยู่โอทีจนดึกดื่น แม้กระทั่งนอนค้างในบริษัทมาแล้วหลายครั้งก็ไม่เคยให้ความรู้สึกหวาดกลัวที่นี่มาก่อน

ฉันไม่เข้าใจ....ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ

เมื่อถึงชั้น 10 นั่นทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจไปได้มาก แทนที่จะเผชิญหน้ากับความมืด กลับกลายเป็นแสงสว่าง ชั้นนี้เป็นชั้นสำหรับให้พนักงานขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจ โดยสุดทางเป็นกระจกบานใหญ่มองออกไปเห็นวิวมหานครสุดลูกหูลูกตา เพียงคืนนี้ยามมองออกไปจึงเห็นวิวเมืองกรุงยามค่ำคืนซึ่งสว่างไสวอุดมไปด้วยแสงไฟตระการตาไม่ต่างจากช่วงเวลากลางวัน ฉันเห็นอย่างนั้นจึงโล่งใจ

"ชั้น 10 ไฟไม่เป็นอะไรค่ะพี่ป้อม"

"เยี่ยมเลยครับ คิดว่าผมซ่อมเสร็จตอนที่น้องจินถึงพอดี ต้องขอโทษด้วยนะครับ"

"ไม่เป็นไรเลยค่า ยินดีที่ได้ช่วยนะคะ" ฉันยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ในที่สุดก็จะได้กลับไปยังห้องทำงานซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองได้สักที

"เอ๊ะ! แต่เดี๋ยวครับน้องจิน" ยามป้อมพูดขึ้น "ดูเหมือนว่าไฟฟ้าชั้น 5 จะมีปัญหา ระหว่างกลับไปชั้น 1 รบกวนแวะดูชั้น 5 ให้ทีจะได้ไหมครับ?"

ฉันถอนใจยาว ๆ นึกว่าจะได้กลับไปนั่งเคลียร์งานสบายใจเฉิบ แต่ก็นะ มันเป็นระหว่างทางอยู่แล้ว จะแวะสักหน่อยไม่เป็นไร ถือว่าได้ช่วยเหลือผู้รักษาความปลอดภัยแก่ตึกนี้มาเป็นเวลานาน

เพียงไม่กี่อึดใจ ตู้โดยสารไฟฟ้าพามาถึงชั้นที่ต้องการ ทันทีที่ประตูโลหะหนาเปิดออก จู่ ๆ ก็มีร่างหญิงสาวผมเผ้าสีดำขลับยาวปิดหน้าโผล่มายืนรออยู่หน้าลิฟต์ ฉันสะดุ้งโหยงเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอคนนั้นแต่งตัวด้วยชุดยูนิฟอร์มของบริษัทเรา นั่นหมายความว่าเธอเองก็อยู่โอทีเหมือนกันสินะ สภาพดูเหนื่อยอ่อนแรงอย่างมากเลยด้วย ถ้าจะชวนพูดคุยคงไม่น่าเหมาะเท่าไหร่

เธอเดินเข้ามาในลิฟต์ในท่าทางอิดโรยง่อนแง่นไร้เรี่ยวแรง ก็นะ...บางทีบริษัทนี้ก็ใช้งานพนักงานบางคนหนักหน่วงไปหน่อย ผมเผ้าของหล่อนกระเซอะกระเซิงยาวรุ่งริ่งปิดหน้าปิดตาจนไม่สามารถเห็นใบหน้าได้แม้แต่นิดเดียว ในจังหวะเดียวกันเหมือนตัวเองเห็นดวงตาอันแดงก่ำอันสยดสยองโผล่ลอดเส้นผมนั่น ทำเอาสะท้านเย็นเยือกไปทั้งร่างกาย นิ้วมือทั้งสิบนิ้วแข็งเกร็งชาจนไม่รู้สึกถึงเลือดไหลเวียนอยู่เลย

เมื่อเธอผู้นั้นเดินสวนฉันไปยืนอยู่มุมหนึ่งของลิฟต์ด้านหลังของฉัน รู้สึกได้ถึงไอเย็นยะเยือกลอยมาปะทะใบหน้าทำเอาขนลุกไปหมด

ท่าทางของหล่อนไม่น่าเสวนาด้วยจึงเอ่ยถามคนที่อยู่ปลายสายทันที

“ฮะ…ฮัลโหลยามป้อม…? ยังอยู่ไหม?” ฉันพยายามเกร็งขากรรไกรเพื่อให้พูดได้ถนัดขึ้น

“ผะ…ผม…มะ…ดะ….ยิ….คุ….”

