อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย - CHAPTER 7 ยื้อชีพก่อนรุ่งสาง โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี

รายละเอียด

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย โดย นิวไม่จิ๋ว @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา

ผู้แต่ง

นิวไม่จิ๋ว

เรื่องย่อ

เลขาสาวดวงซวยลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บริษัทจึงลากเพื่อนไปเอาในเวลาดึกดื่นโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นคืนสุดท้ายของพวกหล่อน เมื่อพบกับความลับอันดำมืดบางอย่างของบริษัทนี้

สารบัญ

Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 1 เล่นซ่อนหา,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 2 ดิ้งดอง,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 3 พรมสีชาด,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 4 กฎแปลก,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 5 ล่าตัวตาย,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 6 ลิฟต์ทะลุตาย,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 7 ยื้อชีพก่อนรุ่งสาง,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 8 ไซต์กลืนวิญญาณ,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 9 มิติล่ามรณะ,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10 สิ้นหนทางเดิน,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.1 ตัวเลือกที่ 1 : ดิ้นให้หลุด,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.2 ตัวเลือกที่ 2 : เชื่อมั่นในตัวชานนท์,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.3 ตัวเลือกที่ 1 : ขอกาญจนาแต่งงาน,Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตาย-CHAPTER 10.4 ตัวเลือกที่ 2 : ขอบัวแต่งงาน

เนื้อหา

CHAPTER 7 ยื้อชีพก่อนรุ่งสาง

ดวงตาของบัวเบิกโตด้วยความหวาดกลัวจนถึงขีดสุด ขาไม่มีแรงแม้จะลุกยืนอีกแล้ว...

เธอมาได้แค่นี้แล้วล่ะ

"ก่อนที่มีดของผมจะได้ลิ้มลองเลือดของคุณ ผมจะสอนอะไรคุณอย่างหนึ่งก่อน" ชายหนุ่มในชุดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (ที่ไม่ปลอดภัย) กระโดดลงมาจากหลังคารถยนต์แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเหยื่อสาวด้วยท่าทีใจเย็น เขานั่งยองลง จากนั้นก็ยื่นใบหน้าอันบิดเบี้ยวเข้ามาหาเธอจนสามารถสัมผัสถึงกลิ่นลมหายใจเหม็นคาวเลือดได้ เขาจิกเส้นผมของเธอกระจุกหนึ่งแล้วดึงขึ้นทำให้เจ็บหนังศีรษะเหมือนมันจะหลุดออกมา พลางถลึงตาใส่ด้วยความโกรธอาฆาตแค้น

"อย่าเสือกเรื่องชาวบ้าน"

ฉัวะ!!!

โลหิตอันแดงก่ำสาดกระจายเต็มพื้น ร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวนอนจมกองเลือดที่ค่อย ๆ ไหลออกมาจากบาดแผล ดวงตาคู่สวยของเธอเบิกโพลง เพียงเสี้ยววินาทีก่อนสิ้นลมหายใจ เธอมองเห็นแหวนประหลาดวงหนึ่งบนนิ้วของยามป้อมคล้ายกับเป็นอุปกรณ์อะไรบางอย่าง

นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เธอจำได้ก่อนทุกอย่างจะดับวูบสู่ห้วงความมืดแห่งอนันต์ ช่างเป็นดินแดนแห่งความตายสมชื่อ ไม่มีแม้แต่ซ้ายขวาหน้าหลัง มองไม่เห็นแม้แต่นิ้วมือของตัวเองที่กำลังจะทิ่มตาอยู่แล้ว เธอจำได้ว่าตัวเองเคยถูกสอนสมัยเด็กเรื่องนรกสวรรค์ หากใครทำดีก็ขึ้นสวรรค์ หากทำชั่วก็ลงนรก สำหรับ ‘ฉัน’ ผู้ผ่านเรื่องร้ายมามากมายจะถูกตัดสินให้ไปที่ไหนกันนะ ไม่มีประโยชน์เลย…คิดไปก็ปวดหัวเปล่า ๆ ในความเป็นจริงฉันเองก็ไม่รู้ว่ากำลังหายใจอยู่หรือไม่ แต่ไม่รู้สึกถึงฝ่าเท้าแนบกับพื้นเย็น ๆ แม้แต่น้อย ไม่รู้สึกถึงแรงโน้มถ่วงใด ๆ กระทำกับฉันแม้แต่น้อย…

นี่น่ะเหรอ ‘วิญญาณ’ กายเนื้อของฉันใช้การไม่ได้อีกต่อไปเพราะถูกยามป้อมเชือดทิ้ง เพราะตัวเองดันไปเห็นฉากหนังตอกกันสด ๆ ในห้องท่านประธานเนี่ยนะ…เหอะ ๆ เป็นใครก็อยากปิดปากผู้เห็นเหตุการณ์กันทั้งนั้น หากฉันได้เอากับท่านประธานชานนท์ในห้องนั้นแล้วคุณจินตนามาเห็นโดยบังเอิญก็อยากจะฆ่าทิ้งเช่นกัน

ให้ตายสิ นี่ฉันคิดอะไรอยู่ได้ ตายไปแล้วถือว่าหมดทุกข์หมดโศก ไว้ชาติหน้าเจอกันใหม่นะคะ ท่านประธานสุดหล่อ อย่างน้อยเราสองคนน่าจะได้เกิดเป็นหมา เมื่อเวลาฤดูผสมพันธุ์เราจะได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างเสียวซ่าน

.

.

.

“ช่างเป็นคนตายที่คิดเยอะอะไรเช่นนี้” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นภายในหัวของตัวเอง ทำฉันหันไปมองโดยรอบตามสัญชาตญาณทั้ง ๆ ที่หันไปทางไหนก็พบแต่สีดำทะมึน

“….” ขากรรไกรของฉันขยับพะงาบก็ตาม แต่กลับไม่มีเสียงออกมาแม้แต่แอะเดียว แน่ล่ะ เป็นวิญญาณจิตกายละเอียด ไร้กายเนื้อ ย่อมสูญเสียความสามารถบางอย่างอยู่แล้ว แต่แปลกที่ไม่สูญเสียความคิดไป

“วิญญาณเขาไม่พูดกันหรอก เราสื่อสารกันทางจิต” เสียงนั่นดังเข้ามาในหัวอีกครั้ง

แล้วจะทำได้ยังไงล่ะ…?

ฉันไม่เคยใช้โทรจิตมาก่อนนี่

“ก็ที่เจ้าทำเมื่อกี้ยังไงล่ะ การคิดคือการกำหนดจิตให้พูดออกไปผ่านทางกระแสอากาศ เรียกว่า ‘จิตวิญญาณ’ ตอนนี้ถือว่าเจ้าสามารถสื่อสารทางจิตได้แล้ว ตอนนี้เรามาเข้าเรื่องของเราก่อนดีกว่า” เสียงนั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง ฉันไม่รู้แน่ชัดว่าเขาเป็นใครและต้องการอะไรจากฉัน “ถ้าจะคิดก็คิดให้มันเบา ๆ หน่อย แค่นี้ก็เหมือนเจ้ามากระซิบอยู่ข้างหูแล้ว”

“ขะ…ขอโทษค่ะ….”

“เรื่องนั้นช่างไปก่อน เรายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณา” เสียงนั้นเอ่ยอย่างเป็นงานเป็นการกว่าเดิม ชวนให้จิตใจของฉันไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว ความทรงจำก่อนตายยังคงชัดเจน นั่นเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ได้เห็นภาพสีแทนที่ความมืดดำทะมึนน่าสยดสยอง “ชื่อกมลาภาสินะ ตลอดเวลาที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ต่างพบเจอแต่เรื่องเฉียดตายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ที่โหดร้ายที่สุดก็คงจะเป็นสองครั้งล่าสุดสินะ ให้ตายสิ แกเป็นใครกันล่ะเนี่ย…? ข้าไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อนในชีวิต”

เสียงของคนผู้นั้นเปล่งออกมาในโน้ตสูง ทำเอาฉันงุนงงตั้งแต่เรื่องต้องพิจารณาแล้ว

“อะไรเหรอคะ? ดิฉันทำผิดอะไร แล้วนี่เป็นปรโลกหรือเปล่าคะ?” ฉันยิงคำถามโดยไม่ได้สังเกตบรรยากาศ แน่ใจ ตาบอด เป็นใบ้ขนาดนี้มีเพียงแต่จิตอย่างเดียวที่สามารถสื่อสารได้ คำถามมากมายพรั่งพรูราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก “ได้โปรดเถอะ ตอบดิฉันด้วย!!”

“เงียบเดี๋ยวนี้!!” เสียงอันทรงพลังคำรามก้องจนรู้สึกถึงคลื่นสั่นไหวบางอย่างสะเทือนอยู่ภายในหัว ทำเอามึนอยู่ชั่วครู่ก่อนกลับมาเป็นปกติ “เจ้าไม่ควรพูดแทรกข้าอย่างไร้กาลเทศะอย่างนี้”

“ขอโทษได้ปะเล่า!!” ฉันตะคอกจิตกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว “ฉันไม่ได้เข้าออกที่นี่เป็นเซเว่นนะโว้ย!!”

“ก็เจ้าตายไปแล้ว คิดว่าที่นี่เป็นเซเว่นหรือไง!? เมื่อกี้เพื่อนเจ้าก็มาแล้ว ข้าก็ตัดสินให้มันไปลงนรกข้อหาปากมาก ให้มันไปดื่มน้ำซุปในกระทะทองแดงให้เข็ด!!”

