อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา
ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตายอยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา
เลขาสาวดวงซวยลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บริษัทจึงลากเพื่อนไปเอาในเวลาดึกดื่นโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นคืนสุดท้ายของพวกหล่อน เมื่อพบกับความลับอันดำมืดบางอย่างของบริษัทนี้
วันวานอันแสนน่าเบื่อหน่ายผ่านพ้นอีกวันเหมือนพันล้านวันได้พ้นผ่าน ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่หนุ่มหน้ามนนั่งอยู่บนเก้าอี้บุหนังขนาดใหญ่ในท่าสบาย มองออกไปนอกหน้าต่างหลังโต๊ะทำงานซึ่งตอนนี้มีหยาดพิรุณตกลงมาจากฟ้าอย่างไม่ขาดสายด้วยดวงตาเรียบนิ่งไร้ความคิด ภายในใจพลางนึกถึงอดีตเลขาส่วนตัวของเขาผู้ถวายตัวรับใช้ทำงานมาตลอดสามปี เธอทำหน้าที่ไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย นับเป็นคนละเอียดลออจนบางครั้งเขาแอบตกหลุมรักมานาน จนกระทั่งรับรู้ถึงการจากไปของเธอโดยเพื่อนสนิทที่สุดอย่าง ‘ยามป้อม’ กฎของบริษัทซึ่งมีเพียงประธานชานนท์และยามป้อมรู้กันสองคนเท่านั้นว่า ไม่มีใครเขาตึกบริษัทหลังเลิกงาน มิฉะนั้นจะต้องเล่นเกมซ่อนหากับยามหนุ่มโรคจิตจนกว่าจะเช้า
นั่นไม่ใช่คำขอ แต่เป็นข้อตกลงบางอย่างระหว่างกัน แม้ทั้งสองจะเป็นเพื่อนกันมานาน การที่ยามป้อมกลับมาพร้อมข้อเสนอจะเนรมิตเงินทองและทำให้บริษัทเติบโตมาจนถึงขนาดนี้นับว่าเป็นข้อตกลงที่ไม่เลว ราวกับว่าตอนนี้ยอมป้อมต่างหากที่เป็นเจ้าของบริษัท คอยชักใยประธานชานนท์อยู่อีกที นับว่าเป็นเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติเลยก็ว่าได้ แม้ว่าประธานหนุ่มพยายามค้นหาประวัติความเป็นมาจากแผนกฝ่ายบุคคลแล้วก็ตาม กลายเป็นว่าเขาไม่มีประวัติที่แท้จริงนอกจากข้อมูลปลอมซึ่งเจ้าตัวเป็นคนสร้างขึ้นมาอย่างแนบเนียน
เชื่อเถอะ เขาสามารถหลอกคนทั้งโลกได้ แต่หลอกประธานชานนท์ไม่ได้
ในบางครั้งเขาช่างเป็นคนน่าขนลุก มักชอบสวมแหวนรูปร่างประหลาดไว้ที่นิ้ว ซึ่งแน่นอนว่าอาจเป็นแฟชั่นความชอบส่วนตัว แต่กลับขัดแย้งกับตัวตนภายนอกอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งรอยยิ้มแสยะสร้างความรู้สึกหวาดผวาในใจได้ทุกครั้ง ในเมื่อประธานชานนท์เป็นหัวเรือใหญ่ของบริษัท เขาจึงไม่สามารถแสดงความอ่อนแอต่อหน้าลูกน้องได้
เสียงหยาดน้ำฝนตกกระทบพร้อมกลิ่นพิรุณโชยจากเครื่องปรับอากาศติดตั้งอุปกรณ์จำลองกลิ่นต่าง ๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของบริษัทช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด นับเป็นหนึ่งในสินค้าขายดีเลยทีเดียว
"เตรียมรถมารับด้วย ฉันจะกลับบ้านแล้ว" เขาโทร. หาคนขับรถประจำตัวก่อนลุกขึ้นเก็บของเข้ากระเป๋าถือหนังแบรนด์หรูขนาดกะทัดรัด ในนั้นมีเพียงไอแพด แบตเตอรี่สำรองและของจิปาถะอื่น ๆ เขาลงลิฟต์มายังชั้นล่างสุดด้วยตู้โดยสารส่วนตัว ตลอดมาเขามีเลขาส่วนตัวเคียงข้าง ตอนนี้กลับเดียวดาย เขาคงหาเลขาส่วนตัวเก่งรอบด้านมาแทนน้องบัวไม่ได้เสียแล้ว ในทางกลับกัน โลกนี้ช่างกว้างขวาง ไม่วันใดวันหนึ่งคงได้เจอเลขาที่ตามหาอย่างแน่นอน
"ยามป้อมไปไหนเสียแล้ว?" ชายหนุ่มถามพนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์เมื่อไม่เห็นยามหนุ่มผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้าตึกสำนักงาน
"ไม่ทราบเหมือนกันค่ะท่าน" พนักงานสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ประธานหนุ่มแปลกใจกับท่าทีของหญิงสาวใบหน้าสวย ผมดำขลับจัดแต่งมัดเป็นหางม้าอย่างดี เผยให้เห็นเรียวคอขาวระหงชวนหลงใหลเย้ายวน สีหน้าของหล่อนเรียบนิ่ง แตกต่างจากพนักงานคนอื่นซึ่งขวยเขินจนหน้าแดงและใจเต้นให้กับความหล่อเหลาระดับซูเปอร์สตาร์เกาหลีของท่านประธาน สร้างความสนใจแก่เขาที่สุด
"ถ้าสมมุติว่าผมมีประชุมที่ต่างประเทศวันนี้ แล้วคุณเป็นเลขาส่วนตัวของผมที่จะต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จะทำยังไงครับ?" ประธานหนุ่มยิงคำถามใส่ทันทีไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
"เตรียมเครื่องบินเจ็ตให้ท่านก่อน แต่ก็ต้องดูว่าท่านจะไปประเทศไหนค่ะ ถ้าเป็นประเทศใกล้เคียงในแถบอาเซียน ดิฉันก็จะเตรียมโรงแรมและร้านอาหารไว้ค่ะ" เธอตอบอย่างรวดเร็วราวกับคิดคำตอบไว้ในหัวก่อนอยู่แล้ว อีกทั้งน้ำเสียงฟังชัดฉะฉานจนเพื่อนร่วมงานซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ต่างตะลึง จากนั้นดวงตาคู่สวยภายใต้กรอบแว่นตาเลนส์ใสเหลือบไปสบตากับท่านประธานหนุ่มรูปหล่อพร้อมโปรยเสน่ห์ใส่ "แต่ก็ต้องขออนุญาตถามท่านก่อนนะคะว่าจะให้ร่วมโต๊ะหรือร่วมเตียงหรือเปล่า?"
