อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา
ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตายอยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา
เลขาสาวดวงซวยลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บริษัทจึงลากเพื่อนไปเอาในเวลาดึกดื่นโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นคืนสุดท้ายของพวกหล่อน เมื่อพบกับความลับอันดำมืดบางอย่างของบริษัทนี้
“นี่ นี่…รู้จักมิติที่เต็มไปด้วยสถานที่แปลก ๆ ไร้จุดสิ้นสุดแล้วเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดบ้างหรือเปล่า? ว่ากันว่าใครหลงเข้าไปในมิตินั้นจะไม่ได้กลับมาอีกเลย ไม่มีบันทึกอะไรหลงเหลือจากเหล่าผู้มาเยือนในมิตินี้แม้แต่คนเดียว…”
“ก็เออสิวะ! ก็เราดันติดแหง็กอยู่ในนี้ไง แถมไม่มีอะไรกินได้สักอย่าง!!” บัวบ่นกระปอดกระแปดขณะเดินไปอย่างไร้จุดหมายท่ามกลางกำแพงสีเหลือง พร้อมเสียงหึ่ง ๆ น่ารำคาญจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่ติดกระจัดกระจายอย่างสะเปะสะปะ อากาศภายในค่อนข้างร้อนชื้นจนต้องจำใจถอดเสื้อตัวนอกออก เผยให้เห็นบราเซียร์สีดำเรียบง่ายราคาย่อมเยาว์ ส่วนของมิลินเป็นสีครีม ด้วยความเป็นผู้หญิงทั้งคู่และยังเคยอาบน้ำด้วยกันมาก่อนจึงไม่มีอะไรต้องเหนียมอาย ยิ่งกลิ่นอับชื้นจากพรมไม่เป็นมิตรกับจมูกสักเท่าไหร่
เราเดินอยู่ในเขาวงกตเต็มไปด้วยกำแพงสร้างอย่างบิดเบี้ยวไม่มีแพตเทิร์นตายตัว บางกำแพงมีหน้าต่างพร้อมบานพับและกระจกโดยอีกฝั่งสามารถเดินอ้อมไม่ไกล จึงไม่เข้าใจว่าจะสร้างขึ้นมาให้เปลืองงบประมาณทำไม เชื่อเถอะว่าในสถานที่แห่งนี้ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลแม้แต่อย่างเดียว อีกทั้งยังไม่มีที่มาที่ไปอีกด้วย เราสองคนจึงเลิกสงสัยในทุกอย่างแล้วตั้งหน้าตั้งตาเดินไปเรื่อย ๆ เผื่อจะเจอทางออกไปจากที่นี่
จนแล้วจนรอด…เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมง เดินจนกล้ามขาแทบเป็นตะคริวก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอเงาทางออกแม้แต่น้อย อาจเป็นไปได้ว่าเราต้องติดอยู่ในนี้ตลอดกาล
ไม่นะ…จะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ทั้งสองจะต้องตายแน่ ๆ
แต่เดี๋ยวก่อนสิ…
ทั้งสองถูกยามป้อมฆ่าตายไปแล้วนี่หว่า…อีกทั้งยังถูกยามป้อมซึ่งกลายเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ประหลาดส่งพวกหล่อนมายังสถานที่อันเต็มไปด้วยปริศนานี้ ไม่รู้ว่าจะทรมานดวงวิญญาณไปชั่วกัปชั่วกัลป์หรือเล่นสนุกกันแน่ แต่ที่รู้กันคือก่อนหน้านั้นมันได้เล่นสนุกกับพวกเธอในเกมไล่จับไปแล้ว แถมก่อนหน้านั้นยังเล่มเกมซ่อนหาอีก ไม่แน่รอบนี้อาจจะเป็นเกมอื่นซึ่งคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
แกรก…แกรก…แกรก…แกรก…
เสียงประหลาดดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทั้งสองหันไปมองตามเสียงด้วยสายตาเอือมระอา เนื่องจากพวกเธอหนี ‘เจ้าตัวนี้’ มาหลายชั่วโมงแล้ว
รูปร่างของมันมีลักษณะโครงมนุษย์ร่างสูง แต่เนื้อหนังมีลวดสนิมเขรอะขดพันกันยุ่งเหยิงไปมา อาวุธของมันคือลวดหนากว่าหนึ่งเซนติเมตร ปลายแหลมสนิมเขรอะอ้อนบาดทะยัก แต่สำหรับดวงวิญญาณที่ตายแล้วนั้น…
“!!!”