“มิลินงั้นเหรอ!?” ฉันเบิกตาโตแม้ไม่ช่วยอะไรก็ตาม

“มาเข้าเรื่องของเราก่อนดีกว่า ความจริงเจ้าถือว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง เพราะในบัญชีหนังปีศาจเล่มนี้มีเขียนชื่อเจ้าแล้วสองชื่อ” สิ่งที่เสียงนั่นเปล่งออกมาทำเอาฉันผงะ ในทีแรกไม่เข้าใจและไม่ได้เอะใจแต่อย่างใด แต่หากคิดดี ๆ แล้วล่ะก็…

“ใช่…เจ้าเคยตายไปแล้วสองครั้ง ครั้งล่าสุดนี่เป็นครั้งที่สาม ครั้งแรกก็เมื่อครั้งสวนสัตว์ผีสิง ครั้งที่สองก็ในเขาวงกตตอนสมัครงาน ส่วนหลังสุดท้ายก็…อืม…ถูกยามในที่ทำงานฆ่าตายอย่างนั้นรึ ไม่ดีเลย ไม่ดีเลย แค่ชีวิตเดียวคนอื่นเขารักษากันแทบตาย แต่นี่เจ้ากลับทำสูญไปตั้งสามชีวิตเชียวเหรอ?” เสียงปริศนาเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ช่างน่าอดสูยิ่งนัก ให้ตายสิ”

สามชีวิต…?

“ฉันไม่เข้าใจ สามชีวิตนี่มันหมายความว่ายังไง?” ฉันยิงคำถามเข้าไปอีก ทั้ง ๆ ที่คำถามแรกยังไม่ถูกตอบ

“เจ้าตายแล้วมาอยู่ในปรภพ ข้าคือ ‘ยมบาล’ คอยพิพากษาบาปอันแน่นหนาของเจ้า” เขาตอบไม่ตรงคำถามล่าสุด กลับตอบคำถามก่อนหน้าแทน “เจ้ามาที่นี่เหมือนดวงวิญญาณทุกดวง และการที่เจ้าไม่สามารถมองเห็นข้านั่นแสดงว่าเจ้ายังขาดดวงตาเห็นธรรมอยู่นั่นเอง”

“ฉันไม่เข้าใจเรื่องพวกนั้นหรอก ตอนนี้เข้าใจได้อย่างเดียวว่าฉันตายไปแล้ว แต่ที่ยังคาใจคือ ‘สามชีวิต’ ที่ท่านบอก ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ค่ะ” ฉันพยายามปรับเปลี่ยนสรรพนามและกิริยาท่าทางเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าพระเจ้ายังไม่อยากให้เจ้าถูกตัดสิน” ยมบาลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “เรื่องนี้ข้าขอไม่ยุ่งก็แล้วกัน ให้ไปคุยกับท่านเอง นั่นคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าคุยกับข้าผู้น้อย”

สิ้นเสียงท่านยมบาล ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่หนึ่งอย่างรวดเร็วราวกับว่าเป็นความฝัน

ใช่…มันอาจจะเป็นความฝันจริง ๆ ก็ได้ เหตุการณ์เหล่านี้ช่างแฟนตาซีเหลือเกิน ดีไม่ดีเรื่องก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะเป็นภาพเหตุการณ์สะเทือนขวัญของยามป้อม ความตายของมิลิน และเรื่องราวอื่น ๆ คงเป็นความฝัน ฝันร้ายอันยาวนาน…

“ไม่ใช่ความฝันหรอกสาวน้อย” เสียงทุ้มแต่กลับนุ่มนวลอย่างน่าประหลาดเอ่ยขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนนอนหลับไหลอยู่บนปุยเมฆราวกับมีเวทมนตร์คลายทุกอย่างลงไม่ต่างจากยกโลกทั้งใบออกจากอก “เจ้าคงเจอมาเยอะก่อนจบชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย ข้ามองอนาคตและวางแผนมาเสียดิบดี แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าโครงการชีวิตของเจ้าถูกขัดขวางจนล่มไม่เป็นท่า ข้าก็ทำได้เพียงถอนหายใจได้เท่านั้น” เสียงนั่นเอ่ยด้วยความเสียดาย สร้างความงงงวยแก่ตัวเองเพิ่มมากขึ้น

"ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เหมือนโผล่เข้ามาในหนังกลางเรื่องเลยค่ะ" ฉันยิ้มแหย "หลังจากนี้ดิฉันจะต้องทำยังไงเหรอคะ?"

"ตอนแรกข้าคิดว่าจะส่งเจ้าไปนรกเพื่อชดใช้กรรม แต่อีกความคิดหนึ่งก็อยากทดสอบเจ้าด้วยเหมือนกัน"

เป๊าะ!!

เสียงดีดนิ้วดังขึ้นพร้อมปาฏิหาริย์อย่างบางเกิดขึ้น โลกทั้งใบค่อย ๆ สว่างขึ้นอีกครั้ง ไม่มืดบอดอีกต่อไป เจ้าของเสียงปรากฏขึ้นเด่นชัดต่อหน้า เป็นชายร่างยักษ์หนาและกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาไม่ต่างจากดาราเกาหลีแต่กลับมีผิวหนังสีแดงชาดพร้อมรอยสักอักขระประหลาดสีทองทั่วร่างกายดั่งชุดเกราะ ดวงตาสีดำทะมึนไม่เหลือส่วนสีขาวแม้แต่น้อย เขาเปลือยกายทั้งร่าง แต่กลับไม่มีอวัยวะเพศ เครื่องประดับไม่ว่าจะเป็นกำไลข้อมือ ข้อเท้า แหวน สร้อยต่าง ๆ ล้วนทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ สูงค่าเปรียบดั่งสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมเลยก็ว่าได้

ให้ตายสิ ถ้าเอาทั้งหมดนี่ไปขายจะได้สักเท่าไหร่กันนะ

"จริง ๆ เอาแต่คิดในหัวแต่เรื่องเงินทองแบบนี้ไง ข้าถึงอยากจะเอาลงนรกเสียให้หมด แต่ของเจ้ามันกรณีพิเศษ" ท่านยมพูดด้วยประโยคปริศนา "วิญญาณของเจ้าติดแท็กให้ถูกพิพากษา จึงยังไม่สามารถไปสวรรค์หรือนรกได้"

"ก็หนูตายไปแล้วนี่! จะไม่ให้ไปทั้งสองที่เลยเป็นไปได้งั้นเหรอคะ?" ฉันไม่เข้าใจในคำพูดแปลกประหลาดจากปากของท่านยม "แต่ถ้าหนูมีสิทธิ์เลือกได้ก็ขอไปนรกดีกว่าค่ะ"

"ไม่คิดจะไปสวรรค์เลยงั้นเหรอ?" ท่านยมขมวดคิ้วเข้มหรี่ดวงตาอันคมบาดใจมาทางฉัน

เอาจริงคงจะรู้เหตุผลกันดีอยู่แล้วเนาะว่าทำไมสวรรค์ถึงโล่งกว่านรก

ก็เพราะท่านยมแซ่บขนาดนี้ยังไงล่ะ!!

"ไม่ได้มีเหตุผลจำเป็นขนาดนั้นหรอกค่ะ" ฉันหลบตาอีกฝ่ายพลางใช้นิ้วม้วนเส้นผมเล่น แต่เหมือนท่านยมจะรู้ตัวจึงกระแทกกำปั้นลงกับพนักวางมือเสียงดังอย่างโกรธเกรี้ยว...เวรกรรม ลืมไปเลยว่าเขาสามารถอ่านใจเราได้

"เหตุผลในหัวเจ้ามันช่างอัปรีย์ยิ่งนัก ไม่คิดว่าสาวสวยอย่างเจ้ามีความคิดสกปรกขนาดนี้ ไม่แน่ถ้าเจ้าผ่านการพิพากษามาได้ ข้าก็อาจให้เจ้าไปนรกดังหวังเลย!!" ท่านยมผิวแดงยิ่งเปล่งประกายออร่าทุกครั้งที่โกรธ นั่นยิ่งทำให้กล้ามเนื้อไต้ผิวหนังยิ่งเด่นชัดขึ้นจนทำเอาฉันแทบน้ำลายหกกันเลยทีเดียว อีกฝ่ายพยายามตะคอกใส่ด้วยน้ำเสียงทรงพลัง แต่ฉันกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด ก็นะ...ทำงานในบริษัทที่มีแต่พนักงานชายไม่ผ่านคิวซีลงมาเกิดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนอ้วนจนกระดุมเสื้อปริ คนแก่เจนวายที่วัน ๆ เอาแต่ไม่ทำอะไร กินเงินเดือนบริษัทจนแทบอยากเอาออก แถมส่วนมากดำรงตำแหน่งพนักงานอาวุโสซึ่งยากรับมือเป็นทุนเดิม รวมถึงคนผอมจัดจนหนังหุ้มกระดูก ไม่มีแม้แต่กล้ามเนื้อและไขมัน แน่นอนว่าความคิดของฉันในตอนนี้โคตรเหยียด

แต่ทำไมอะ...ก็กูไม่ชอบของกูนี่!!