ประโยคท้ายแทบทำให้หัวใจอันแข็งราวศิลาถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรง นั่นทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มแดงก่ำ เขาเหลือบมองป้ายชื่อซึ่งติดอยู่บริเวณหน้าอกคัปอี ขนาดของมันยิ่งทำให้แก่นกายของประธานหนุ่มแข็งตุงอยู่ใต้กางเกงชั้นใน นานแค่ไหนแล้วที่เขาแทบไม่ได้ใกล้ชิดผู้หญิงตรงสเปกได้ขนาดนี้
"ถะ...ถ้าอย่างนั้นก็อนุญาตครับ เดี๋ยวไปรายงานกับคุณจินตนาด้วยนะครับว่าผมเลื่อนตำแหน่งให้คุณเป็นเลขาส่วนตัวของผม เริ่มงานวันพรุ่งนี้ได้เลยครับ...คุณกาญจนา"
"ขอบพระคุณมากค่ะ ท่านประธาน" หญิงสาวเผยรอยยิ้มทำให้โลกทั้งใบของประธานชานนท์สดใสขึ้นทันตา เขาเบิกตาโตพร้อมกลืนน้ำลายก่อนหันหลังเดินไปยังรถหรูที่คนขับรถคนสนิทมารอได้ไม่นาน
"สวัสดีครับท่าน วันนี้เหนื่อยแย่เลยนะครับ" คนขับรถอายุมากกว่าเอ่ยทักทายหลังจากเจ้านายปิดประตูรถ เขาสังเกตได้ว่าวันนี้ยามป้อมไม่ได้เข้ามาบริการเปิดประตูให้ "วันนี้ยามป้อมไม่มาทำงานเหรอครับ?"
"ไม่รู้มันเหมือนกัน แต่ช่างเถอะ พากลับบ้านที ตอนนี้รู้สึกอยากนอนสักหน่อย"
"หากท่านรู้สึกไม่สบายก็ควรไปโรงพยาบาลนะครับ จะให้น้องบัวติดต่อหมอไว้เลยไหมครับ?" คนขับรถถามด้วยความเป็นห่วง เขาเป็นหนี้ชีวิตของท่านประธานเพราะถูกเขาช่วยไว้ไม่ให้ติดคุกตลอดชีวิตจากคดีที่เขากลายเป็นแพะจากผู้มีอิทธิพล
"น้องบัวลาออกไปแล้ว" ประธานหนุ่มเอ่ยพลางเงยหน้ามองเพดานรถแล้วยกมือขึ้นปิดหน้า เพราะเขารู้ชะตากรรมของอดีตเลขาสาวดี "หลังจากนี้จะมีเลขาคนใหม่มาแทน"
“นับเป็นอาถรรพ์ของบริษัทเชียวนะครับ แบบนี้ไม่ว่าพระวัดไหนก็คงปัดเป่าไม่ได้” คนขับรถหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทางเป็นกังวล เพราะมีการเชิญพระมาปัดเป่ารังควานตามความเชื่อว่ามีเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติกำลังปกคลุมบริษัทอยู่ แม้ในใจลึก ๆ ของท่านประธานหนุ่มรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องนั้น แต่ความลับบางอย่างควรเหยียบปิดบังไม่ให้ใครรู้ “คงต้องถึงมือบาทหลวงแล้วไหมครับ ไม่ว่าจะมีเลขาคนไหนขึ้นมาก็ไม่สามารถอยู่กับท่านเกินสามปี น้องบัวน่าจะถือว่านานที่สุดแล้วมั้งครับ”
“อย่าพูดอะไรมาก เรื่องเหนือธรรมชาติน่ะ หากไม่เชื่อก็ไม่ควรไปลบหลู่มัน แกไม่รู้หรอกว่ามันน่ากลัวขนาดไหน” ประธานชานนท์เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางมองผ่านกระจกมองหลังตรงเข้าไปยังสายตาของคนขับรถจนอีกฝ่ายรับรู้ถึงออร่าดำทมิฬที่ถูกส่งผ่าน นั่นทำให้เขารู้ตัวว่ากำลังล้ำเส้นบางอย่าง จึงเลือกเงียบปากสงบคำตลอดการเดินทาง
โชคดีวันนี้ประธานชานนท์กลับบ้านก่อนเวลาเลิกงานจึงไม่เผชิญกับรถติดขนานหนัก มีติดไฟจราจรบ้างประปราย แต่ประธานหนุ่มไม่ได้ใส่ใจกับการจราจรปกติของบ้านเมือง ยิ่งได้ยินเสียงฝนพร้อมกลิ่นไออ่อนของมันลอยมาเตะจมูกยิ่งชวนให้ผ่อนคลาย ให้ตายสิ...ทำไมจู่ ๆ ถึงได้เหงากันนะ เป็นเพราะว่าชีวิตชายโสดตัวคนเดียวมันเป็นแบบนี้เองน่ะเหรอ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาเอาแต่ยุ่งเรื่องงาน ความคิดในหัวไม่มีเรื่องอื่นใดเลย ครอบครัวของเขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ นานนมจนกลายเป็นภาพความทรงจำอันเลือนราง แม้แต่สาวคนรักหรือกิ๊กเด็กก็ไม่มี ยิ่งรับรู้ถึงชะตากรรมของอดีตเลขาสาวอย่างบัวเองจึงยิ่งทำให้จิตใจของชายหนุ่มทิ้งดิ่งลงไปมากกว่าเดิม
เปลือกตาของชายหนุ่มปิดลง ในบริษัทตึกสูงกว่าหนึ่งร้อยชั้น เขาคือประธานบริษัทผู้มีลูกน้องคอยให้ความเคารพนับถือ และห้อมล้อมไปด้วยพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง พอหลุดพ้นธรณีประตู เขาได้กลายเป็นชายหนุ่มธรรมดาเท่านั้น แต่มีอีกสังคมหนึ่งซึ่งเขากลายเป็นอีกคนอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นบุคคลแห่งโลกความมืดจนไม่มีใครสามารถล่วงรู้ความลับนี้ได้ แม้แต่ยามป้อมคนสนิทก็ตาม
"ถ้าวันนี้มีนัดอะไรที่ฉันจำไม่ได้ก็เลื่อนไปอีกสองวันก่อน" ประธานชานนท์เอ่ยกับคนขับรถขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยโดยดวงตายังซ่อนอยู่ในเงามืดซึ่งยังกลอกไปมา
"ครับท่าน" คนขับรถรับปากด้วยความเต็มใจ ถือว่าเขาเป็นเลขา บอดีการ์ด และคนขับรถในเวลาเดียวกัน หากช่วงที่ยังไม่มีเลขาเข้ามาใหม่จึงจำเป็นต้องพึ่งเขาทำหน้าที่แทนชั่วคราว
..............