มันส่งเสียงคำรามดังก้องจนแสบแก้วหูก่อนพุ่งเข้ามาง้างอาวุธคู่ใจฟันร่างของพวกเราในทันที ความเจ็บปวดเป็นศูนย์ สีหน้าของพวกเรานิ่งสนิท แน่ล่ะ…ดวงวิญญาณหลังโลกแห่งความตายมักไร้ความรู้สึกกันหมด เนื่องจากไม่มีกายหยาบซึ่งเต็มไปด้วยเส้นประสาทต่าง ๆ สิทธิพิเศษของเหล่าดวงวิญญาณไร้กายหยาบนั่นก็คือ ต่อให้สัตว์ประหลาดขดลวดไร้ใบหน้าตัวนี้โจมตีจนร่างกายขาดเป็นครึ่งท่อนหรือศีรษะหลุดจากบ่าก็สามารถกลับมาประสานกันต่อได้ อีกทั้งหากมีแผลก็สมานหายอย่างรวดเร็วราวกับมีพลังฮีลลิงแฟกเตอร์
ให้ตายสิ…เหมือนกับเปิดโหมดพระเจ้าในเกมอย่างไรอย่างนั้น
“เอาไงดีล่ะทีนี้…?” มิลินถามพลางถอนใจยาว “ลำพังกำลังของเราก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย”
“แล้วต้องยืนให้มันฟันจนกว่าจะเหนื่อยแล้วยอมถอยไปแต่โดยดีนั่นแหละ” บัวเอ่ยพลางจับศีรษะตัวเองที่เพิ่งถูกฟันหลุดกลับมาต่ออย่างเดิมด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว พวกหล่อนถูกเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้บุกเข้าโจมตีหลายสิบครั้งเห็นจะได้ ในทีแรกต่างหวาดกลัวต่อรูปร่างภายนอกอันบิดเบี้ยวน่าหวาดกลัว แต่ตอนนี้กลับเฉยชา ปล่อยให้มันอาละวาดจนหนำใจไม่ต่างจากกระสอบทราย เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาสัตว์ประหลาดตัวนั้นยอมถอดใจวิ่งหนีหายไป
“สรุปก็ยังหนีไม่พ้นอยู่ดี สู้นั่งเฉย ๆ ให้มันปู้ยี่ปู้ยำไปยังจะดีเสียกว่า” มิลินบ่นพลางขมวดคิ้ว “แถมอีเขาวงกตนี่มันจะยังไงกันเนี่ย ไม่เห็นจะมีทางออกหรืออะไรนอกจากสัตว์ประหลาดกระหายเลือด!!”
“ใจเย็น ๆ น่า กูเองก็อยากจะกรี๊ดให้เส้นเสียงขาดเหมือนกัน” บัวตัดสินใจทิ้งตัวนั่งลงบนพรมอันชื้นแฉะ “โชคดีที่เราไม่หิวข้าวหิวน้ำ ไม่อย่างนั้นคงเอาปากดูดน้ำจากพรมจนแห้งแน่ ๆ”
“เป็นวิญญาณลอยไปลอยมามีข้อดีนี้อยู่นี่แหละ” มิลินทิ้งตัวลงนั่งเหยียดขาสุดจนเส้นตึง
“อยากดูซีรีส์ต่อว่ะ…” หญิงสาวบ่นพลางนึกถึงละครเกาหลีที่เพิ่งถ่ายทอดลงบนสตรีมมิงชื่อดัง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องตรวจเอกสารสำคัญสำหรับการประชุมของท่านประธานชานนท์
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเพียงเรื่องเล็กแค่นั้นจะบานปลายถึงชีวิตได้จนดูซีรีส์ไม่จบเลยทีเดียว
“กูก็อยากกลับไปทำงานลูกค้าต่อเหมือนกัน” มิลินเหลือกตามองบนพลางบ่นแซะเพราะอารมณ์หงุดหงิด พลางนึกถึงชิ้นงานสำคัญซึ่งอาจทำให้ชื่อเสียงกึกก้องในวงการมากขึ้นกว่าเดิม พอกลับมานึกคิดย้อนหลังแล้ว การตายนับว่าเป็นทางออกถึงปัญหาต่าง ๆ ได้ดีเหมือนกัน หญิงสาวจึงเอนหลังแนบกับพื้นพรมอันเปียกแฉะและเหม็นเน่า ประสาทการรับรู้กลิ่นของเธอด้านชา ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก “ช่างเถอะ มันช่วยไม่ได้นี่ คนมันตายไปแล้วจะให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ยังไง แถมในมิติเหลืองอ๋อยนี่ชักทำให้มึนหัวอยู่รอมร่อ แถมอีหลอดไฟนี่ยังน่ารำคาญ จะไล่ทุบทีละหลอดกว่าจะทุบหมดขาคงหักไปหลายท่อน”
“สรุปจะเอายังไงกันแน่วะ?” บัวถอนใจยาว “กูคิดว่าเราจะต้องติดอยู่ในนี้ตลอดไปว่ะ”
“ก็แย่น่ะสิ!” เพื่อนสาวโวยพลางยกมือกุมขมับอย่างร้อนรน “จะให้กลายเป็นผีเฝ้ามิติเหี้ย ๆ แบบนี้ไม่เอาหรอกนะ!!”