 

ฟุ่บ!!

ตู๊ด!! ตู๊ด!! ตู๊ด!!

 

สายถูกตัดไปแล้ว…

ฉิบหายล่ะสิ…

 

ความกลัวเริ่มครอบงำยิ่งกว่าเดิม ฉันจึงตัดสินใจรีบกดรัวปุ่มชั้นหนึ่งไม่ยั้ง

 

ให้ตายสิ!!

ให้ตายสิ!!

ให้ตายสิ!!!

 

ฉันเอาแต่สบถด่าหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต ทั้งเรื่องของการถูกคลุมถุงชนของพ่อแม่ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วัน สายตาของยามป้อมที่มักจะละลาบละล้วงโลมเลียร่างกายแสนเย้ายวนสัตว์เพศผู้ ประธานชานนท์ผู้มีความลับต่าง ๆ มากมายและลึกลับราวกับแดรกคิวลา จนบางวันฉันเองก็คิดว่าเขาอาจเกิดอยากลงโทษพนักงานด้วยการแปลงร่างเป็นค้างคาวบินไปดูดเลือดพวกเขาจนตายก็ได้ หากยกทฤษฎีนี้ขึ้นมาอาจจะได้คำตอบของการหายตัวไปของน้องบัว รวมถึงเลขาส่วนตัวคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

 

กริ๊ก!

กริ๊ก!!

กริ๊ก!!!

 

เมื่อประตูลิฟต์ได้ปิดลง ฉันได้ติดต่อหายามป้อมใหม่อีกครั้งในทันที

“ขอโทษค่ะ ไม่มีสัญญาณในขณะนี้”

 

ไม่มีสัญญาณ!?

เป็นไปได้ยังไงกัน!?

ฉันมองหน้าจอมือถือ ไม่มีสัญลักษณ์สัญญาณทั้งอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์ขึ้นแม้แต่ขีดเดียว เห็นดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นใจดีสู้เสือ พลางคิดว่าฉันเองก็อยู่ในตู้โลหะนี่มาเป็นเวลานาน หากว่าสัญญาณมันจะขาด ๆ หาย ๆ จนเกลี้ยงเครื่องคงเป็นเรื่องธรรมดา หากว่าขึ้นชั้นหนึ่งเมื่อไหร่ก็ตัวใครตัวมันแล้วค่ะ!! คืนนี้ขอตัวไปอยู่ใต้ผ้าห่มก่อน พรุ่งนี้ค่อยตั้งหลักกันใหม่

แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทำเอาฉันแทบวิญญาณหลุดจากร่างไปเลยทีเดียว เมื่อมอเตอร์ของตู้โดยสารโลหะเฮงซวยดันดึงขึ้นแทนที่จะหย่อนลง ฉันแทบไม่เชื่อสิ่งที่ปรากฏอยู่บนจอ ตัวเลขสีแดงขยับจากเลข 5 เป็นเลข 6 อย่างรวดเร็ว นิ้วมือของฉันยังคงรัวปุ่มเลข 1 ซ้ำไปซ้ำมาพลางนึกภาวนาให้ลิฟต์มันขัดข้องแทนที่จะเกิดขึ้นเพราะสิ่งเหนือธรรมชาติ

จากนั้นไม่นาน ลิฟต์จึงมาหยุดอยู่ที่ชั้น 10 เมื่อประตูได้เปิดออก ดวงตาคู่สวยกลับเบิกขึ้นราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง ทุกสิ่งในชั้นนั้นมืดสนิท มองออกไปมีแสงไฟสีแดงเรืองตัดกับกระจกบานใหญ่ซึ่งมีกากบาทขนาดใหญ่ประทับอยู่ราวกับว่าฉันได้เดินทางมายังโลกที่ไม่รู้จัก กลิ่นเหม็นสาบสางเหมือนกลิ่นเน่าของศพลอยเข้ามาเตะจมูกทำให้ฉันรีบยกมือขึ้นป้องจมูกในทันที