ไม่กี่อึดใจ รถสีดำคันหรูเลื่อนมาจอดอยู่หน้าคอนโดมิเนียมสุดหรู คนขับรถร่างสูงรีบคว้าร่มสีดำพุ่งตัวออกจากรถพร้อมกางมันออก แต่ไม่ทันชายหนุ่มร่างเล็กกว่าเปิดประตูออกไป หยดพิรุณนับร้อยหยาดบนใบหน้าและเสื้อคลุมสูทราคาแพง เขาเดินตากฝนโดยไม่สนใจคนขับรถผู้ชะงักกับการกระทำของเจ้านาย เขารู้ได้ทันทีว่าควรทำอย่างไร นั่นก็คือไม่ควรเข้าไปตอแยอีกฝ่ายในเวลานี้ ดวงตาสีนิลคู่สวยเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์มองตรงไปด้านหน้าแฝงความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวกับว่าถูกร่ายคำสาปอันไม่มีทางแก้ เขาไม่มั่นใจว่าจะแก้มันด้วยวิธีใด แต่หากเข้าไปยังโลกเบื้องล่างอาจมีทางแก้ก็เป็นได้
เมื่อขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นเพนต์เฮาส์ของตัวเอง เจ้าเหมียวขนฟูสีขาวนั่งรอต้อนรับเจ้านายอยู่แล้ว ปกติเจ้านางเหมียวขาวตัวนี้มักหลับอุดอู้จนถึงเที่ยง ไม่เคยวิ่งขึ้นมาปลุกถึงเตียงเหมือนกับแมวตัวอื่น อีกทั้งยังชอบมุดเข้าไปนอนในตู้เสื้อผ้าทั้ง ๆ ที่เจ้าของเตรียมเตียงนอนให้อย่างดิบดี
"เมี้ยว!!" เจ้าเหมียวร้องด้วยความดีใจที่เจ้านายกลับมาก่อนเวลาพร้อมเดินเข้าไปคลอเคลียด้วยการเอาศีรษะโหม่งขาชายหนุ่ม แล้วใช้ศีรษะอันกลมมนถูไถไปมาอย่างรักใคร่ นั่นทำให้จิตใจของชายหนุ่มหลอมละลาย เขาทิ้งความเจ็บปวดและความรู้สึกด้านลบไว้นอกประตูก่อนย่อตัวลงไปอุ้มเจ้าเหมียวขนฟูสีขาวนวลขึ้นมากอดอย่างรักใคร่ไม่แพ้กัน ใบหน้าซบลงบนท้องเนียนพร้อมกลิ่นหอมของเจ้าเหมียวสร้างความผ่อนคลายยิ่งกว่าเครื่องปรับกลิ่นของบริษัทตัวเองเสียอีก
"วันนี้ฉันเจอแต่เรื่องไม่ดีมาด้วยแหละ" ประธานชานนท์เอ่ยขึ้นพร้อมชูเจ้าเหมียวขึ้นไปบนอากาศ "ไม่รู้สิ...แค่เพราะเลขาคนโปรดตายล่ะมั้ง ทำงานแบบตัวติดกันมาตลอดสามปี แถมฉันก็บังเอิญเผลอใจลงไปเล่นกับเธอแล้วด้วย แบบนี้คงเรียกได้ว่าอกหักล่ะมั้ง แกเคยอกหักมาก่อนหรือเปล่าล่ะ...? เจ้าบู้บี้"
เจ้าบู้บี้ แมวพันธุ์เปอร์เซียผสมเอ็กโซติกตัวกลม มีขนสีขาวฟูเหมือนก้อนลำสีแต่ใบหน้าบู้บี้น่าเอ็นดู มองเมื่อไหร่ก็แอบหลุดขำออกมาไม่ได้ มันถูกประธานชานนท์ช่วยเอาไว้ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยจากแก๊งอันธพาลชอบทรมานสัตว์ จวบจนทุกวันนี้ผ่านไปเกือบสิบปี มันเติบโตเป็นแมวที่ให้ความสบายใจแทนที่หญิงสาวซึ่งคอยผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วก็จากไป มันมองเจ้านายผู้เป็นหนี้ชีวิตด้วยแววตาแสนบ้องแบ๊วเป็นประกายราวกับดวงดาวอันสุกสกาวเจิดจรัส นับจากนี้ต่อให้โลกล่มสลาย เจ้าบูบี้จะกลายเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียว
"ยอนอู เปิดเพลง Sunshine in the rain ของ Shania Yan ให้ที" ประธานชานนท์เอ่ยขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าพลางอุ้มเจ้าบู้บี้ไปยังโซฟาผ้าตัวใหญ่ มีรอยข่วนเล็กน้อยตามประสาแมวคันเล็บทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์สั่งซื้อคอนโดแมวลับเล็บให้อย่างดี
เสียงร้องแสนหวานโดยนักร้องสาวในโลกออนไลน์ดังคลอขึ้น
I always wonder, what is love
Is it burning red, or ocean blue
I never felt the butterflies
Like those lovers do until I met you
You’re standing there I’m holding my breath
Cause I’m terrified to tell you
That I think I’m in love with you
แม้เพลงนี้ออกมาได้ไม่ถึงเดือน เพียงวินาทีที่ได้ยินเสียงร้องยิ่งทำให้จิตใจของชายหนุ่มถูกเยียวยาได้ส่วนหนึ่ง ราวกับเป็นเสียงของนางฟ้าจากสรวงสรรค์คอยปลอบโยนเขาอยู่ข้าง ๆ