ระหว่างนั้นบัวแกล้งทำเป็นเมินเฉยต่ออาการงอแงของอีกฝ่ายแล้วถอนใจยาว พลางคิดถึงใบหน้าของท่านประธานชานนท์ เทพบุตรของเธอซึ่งตกหลุมรักมาตั้งแต่สมัยเข้าการทดสอบ ‘สัมภาษณ์’ ด้วยแรงบันดาลใจได้จุดประกายอะไรบางอย่างในจิตวิญญาณของหญิงสาวจึงทำให้ทุ่มแรงกายแรงใจเรียนรู้งานต่าง ๆ ทุกแผนกในบริษัท จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาส่วนตัวคนปัจจุบันของประธานหนุ่มสุดหล่อ นั่นถือว่าเธอได้ไต่เต้าเกือบเคียงข้างเขาเพียงเอื้อมมือ สุดท้ายจึงถูกยามป้อมชิงหมาเกิดเสียก่อน
“เห้อ…” หญิงสาวทอดถอนใจ แต่จู่ ๆ ประสาทการได้ยินยังคงทำงานอยู่อย่างปริศนา รับรู้ถึงบางอย่างอันไม่ชอบมาพากล เธอเอื้อมมือไปสะกิดหน้าท้องเพื่อนสาวจนอีกฝ่ายเด้งตัวขึ้นมา
“มาสะกิดทำไมวะ! คนมันยิ่งบ้าจี้อยู่” มิลินพูดเสียงดัง แต่ถูกมือของบัวปิดอุบไว้ก่อน สายตาของเธอจับจ้องไปยังมุมหนึ่งของเหล่ากำแพงวงกตแสนซับซ้อนไม่ละสายตา เพื่อนสาวเห็นดังนั้นจึงพยายามสงบสติอารมณ์ก่อนกระซิบเอ่ยถามเสียงเบา “เป็นอะไรวะ? นิ่งเชียว”
“แค่รู้สึกเหมือน…ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจาก…ทางนั้น…เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน ทางนั้น…ไม่สิ…ทางนี้!” ลูกตาของบัวหันเหไปมาอย่างสับสนงงงวย
“ตั้งสติก่อนสิอีบัว” มิลินคว้าไหล่เพื่อนสาวพลางเขย่าเรียกสติ “มึงล้อเล่นกันแบบนี้กูกลัวนะเว้ย!!”