"ว่าแต่จะให้หนูไปที่ไหนต่อเหรอคะ?" ฉันถาม

"เจ้าต้องไปที่มิติ 'มิดเดิลเวอร์ส' ที่นั่นกาลเวลาจะแตกต่างจากโลกของเจ้าและที่นี่โดยสิ้นเชิง ข้าจะอธิบายให้ฟังง่าย ๆ เวลาของโลกมนุษย์ 1 ชาติ = 100 ปี ก็เท่ากับที่นี่ 1 วัน 10 วินาทีของที่นี่จึงเท่ากับ 1 วันของมิติมิดเดิลเวอร์ส" ท่านยมอธิบายด้วยท่าทางสุขุมใจเย็นแตกต่างจากความเกรี้ยวกราดเมื่อกี้อย่างเห็นได้ชัด "นั่นหมายความว่าหากข้าส่งเจ้าไป อีก 10 วินาทีหรือไม่เกิน 1 นาทีข้าก็รู้ผลพิพากษาแล้ว"

"มันแฟนตาซีเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ" ฉันถอนใจยาว "ก็นะ...คนตายตายไปแล้วไม่มีใครฟื้นขึ้นมาบอกได้หรอกว่านรกสวรรค์เป็นยังไง คิดว่าถ้าฉันฟื้นคืนชีพขึ้นมาอาจจะไปเขียนหนังสือสักเล่มแล้วเปิดเผยว่าท่านยมหล่อขนาดไหน ไม่แน่สาว ๆ ทั้งประเทศคงจบชีวิตตัวเองเพื่อมารุมท่านแน่นอน"

"ความคิดของเจ้าช่างบัดสีบัดเถลิงเกินเยียวยายิ่งนัก! เอ้า! จะไปไหนก็ไป! อีกไม่เกิน 1 นาทีเจอกัน!!" ท่านยมหมดความอดทนจึงยื่นออกมาด้านหน้า แสงสีทองเรืองครอบทั้งฝ่ามือและเกิดกระแสไฟฟ้าสถิตจนเห็นเป็นสายฟ้า ช่างน่าอัศจรรย์เหมือนที่เห็นในหนังเลยทีเดียว

ไม่กี่อึดใจต่อมา วิญญาณของฉันเหมือนถูกกระชากหลุดไปอยู่สถานที่แห่งหนึ่ง เหมือนละครเวทีเปลี่ยนฉากกันเอาดื้อ ๆ บรรยากาศรอบข้างมืดมนหดหู่ รอบข้างเป็นต้นไม้รายล้อมมากมาย คาดว่าเป็นป่าใหญ่ แน่นอนว่ากายเนื้อของฉันคงถูกสร้างใหม่จากอะไรสักอย่างจึงสามารถสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นยะเยือกและความชื้นมากมายในอากาศ ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจนต้องยกมือป้องจมูกพร้อมใบหน้าเหยเก

"มิติบ้าอะไร กลิ่นหอมรุนแรงใช้ได้" ฉันพูดประชดประชันพลางขมวดคิ้ว "ทีนี้...จะพิพากษาฉันยังไงกันล่ะ?"

จู่ ๆ สายตาเหลือบไปเห็นแสงไฟรำไรไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่ ในทีแรกฉันไม่มั่นใจว่าควรไปที่นั่นหรือไม่ แต่ด้วยสัญชาตญาณของตัวเองกลับสั่งให้รีบไปก่อนอะไร ๆ จะแย่ลงไปมากกว่านี้ ฉันตัดสินใจเดินไปตามแสงนั่นไปเรื่อย ๆ โดยที่ตัวเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปเจอกับอะไร ภายในใจต่างปลงต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึงเพราะตัวเองตายไปแล้ว ถ้าจะตายซ้ำก็คงไม่เหลือเศษเสี้ยววิญญาณให้นึกคิดอะไร จากนั้นคงกลับสู่ความว่างเปล่า

"บัว?" เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น ทำเอาฉันหยุดชะงักไปชั่วครู่ สายตามองตรงไปยังกองไฟที่กำลังลุกโชนโดยมีใครบางคนนั่งล้อมรอบมันอยู่ ฉันไม่ได้สังเกตว่าอีกสองคนที่เหลือเป็นใคร แต่มั่นใจได้อย่างเดียวว่าคนที่เรียกชื่อฉันคนนั้นคือ 'มิลิน' อย่างแน่นอน

"มิลิน...มิลินใช่ไหม?" ดวงตาของฉันเบิกโพลง อีกฝ่ายได้ยินเสียงตอบรับ ทำให้ยืนยันอะไรบางอย่างได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

หญิงสาวนางนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้ท่อนไม้ต่างพุ่งเข้ามาสวมกอดฉันในทันที ตอนนี้ความคิดของฉันในหัวต่างตีกันมั่วไปหมด เราพรากจากกันอย่างไม่มีวันกลับไม่ถึงชั่วโมง ไม่มีเวลาให้ไว้อาลัย ไม่มีเวลาให้เสียใจเพราะยามป้อมกำลังไล่ล่า เมื่อนึกถึงฆาตกรสุดโรคจิตคนนั้นขึ้นมาทำให้ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้เราอยู่คนละมิติกับมันแล้ว มันคงไม่สามารถตามมาฆ่าเราอีกครั้งในมิตินี้ได้หรอก

“บัว…ถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ นั่นก็หมายความว่าเธอตายแล้วงั้นเหรอ?” มิลินถามพร้อมดวงตาคู่สวยเบิกโตพร้อมมีน้ำตาไหลอาบแก้ม “ทำไมกัน…”

“อย่าได้เป็นห่วงเลย ตอนนี้เราสองคนต่างไปสบายกันแล้วล่ะ” ฉันยอมรับเลยว่านี่เป็นคำปลอบใจที่แย่ที่สุดในชีวิตเพราะไม่สามารถคิดประโยคได้ทันเวลา รูปประโยคจึงออกมาดูแปลกไปหน่อย จากนั้นฉันจึงเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่เราต้องเข้าร่วมการพิพากษานี่ มันจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่ล่ะ?”

เมื่อมิลินและหญิงสาวอีกคนได้ยินคำถาม ต่างคนจึงหน้าถอดสีเห็นได้ชัด ฉันมองเห็นสีหน้าของเพื่อนสนิทจึงรู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้น?” ฉันถามพลางมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยของอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้เธอออกจะปากจัดปากแซ่บกว่านี้ แต่นี่กลับเปลี่ยนไปคนละคนอย่างน่าประหลาด “ทำไมถึงดูไม่ปกติขนาดนี้ล่ะ? ใครทำอะไรเธอกันแน่?”

“…” ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย

“ใจเย็น ๆ ก่อนนะเด็กใหม่ มานั่งล้อมกองไฟก่อน กองไฟพวกนี้ทำให้พวกปีศาจ ‘เอนทิตี้’ เข้ามาไม่ได้หรอก” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นพลางกวักมือเรียก

“เอนทิตี้เหรอคะ?” ฉันทวนคำพลางขมวดคิ้วในปริศนาอีกส่วนซึ่งรอให้มันปะติดปะต่อกันกลายเป็นภาพเดียว ในระหว่างที่สมองของฉันกำลังประมวลผล จู่ ๆ หางตาของฉันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในเหล่าแมกไม้ เมื่อหันไปมองกลับไม่พบอะไร แต่สัญชาตญาณของฉันกลับกรีดร้องให้เข้าไปอยู่ใกล้กองไฟนั่นเสีย

ไม่ว่าจะเป็นทั้งสถานการณ์และบรรยากาศช่างดูเหมือนผู้หญิงสี่คนมาแคมปิงบนดอยอย่างไรอย่างนั้น เสียงสะเก็ดไฟดังออกมาจากกองไฟซึ่งเป็นเพียงแสงสว่างอย่างเดียวในมิติอันมืดมนแห่งนี้ สาวแปลกหน้าอีกสองคนต่างแนะนำตัวเองต่อสมาชิกใหม่

คนแรกนั่งฝั่งซ้ายมือ ชื่อว่า ‘มันนา’ เป็นสาวอายุสามสิบต้น ๆ รูปร่าง หน้าตา และผิวพรรณดี ผมดำขลับ แต่งตัวด้วยชุดเบลเซอร์กระโปรงทรงเอสีเทาโทนสว่าง ลุคให้ทรงพนักงานเงินเดือนเหมือนกับฉันก่อนตาย ส่วนอีกคนนั่งอยู่ตรงข้ามชื่อ ‘แอม’ หล่อนน่าจะดูอายุเยอะที่สุดในกลุ่มเลยก็ว่าได้ จากที่ได้ทราบอายุว่าอยู่เลขสี่แทบทำให้ฉันต้องเอามือทาบอก คิดว่าอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน

ตามประสาคนตายที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงชั่วโมงจึงเกิดเดตแอร์ ไม่รู้ว่าจะคุยอะไร จึงเป็นที่มาของหัวข้อ 'ตายได้ยังไง?' เริ่มจากมิลินที่เสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรในบริษัทของฉันฆ่าตายอย่างทุกข์ทรมานหลังจากต้องมาเป็นเพื่อนฉันเพื่อเอาเอกสารการประชุม ส่วนฉันเล่าว่าถูกยามรักษาความปลอดภัยฆ่าตายหลังมิลินเพียงชั่วครู่ ส่วนคุณมันนาไม่สามารถจดจำเรื่องราวการตายของเธอได้ หล่อนให้ข้อมูลว่า 'อาจเป็นความทรงจำขาดช่วง' ซึ่งเธอได้เอ่ยถึงทฤษฎีการตายได้สยดสยองยิ่งกว่าเรื่องผีในยูทิวบ์อีกว่า 'อาจจะเกิดจากการตายนั้นเป็นการทำให้วิญญาณฉีกขาดออกจากร่างกาย แต่วิญญาณของหล่อนนั้นกลับฉีกขาดออกมาไม่ครบ จึงส่งผลให้ความทรงจำบางส่วนไม่สามารถติดมาด้วย' ซึ่งแน่นอนว่าเป็นทฤษฎีที่น่าสนใจเลยทีเดียว

"ส่วนของฉันก็ถูกเพื่อนบ้านที่ชื่อป้อมฆ่าตายน่ะค่ะ" สิ่งที่พี่แอมพูดออกมานั้นชวนให้ฉันกับมิลินมองหน้ากัน ชื่อของฆาตกรนั้นเรายังจำกันได้ดีและไม่มีวันลืมไปอย่างแน่นอน

"ป้อมที่ว่านี่...ใช่ยามป้อมที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทยอนอูใช่ไหมคะ?" ฉันถามด้วยความอยากรู้ จู่ ๆ สารอะดรีนาลินก็สูบฉีดไปทั่วร่างกาย ไม่ใช่ว่าฉันอยากเอาร่างกายเข้าปะทะกับเจ้าฆาตกรนั่น แต่มันเป็นความกลัวต่อดวงตาของมันซึ่งเหมือนกับไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์

"ใช่ค่ะ ว่าแต่พวกนี้หนูรู้ได้ยังไงเหรอคะ?" พี่แอมถามขึ้นพลางขมวดคิ้ว นึกถึงวันสุดท้ายที่มีชีวิต ตอนนั้นหล่อนจำได้ว่าพี่ป้อมสุดที่รักคนนั้นถือถุงกระสอบปุ๋ยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวสีแดงบางอย่าง เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงเบิกตาโตด้วยความตกใจขวัญหนีดีฝ่อไปหมด "ยะ...อย่าบอกนะว่าร่างของพวกหนูสองคนอยู่ในถุงกระสอบพวกนั้น..."