“เหม็นเหรอคะ?” เสียงหญิงสาวฟังดูเนือย ๆ ดังมาจากด้านหลัง

เชื่อเถอะว่าสิ่งที่ฉันทำลงไปหลังจากนั้นนับเป็นการตัดสินใจผิดสุดในชีวิต

“เหม็นสิ อีฉิบหาย!!” ฉันเผลอสบถตอบ แต่แล้วหญิงสาวผมปิดหน้าคนนั้นไม่ได้ตอบอะไร เธอยื่นมืออันเรียวยาว ผิวสีซีดไม่ต่างจากศพพร้อมกรงเล็บอันแหลมคมสีดำสนิทข้ามไหล่ฉันพร้อมข่วนจนเกินแผลฉกรรจ์เลือดไหลย้อมเสื้อเชิ้ตสีขาวกลายเป็นสีแดงสด ความเจ็บปวดแล่นสะท้านไปทั้งร่างจนสติที่หลุดลอยออกไปอย่างปริศนากลับเข้าร่างในเร็วพลัน ฉันเบี่ยงตัวผละออกจากกรงเล็บเปื้อนโลหิตแดง หญิงสาวผมปิดหน้ายกมืออีกข้างเสยผมขึ้นจนเห็นใบหน้าอันบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยแผลขนาดใหญ่ กล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกหาย เหลือไว้เพียงกะโหลกส่วนล่าง ตอนนี้ขากรรไกรส่วนล่างนั้นห้อยต่องแต่งไม่รู้ว่าจะหลุดจากกันเมื่อไหร่ “ธะ…เธอเป็นใคร!? เธอไม่ใช่พนักงานบริษัทเรานี่!!”

ขาของฉันอ่อนปวกเปียกจนแทบล้ม ฉันตัดสินใจหนีอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ ดีดเท้าวิ่งออกตัวสุดแรงเท่าที่ไหว ความเจ็บปวดจากพิษบาดแผลบริเวณไหล่นั้นแล่นซ่านจนต้องกัดฟันแน่นมุ่งหน้าไปยังความมืด

“กรี๊ดดดด!! ใครก็ได้ช่วยด้วย!!” ฉันกรีดร้องราวกับจะเป็นจะตายมือข้างหนึ่งกดแผลเอาไว้เพื่อห้ามไม่ให้เลือดไหลออกมามากกว่านี้ ปล่อยอีกมือห้อยลงตามแรงโน้มถ่วงอย่างไร้เรี่ยวแรง บาดแผลที่ “มัน” ฝากเอาไว้แทบเฉือนกระดูกไหปลาร้าขาดเป็นสองท่อน ฉันรีบสาวเท้าหนีห่างจากลิฟต์จนไปหยุดตำแหน่งซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นกับตึกบริษัท นอกจากหน้าต่างบานใหญ่ถูกทาสีดำเป็นรูปกากบาทขนาดใหญ่ประทับ แถมพื้นยังเต็มไปด้วยศพมนุษย์จำนวนมากนอนเกลื่อนกลาดส่งกลิ่นเหม็นเน่าอบอวลไปทั่วบริเวณ กลับเป็นบริเวณโล่งเหมือนมีบางอย่างขนาดมหึมาชนจนทั้งชั้นหายไปซีกหนึ่งเลยทีเดียว ภายนอกนั้นยังไม่มืดเสียทีเดียว ดูจากสีของแสงอาทิตย์สีแดงฉานพาดกับตัวเมืองแล้วเหมือนเป็นเวลาเย็น

จากตรงนี้มองไปยังเบื้องล่างเห็นเมืองสุดลูกหูลูกตา ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดชอบกล

นี่มันอะไรกัน…ที่นี่มันที่ไหน…?

เมืองทั้งเมืองร้างไปหมด ไม่รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตชนิดไหนเลย แม้แต่สัตว์เล็กอย่างแมลง

“มา~อยู่~ด้วย~กัน~ซี~!! “เสียงอันโหยหวนของผีสาวตนนั้นดังไล่หลัง หล่อนวิ่งตามอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ควรทำยังไงต่อไป มันดูเหมือนสัตว์ป่าขึ้นทุกทีที่ยิ่งเข้าใกล้เรื่อย ๆ ร่างกายของฉันสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว เท้าค่อย ๆ ก้าวถอยหลังจนสุดทาง หากเท้าออกไปมากกว่านี้คงได้ตกลงสู่เบื้องล่างอันมืดมิดไม่เหลือวิญญาณให้ได้ผุดเกิด

ตายอย่างทรมานกับตายรวดเดียวให้จบ…จะเลือกอย่างไหน…?