“กูไม่ได้ล้อเล่น” อีกฝ่ายถลึงตาใส่พร้อมเอ่ยเสียงเขียว ขากรรไกรบนล่างต่างกระทบกันอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกลไกของร่างกายสะท้านไปจนถึงจิตวิญญาณ “ลองตั้งใจฟังดูดี ๆ สิ”
มิลินสัมผัสได้ว่าเพื่อนสาวไม่ได้ล้อเล่นจึงพยายามเงี่ยหูฟัง
แกรก…เอี๊ยด….แกรก…เอี๊ยด…แกรก
“เสียงบ้าอะไรวะ?” มิลินจิปากอย่างไม่สบอารมณ์ ปฏิกิริยาของทั้งคู่ไม่ได้ส่งสัญญาณเหมือนกับตอนที่มีกายหยาบ แต่รู้สึกเหมือนก้อนเนื้อบางอย่างในอกเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่งทำให้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความหวาดกลัวเข้าถาโถมจนรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง สัญชาตญาณเตือนภัยถึงอันตรายค่อย ๆ เยื้องย่างเข้ามา เสียงปริศนาอันน่าขนลุกผสมผสานกับเสียงหลอดไฟบนเพดานยิ่งทำให้บรรยากาศดูวังเวงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่กระนั้นมิลินจึงนึกได้ว่าต่อให้มีอะไรเข้ามาทำร้ายก็ไม่สามารถสร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานทางกายภาพแม้แต่น้อย “มันทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
“…” บัวไม่ได้ตอบโต้เพื่อนสาว สมาธิยังคงจับจ้องอยู่กับเสียงปริศนาซึ่งค่อย ๆ ใกล้เข้ามาทุกที ลมหายใจเข้าออกถี่เสียงขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเงาดำปริศนาปรากฏขึ้นบนพื้นและหยุดกึกหลังกำแพงวอลเปเปอร์สีเหลืองแพตเทิร์นหกเหลี่ยมสีเหลืองแก่ มันนิ่งไม่ไหวติงเหมือนรูปปั้น ด้วยความใคร่รู้อยากเห็น บัวจึงค่อย ๆ ก้าวขาออกไปแต่มิลินกลับคว้าแขนเพื่อนสาวไว้ก่อน
“ยะ…อย่าไปเลย…” หญิงสาวเสียงสั่นเครือ ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น “เรา…เดินทางกันต่อเถอะ”
บัวคิดไตร่ตรองคำพูดเพื่อนสาวอึดใจหนึ่ง ก่อนหันกลับไปมองเงาปริศนาบนพื้นพลางใช้ความคิด
สุดท้ายเธอจึงเลือกเชื่อเพื่อนสาวแล้วตัดสินใจเดินทางต่อ ในระหว่างนั้นยังคงจับจ้องไปยังเงาดำจนลับตา เมื่อหันกลับมาทำให้ชะงักไป เมื่อบางอย่างยืนจังก้ารออยู่ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่มีมันอยู่เลย ร่างของมันสูงใหญ่กว่าสามเมตร ลักษณะภายนอกดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิต แต่เป็นหุ่นไม้ธรรมดาเสียมากกว่า ใบหน้าถูกตกแต่งด้วยวัสดุต่าง ๆ ประกอบให้เป็นใบหน้าของคุณลุงแก้มแดงดูใจดี เส้นผมและเครายาวเกือบปกคลุมใบหน้า ดวงตาทำจากวัสดุบางอย่างแวววาวราวกับมีชีวิต บริเวณลำตัวถูกสวมด้วยเสื้อคลุมสูทไซซ์ใหญ่กว่าคนทั่วไป ดูเหมือนว่าถูกตัดเย็บมาเพื่อมันโดยเฉพาะ แขนทั้งสองข้างกางออกราวกับพระเยซูถูกตรึงกางเขน ร่างกายส่วนล่างมีเพียงล้อคลุมด้วยผ้าสีดำเท่านั้น เหมือนกับเป็นยมทูตอย่างไรอย่างนั้น
หญิงสาวทั้งสองแทบหยุดหายใจเมื่อมันปรากฏตัวต่อหน้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“อะ…อะไรวะนั่น…?” มิลินถามเสียงสั่น เข่าอ่อนแรงทรุดลงไปกับพื้นอย่างหวาดกลัว ดวงตาจับจ้องไปยังหุ่นประหลาดเบื้องหน้า “สะ…สัตว์ประหลาดอีกตัวงั้นเหรอ?”