"หนูไม่รู้หรอกค่ะ ว่าแต่ถ้าข้อมูลคนฆ่าของเราสามคนเป็นเรื่องจริง ผนวกกับข้อมูลที่พี่แอมให้มา นั่นหมายความว่าพี่แอมน่าจะเสียชีวิตหลังหนูอีก แต่ทำไมพี่แอมถึงมาอยู่ตรงนี้ก่อนล่ะคะ?" ฉันตั้งคำถามขึ้นมา

"ไม่รู้สิ พอตายปุ๊บก็มาอยู่ตรงนี้เลย แล้วเจอกับหนูมิลินและหนูมันนานี่แหละ" พี่แอมบอกพลางมองไปยังสาวร่างเล็กที่กำลังนั่งกอดเข่า "น่าสงสารเธอเหมือนกันนะ จำไม่ได้แม้เหตุการณ์การตายตัวเอง แต่ก็ถือว่าดีที่ไม่มีประสบการณ์อันเลวร้ายแบบนั้น"

"หนูว่าเรื่องนั้นช่างไปก่อนเถอะ" ฉันเกิดฉุดคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ อีกทั้งยังสำคัญต่อสถานการณ์ในตอนนี้อีกด้วย "เรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้กันคะ แล้วเรากำลังรออะไรกันอยู่ล่ะ?"

"เรากำลังรอ 'เอนทิตี้' กันอยู่ เพื่อที่เราจะได้เล่นเกมซ่อนหากับมัน" พี่แอมเริ่มพูดขึ้นดังนั้นทำให้ตัวเองรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น แม้ยังไม่รู้ที่มาที่ไปก็ตาม

“เอนทิตี้มันคืออะไรกันแน่?” ฉันถามออกมาด้วยความสงสัย

“เอนทิตี้คือสิ่งมีชีวิตปริศนาภายในมิตินี้ พวกมันไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานและไม่ใช่มนุษย์ พวกมันเฝ้ามองพวกเราอยู่ในความมืด จมูกของพวกมันได้กลิ่นคาวเลือดซึ่งกำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายไม่ต่างจากถุงโลหิตดี ๆ นี่เอง” มันนาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง แววตาสะท้อนแสงเปลวไฟลุกโชติช่วงเผยให้เห็นความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่ภายใน จากนั้นเธอเงยหน้ามองพวกเรา "ฉันมาก่อนพวกเธอทั้งหมดและได้เล่นเกมซ่อนแอบกับหนึ่งในเอนทิตี้มาแล้ว ฉันไม่รู้หรอกว่าเกมนี้มันมีความหมายอะไรกับพวกมันถึงขนาดทุ่มเทเอาเป็นเอาตายเพื่อชนะให้ได้"

ฉันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความติดขัด ไม่อยากเชื่อว่าเกมบ้าบอสำหรับเด็กเล่นมันตามหลอกหลอนไปยันปรโลก

"เป้าหมายของพวกมันคืออะไรล่ะ?" ฉันถาม เสียงสั่นครือเล็กน้อย หางตาไปสบกับดวงไฟสีขาวเล็ก ๆ ดั่งดวงตาที่กำลังจับจ้องมองมาทางเรา แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่คู่เดียว แต่มีจนนับไม่ถ้วน พวกมันไม่ส่งเสียงแต่อย่างใด กลับจ้องมองเราอย่างเงียบเชียบราวกับกำลังศึกษาพฤติกรรมของเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น คำถามของฉันหายไปกับสายลม ไม่มีใครเอ่ยคำตอบออกมาแม้แต่คนเดียว

"ฉันเองก็เล่นเกมนั้นมารอบหนึ่งแล้วก็ตาม ความยากของมันแทบไม่สามารถมีชัยเหนือมันได้เลย" มิลินบอกด้วยน้ำเสียงสั่น มือของหญิงสาวเย็นวาบและซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด แม้เปลวไฟดวงใหญ่ตรงหน้าก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้น ดวงตาของเธอเบิกโตก่อนยกมือทั้งสองข้างกอดอกอย่างเสียขวัญ "มันเป็นเกมแห่งความตายและฝันร้าย ฉันยอมลงนรกดีกว่าต้องมาเจออะไรแบบนั้น สำหรับที่นี่ความตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของความบันเทิงของพวกเอนทิตี้ ใครถูกเอนทิตี้จับได้จะต้องถูกทำร้ายอย่างทารุณ ทุกข์ทรมานต่อเสียงหัวเราะอย่างบ้าระห่ำในขณะที่มันกำลังวิ่งไล่ล่าเอาชีวิต มันเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีทางตื่นไปตลอดชีวิต"

ฉันเข้าไปโผกอดเพื่อนรักพลางคิดถึงเหล่าเอนทิตี้ประหลาดที่ซ่อนอยู่ในความมืด สัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในลมหายใจของพวกมัน แม้ว่าจะอยู่ไกล แต่ลมปริศนาได้โชยกลิ่นเหล่านั้นมาเตะจมูกชวนสะอิดสะเอียน

"ตอนนี้เราต้องทำอะไรต่อ?" ฉันเอ่ยถามขึ้นแล้วพยายามข่มใจให้แกร่งขึ้น "จะให้นั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไม่ได้นะ เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อออกไปจากที่นี่"

"แล้วเราจะไปอยู่ไหนล่ะคุณบัว?" พี่แอมถามพลางขมวดคิ้ว "พวกเราสี่คนน่ะตายไปแล้ว กายหยาบของเราในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงไปแล้วบ้าง อย่างของน้องมันนาในตอนนี้เหลือเพียงโครงกระดูก แถมวิธีกลับไปก็ไม่มี พวกเราถึงติดแหง็กอยู่อย่างนี้ไง"

"มันต้องมีทางออกไปจากที่นี่สิ" ฉันขมวดคิ้วพลางไขปริศนาซึ่งมีเบาะแสให้ไม่มาก "มันต้องมีจุดประสงค์ของการเล่นเกมซ่อนแอบนี่ เพราะจากที่เห็นก็คือ หากแพ้ก็ถูกส่งกลับมาที่นี่ถูกไหม?"

ทุกคนพยักหน้า

"ฉันมั่นใจว่าถ้าเราแพ้อยู่อย่างนี้ ก็ต้องถูกพากลับมาที่นี่แล้วถูกพากลับไปเล่นอีกครั้งแบบไม่รู้จบ" ฉันหันไปมองดวงตาของเอนทิตี้ตัวหนึ่งซึ่งไม่แน่ชัดว่ามีรูปร่างอย่างไร แต่ด้วยระดับสายตาที่มอง ดูแล้วน่าจะไม่สูงมากไปกว่าตัวเองเท่าไหร่ "แต่ถ้ามีทางเอาชนะเกมนี้ได้...ไม่สิ มันต้องมี เกมนี้มันต้องมีวันชนะได้แน่ ๆ"

"เกมทุกเกมมีแพ้ก็ต้องมีชนะ ไม่มีทางที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบร้อยเปอร์เซ็นต์ได้งั้นเหรอ?" มันนาถาม

"ใช่...จริงอย่างที่บัวบอก" มิลินเบิกตาโต แววตาเกิดประกายแวววาวราวอัญมณี "เหมือนเคยวิ่งผ่านประตูท่ออยู่หนหนึ่ง ตอนแรกไม่ได้คิดอะไรเพราะตอนนั้นกำลังหนีเอนทิตี้อยู่ ถ้าเราเปิดมันออกได้ก็น่าจะหนีออกไปจากที่นี่ได้"

"เฮอะ ๆ ถ้าจะเปิดท่อลับนั่นได้ก็ต้องสังเวยเพื่อนทั้งหมดไปนะ เพราะช่องทางนั้นมันเข้าไปได้แค่คนเดียว" มันนาเอ่ยพลางยกมือขึ้นเท้าคางอย่างยั่วประสาท "เชื่อเถอะว่าข้อมูลนี้ไม่ผิดแน่ ถ้าเราไปกันสี่คน ประตูนั่นจะเปิดไม่ได้ แต่หากถูกเอนทิตี้จับได้จนเหลือเพียงคนเดียว ประตูบานนั้นจะเปิดขึ้นทันที นั่นคือทางชนะเกมนี้ ในอดีตเคยมีคนชนะไปแต่ก็ต้องแลกด้วยความเสียสละของเพื่อนร่วมทีม แต่ด้วยมนุษย์เรานั้นเป็นสัตว์เห็นแก่ตัว ไม่ยอมเสียสละ เห็นตัวเองเป็นที่หนึ่งของจักรวาลเสมอ จะมีใครยอมเสียสละแบบนั้นหรือเปล่าล่ะ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ปรบมือให้เลย คุณคือนางเอกตัวจริง แต่นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง คนเรามันก็อยากรอดไปหมดนั่นแหละ หากถึงเวลานั้นจริง ๆ ต่อให้ต้องฆ่าพวกเธอทั้งหมด ฉันก็จะทำ"

คำพูดของมันนาชวนให้บรรยากาศยิ่งน่าหดหู่ลงไปอีก บอกตามตรงว่าฉันแทบไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมาอีกเลย จนกระทั่งเกิดแสงสว่างวาบบนท้องฟ้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พวกเราต่างหันขึ้นไปมองด้วยความตกใจ ก่อนที่ร่างของพวกเราจะถูกดูดเข้าไปในดวงแสงนั่น สิ่งสุดท้ายที่ฉันเห็นก็คือ หนึ่งในเอนทิตี้รูปร่างคล้ายมนุษย์เดินออกมาจากป่า พลางจ้องมองมายังพวกเราด้วยดวงตาสีแดงฉานน่าสยดสยอง

 

และแล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป

..............................