"มาเต้นรำกันดีไหม?" ชานนท์กระซิบข้างหูของเจ้าบู้บี้ มันร้อง 'เมี้ยว' ขึ้นมาเบา ๆ แทนคำตอบ จากนั้นทั้งสองจึงเต้นรำไปทั่วห้อง เมื่อถึงท่อนคลอรัสยิ่งกระชากอารมณ์ของชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น น้ำตาหยาดหนึ่งไหลอาบแก้ม พลางกอดเจ้าแมวขาวไว้แน่น มันไม่ยอมดิ้นจากไปไหนราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้เป็นนาย
I wanna turn back the time
And held your hand in mine
had I known you were in pain
I’d be your sunshine in the rain
I will light your darkest days
So trust me baby let me stay
I promise you’ll be okay
Cause I will be your sunshine in the rain
ยิ่งเข้าใจความหมายของเนื้อเพลงเท่าไหร่ ความรู้สึกมากมายต่างโหมกระหน่ำแทงลึกเข้าไปยังกลางใจของชานนท์จนกลายเป็นหนึ่งในบาดแผลอันไม่มีวันหายขาด
แต่กระนั้น เสียงแจ้งเตือนบางอย่างฉุดเขาขึ้นมาจากห้วงอารมณ์ แววตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกดังเดิม พร้อมวางเจ้าบู้บี้ลงบนพื้นก่อนเดินไปยังชั้นหนังสือขนาดใหญ่ซึ่งมีหนังสือโบราณวางจนเต็ม เขาแตะสันหนังสือเล่มหนึ่งก่อนออกแรงดันเข้าไป กลไกบางอย่างทำงาน ส่งผลให้ชั้นหนังสือแยกตัวเป็นสองส่วน เผยให้เห็นประตูเหล็กหนาซ่อนอยู่เบื้องหลัง ชายหนุ่มกดรหัสประตูพร้อมสแกนลายนิ้วมือ การยืนยันตัวตนครั้งสุดท้ายคือสแกนรูม่านตา จากนั้นประตูเหล็กหนาจึงเปิดออกโดยอัตโนมัติ
ภายในห้องแคบมีเพียงคอมพิวเตอร์อยู่หนึ่งเครื่อง เปิดหน้าจอหน้าต่างเหมือนปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกตินั่นก็คือ หน้าต่างหน้าจอนั้นมีเพียงไอคอนบางอย่างเพียงไอคอนเดียว ทั้ง ๆ ที่ควรจะมีไอคอนโปรแกรมอื่นแสดงผลด้วย
ไอคอนปริศนานั้นมีรูปร่างวงกลมสีม่วง ครึ่งวงเป็นสีม่วงทึบ ส่วนอีกครึ่งมีลักษณะคล้ายชั้นในของผลหัวหอม นั่นคือ Browser 'Tor' เป็นโปรแกรมเครือข่ายเหมือนกับ Google Chrome หรือ Internet Explorer แต่แตกต่างกันตรงที่ 'Tor' ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวตนของผู้ใช้ มันมีหน้าที่ปิดบังความเคลื่อนไหวทางอินเตอร์เน็ตได้ทั้งหมด โดยไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ นั่นหมายความว่าคุณคือมนุษย์ล่องหนเลยทีเดียว
ชานนท์ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้บุหนังสีดำ สายตาเฉียบคมแตกต่างจากเมื่อสักครู่ เจ้าบู้บี้ตามเข้ามาในห้องลับพร้อมกระโดดขึ้นมานั่งบนตักของเจ้านาย มันมักทำแบบนี้ตามนิสัยแมวติดเจ้านายพร้อมหลับตาหนุนตักไปอย่างรวดเร็ว มือใหญ่ลูบขนฟูนุ่มอย่างเบามือก่อนเอื้อมมือไปจับเมาส์พร้อมคลิกไอคอน 'Tor' ในทันที
หลังจากนั้น โลกทั้งใบของเขาได้เปลี่ยนไป ห้องทั้งห้องกลับหัวกลับหางและแปรเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬ
นี่แหละ
.
.
.
'ดาร์กเว็บ'
สถานที่ที่ไม่มีใครควรเข้ามา มันเป็นแหล่งรวมอาชญากรรมด้านมืดผิดกฎหมายทั้งหลาย ว่ากันว่าฆาตกรชื่อดังกว่ามากกว่าร้อยคนซึ่งรัฐบาลทั่วโลกต้องการตัวก็อยู่ในนี้เช่นกัน
"มีอะไรถึงกับกล้าส่งแจ้งเตือนมาแบบนี้?" ชานนท์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดุดัน "ไม่กลัวว่าจะโดนตามรอยหรือยังไง? ไอ้คุณนิรนาม 069"
"ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ คุณนิรนาม 007" อีกฝ่ายตอบกลับ ที่นี่ต่างคนต่างไม่สามารถเห็นกันและกันได้ ได้ยินแต่เสียงที่จะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยระบบอันน่าทึ่งของโลกใต้ดินสุดล้ำ "เบราเซอร์นี้ไม่ทำให้ใครผิดหวังหรอก ไม่อย่างนั้นโลกนี้คงโดนถล่มไปนานแล้ว"
"อย่ามาชวนคุยเล่นปั่นประสาทดีกว่า" ชานนท์ขมวดคิ้ว "บอกมาดีกว่าว่าต้องการอะไร?"