ทั้งคู่เจอสัตว์ประหลาดในมิตินี้ไม่ต่ำกว่าสิบตัวมาแล้ว แม้ว่าแต่ละตัวจะเข้ามาทำร้ายก็ไม่สามารถทำได้ ด้วยสถานะที่เป็นดวงวิญญาณ แต่ในทางกลับกัน หากสัตว์ประหลาดหุ่นตัวนี้ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียวราวกับไม่มีชีวิต แต่หากสังเกตดวงตาของมันให้ดีจะรับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่าง พวกเธอไม่สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของมันได้แม้แต่น้อย จึงไม่อาจก้าวไปทางทิศไหนได้เลย บรรยากาศรอบข้างเริ่มกดดันขึ้นทุกที ภายในใจของทั้งสองมีความเชื่อมั่นว่ามันไม่สามารถทำร้ายพวกหล่อนได้ แต่กลับมีบางอย่างกำลังต่อต้านความคิดนี้อยู่
“ค่อย ๆ เดินเลี่ยงไปอีกทาง พอลับตาแล้วให้วิ่งทันทีเลยนะ” บัวกระซิบบอกแผนการที่เพิ่งคิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที จากนั้นจึงจูงมืออันเย็นเฉียบเลี่ยงไปทางซ้ายมือ โดยที่ดวงตายังคงจับจ้องหุ่นสัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่ละ ภายในจินตนาการเห็นว่ามันเคลื่อนไหวด้วยตัวเองด้วยความเร็วขีดสุด เพียงไม่กี่เสี้ยววินาทีมันก็เข้ามาประชิดตัว หญิงสาวไล่ความคิดเท็จเหล่านั้นออกพร้อมรวบรวมสติให้ได้มากที่สุดเพื่อคิดหาวิธีหนี
เมื่อหุ่นสัตว์ประหลาดลับสายตาแล้วจึงบอกให้มิลินออกวิ่งในทันที
จากนั้นพอหันไปเจอสิ่งที่เห็นตรงหน้าแทบช็อกทันที!!
หุ่นสัตว์ประหลาดตัวนั้นกลับยืนจังก้าราวกับวาร์ปมา ยิ่งสร้างความหวาดกลัวหนักกว่าเดิม
“ฉะ…ฉิบหายแล้ว…” บัวเบิกตาโตพร้อมคิดเข้าข้างตัวเองว่า “ตะ…แต่มันไม่น่าจะทำร้ายเราได้หรอก…เพราะว่ามัน…”
ในระยะเวลาไม่ถึงอึดใจ ฝ่ามือขนาดใหญ่ของมันเหวี่ยงเข้าใส่ร่างหญิงสาวทั้งสองปลิวด้วยพละกำลังอันมหาศาล กระแทกอัดกำแพงจนเกิดรอยร้าว พอร่างทั้งสองลงพื้น รอยร้าวนั้นค่อย ๆ สมานกลับเป็นเหมือนเดิมไร้รอยขีดข่วน แต่กลับไม่ใช่ต่อสองสาว ความเจ็บปวดสะท้านไปทั่วร่าง เลือดแดงกระอักออกจากปากไหลเปรอะเปื้อนพรมอันชื้นแฉะ
“ทำไมกัน…?” บัวพยายามชันตัวเองให้ลุกขึ้นพร้อมพยุงร่างเพื่อนสาวให้ลุกตาม “มันไม่น่าทำเราเจ็บได้ขนาดนี้นี่?”
“ไม่น่าจะได้ยังไง มันทำไปแล้ว” มิลินเถียงโดยเอามือกุมแขนไว้ ดูเหมือนว่ากระดูกแขนหักไปแล้ว “แม่งเอ๊ย! เหมือนกระดูกเสือกหักอีก…”
“เราเป็นวิญญาณนะ! จะมีกระดูกได้ยังไง!?” บัวเถียงกลับ ทั้ง ๆ ที่ภายในใจลึก ๆ ยอมรับว่าซี่โครงของหล่อนมีรอยร้าวเกิด อีกทั้งไม่สามารถเยียวยาได้เหมือนก่อนหน้า
“ก็ท่านยมสร้างร่างของเราให้เมื่อตอนนั้นไงจำไม่ได้เหรอ?” มิลินเอ่ยพลางยกมือปาดเลือดบริเวณมุมปาก “มันก็ไม่แปลกหรอกถ้าตอนนี้หากเราจะเจ็บตัวเพราะมัน แต่หลังจากนี้เราต้องทำยังไงกันดี แบบนี้เราไม่สามารถอยู่ให้มันเข้ามาตบฟรีได้แล้วนะ!!”
“มันต้องมีสักทางนอกจากหนี” บัวกัดฟันแน่น ดวงตาจับจ้องไปยังหุ่นสัตว์ประหลาดไม่ไว้วางใจ เหงื่อเม็ดโตไหลอาบหน้า
ต้องมีสักทาง….
ต้องมีสักทาง….
…………………………….