กลิ่นเหม็นเน่าซากศพทำให้ฉันได้สติอีกครั้ง เชื่อเถอะว่ามันไม่ได้อภิรมย์เท่าไหร่นัก เมื่อฉันลืมตาตื่นขึ้นมาจึงพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางสถานที่รกร้างแห่งหนึ่ง พอสังเกตมองโดยรอบแล้วจึงพบกับความแปลกนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ซึ่งขึ้นเรียงติดกันเป็นแพตเทิร์นเหมือนมีใครจงใจปลูกไว้ ก้อนหินทุกก้อนล้วนมีอีกาสามตาเกาะอยู่ มีแผ่นไม้กระดานสีรุ้งวางพาดระหว่างก้อนหินขนาดใหญ่สองก้อนราวกับมีนัยยะบางอย่าง หากมองให้ไกลออกไปทะลุม่านหมอกจะพบกับบ้านหลังใหญ่ในสภาพพังแหล่มิพังแหล่ชวนน่าขนลุก แต่ที่น่าหวาดหวั่นที่สุดก็คือ ฉันอยู่ที่นี่คนเดียว พื้นดินชื้นเปียกจนทำให้เสื้อผ้าเปียกปอนเลอะเทอะไปด้วยขี้ดินขี้โคลน

ที่นี่มันที่ไหนกัน?

ทำไมจู่ ๆ ถึงได้โผล่มาที่นี่กันนะ?

อ๋อ...จำได้ละ ก่อนหน้านี้มีดวงแสงประหลาดสว่างวาบบนท้องฟ้า จากนั้นพวกเราทั้งสี่จึงถูกวาร์ปมาที่นี่งั้นสิ

"หมายความว่าตอนนี้อยู่ในเกมงั้นเหรอ?" ฉันยื่นมือไปลูบต้นไม้ แต่แล้วจู่ ๆ ก็เกิดรอยข่วนเป็นทางยาวสีแดงเรืองสว่างขึ้นมา ทำเอาตกใจยกใหญ่ "นี่มันอะไรกันวะเนี่ย!?"

"เงียบก่อนสิอีบ้า! เดี๋ยวมันก็เห็นกันหมดหรอก!!" เสียงกึ่งกระซิบกึ่งตะโกนเรียกออกมาจากทิศทางปริศนา ฉันเบิกตาหมุนตัวหาเจ้าของเสียงจนไปสะดุดกับตู้ไม้สีแดงหลังหนึ่งตั้งเรียงรายกันอยู่จำนวนสามตู้ ในหัวของตัวเองแทบไม่มีเซลล์ประสาทในการทำงาน เหลือแต่เพียงสัญชาตญาณการเอาตัวรอดจึงพุ่งเข้าไปเปิดประตูตู้กลางซึ่งใกล้มือที่สุดดู แต่สิ่งอื่นทำให้หัวใจแทบทะลุอก เนื่องจากพี่แอมกำลังซ่อนอยู่ในนั้น แถมหล่อนยังกรีดร้องเสียงดังลั่นแหลมแสบแก้วหู

"กรี๊ดดด!! โอ๊ยอีดอก! กูนึกว่าเอนทิตี้! ไปซ่อนที่ตู้อื่นไป๊!! หรือไม่ก็ไปหาทางออกจากที่นี่ซะ!" พี่แอมตวาดใส่ "ปิดประตูตู้ซะ เดี๋ยวมันเห็นกู!!"

"เมื่อกี้เสียงพี่เหรอ?" ฉันถามโพล่งออกไปโดยไม่อ่านสถานการณ์เลย

"ก็ใช่น่ะสิ! มึงจะพูดดังอีกนานไหม!? เดี๋ยวมันก็มาหรอก!?" พี่แอมพยายามคว้าบานประตูมาปิด แต่ไม่สามารถสู้แรงฉันได้

"หนูไม่เข้าใจค่ะ ทำไมต้องหลบอยู่แบบนี้ด้วย? นี่คือเกมเล่นซ่อนหาที่พูดถึงอยู่เหรอคะ?" ฉันถามอีก ซึ่งมันเป็นข้อมูลแสนจำเป็นเพื่อให้ฉันสามารถประมวลผลในการทำบางอย่างต่อไป แต่พี่แอมกลับไม่ตอบ หล่อนยื่นหน้าออกไปก่อนเบิกตาโตแล้วคว้าร่างของฉันดึงกลับเข้าไปในตู้อันแสนคับแคบพร้อมปิดประตูอย่างรวดเร็ว ในความมืดสนิทมีเพียงแสงจากรูระบายอากาศของบานประตูตู้สามรูลอดเข้ามา มืออันเหี่ยวย่นของสาวใหญ่ปิดปากฉันเอาไว้แน่น ยังดีที่เหลือจมูกไว้ให้หายใจอยู่ครบทั้งสองรู

"ชู่ว..."

เพียงไม่กี่อึดใจก็ได้ยินเสียงเท้าหนัก ๆ กระทบพื้นจนแผ่นดินรอบข้างสะเทือน ทำเอาฉันต้องเบิกตาโต ลำแสงลอดรูระบายอากาศตกกระทบบนใบหน้าของสาวใหญ่เผยให้เห็นดวงตาเบิกกว้างจ้องมองลอดผ่านรูพวกนั้น เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงฝีเท้าหนักดังมาหยุดที่ข้างหลังใบหูของฉันพร้อมเสียงลมหายใจปนคำรามอย่างแผ่วเบาในลำคอ ฟังไม่เหมือนมนุษย์ปกติทั่วไปเลยสักนิด เงาบางอย่างบดบังแสงนั่นจนทั้งตู้มืดสนิท ไม่สามารถมองเห็นอะไรราวกับตาบอดคู่

นี่พวกเรากำลังซ่อนจากตัวอะไรกันอยู่เนี่ย!?

มือของสาวใหญ่เลื่อนขึ้นมาปิดจมูกทำให้อากาศในปอดเริ่มหมดลงเรื่อย ๆ จนฉันต้องหยิกเนื้อหนังอีกฝ่ายจนเกือบหลุด แต่ดูท่าจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย

เมื่อเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง แต่ในคราวนี้มันค่อย ๆ เบาลงเปรียบดั่งสัญญาณว่ามันได้ออกไปไกลจากตรงนี้แล้ว พี่แอมจึงเอามือที่อุดปากอุดจมูกออกหลุดจากพันธนาการได้เสียที

“แฮ่ก…แฮ่ก…เมื่อกี้นี้มันอะไร?” ฉันถามด้วยน้ำเสียงกระซิบเพราะกลัวว่ามันจะได้ยินเสียงแล้วหันย้อนกลับมาอีก อวัยวะภายในอกเต้นรัวเร็วราวกับจะทะลุออกมาให้ได้ เพียงไม่กี่อึดใจอะดรีนาลินกลับสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง “เท่าที่ฟังเสียงฝีเท้าเมื่อกี้มันไม่เหมือนมนุษย์เลย”

“ในมิติเหล่านี้ไม่มีมนุษย์เหลืออยู่หรอก” พี่แอมกระซิบตอบ “ส่วนเราคือจิตวิญญาณไร้กายหยาบ แต่ที่เราสัมผัสกันได้เพราะอะไรพี่เองก็ยังไม่รู้ แต่มั่นใจได้เลยว่าเราจะไม่ตายอีกเป็นครั้งที่สอง”

“ถ้าเราตายครั้งที่สองไม่ได้…ทำไมเราต้องหลบเจ้านั่นด้วยล่ะ?”

“ถ้าคิดว่าการต้องนั่งล้อมรอบกองไฟที่ไม่มีวันดับไปตลอดกาลมันไม่ทำให้ทุกข์ทรมานก็ทำไปเถอะ แต่ฉันพอกันที” พี่แอมพูดอย่างหงุดหงิดก่อนผลักฉันกับบานประตูเพื่อเปิดมันออก สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำเอาวิญญาณออกจากร่าง (ตอนนี้ก็เป็นวิญญาณอยู่นี่หว่า…) สิ่งมีชีวิตร่างใหญ่มหึมา สวมเสื้อคลุมหนังสีดำมันวาวขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าไม่เหลือเนื้อหนังอะไรนอกจากกะโหลกเปื้อนคราบเลือด ในมือถืออาวุธยาวกว่าความสูงของตัวเอง ปลายมีใบมีดโค้งเรียวยาวเป็นประกายแวววาวสร้างความขวัญผวาเป็นอย่างมาก

“พะ…พี่…” ดวงตาของฉันเบิกโต ความกลัวเข้าครอบงำจนไม่สามารถขยับตัวลุกหนีไปไหนได้ เมื่อหันกลับไป เงาดำขนาดใหญ่พาดคลุมพื้นที่เฉพาะส่วนให้มืดดำทะมึนจนรู้สึกเหมือนความหวังดับสูญ ในความคิดของตัวเองตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี จะอยู่หรือตาย…ไม่สิ เราตายไปแล้ว ตายอีกครั้งก็ไม่ได้

“หนีไป!!” พี่แอมตะโกนสุดเสียง แต่ดูเหมือนว่าสายไปเสียแล้ว เพราะใบมีดขนาดใหญ่นั่นได้วาดเหวี่ยงลงมาก่อนเฉือนจิตวิญญาณของฉันขาดเป็นสองส่วน ภาพถูกแบ่งออกเป็นสองหน้าจอ ซึ่งต่างแยกกันไปคนละทิศคนละทาง

“…”

ไม่กี่อึดใจต่อมาภาพตัดกลับมายังหน้ากองไฟ ดวงตาของฉันเบิกโต ความผวาจากการถูกฆ่าโดยปีศาจเอนทิตี้ยังคงอยู่ เนื้อตัวสั่นเทิ้มรวมถึงแขนขาเกร็งไปหมด ความเงียบครอบงำไปทั่วบริเวณยกเว้นเสียงสะเก็ดไฟแตกดัง แป๊ะ! แป๊ะ! เท่านั้น ในขณะเดียวกันเธอจึงเข้าใจว่าทำไมสีหน้าของแต่ละคนช่างหวาดกลัวต่อเอนทิตี้เหล่านั้น

พวกมันไม่ได้กะเล่นเอาสนุก

แต่เอาให้ถึงตาย!!