"ตอนนี้ฉันต้องการจ้างคุณมาทำอะไรบางอย่างเพื่อฉัน แต่ก็ไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคุณต้องการทำเพื่อฉันได้หรือหรือไม่" นิรนาม 069 เอ่ยเข้าประเด็น แต่ยังไม่เข้าประเด็นทั้งหมด เหมือนต้องการปั่นหัวชานนท์เล่น
"ถ้าเงินถึงก็ทำด้วยความเต็มใจ หากเบี้ยวขึ้นมาก็น่าจะรู้ว่าจะลงเอยยังไง แม้ว่า Tor ปิดบังตัวตนของคุณจนมิดแล้วก็ตาม สุดท้ายฉันจะหาช่องโหว่เข้าไปจัดการคุณอย่างไม่ยากเย็นนัก" ชานนท์เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย แน่นอนว่าการเข้ามาอยู่ในเว็บมืดนี้จำเป็นต้องระวังตัวทุกฝีก้าว หากพลาดพลั้งขึ้นมาอาจส่งผลกระทบถึงชีวิตได้ง่าย
"เรื่องเงินไม่ต้องพูดถึงหรอก เราร่วมงานกันมาตั้งนาน ควรจะเชื่อใจกันบ้างสิ" นิรนาม 069 เอ่ยอย่างตัดพ้อ เชื่อเถอะว่าชานนท์และอีกฝ่ายต่างไม่รู้ว่าเป็นใคร แม้แต่เพศก็ไม่อาจรู้ได้ หากให้เดา นิรนาม 069 อาจเป็นผู้หญิง แต่ในความเป็นจริงแม้บนโลกออนไลน์สีขาว ผู้ชายยังแปลงเป็นหญิงสาวด้วยแอปพลิเคชันพร้อมคำพูดเลียนแบบก็สามารถทำให้อีกฝ่ายเชื่อ แน่นอนว่ายังอ่อนหัดหากเปรียบกับดาร์กเว็บแห่งนี้
มืออาชีพเท่านั้นถึงอยู่รอด
"ช่างมันเถอะ ยังไงเราก็เจอกันในบริษัทอยู่แล้วนี่ และฉันรู้ตัวตนของคุณอยู่แล้ว" คำพูดของนิรนาม 069 นั้นทำให้ชานนท์กัดฟันแน่น ร่างกายแข็งทื่อไปโดยปริยาย เหงื่อเม็ดโตไหลอาบแก้ม ดวงตากลอกไปมา
มันไม่ควรเป็นแบบนี้
ตัวตนของเขาควรถูกปกปิดในห้องแห่งความลับนี้
"ฉันว่ารีบเข้าประเด็นดีกว่าว่าคุณต้องการจ้างให้ผมทำอะไร บอกไว้ก่อนว่าผมต้องคิดค่าจ้างสิบเท่า เพราะคุณอาจรู้ความลับบางอย่างของผม รวมถึงตัวตนของผมด้วย แม้ว่ามันจะจริงหรือไม่ แต่นั่นถือว่าเป็นค่าตกใจของผม"
"แหม ๆ เผยไพ่ไวเกินไปหรือเปล่า จะเท่าไหร่ก็ช่าง ฉันจ่ายไหวอยู่แล้วน่า" อีกฝ่ายยังคงพยายามปั่นประสาทไม่เลิก เมื่อรู้ว่าชานนท์เริ่มหวั่นไหวไขว้เขว้ตามต้องการแล้วจึงเลิก "งั้นเข้าประเด็นเลยแล้วกัน งานที่จะจ้างคือจัดการคนคนหนึ่งในบริษัทยอนอูที่คุณเป็นประธานให้ที ฉันจะส่งรูปทางข้อความ"
ไม่กี่อึดใจ ภาพบุคคลเป้าหมายปรากฏขึ้นตรงหน้า นั่นยิ่งทำให้ชานนท์เบิกตาโต
ยามป้อม?
"อย่าถามหาเหตุผลจากฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะไปหาคนอื่นทำงานแทน"
"เดี๋ยวก่อน!" ชานนท์ท้วง พลางรู้สึกเจ็บใจเมื่อถูกต้อนจนมุม "ฉันรับงานนี้ไว้ก็ได้!!"
ไม่รู้ทำไมเขาถึงจำใจยอมรับได้ขนาดนี้ เพราะเขากับยามป้อมเคยเป็นเพื่อนสมัยเด็กอย่างนั้นหรือ?