ตัดมายังฝั่งของชานนท์และกาญจนา หลังจากทั้งสองถูกส่งมายังมิติลึกลับ เต็มไปด้วยกำแพงวอลเปเปอร์สีเหลืองสร้างกระจัดกระจายไร้รูปแบบและกว้างขวางราวกับเขาวงกต อากาศร้อนชื้นอีกทั้งความน่ารำคาญของหลอดไฟบนเพดานยิ่งทำให้อารมณ์หงุดหงิดพลุ่งพล่านไม่หยุด ตอนนี้ชานนท์เรียนรู้ทักษะการต่อสู้มากขึ้นจนสามารถจัดการกับสัตว์ประหลาดเอนทิตีล่าถอยไปหลายสิบตัว ส่วนกาญจนาระบำดาบฟาดฟันเหล่าศัตรูที่กรูกันเข้ามาสยบแทบเท้าหลายตัวเช่นกัน
“ไอ้เหี้ยป้อม!! มึงอยู่ไหน!!!” ชานนท์ตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมกระโดดหมุนตัวไปกลางอากาศแล้วหวดขาเตะซอมบี้อีกตัวที่พุ่งเข้ามาใกล้ ทักษะการต่อสู้ของชายหนุ่มพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองด้วยพื้นฐาน ความแค้นที่มีต่อเพื่อนสมัยเด็กหักหลังนั้นฝังเข้ากระดูกดำ ไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ในอำนาจมันมาเสียเนิ่นนาน “อาคะมานาสเหรอ? กูจะเตะปากให้แตกหมอไม่รับเย็บเลยคอยดู!!”
“บุคลิกภาพเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะคะ ท่านประธานชานนท์” กาญจนาเช็ดเลือดที่เปื้อนมีดด้วยเศษผ้า ก่อนโยนทิ้งหลังจากตรวจสอบว่าไม่มีเอนทิตีหลงเหลืออยู่แล้ว
“ตัวตนที่เห็นในบริษัทมันไม่ใช่ตัวผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” เขากำมีดแน่นในมือ ตอบด้วยใบหน้าหงุดหงิด “ผมไม่ได้เป็นคนใจเย็นอย่างที่ทุกคนคิดสักหน่อย เป็นประธานบริษัทมักมีความกดดันเรื่องหน้าตา ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็มีแต่คนรู้จัก นับว่าเป็นดั่งเซเลบคนหนึ่งเลยก็ว่าได้”
“ค่อนข้างหลงตัวเองไปนิดนะคะ” กาญจนาเอ่ยก่อนเดินเข้ามาประชิดร่างชายหนุ่ม “แต่ก็น่ารักดี ฉันชอบแบบนี้ค่ะ”
“นี่คุณชอบผมเหรอ?”
“อย่ามาหลงตัวเองแถวนี้นะยะ!” หญิงสาวชี้ปลายแหลมของมีดไปทางชายหนุ่ม “ระวังชีวิตจะสั้นเอาง่าย ๆ”
“แต่คุณหน้าแดงแจ๋เลยนะ” ประธานหนุ่มกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม “หรือว่าจูบในตอนนั้นมันโกหกกันแน่ล่ะ? ขอโทษนะครับคุณผู้หญิง ผมเชื่อในภาษากายมากกว่าคำพูดของคนเสียอีก”
“จะยังไงก็ช่างเถอะ…” คำพูดของหญิงสาวหยุดชะงัก ดวงตาของเธอเบิกโต มองข้ามไหล่ชานนท์เห็นบางอย่างอยู่ข้างหลัง “ยะ…อย่าหันไปนะ…”
แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำตามจึงหันขวับไปในทันที หุ่นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งปรากฏยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าห่างกันไม่กี่เมตรตั้งแต่เมื่อไหร่ก็มิอาจรู้ได้ สัญชาตญาณของหญิงสาวผู้ผ่านประสบการณ์โชกโชนมาตลอดหลายปี รวมถึงชายหนุ่มผู้เข้าร่วมสมรภูมิแห่งธุรกิจมีแต่เรื่องสู้รบกันด้วยวาจาและจิตวิทยา จึงรู้ได้ทันทีว่ามันไม่ได้มาดีแน่ ทั้งสองจึงดีดตัวกระโดดออกห่างพร้อมกัน ในจังหวะเดียวที่มันหวดฝ่ามือขนาดใหญ่ตวัดอย่างรวดเร็วราวกับแส้ ฝ่ามือกระแทกถูกพรมจนทำให้พื้นกระเบื้องใต้พรมแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี
“โอ้โหเฮะ! ไม่คิดเลยว่าจะมีสัตว์ประหลาดอย่างนี้มาอยู่ด้วย” ชานนท์กำมีดแน่น พยายามรวบรวมความเยือกเย็นอีกครั้ง
"อย่าประมาทมันเชียวล่ะ ไอ้เวรนี่ฉันเคยสู้มาแล้ว" กาญจนาเอ่ยพลางกระชับมีดสั้นให้ถนัดมือเพื่อเตรียมพร้อมเข้าเผชิญหน้า แต่อีกใจหนึ่งอยากหนีให้รู้แล้วรู้รอด "เราสองคนสู้มันไม่ได้หรอก ดูมันสิ ขนาดพื้นกระเบื้องใต้พรมยังแหลกไม่มีชิ้นดีเลย"
ชานนท์ไม่ค่อยมีประสบการณ์การต่อสู้นานเท่ากาญจนา แต่ด้วยสัญชาตญาณของตัวชายหนุ่มเองนั้นสัมผัสได้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้มันเกินกำลังไปจริง ๆ จึงตัดสินใจวิ่งหนี
แววตาของหุ่นสัตว์ประหลาดหน้าชายชราค่อย ๆ แดงก่ำอย่างน่าสะพรึงกลัว มันคำรามเบา ๆ ออกจากช่องทางไหนสักแห่งก่อนเคลื่อนตัวตามด้วยความเร็วเต็มเหนี่ยว ไม่ว่าเหยื่อจะหนีเร็วปานใดก็ไม่มีวันรอดพ้นจากเงื้อมมือของหุ่นตัวนี้ได้ ล้อของมันทำจากวัสดุปริศนา จะว่าโลหะก็ไม่ใช่ ราวกับว่ามันอยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของมนุษย์โดยสมบูรณ์
"เร็วฉิบหาย!!" ชานนท์กลิ้งหลบการโจมตีของหุ่นสัตว์ประหลาดก่อนเหวี่ยงมีดแทงกลางลำตัว แม้คิดไว้อยู่แล้วไม่ว่าแทงยังไงก็ไม่สะทกสะท้าน แต่น่าแปลกที่ใบมีดจมลงไปในร่างของมันราวกับโคลนส่งกลิ่นเน่าเหม็นแสบจมูก
"ปล่อยมือจากมีดซะ! การโจมตีทางกายภาพทำอะไรมันไม่ได้หรอก!!" กาญจนาตะโกน ชายหนุ่มเกิดเจ็บใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้ สุดท้ายจึงเลือกปล่อยมือแล้วหันหลังวิ่งหนีสุดชีวิตตามสัญชาตญาณ พลางหันไปมองมีดที่กำลังจมหายเข้าไปในผ้าคลุมอย่างหวาดหวั่น หญิงสาววิ่งตามมาติด ๆ เธอเก็บมีดเข้าฝักเพราะเห็นว่าอาจมีอันตรายอย่างไม่คาดคิดหากมันยังอยู่ในมือ เส้นทางในมิติเขาวงกตสีเหลืองไร้สิ้นสุดวกวนไปมาจนไม่สามารถสร้างแผนที่ในสมอง เสียงยวบยาบของพื้นพรมอันเปียกแฉะกลายเป็นสัญญาณที่ทำให้หุ่นสัตว์ประหลาดเคลื่อนตัวไล่ตามมาติด ๆ กลไกภายในของมันเป็นปริศนา ในความคิดของชานนท์ว่ามันอาจจะเป็นวิทยาการก้าวล้ำกว่ามนุษย์หลายเท่าเป็นได้
"ไอ้นี่จะต้องมีสวิตช์เปิดปิดอยู่ที่ไหนสักที่ หรือไม่ก็ใช้เสียงสั่งการ แย่ที่สุดคือรีโมตบังคับ!! แต่แย่กว่านั้นคือทำงานด้วยหลักการเอไอ!!" ชายหนุ่มพรั่งพรูไอเดียมากมายเท่าที่นึกออก ตลอดการทำงานในบริษัทเทคโนโลยีอันดับต้น ๆ ของประเทศ ทำให้มีโอกาสได้ไปดูงานต่างประเทศ พบเห็นเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ แข่งกันล้ำยุคล้ำสมัยอย่างไม่มีใครยอมใคร
"คิดตื้นเกินไปแล้วคุณ!" กาญจนาเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาวิ่งสับอย่างเอาเป็นเอาตายพลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "ไอ้สัตว์ประหลาดนี่มันไม่ใช่จักรกลด้วยซ้ำ!"