“ฉิบหาย…จะไปสู้อะไรมันได้วะ…?” ฉันสบถออกมาอย่างหัวเสีย

“อ้าว! โดนฆ่าเป็นคนแรกเลยเหรอ?” เสียงอันคุ้นหูของเพื่อนสนิทเอ่ยถามเสียงใส เมื่อหันไปทางต้นเสียงจึงพบกับมิลินที่ปรากฏตัวขึ้นนั่งหน้าสลอน “เด็กใหม่ก็แบบนี้ล่ะนะ ไม่ค่อยมีข้อมูลอะไรก็โดนฆ่าก่อนซะงั้น ทำตัวเงอะ ๆ งะ ๆ สุดท้ายเป็นไงล่ะ ก็ต้องย้อนกลับมายังจุดเริ่มต้นใหม่ จากนั้นก็เริ่มเกมล่าใหม่อีกครั้ง เนี่ยแหละ ฉันถึงเข้าใจหลักการเวียนว่ายตายเกิดไง”

“แล้วทำยังไงถึงจะออกไปจากที่นี่ล่ะ?” ฉันถามพลางยกมือขึ้นมากุมใบหน้า

“เป้าหมายของเธอคืออะไรล่ะ เอาเข้าจริง ๆ คนตายมันไม่เหลือเป้าหมายอะไรแล้วปะ? ต่อให้ชนะเกมนี้ก็จะถูกส่งไปไหนก็ไม่รู้ แถมพี่มันนาซึ่งอยู่มานานเองยังตอบไม่ได้เลย” มิลินยักไหล่พลางตอบแบบยืดยาวโดยที่ทั้งความหมายมีเพียง ‘งี้แหละ…ช่วยไม่ได้นี่นา’

เมื่อได้ยินมิลินเอ่ยมาอย่างนั้นจึงฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา

ใช่…เธอไม่มีเป้าหมายอะไรแล้ว ภาระทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งเอาไว้ในโลกนั้นหมดแล้ว ทั้งกายหยาบ เงินทอง เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย รวมถึงชื่อเสียงต่าง ๆ ไม่มีอะไรติดตัวมาแม้แต่ชิ้นเดียว เอาเข้าจริง ๆ เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ตอนนี้นับเป็นสิ่งที่ถูกเนรมิตขึ้นมาปกปิดร่างกายบนโลกนี้เท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ฉันเอามาเพียงจิตวิญญาณเท่านั้น

นี่หรือ…? โลกหลังความตาย

มันอิสระ ตัดขาดจากทุกอย่าง สิ่งที่ทำรวบรวมสั่งสมมาเป็นเวลานาน สุดท้ายก็เอาไปไม่ได้ ที่มีคนบอกว่า ‘ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้’ ก็ถือว่าจริง

เพราะมันคือสัจธรรมของจักรวาล…

“แล้วจะมาให้พวกมันฆ่าเอาแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเนี่ยนะ” ฉันขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “มันถูกเหรอ?”

“จะไปรู้ได้ยังไง แถมสิ่งที่เราทำอยู่นี่ใครเป็นคนกำหนดกันล่ะว่าถูกไม่ถูก ไม่มีหรอก” มิลินยักไหล่พร้อมเถียงเพื่อนสนิทกลับ “โลกใบนี้ของเรามันไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีผิดถูกมาตั้งแต่แรก ถ้าเธอจะมาตัดสินเรื่องนี้โดยพลการมันก็เรื่องของเธอ เพราะฉันเองก็ไม่ได้เห็นด้วยไปหมดทุกอย่าง”

“เผลอแป๊บเดียวทะเลาะกันแล้วเหรอ?” เสียงของพี่แอมดังมาจากด้านข้าง สาววัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมรอยแผลบนใบหน้า แต่เจ้าตัวเหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ จึงสามารถยิ้มร่าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงไม่กี่อึดใจบาดแผลขนาดใหญ่นั่นค่อย ๆ สมานเยียวยากลับมาเป็นใบหน้าปกติอย่างรวดเร็ว “อย่าเพิ่งอารมณ์เสียเลย เกมมันก็แบบนี้แหละ มีแพ้มีชนะ แค่ตอนนี้เรายังไม่มีโอกาสเอาชนะมันได้เท่านั้น”

“ไม่มีวันชนะล่ะสิไม่ว่า” เสียงของมันนาดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏกายของหญิงสาว คราวนี้ดูเหมือนว่าหล่อนถูกตัดศีรษะจนเกือบขาด เหลือไว้เพียงเนื้อเสี้ยวหนึ่งซึ่งยังไม่ถูกตัดออกไป ใบหน้าของหล่อนเรียบนิ่งก่อนใช้มือดันศีรษะให้กลับมาตั้งตรง รอยแผลก็เยียวยาอย่างรวดเร็ว “เกมเล่นซ่อนหานี้ไม่มีใครเอาชนะเอนทิตี้ได้เลย เราเป็นแค่วิญญาณอ่อนแอไร้ทางสู้ แต่พวกมันมีกายเนื้อรวมถึงพลังอำนาจต่าง ๆ อีก บอกได้เลยว่าเสียเปรียบกันเห็น ๆ”

“ใช่แล้ว เราอยู่ที่นี่ก็เหมือนเป็นเรื่องสังเวยเล่นสนุกของพวกมันนั่นแหละ” มิลินถอนใจยาว “เล่นกันมาไม่รู้กี่สิบครั้ง ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม”

“แต่เมื่อกี้เหมือนจะเจอประตูลับด้วยนะ” พี่แอมพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ถ้าเปิดประตูนั่นได้ก็สบาย”

“ก็รอดได้คนเดียวน่ะสิ” มันนาพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างหงุดหงิดพลางหยิบกุญแจสนิมสีดำเขรอะออกมาชู ใบหน้าของเธอเปลี่ยนมาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่ถ้าไม่มีกุญแจนี้ก็เปิดประตูลับนั่นไม่ได้เช่นกัน”

“ไปเอากุญแจนั่นมาจากไหนคะ?” ฉันถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พยายามข่มสติในทุกอิริยาบถ ดวงตาจับจ้องไปยังกุญแจดอกนั้นตาไม่กะพริบ

“พอมาถึงที่นี่ มันก็อยู่ในกระเป๋าแล้ว” หญิงสาวตอบพลางโยนมันเล่นไปมา “ถ้าหาประตูลับนั่นไม่เจอเท่ากับกุญแจนี่ไร้ความหมาย”

“แสดงว่าไม่รู้ที่มาที่ไปของสิ่งเหล่านี้เลยน่ะสิ” ฉันพูดกึ่งประชดพลางขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์

“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก เพราะตอนนี้เราไม่มีข้อมูลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แถมประตูลับตรงนั้นก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเปิดแล้วจะไปโผล่ที่ไหน” มิลินพูดขึ้นพร้อมหันมาเผชิญหน้ากับเพื่อนสนิท “ถ้าสถานที่หลังประตูนั่นเลวร้ายกว่า ก็อยู่ที่นี่แหละ อย่างน้อยกองไฟนี้ไม่มีวันดับ”

“คนตายไม่หิว คนตายไม่ร้อนไม่หนาว ไม่เจ็บไม่ป่วย มีแต่ความเหงาและความกลัวเท่านั้นที่คนตายสามารถรู้สึกได้” มันนาบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ใบหน้าเคร่งเครียด

“ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เราก็จะเวียนว่ายตายเกิดกลับมาไม่จบไม่สิ้นสักที” ฉันพูดขัดพลางเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วแบมือยื่นไปตรงหน้า “ถ้ามีกุญแจแล้วไม่ยอมวิ่งหาประตูหนีแล้วมันจะมีไว้ทำไมล่ะ” มันนานั่งนิ่ง มองสวนกลับก่อนหยิบกุญแจสนิมเขรอะโยนให้ ฉันรับไว้อย่างแม่นยำ

“ต่อให้ตายซ้ำยังไงกุญแจก็กลับมาอยู่ในกระเป๋าอยู่ดี มีไว้ก็เกะกะเปล่า ๆ” หญิงสาวถอนใจยาว สีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ “ฉันให้โอกาสเธอกี่รอบก็ได้ แต่เปิดประตูได้แล้ว เธอจะต้องให้ฉันเข้าไปคนแรก”

“แต่ช่องทางนั้นมันไปได้แค่คนเดียว จำไม่ได้เหรอ?” พี่แอมแย้ง

“ไปเอาข้อมูลตรงนั้นมาจากไหนล่ะ? มีข้อพิสูจน์ไหมว่าทางนั้นไปได้แค่คนเดียว!?” หญิงสาวขมวดคิ้วหันขวับหาสาววัยกลางคน น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม “ถ้าช่องทางนั้นหนีไปได้ครบสี่คนก็ถือว่ารอดกันหมด”

“ถ้าไม่ได้ล่ะ?” พี่แอมถามพลางกอดอกเชิดคางขึ้นท่าทางเหนือกว่า “ถ้าลงไปได้แค่คนเดียว เธอจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองยังไง? ทำไม่ได้หรอก เพราะเธอรอดไปแล้ว พวกเราสามคนก็ต้องติดแหง็กอยู่ที่นี่”

“ทั้งหมดทั้งมวลเลยคือ…” มิลินพูดขัดขึ้นเพราะตัวเองเริ่มรำคาญ “ต้องลองดูก่อน”

………………

ไม่กี่อึดใจต่อมา ทั้งสี่ถูกเคลื่อนย้ายมายังสถานที่อันแปลกประหลาดเหมือนก่อนหน้า แน่นอนว่าแต่ละคนถูกแยกออกจากกันแบบสุ่ม โชคดีที่ข้างตัวมีตู้สีแดงตั้งอยู่ ภายในใจแอบกลัวว่าหากเปิดไปก็จะเจอพี่แอมอยู่เหมือนเดิม จากนั้น…ให้ตายสิ ไม่อยากคิดเลยว่าเธออาจจะให้ฉันเป็นนกต่อเพื่อยื้อเวลาให้ตัวเอง