นั่นก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ แม้ว่าก่อนหน้าจะมาเป็นประธานบริษัทใหญ่โตขนาดนี้ในเวลาอันรวดเร็วเป็นเพราะพลังอำนาจประหลาดปริศนาของเขา แหวนประหลาดที่นิ้วนางนั่นสามารถดลบันดาลอะไรต่อมิอะไรได้ตามต้องการ ในตอนนั้นชานนท์ยังเป็นแฮกเกอร์รับจ้างในดาร์กเว็บ คอยขโมยข้อมูลจากบริษัทชั้นนำทั้งหลายไปขายให้กับใครก็ตามที่ต้องการมันพร้อมค่าจ้างแสนหอมหวาน แน่นอนว่ารวมถึงการจ้างฆาตกรรมแบบไม่สามารถสาวถึงตัวผู้กระทำ
เชื่อเถอะว่าสิ่งที่คุณได้อ่านไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของด้านมืดแห่งโลกออนไลน์ มันมีอะไรมากกว่านี้ที่คุณไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง
จนกระทั่งการพบกันของเขาและยามป้อมซึ่งตอนนั้นเขาเป็นเพียงคนว่าจ้างบันดาลสิ่งที่ปรารถนา ชานนท์ในวัยใกล้เรียนจบมหาวิทยาลัยไร้เพื่อนและญาติมิตรต่างจ้างเขาให้สร้างบริษัทในฝัน โดยค่าจ้างจะเป็นเงินเดือนตลอดชีวิตด้วยตำแหน่งยามรักษาความปลอดภัย หากเขาเผลอฆ่าใครในบริษัทก็จะมีค่าจ้างในการใช้วิธีไหนก็ได้ทำให้ทุกคนในบริษัทลืมไปว่ามีตัวตนของผู้ตายอยู่ในบริษัท
มันคือเรื่องเหลือเชื่อเกินกว่าจะเข้าใจ เมื่อดลบันดาลสร้างบริษัทขึ้นมาได้สำเร็จ บทบาทชีวิตของประธานชานนท์จึงได้ถือกำเนิดขึ้น กลายเป็นเศรษฐีที่รวมเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ
เขาใช้ชีวิตอยู่บนห้องทำงานของเขาบนชั้นที่หนึ่งร้อย โดยให้ยามป้อมแอบจัดการอะไรต่อมิอะไรอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าบริษัทคู่แข่ง แย่งชิงรางวัลต่าง ๆ เอามาถมเป็นบันไดเพื่อให้ประธานชานนท์เหยียบย่ำขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต
ใครจะไปรู้ว่าแฮกเกอร์ปลายแถวจากโลกแห่งความมืดจะกลายเป็นเศรษฐีไฮโซจนมีแต่คนนับหน้าถือตาแบบนี้ล่ะ
ทุกอย่างล้วนมาจากยามป้อมทั้งนั้น!!
เมื่อบทสนทนาระหว่างชายหนุ่มและนิรนาม 069 จบลง เขากลับจมดิ่งสู่ห้วงความคิดอันเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
คำถามไร้ซึ่งคำตอบ...
สุดท้ายเขาจึงสะบัดศีรษะไล่ความคิดขยะออก พร้อมท่องโลกออนไลน์แห่งความมืดต่อ ภายในแต่ละเว็บนั้นจำเป็นต้องระบุ URL* เป็นตัวเลขเท่านั้น ไม่ใช่ World Wide Web** แบบปกติ จากประสบการณ์ของชายหนุ่มผู้ท่องโลกอันแสนมืดมิดนี่มาเป็นเวลานานจึงจำได้ขึ้นใจ ข้อควรระวังของเว็บไซต์เหล่านี้คือห้ามไว้ใจใครเป็นอันขาด ข้อมูลส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร. แม้แต่เพศก็มิอาจเปิดเผยได้ เวลาสั่งของทีต้องไปรับของผ่านตู้เก็บของสาธารณะ ซึ่งมีความปลอดภัยสูงกว่าไม่มาก
"ก็ว่าอยู่ทำไมไม่อยู่ที่บริษัท" เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังสร้างความตกใจแก่ชานนท์เป็นอย่างมาก เขาชักปืนที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะหันมาชี้ยังเป้าหมาย ปรากฏว่าเป็น 'ยามป้อม' นั่นเอง!!
"ไอ้ป้อม...แอบเข้ามาที่บ้านฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกแล้วนะ" ชายหนุ่มพยายามควบคุมสติให้อยู่กับเนื้อกับตัว พลางลดกระบอกปืนลง "มีธุระอะไร?"
"ผมว่าช่วงนี้คุณเข้าดาร์กเว็บบ่อยเกินไปแล้วนะครับ" ยามหนุ่มแสยะยิ้มพลางมองข้ามไหล่เพื่อนสมัยเด็กพร้อมดวงตาสีแดงก่ำราวกับกำลังล้วงลับข้อมูลบางอย่าง "อ่า! เข้าใจแล้ว มีการจ้างวานเกิดขึ้นสินะครับ แถมเป้าหมายก็ยังเป็นผมอีกด้วย อีกทั้งคุณยังตอบตกลงไปแล้ว ไม่คิดเหรอครับว่านี่เป็นการหักหลังกัน ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้ร้องขออะไรคุณมากไปกว่าสิ่งที่ได้สัญญากันเอาไว้เลย" แหวนประหลาดที่นิ้วนางเรืองแสงสีม่วง "ไม่คิดเลยว่าคุณจะกล้าหักหลังผมได้ลงคอ"
"มะ...ไม่เกี่ยวกันสิ! เรายังไม่ได้ตกลงอะไรกันเลย!!" ชานนท์พยายามหาทางพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นลง แต่ดูเหมือนว่ายามป้อมจะไม่คิดอย่างนั้น
"อย่ามาทำตอแหลดีกว่า" ยามป้อมคว้าคอของชานนท์พร้อมยกร่างเขาขึ้นจนปลายเท้าลอยเหนือพื้นด้วยพละกำลังมากมาย "กูคิดว่าตัวเองจะสามารถไว้ใจมึงได้ แต่มึงก็ไม่ต่างจากมนุษย์ตัวอื่นจริง ๆ โลภมากและขี้เสือก!"
"หยะ...อย่า!! ขะ...ขอร้องล่ะ!!"
"เมี้ยววว!!" เจ้าบู้บี้พยายามขู่ฟ่อผู้ที่ทำร้ายเจ้านายและพยายามพุ่งเข้ามาทั้งกัดทั้งข่วน แต่ก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายเกิดรอยแผล ยามป้อมคว้าร่างของแมวขึ้นมา มันพยายามดิ้นทุรนทุรายต่อสู้กับศัตรูอย่างบ้าคลั่ง
"ไอ้เหมียวนี่มันน่าฆ่าทิ้งให้ตายซะ!!" จากนั้นร่างของเจ้าบู้บี้ก็แหลกสลายไปไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก สร้างความเสียใจและโกรธเกรี้ยวต่อชานนท์เป็นอย่างมาก เขาไม่เหลือความเยือกเย็นอีกต่อไปแล้ว จากนั้นพละกำลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาด เขาคว้าแขนของยามป้อมแล้วบิดจนกระดูกแขนหักเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย
กร๊อบบบ!!