"อย่าบอกนะว่ามันคือสิ่งมีชีวิต? ดูยังไงมันคือหุ่นยนต์จักรกลชัด ๆ!!" ชานนท์ไม่เชื่อคำพูดอีกฝ่าย ด้วยความคุ้นชินกับรูปร่างหน้าตาของจักรกลมาตลอดจึงมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์
"งั้นไปถามมันเลยไม่ดีกว่าหรือไงว่าเป็นอะไรกันแน่!" กาญจนาดุพลางคว้าก้อนหินก้อนหนึ่งบนพื้นแล้วปาในหุ่นสัตว์ประหลาดอย่างว่องไว สิ่งที่น่าตกใจก็คือก้อนหินก้อนนั้นแปลงกายเป็นอสูรเกราะหินรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวเข้าโจมตีศัตรูตรงหน้าด้วยสัญชาตญาณ แต่แล้วแขนของหุ่นฟันคออสูรเกราะหินขาดเป็นสองท่อนง่ายดายราวตัดเนย ชานนท์เห็นเหตุการณ์นั้นจึงเบิกตาโตแล้วหันกลับมาตั้งใจวิ่งหนีสุดชีวิต
"ถ้าเจอทางเลี้ยวให้เลี้ยวแบบหักศอกเลยนะ มันจะได้วิ่งเลย" ชายหนุ่มเกิดนึกไอเดียออกจนกระทั่งถึงทางเลี้ยวที่ว่า แล้วบิดข้อเท้าไปยังทิศทางต้องการแบบกะทันหัน ส่งผลให้เจ้าหุ่นสัตว์ประหลาดที่ตามมาติด ๆ คว้าร่างของกาญจนาไปก่อนที่เธอจะทันเลี้ยวทัน
"กาญจนา!!" ชานนท์คำรามเรียกสุดเสียงพร้อมกำมือแน่นจนเล็บจิกอุ้งมือจนเลือดไหล กำปั้นของเขาทุบพื้นด้วยความเจ็บแค้น โทษตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องคนที่เขา 'แอบมีใจ' ให้
ในขณะเดียวกันนั้นเอง
"ทะ...ท่านประธาน...?"
ชานนท์หันไปมองต้นเสียงซึ่งดังมาจากด้านหลัง พบกับหญิงสาวสองคนกำลังยืนชิดมุมกำแพงใต้เงามืด ซึ่งแสงสว่างจากหลอดไฟสีขาวไม่สามารถส่องถึง ใบหน้าเล็กเรียวได้รูป ดวงตาเป็นประกายสุกสกาวดังดาวบนท้องฟ้า เขายังจำใบหน้าคนใกล้ชิดของเขาได้ดี
"เลขาบัว?" ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ไม่คิดว่าคนตายมายืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่ก่อนจะได้พูดคุยอะไรมากกว่านี้ หญิงสาวคว้าเสื้อเชิ้ตสีขาวเปรอะเปื้อนไปด้วยขี้ดินขี้โคลนเข้ามาประชิดตัวใต้เงาจนใบหน้าทั้งสองใกล้ชิดกัน
"นะ...นี่มันเรื่องอะไรกัน?" ในหัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยคำถาม มืออันหยาบใหญ่ทั้งสองข้างจับไหล่อีกฝ่าย ดวงตาเบิกโตล่อกแล่กไปมา ต่างไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริง "คุณตายไปแล้วนี่...อย่างที่ไอ้ป้อมมันพูด"
"จุ๊ ๆ" หญิงสาวเขม่นตามองประธานหนุ่ม แต่จำเป็นต้องเก็บเงียบเสียงเอาไว้ "ในนี้ไม่มีเอนทิตีตัวไหนมองเห็นค่ะ แต่เสียงอะไม่แน่..."
เธอกัดริมฝีปากด้วยความคับแค้นใจ นั่นหมายความว่าความตายของเธอนั้นอยู่ในการรับรู้ของประธานหนุ่มมาโดยตลอด ในตอนนี้จึงไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรต่อผู้ชายคนหนึ่งที่เธอ 'มีใจให้'
____________________________________________________
To Be Continue CHAPTER 10 (อวสาน)