บรรยากาศรอบข้างยังคงเหม็นอับชื้นเหมือนตอนแรก ทั้งพื้นดินชุ่มไปด้วยน้ำ หมอกควันจาง ๆ ลอยล่องชวนให้นึกถึงหนังผีสักเรื่อง

ฉันตัดสินใจรีบเปิดประตูตู้ ซึ่งความว่างเปล่าภายในทำให้โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง ตอนนี้เธอไม่ได้ไว้ใจพี่แอมผู้เคยช่วยชีวิตเธอเอาไว้ในตอนแรก ในความเป็นจริงหากมองลึกลงไปในรายละเอียดด้วยแล้ว ต่อให้โดนฆ่าตาย โอกาสหน้ายังมีให้แก้ตัวไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันจบสิ้น เหมือนกับเกมซึ่งสามารถย้อนกลับมาได้ตลอด

แน่นอนว่าตัวเองได้เรียนรู้จากความผิดพลาดจากครั้งที่แล้ว รวมถึงการเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์คอขาดบาดตายได้ก็คือ

‘สติ’

ฉันเลือกไม่เข้าซ่อนในตู้เพราะนั่นไม่ต่างจากขังตัวเองเพื่อเผชิญกับความตาย แต่ใช้วิธีหลับตาเงี่ยหูฟังฝีเท้าหนัก ๆ ของมันพลางมุดตัวซ่อนอยู่ตรงมุมกำแพงหินซึ่งก่อขึ้นมาตามพื้นที่อย่างสะเปะสะปะราวกับเป็นซากปรักหักพังของสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดภายในจิตใจอย่างมาก กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ฉันข่มตาเพื่อเพิ่มทักษะการได้ยินสูงขึ้น จนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมเสียดสีกับอากาศ เสียงแมลงตัวเล็กร้องตรงใบหญ้าใต้ฝ่าเท้า

ทันใดนั้นเอง

“ฟืด…ฟาด…” เสียงลมหายใจดังมาจากด้านหลัง ฉันมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่ใช่หนึ่งในสามคนนั้นอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจไม่หันไปมองแล้วดีดตัวหนีออกมาจากจุดนั้นทันที

ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!!

เป็นไปอย่างที่คิด มันกำลังเดินมาทางนี้แล้ว แม้จะไม่รู้ว่าใช้เกณฑ์อะไรในการตัดสินใจมุ่งหน้ามาทางนี้ก็ตาม แต่ฉันมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่าตัวเองควรทำอะไรสักอย่างหลังจากนี้ แผนการส่วนตัวถูกคิดขึ้นในหัวอย่างรวดเร็วและเป็นระบบจากการทำงานในบริษัทยอนอู แน่นอนว่ามันทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองจากสาวสติแตกกลายเป็นสาวขรึมได้เลยทีเดียว แม้ยังไม่ทิ้งความสติแตกซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ฉันยอมรับว่าตัวเองเติบโตและกล้าหาญกว่าแต่ก่อน

“ฟู่! “ฉันเป่าลมออกจากปากเพื่อคลายความกดดัน แล้วพุ่งออกไปยังฝั่งตรงข้ามกับเอนทิตี้ ดวงตาปราดไปมองเห็นมันเพียงเสี้ยววินาทีทำให้รู้ว่าเป็นตัวเดียวกันกับเมื่อเกมที่แล้ว มันคือสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายมนุษย์ แต่สูงใหญ่ ส่วนหัวมีเพียงกะโหลกไร้ดวงตา อาวุธประจำกายอย่างเคียวโค้งยาวแสนคมกริบถือด้วยมือข้างขวาซึ่งเป็นข้างถนัด นั่นหมายความว่าต้องหลบการโจมตีไปทางซ้ายเป็นหลัก

พลั่ก!!

ร่างของฉันกระแทกกับอะไรบางอย่างจนถึงขนาดหงายหลังล้มลงไปกับพื้นอันเปียกแฉะ เปลือกตาหลับลงไปวูบหนึ่งก่อนลืมขึ้นมาพบกับเอนทิตี้ตัวนั้นถือเคียวยาวยืนจังก้าพร้อมตาลึกโบ๋จับจ้องมายังฉันอย่างไม่ละ นี่มันเกินความคาดหมายไปแล้ว ไม่คิดเลยว่ามันจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงขั้นวาร์ปมาดักทางได้

ทันใดนั้น มันไม่รีรอ จึงเงื้ออาวุธขนาดมหึมาส่องประกายเงาวับไปบนอากาศ จากนั้นก็ฟาดลงมาสุดแรงเพื่อส่งกลับไปยังกองไฟอีกครั้ง

ในคราวนี้ฉันไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ฉันจึงกระโดดม้วนตัวหลบไปทางด้านซ้ายรอดเงื้อมมือมัจจุราชได้อย่างหวุดหวิด อะดรีนาลินในร่างกายสูบฉีดอย่างบ้าคลั่ง ชักไม่มั่นใจว่าตัวเองยังเป็นวิญญาณอยู่หรือไม่ แต่หากตอนนี้มีกายเนื้อแล้ว ฉันจึงต้องรักษามันไว้ให้ถึงที่สุด ไม่ยอมเป็นเพียงจิตวิญญาณไร้ร่างลอยไปลอยมาอย่างไร้ค่าหรอก!!

“แน่จริงก็ตามมาสิวะ!!” เชื่อเถอะว่าคำพูดนี้ไม่ควรออกมาจากปากหากรู้สึกได้ใจขึ้นมา ในหนังสยองขวัญที่เคยดู ตัวละครพูดประโยคหมา ๆ แบบนี้ออกมามักมีโอกาสรอดต่ำสุดรองจากตัวละครผิวสีเลยก็ว่าได้

สติของฉันยังอยู่ แม้ขาดกระเจิงในช่วงหนึ่งก็ตาม ขาทั้งสองข้างพาฉันออกห่างเอนทิตี้ร่างยักษ์ให้ไกลจนพ้นระยะอาวุธของมัน แต่แล้วจึงพบกับมิลินที่กำลังเอาหลังพิงกำแพงหิน ในมือถือไฟฉายหนึ่งกระบอก ดวงตาของหล่อนเบิกมองออกไปจนสุดสายตา ฉันมองตามหล่อนจึงเข้าใจได้เต็มร้อยว่าตอนนี้สติของหญิงสาวแทบไม่หลงเหลืออะไรแล้ว ดูจากมือที่สั่นระริกจึงมั่นใจว่าเธอเล่นเกมมาไม่รู้กี่ครั้ง กำลังใจเป็นศูนย์ ไม่เหลือความหวังอะไรนอกจากโยนเกมออกไปให้มันฆ่า ฉากฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนทำให้จิตใจของหญิงสาวค่อย ๆ แตกสลายไม่เหลือชิ้นดี ตอนนี้ฉันควรทำอย่างไรให้เราสองคนรอดทั้ง ๆ กติกาการจบเกมสามารถรอดได้เพียงคนเดียว

“มันนาอยู่ไหน?” ฉันถามพลางเขย่าร่างบางของอีกฝ่าย เมื่อมองเข้าไปในดวงตาไร้แววประกายจึงไม่หวังคำตอบอะไรจากเธอแล้ว

ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!! ตึ้ง!!

เสียงฝีเท้าหนักดังถี่ขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของเอนทิตี้ คราวนี้มันไม่ได้หยุดเพื่อโจมตี แต่มันเงื้อเคียวพร้อมฆ่าต่างหาก ในเสี้ยววินาทีนั้นฉันทำอะไรไม่ถูก ประสบการณ์การต่อสู้ก็ไม่มี แถมยังต้องปะทะกับสัตว์ประหลาดรูปร่างยักษ์ผิดแผกอย่างกับในหนังสยองขวัญตรงหน้า จึงไม่เหลือความคิดใด ๆ ในหัวเลยแม้แต่นิด

“อย่ายืนบื้ออยู่สิวะ!!” เสียงของมันนาดังขึ้นพร้อมคว้าไฟฉายของมิลินไปแล้วสาดแสงสว่างเข้าไปในดวงตาอันกลวงโบ๋ของมัน ในวินาทีนั้นฉันจึงเห็นว่ามีดวงตาสีดำซ่อนอยู่ภายใต้เงามืดชวนน่าสยดสยอง “มันแพ้แสงสว่าง! เราต้องใช้ไฟฉายป้องกันตัว อาวุธใช้ไม่ได้ผลกับเอนทิตี้อย่างมัน!!”

“….” ฉันยังคงตะลึงกับสถานการณ์คอขาดบาดตายอยู่ เสียงคำรามของเอนทิตี้ดังจนแสบแก้วหู ไม่น่าเชื่อว่าอานุภาพของไฟฉายกระบอกใหญ่สามารถสร้างความเจ็บปวดแก่พวกมันได้

“รีบมากันเร็ว! พวกเราต้องอยู่รวมกันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นมันจะใช้สกิลวาร์ปของมันเข้ามาจัดการพวกเราทีละคน” มันนาผู้ซึ่งมีสติที่สุดในตอนนี้คว้าแขนพวกเราพร้อมลากไปยังมุมกำแพงสูงดูเหมือนเขาวงกตขนาดย่อม ตรงนั้นพี่แอมยืนกอดไฟฉายกระบอกเล็กดั่งที่พึ่งสุดท้าย ฉันจ้องเขม็งไปยังอีกฝ่ายอย่างเคียดแค้นใจก่อนพยุงร่างอันไร้เรี่ยวแรงของเพื่อนสนิท

“ตอนนี้เราอยู่ครบกันแล้ว” มันนาพูดขึ้นพลางหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกง ซึ่งในความเป็นจริงควรอยู่กับฉัน “กุญแจก็ยังอยู่ที่ฉัน”

“เป็นไปได้ไง?” ฉันยักคิ้วพร้อมคำถามประดังประเดในหัว "กุญแจดอกนั้นเธอเป็นคนให้ฉันแล้วนี่"