ไม่มีเวลาคิดให้มาก ตามสัญชาตญาณ ฉันดีดตัวออกไปบนอากาศ กรงเล็บแสนคมอานุภาพร้ายแรงฟันผ่านอากาศ แรงโน้มถ่วงอันมหาศาลดึงร่างอันบอบบางลงสู่เหวนรก ลมแรงปะทะร่างจนเส้นผมโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่ง ผีสาวเล็บยาวค่อย ๆ มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ

ดีแล้วล่ะ…คำถามในใจทั้งหมดในตอนนี้กำลังจะหายไป โลกใบนี้ช่างแสนโหดร้ายทารุณกับฉันเหลือเกิน ฉันหลับตาปี๋พร้อมน้อมรับความตายที่กำลังมาเยือน

เวลาผ่านไปช่างแสนนาน นานจนรู้สึกเหมือนว่าความสูงสิบชั้นกลายเป็นพันชั้น ร่างกายของฉันตกไม่ถึงพื้นเสียที พอลืมตาขึ้นจึงพบกับสถานที่อันไม่แสนภิรมย์ กลิ่นอับชื้นของน้ำเสียโชยไปมารอบตัว สิ่งที่ฉันเห็นนี้เหมือนไม่ใช่ฝันดี แต่ก็ไม่ใช่ฝันร้ายในเวลาเดียวกัน ทุกอย่างเป็นสีเหลือง ไม่ว่าจะกำแพง เพดาน ยกเว้นพรมซึ่งมีสีเขียวแก่ชุ่มน้ำเน่าเหม็นชื้นแฉะน่าขยะแขยง หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์บนเพดานส่งเสียงหึ่ง ๆ จนทำให้บรรยากาศรอบข้างดูไม่น่าไว้วางใจ

ที่นี่มันที่ไหนกันล่ะเนี่ย…?

จู่ ๆ ได้ยินเสียงฝีเท้าลากพื้นไปมา แม้ว่ามันเบามากจนต้องเงี่ยหูฟัง แต่ฉันมั่นใจเต็มร้อยว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด เลือดสีแดงยังคงไหลอาบแขน ฉันจึงฉีกเสื้อเชิ้ตสีขาวสลับแดงพันปิดแผลยามฉุกเฉิน แม้ว่าเหงื่อไคลที่ซึมเข้าไปในเนื้อผ้าสัมผัสกับแผลโดยตรงทำให้รู้สึกแสบแปลบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ยังดีกว่าปล่อยให้ฉกรรจ์กว่าเดิม

ฉันเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อย ๆ พอรู้ถึงสถานที่แห่งนี้อยู่บ้าง ทุกอย่างมันคดเคี้ยวบิดเบี้ยวเหมือนกับอยู่ในอีกมิติพิศวง มันเหมือนตึกสำนักงานที่ไม่มีอุปกรณ์สำนักงานยกเว้นหลอดไฟให้ความสว่าง แต่ยิ่งเดินมากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกว่าอากาศมันลดน้อยลง พอมองยาวออกไปจนสุดสายตากลายเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ จึงพบว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด

ไม่มีน้ำสะอาด ไม่มีอาหาร…

ตายแน่ ๆ ฉัน

 

แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก

 

เสียงฝีเท้าประหลาดใกล้เข้ามาหยุดตรงหน้าฉันอย่างรวดเร็ว พร้อมเข้าโจมตีฉันแบบไร้ช่องว่าง

 

………………..

 

หลังจากคืนนั้น ไม่มีใครพบเห็นคุณจินตนาอีกเลย

 

การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของคุณจินตนาสร้างความแตกตื่นให้กับทั้งบริษัท ทรัพย์สินสิ่งของรวมถึงรถส่วนตัวยังอยู่ที่บริษัท โดยเริ่มจากหนึ่งในพนักงานของแผนกทรัพยากรมนุษย์เห็นว่าของของคุณจินตนายังวางอยู่ที่โต๊ะ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าเธอจะกลับมา จึงไปถามทุกคนในบริษัท ผลปรากฏว่าไม่มีใครพบเห็นเธอเลยนับตั้งแต่เมื่อวาน

มีหลักฐานว่าเธออาจยังมีชีวิตอยู่เพียงหนึ่งเดียวคือภาพกล้องวงจรปิดบริเวณล็อบบี ในภาพนั้นเห็นเธอเดินเข้าไปในลิฟต์ตัวหนึ่งพลางคุยโทรศัพท์กับใครบางคนตลอดเวลา น่าเสียดายที่กล้องไม่สามารถอัดเสียงได้ จึงไม่ทราบแน่ชัดว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่กับใคร อีกทั้งพฤติกรรมของหญิงสาวนั้นกลายเป็นปริศนาถูกส่งไปในกลุ่มสนทนา ทั้งบริษัทจึงเกิดการโต้เถียงกันยกใหญ่ต่าง ๆ นานา จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องราวลี้ลับเมื่อเวลาผ่านไป