ไม่มีเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดดังออกมาจากปากเขาแม้แต่น้อย แต่กลับยืนนิ่ง ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬน่าสยดสยองและแผ่ออร่าสีดำกระจายไปทั่วห้อง
"แกคิดจะมีเรื่องกับข้างั้นเหรอ? กับ 'อาคะมานาส' ผู้นี้เนี่ยนะ!!" ยามป้อมคำรามเสียงดังจนเกิดคลื่นพลังแผ่ขยายเป็นวงกว้างทำให้คอมพิวเตอร์แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ
"อาคะมานาส?" ชานนท์ทวนคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ฉัวะ!!
ไม่กี่อึดใจต่อมา ศีรษะของยามป้อมได้ขาดหลุดออกจากบ่า ออร่าสีดำจางหายไป ร่างของมันเสียเรี่ยวแรงและสมดุลจนล้มลงไปกับพื้น ชานนท์สามารถแกะมือจนหลุดพ้นพันธนาการมาได้ เมื่อเห็นผู้ช่วยเหลือของเขาเดินเข้ามาพร้อมแตะร่างไร้ศีรษะของยามป้อมไปให้พ้นทางก่อนจะย่อตัวลงมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความกลัว โมโหโกรธา เสียใจ และอับอาย พอสายตาประสานกัน ชานนท์ถึงกับเบิกตาโต เพราะผู้ช่วยเหลือคนนั้นคือ 'กาญจนา' พนักงานสาวแผนกประชาสัมพันธ์นั่นเอง!
แววตาของเธอดูเปลี่ยนไปจากเจอหน้ากันครั้งล่าสุดพอสมควร ครั้งนี้เธอแต่งหน้าหนาขึ้นพร้อมทาริมฝีปากสีแดงกุหลาบ อีกทั้งยังปล่อยผมให้สยายออกแทนการมัดผมแบบหางม้า
"ท่านประธานชานนท์" เธอเรียกชื่อชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแต่ทรงพลัง "ที่จ้างวานไปเมื่อกี้ยกเลิกแล้วกันนะคะ"
"หมะ...หมายความว่ายังไง ยกเลิก?" ชานนท์นึกอยู่สักเดี๋ยวจึงเข้าใจ "นิรนาม 069..."
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ นิรนาม 007 คนในโลกมืดมาเจอกันในที่แบบนี้นับว่าเป็นสถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่เลยนะคะ" กาญจนาเอ่ยพลางเช็ดมีดสั้นกับเสื้อของยามป้อมอย่างใจเย็น "ตอนนี้รู้หรือยังคะว่าทำไมดิฉันถึงให้กำจัดยามป้อม"
ชายหนุ่มส่ายหน้า แววตาแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยว
"ถ้ามันฟื้นขึ้นมาตอนนี้ผมก็พร้อมฆ่ามันทันที" เขากัดฟันแน่น "มันฆ่าแมวผม มันคือสิ่งมีชีวิตเพียงตัวเดียวบนโลกที่รักผมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน"
"ในแง่ดี ไม่สมกับเป็นสมาชิกของโลกใต้ดินเลยนะคะ แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้ภารกิจของฉันยังไม่สำเร็จหรอกนะ" หญิงสาวจิกเส้นผมบนศีรษะของยามป้อมพร้อมดึงขึ้นมา อวัยวะส่วนสำคัญในร่างกายมนุษย์ห้อยต่องแต่งเหนือพื้น บริเวณแผลมีเลือดหยดไม่มาก แต่ใบหน้าของผู้ตายนั้นบิดเบี้ยวไปหมด บอกตามตรงว่าตัวเองเคยเห็นคลิปหนัง Snuff Film*** มามากมายในโลกออนไลน์แห่งความมืด พอมาเห็นของจริงแล้วแทบสำรอกเลยทีเดียว "ทำไมต้องทำหน้าพะอืดพะอมอย่างนั้นด้วยล่ะคะท่านประธาน ตอนอยู่บริษัทกับตอนนี้ช่างเป็นคนละคนทีเดียวนะคะ จากสุขุมนุ่มลึกกลายเป็นไอ้ขี้แพ้แบบนี้ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่เลยค่ะ"
"มันก็แหงอยู่แล้วล่ะโว้ย!!" เสียงของยามป้อมดังขึ้น ปรากฏว่ามาจากปากไร้ร่างกายนั่นเอง "บังอาจมากที่ย่องเข้าข้างหลังข้าได้! ข้าคืออาคะมานาสเชียวนะโว้ย อาคะมานาส!!"
"เฮ้ย! หัวขาดแล้วยังพูดได้อยู่เหรอวะ!!?" ชานนท์ตกใจกลัว แต่เมื่อนึกถึงเจ้าบู้บี้แล้วจึงรวบรวมความกล้าคว้าศีรษะมาแล้วทุ่มลงพื้นอย่างแรงจนกะโหลกศีรษะแตกละเอียด เลือดไหลนองพื้นอีกระลอกใหญ่ "มึงจะเป็นใคร ตัวอะไรไม่สำคัญ แต่มึงฆ่าแมวกู!"
"ไหนล่ะศพแมวมึง?" ศีรษะยามป้อมเอ่ยพลางถุยเลือดใส่หน้าชายหนุ่มอย่างเย้ยหยัน "ไม่มีใช่ไหมล่ะ! เพราะกูส่งมันไปยังปรโลกแล้วยังไงล่ะ!!"
"นั่นก็ไม่ต่างจากส่งให้แมวกูไปตาย!" ชานนท์คำรามใส่ "กูจะฆ่ามึง! ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนกูก็จะฆ่ามึงซะ!!"
ฉึก!!