“ก็บอกไปแล้วไงว่าถ้ากุญแจหาย มันก็จะกลับมาอยู่กับฉัน แม้ว่าจะให้ใครไปแล้วก็ตาม สิทธิ์ในการครอบครองมันก็ยังอยู่ที่ฉันอยู่ดี” มันนาว่าด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท ทำเอาฉันเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาเล็กน้อย

“งั้นก็เอากุญแจนั่นมาให้ฉันซะ” ฉันพูดเสียงต่ำเป็นเชิงออกคำสั่งพร้อมยื่นมือไปหา

“งั้นต้องสาบานมาก่อนสิว่าถ้าเธอเจอประตูทางออกแล้วฉันต้องเป็นคนกระโดดลงไปเป็นคนแรก” หญิงสาวพูดด้วยอำนาจเหนือกว่าเพราะกุญแจดอกเดียว

ในระหว่างที่มันนากำลังแผ่ขยายอำนาจอีโกของตัวเองอยู่นั้น ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าเอนทิตี้ยักษ์กำลังย่ำมาทางพวกเรา ในขณะเดียวกันฉันสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของอีกฝ่ายจึงคิดอุบายบางอย่างขึ้นมาเพื่อชิงกุญแจประตูสู่อิสรภาพ ฉันจึงพุ่งเข้าไปคว้าแย่งชิงกุญแจดอกนั้นทันที ในตอนนี้รู้สึกได้ว่าร่างกายตัวเองเบาหวิว นิ้วทั้งห้าอ้าออกพร้อมไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการ อีกไม่กี่เซนติเมตรก็จะได้กุญแจนั่นมาอยู่ในมือแล้ว ฉันต้องออกไปจากสถานที่ที่เปรียบเสมือนนรกนี้ให้ได้ แน่นอนว่าการตัดสินใจอันฉุกละหุกแบบนี้ไม่มีใครกล้าคิดมาก่อนจึงไม่มีใครตามฉันทัน

“แกคิดจะทำอะไร?” สายตาอำมหิตของมันนาจับจ้องมายังฉัน แต่แล้วจึงรู้สึกถึงเวลารอบตัวค่อย ๆ ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วร่างของหญิงสาวเริ่มแปรเปลี่ยนไปเป็นอีกคน เชื่อเถอะว่าเพียงรอยเหี่ยวย่นและตีนกาปรากฏขึ้น พร้อมทั้งเส้นผมค่อย ๆ หดลงจนสั้นเพียงติดหนังศีรษะเท่านั้น ใบหน้าของหล่อนเปลี่ยนไปจนกลายเป็นบุคคลผู้อยู่ในฝันร้ายของฉันเสมอมา

‘ยามป้อม!!’

“คิดจะแย่งกันอย่างนี้เลยเรอะ!!?” อีกฝ่ายแสยะยิ้มกว้างอย่างน่าหวาดกลัวก่อนวาดหมัดเหวี่ยงใส่ใบหน้าของฉัน เชื่อเถอะว่าความเจ็บปวดนั้นทิ่มแทงไปทั้งใบหน้าเลยทีเดียว

เจ็บ…ทำไมมันถึงได้เจ็บขนาดนี้…?

“บัว!!” เพื่อนรักพุ่งเข้ามาประคองร่างฉันที่ล้มลงไปกับพื้น แต่กว่าจะได้ทำอะไร เอนทิตี้ร่างยักษ์ถือเคียวนั่นก็เข้ามาประชิดยามป้อมพร้อมถือศีรษะของพี่แอมมาด้วย

นี่มันเรื่องอะไรกัน…?

“คงจะงงละสิว่าทำไมฉันถึงมาอยู่ตรงนี้ ให้ตายสิ พูดเหมือนตัวร้ายในหนังเลยแฮะ แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้หยุดได้แล้ว” ยามป้อมชี้นิ้วสั่งเอนทิตี้ยักษ์ตัวนั้น ซึ่งมันหยุดตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่าย นั่นยิ่งทำให้เกิดคำถามมากมายในสมอง ยามป้อมไม่ควรมาอยู่นี่ มันนาคือยามป้อมมาตลอด…? เกมบ้าบอในมิตินี้คืออะไรกัน และเล่นเพื่ออะไรกันแน่? “คำถามในหัวตรงนั้นฉันก็อยากจะตอบให้ได้หมดนะ แต่ต้องขอโทษด้วยที่เวลามันหมดลงแล้ว ตอนนี้มีเกมใหม่ให้พวกแกเล่น ซึ่งมันยากกว่านี้หลายสิบเท่าเลยทีเดียว แถมฉันยังพาคนรู้จักมาเป็นผู้เล่นอีกมากมายจนไม่รู้จักเหงาเลยทีเดียว”

“ดะ…เดี๋ยวก่อนสิ…อึ้ก!!” ฉันพยายามบุกเข้าไปหายามป้อมซึ่งตอนนี้ไม่ได้สวมชุดยามรักษาความปลอดภัย แต่เป็นชุดสูทสีดำทั้งตัวพร้อมเนกไทสีแดงเลือดก็ถูกเคียวขนาดมหึมาของเอนทิตี้จ่อที่คอหอยทันทีราวกับกำลังจะบอกว่า ‘มึงห้ามเข้ามาใกล้กว่านี้แม้แต่ก้าวเดียว!!’ “อย่างน้อยแกก็บอกก่อนสิว่าแกเป็นตัวอะไร เป้าหมายในการฆ่าเพื่ออะไรกันแน่…? แถมบริษัทยอนอูมีเบื้องหลังอะไรกัน ขนาดฉันที่ทำงานมาตั้งนานไม่เห็นจะรู้อะไรเลย แม้จะทำงานใกล้ชิดกับประธานชานนท์แล้วก็เหมือนยังถูกปิดหูปิดตาอยู่อย่างนั้น?”

“นี่เธอเป็นใครกันแน่?” ยามป้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้ กลิ่นสาบสางประหลาดลอยมาเตะจมูก “จากที่ได้คุยกับคุณกาญจนาแล้วเธอเอาชีวิตรอดจากสวนสัตว์นั่นได้สินะ แถมยังทดสอบผ่านอีก เธอชักจะเก่งเกินมนุษย์ไปแล้วนะ บอกทีสิว่าทำไมถึงมีโชคขนาดนี้แต่กลับโดนฉันฆ่าอย่างง่ายดายล่ะ? ช่างน่าสนใจ” ดวงตาของยามป้อมเรืองแสงสีแดง พร้อมชูมือซึ่งมีแหวนประหลาดสีม่วงเรืองแสงสีเดียวกันขึ้นมา ให้ความรู้สึกหวาดกลัวในจิตใจอย่างบอกไม่ถูก มิลินในตอนนี้กลัวชายฆาตกรจนตัวแข็ง ไม่สามารถขยับตัวได้ราวกับถูกมนตร์สะกด

“พวกแกอยากจะออกไปจากที่นี่นักใช่ไหม?” ยามป้อมแสยะยิ้มขึ้นพร้อมถามอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนใช้แหวนเสกประตูทางออกซึ่งเป็นเพียงประตูกลเชื่อมไปสู่ใต้ดินเท่านั้นเอง เขาหยิบกุญแจไขอย่างรวดเร็วพร้อมเปิดบานประตูด้วยพลังจิต ให้ตายสิ…ปริศนามันเยอะเหลือเกิน “นี่ไง ทางออกที่พวกแกหา ตอนนี้ฉันเปลี่ยนโหมดเกมเล่มซ่อนหาให้ง่ายขึ้นแล้ว จงดิ้นทุรนทุรายไปเสีย!!”

ยามป้อมวาดมือขึ้นกลางอากาศ ทันใดนั้นร่างของฉันและมิลินลอยขึ้นเหนือพื้น พวกเราเบิกตาโตด้วยความหวาดกลัว เพียงไม่กี่อึดใจร่างของพวกเราได้ถูกยัดเข้าประตูทางออก เหมือนโลกทั้งใบเลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกพะอืดพะอมจุกขึ้นมาถึงลำคอชวนสำรอก ดูเหมือนว่าความเร็วเริ่มเพิ่มขึ้นจนกระทั่งทุกอย่างดับวูบลง

.

.

.

.

กลิ่นเหม็นเปรี้ยวแสนอับชื้นของพรมที่ไม่ได้ซักมาเป็นเวลายาวนานแถมยังเปียกชื้นไปด้วยน้ำเน่าลอยโชยมาเตะจมูกชวนให้ฟื้นคืนจากภวังค์ ท้ายทอยสัมผัสได้ถึงพรมเปียกชื้นจนคิดว่าตัวเองได้กลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง แต่พอลืมตาขึ้นก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ความหวังเริ่มคืนกลับมาช้า ๆ แต่กลับถูกพังทลายลงด้วยเสียงสะอื้นของมิลินที่นั่งกอดเข่าเอาหน้าซุก พลางร่ำไห้ด้วยความเสียขวัญ

สิ่งที่น่าตั้งคำถามมากกว่านั้นก็คือ…สถานที่ที่เต็มไปด้วยกำแพงสีเหลืองนี่มันที่ไหนกัน…?

ฉันลุกขึ้นนั่งพลางหันไปมองสถานที่โดยรอบ ปรากฏว่าเราถูกล้อมด้วยกำแพงสีเหลือง แถมยังให้บรรยากาศคล้ายคลึงออฟฟิศบริษัทอย่างไรอย่างนั้น แถมยังมีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์และยังมีหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ส่งเสียง หึ่ง! หึ่ง! อย่างน่ารำคาญตลอดเวลา ให้บรรยากาศน่าขนลุกอย่างยิ่ง นอกจากเสียงหลอดไฟแล้ว…ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าแสนอ้างว้าง แต่สัญชาตญาณของฉันกลับบอกว่าเราไม่ได้อยู่กันเพียงลำพัง เพราะฉันบังเอิญเหลือบไปเห็นเงาของสิ่งมีชีวิต (หรือสัตว์ประหลาด) รูปร่างบิดเบี้ยวเคลื่อนไหวสะท้อนอยู่บนกำแพง

_____________________________________________

To Be Continue CHAPTER 8