โดยเฉพาะตัวต้นเรื่องที่กำลังยืนพิงมุมกำแพงจิบกาแฟราคาแพงซึ่งไม่เข้ากับตำแหน่งเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มแสยะเหยียดอย่างชั่วร้ายภาคภูมิใจกับ ‘ผลงาน’ ของตัวเอง

“ไม่คิดเลยว่านายจะกำจัดเธอด้วยวิธีแปลกประหลาดพรรค์นั้น” เสียงประธานชานนท์ดังมาจากหูฟังบลูทูธซึ่งมีเพียงยามป้อมคนเดียวที่พูดโต้ตอบกับเขาได้โดยไม่มีใครสงสัย

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันสิครับ” ยามป้อมเอ่ย “แค่ไปอ่านมาจากอินเตอร์เน็ตแล้วมันน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ โชคดีที่ตึกเรามีชั้นและทุกอย่างที่จำเป็นต่อการ ‘ทำพิธี’ นั้นลงตัวเหมาะเจาะกันพอดี ไม่มีอะไรที่พอดีไปมากกว่านี้แล้วครับ”

“ก็ดี เงินจะโอนเข้าไปในบัญชีภายในบ่ายนี้ ขอบใจที่ทำงานสกปรกให้ทุกเมื่อ” ประธานชานนท์กล่าว ทำให้ชายหนุ่มชุดผู้รักษาความปลอดภัยสวมหมวกแก๊ปสีดำยิ้มด้วยความยินดี

“เห็นเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ ก็นังนั่นมันขี้เสือกไม่ต่างจากคุณบัวเลยนี่ครับ เห็นทีต้องจัดการสักหน่อยเพื่อไม่ให้มันมาขัดขวางทางเดินของท่านได้”

“แล้วหล่อนจะไปโผล่ที่ไหน?” ประธานชานนท์ถาม

“ว่ากันว่าเป็นโลกคู่ขนานครับ หรือไม่อย่างนั้นก็ตายเพราะถูกผีสาวจัดการ” ยามป้อมซดกาแฟไปอึกใหญ่โดยไม่รู้สึกถึงความร้อนแม้แต่น้อย “หรือไม่ก็ตกลงไปในหลุมมิติซึ่งจะนำไปสู่มิติช่องว่างระหว่างโลกของเรากับโลกคู่ขนานครับ ซึ่งถ้าเป็นผม ผมก็ไม่อยากจะไปสถานที่อันโหดร้ายสักเท่าไหร่”

ประธานชานนท์ฟังอย่างตั้งใจ

“มีการบันทึกจากคนที่กลับมาจากมิติช่องว่างนั่นว่า มิตินั้นไม่ต่างจากฝันร้ายที่สุดของมนุษย์คนหนึ่งจะฝันเห็น แต่ฝันที่ว่านั้นกลับกลายเป็นความจริง ทุกอย่างในนั้นบิดเบี้ยวเหมือนถูกสร้างขึ้นมาโดยสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดและยังเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้ แน่นอนว่าเรื่องพรรค์นี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีอยู่จริง การที่น้องจินหายไปทั้ง ๆ ที่อยู่ในลิฟต์มันไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอนครับ เธอไปยังโลกนั้นแล้วจริง ๆ”

ประธานหนุ่มนั่งฟังอย่างครุ่นคิดว่า ‘ถ้ามิติแบบนั้นมีอยู่จริง เขาเองก็อยากไปเยือนให้ได้สักครั้ง’

“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมัน ข้อมูลแบบนี้น่าจะหามาจากดาร์กเว็บได้ ตอนนี้เราคุยกันมานานเกินไปแล้ว แค่นี้นะ”

“ยินดีครับท่านประธาน”

ทั้งสองกดวางสายพร้อมกัน

เมื่อยามป้อมดื่มกาแฟจนหมดแก้ว เขาหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง

 

มันคือ ‘แหวน’ รูปร่างหน้าตาประหลาด

 

“ด้วยไอเทมชิ้นสำคัญนี้ สามารถพาฉันไปได้ทุกมิติ” ยามป้อมสวมมันเข้าที่นิ้วก่อนกำหมัดแน่น ทันใดนั้นก็เกิดหลุมมิติขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง เขาแสยะยิ้มก่อนหงายหลังหายเข้าไปในประตูมิตินั่น แล้วมันก็ปิดลง “คราวนี้จะไปฆ่าใครดีล่ะ?”

______________________________________

To Be Continue CHAPTER 7