มีดสั้นถูกปักลงกลางศีรษะยามป้อมจนมิดด้าม ลูกตาของมันกลอกมารวมจุดเดียว
"ไม่ตายง่ะ" มันพูด
"มันเป็นปีศาจจากขุมนรก ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ฆ่าไม่ตาย ทำได้เพียงผนึกมันไว้เท่านั้น" กาญจนาเอ่ยพลางชี้ไปยังแหวนประหลาดที่นิ้วของยามป้อม "นั่นคือตัวการ แหวนแห่งมโนกรรม"
"ชื่ออย่างกะในนิยาย"
"เอาล่ะ! พอกันที พวกแกไปทำความรู้จักกันในมิติแบ็กรูมกันเลยไป๊!!" ยามป้อมส่งเสียงคำรามก้อง จากนั้นแหวนแห่งมโนกรรมได้เรืองแสงขึ้นสว่างวาบจนโลกทั้งใบกลายเป็นสีขาว ก่อนค่อย ๆ หายวับกลายเป็นสีดำ
..................
เสียงหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ดังหึ่งปลุกให้ชานนท์และกาญจนาตื่นขึ้นจากภวังค์ พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ประหลาดแห่งหนึ่ง ปกคลุมไปด้วยกำแพงสีเหลืองไม่ต่างจากสำนักงานร้าง ไร้เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ กลิ่นอับชื้น พื้นพรมแฉะไปด้วยของเหลวปริศนาส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวจนต้องหยีตา พอทั้งสองมองไปรอบ ๆ ไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่า
"ที่นี่มันที่ไหนวะเนี่ย?" ชานนท์เอ่ยถามในขณะที่กาญจนาไม่ได้หวั่นเกรงกับสถานที่แห่งนี้แม้แต่น้อยจนชายหนุ่มสังเกตได้ "ถ้าคุณรู้อะไรสักอย่างก็บอกผมมา!"
"มาข่มขู่ผู้หญิงไม่สมกับเป็นประธานบริษัทเลยนะคะ" อีกฝ่ายพูดกวนประสาทพลางขยิบตาโปรยเสน่ห์ใส่ เพิ่งมาสังเกตว่าอีกฝ่ายสวมชุดเสื้อคลุมตัวยาวสีดำ รองเท้าบูตหนังและกางเกงรัดรูป รวมถึงเสื้อยืดคอวีแหวกจนเห็นร่องอกอวบอึ๋มสีเดียวกัน "และอีกอย่าง ใช่ค่ะ ดิฉันรู้จักสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะไม่ทุกซอกทุกมุมก็ตาม แต่บอกให้รู้ไว้นะคะว่าหลังจากนี้ห้ามเป็นตัวถ่วงของกันและกันเด็ดขาด"
"ผมเนี่ยนะจะเป็นตัวถ่วง บอกให้เลยว่าทักษะการต่อสู้ของผมไม่เป็นสองรองใครหรอกครับ"
"อย่างนั้นก็ดีค่ะ นึกว่าเก่งแต่คีย์บอร์ด" หล่อนพุ่งตัวเข้ามาจนริมฝีปากอันอวบอิ่มอยู่ห่างจากริมฝีปากของชานนท์เพียงไม่กี่เซนติเมตร สร้างความตื่นเต้นจนหัวใจเต้นแรงต่อชายหนุ่มเป็นอย่างมากก่อนผละออกมา เธอชักมีดสั้นออกมาพร้อมโยนให้อีกฝ่าย "นี่เป็นอาวุธป้องกันตั..."
เผลอเพียงไม่กี่วินาที ชานนท์พุ่งเข้ามาประกบริมฝีปากหญิงสาวทันที เธอแอบตกใจเล็กน้อยจนใบหน้าแดงก่ำ
"แต่ผมก็ปากเก่งด้วย" เขาแสยะยิ้มพลางหยิบมีดสั้นขึ้นมาพลางมองข้ามไหล่หญิงสาว "มีตัวอะไรโผล่ออกมาด้วย"
เมื่อกาญจนาหันไปจึงเห็นว่ามีผีดิบจำนวนสามตัวกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างเชื่องช้า หญิงสาวไม่รอช้าพุ่งตัวไปจัดการซอมบี้ทั้งสามตัวด้วยมีดเพียงเล่มเดียว
"ว้าว! คุณเก่งจังเลย" ชานนท์ปรบมือพร้อมดวงตาเป็นประกาย หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เสน่ห์การวาดลวดลายต่อสู้ไม่ต่างจากเต้นรำในคืนพระจันทร์เต็มดวง ความแพรวพราวฉายแววเข้าไปในดวงตาของชายหนุ่ม จนกระทั่งมีบางอย่างเฉียดแก้มไป เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาเลือดสีแดงไหลจากบาดแผลตรงแก้ม พอหันไปพบว่ามีมีดปักอยู่กลางศีรษะผีดิบไร้วิญญาณนอนแผ่ตายอยู่
"อยู่ใน 'แบ็กรูม' แห่งนี้ต้องระมัดระวังเป็นสิบเท่าเลยเชียวแหละ ไม่รู้หรอกว่าจะมีสัตว์ประหลาดหรือเอนทิตีอะไรมาทำร้ายเราบ้าง" กาญจนาอธิบาย "เมื่อก่อนฉันเคยเอาชีวิตรอดอยู่ในนี้หลายปีจนเจอทางออก แต่นั่นก็เพราะโชคช่วย คราวนี้จึงไม่รู้ว่าโชคจะเข้าข้างเราสองคนหรือคนใดคนหนึ่ง"
"ผมไม่ได้เชื่อเรื่องโชคลาภอะไรทั้งนั้นแหละ" ชานนท์เอ่ยพร้อมชักมีดออกมาจากศีรษะผีดิบ "สอนผมทีสิ ทักษะการต่อสู้ที่ใช้สำหรับเอาชีวิตรอดในนี้น่ะ"
"ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ดิฉันไม่คิดจะสอนอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ คุณต้องเอาชีวิตรอดด้วยตัวของคุณเองเพื่อให้ประสบการณ์มันขัดเกลาตัวตนคนเก่าของคุณได้หมดจดเสียก่อน หากคุณพร้อม ฉันก็จะสอนให้หมดไม่เหลือสักหยดเชียวล่ะ อยากรู้เหลือเกินว่าท่านประธานชานนท์จะทนได้สักกี่น้ำ"
__________________________________________________
To Be Continue CHAPTER 9