อยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา
ระทึกขวัญ,ชาย-หญิง,เลือดสาด,ไทย,พล็อตสร้างกระแส,สืบสวนสอบสวน,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Hide and Seek เสือก-ซ่อน-ตายอยู่ตัวใครตัวมันก็ดีอยู่แล้ว ไม่น่าก้าวก่ายเรื่องราวคนอื่น ส่งผลให้ชีวิตกลับตาลปัตรกลายเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับความตา
เลขาสาวดวงซวยลืมเอกสารสำคัญไว้ที่บริษัทจึงลากเพื่อนไปเอาในเวลาดึกดื่นโดยที่ไม่รู้ว่ามันจะเป็นคืนสุดท้ายของพวกหล่อน เมื่อพบกับความลับอันดำมืดบางอย่างของบริษัทนี้
กลิ่นเหม็นอับจากพรมชื้นแฉะลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณไม่มีใครรู้ได้ว่าของเหลวที่ซึมซับอยู่คืออะไร จะน้ำก็ไม่ใช่ หรือสารเคมีปริศนาก็ไม่เชิง กำแพงวอลเปเปอร์สีเหลืองลวดลายทางสีเข้มสะท้อนแสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ติดตั้งเรียงรายไร้ระเบียบส่งเสียง หึ่ง ๆ ท่ามกลางความสงัดอย่างน่ารำคาญแต่สร้างบรรยากาศดูวังเวงผิดปกติราวกับ ‘มิติ’ นี้บิดเบี้ยวเหมือนจิตใจอันซับซ้อนของมนุษย์ ภายในพื้นที่ปริศนาเหมือนถูกสร้างไว้เป็นสำนักงานแต่กลับกว้างขวางโล่งโจ้งไร้ของตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้รวมถึงสิ่งจำเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต เว้นแต่มีศพนอนตายตามทาง ซึ่งมีบางศพสวมยูนิฟอร์มของบริษัทยอนอูจึงสันนิฐานได้ว่าป้อมคงพาพนักงานของเขามาที่นี่เพื่อให้เอนทิตี้เล่นสนุกอย่างโหดเหี้ยมทำให้ชานนท์หงุดหงิดไม่น้อย
ทั้งสามเดินเหยียบย่ำบนพรมแฉะเกิดเสียงยวบยามและลื่น ดูเหมือนจะเป็นมอสหรือตะไคร่น้ำไม่ก็เชื่อรามิอาจรู้ได้ อากาศในนี้แสนอึดอัดเนื่องจากเป็นพื้นที่ปิดทำให้มีออกซิเจนจำกัด สิ่งแปลกภายในพื้นที่ดูไร้สิ้นสุดไม่น่าผลิตอากาศสำหรับหายใจได้เลย การเดินแต่ละครั้งช่างเหนื่อยยาก พวกเขาจึงจำเป็นต้องปรับจังหวะการหายใจกันใหม่เพื่อไม่ให้ปอดทำงานหนักจนเกินไป
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณกาญจนาจะถูกจับตัวไปได้ แม้เขาเคยเป็นนายจ้างหนูแค่คืนเดียวก็เถอะ หนูสัมผัสได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา” บัวกล่าวพลางหอบหายใจ ส่วนเพื่อนสนิทอย่างมิลินที่เดินอยู่ข้าง ๆ กอดแท่งเหล็กที่เจอระหว่างทางพลางมองไปรอบข้างอย่างหวาดระแวง ก่อนหน้าที่พวกเธอเผชิญหน้ากับซอมบี้ไม่กี่ตัว แต่ชานนท์สามารถใช้อาวุธมีดสั้นจัดการลงได้ไม่ยาก ไม่ใช่เพียงผีดิบอย่างเดียว เขาสัมผัสได้ว่าอาจจะมีภัยร้ายอื่นที่โหดยิ่งกว่าก่อนจะตามเจ้ายักษ์ล้อเลื่อนน่าขนลุกทัน “ท่านประธานเองก็ไม่ได้รู้จักกับคุณกาญจนาเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วเหรอคะ?”
“แค่รู้จักกันในฐานะพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจเท่านั้น” ชายนนท์ตอบเลี่ยงพลางเอามือล้วงกางเกงแล้วหันมาทำสีหน้าตำหนิใส่เลขาส่วนตัว “ว่าแต่คุณเถอะ ลืมเอกสารไว้ที่โต๊ะทำงานมันน่ามะเหงกไหมเนี่ย? ดูสิว่ามันทำให้ชีวิตคุณมาถึงจุดนี้ได้ยังไง?”
“หนูขอโทษค่ะ...” บัวก้มศีรษะห่อไหล่รับความผิดไปเต็ม ๆ เพราะความสะเพร่าของเธอที่ตัวเองต้องพบจุดจบของชีวิตตัวเองด้วยคมมีดของยามป้อมหรือปีศาจ ‘อาคะมานาส’ จำแลงกายมา หญิงสาวจึงเชื่อมโยงถึงความเยือกเย็นและความแข็งแรงว่องไวเกินมนุษย์ของเขาเลยไม่แปลกใจหากการต่อสู้คราวหน้าอาจไม่เห็นหนทางเอาชนะ “ถ้ากลับไปได้...ท่านประธานจะไล่หนูออกไหมคะ?”
“คงไม่หรอก” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ ดวงตาเป็นประกายดุดันเฉี่ยวคมดั่งอินทรีสอดส่องรอบด้านเพื่อรับรองความปลอดภัย “กว่าคุณจะสัมภาษณ์งานผ่าน กว่าจะสอนจนเก่งงานกระทั่งไว้ใจให้ทำอะไรต่ออะไรได้โดยไม่ต้องกังวลก็ใช้เวลานานอยู่ การที่จะหาเลขาใหม่มาแทนคุณมันยุ่งยากเกินไป แถม...ถ้าขาดคุณไปผมคงทำอะไรไม่เป็นแน่ ๆ”
บัวได้ยินประโยคท้ายจึงชะงักก่อนใบหน้าแดงก่ำด้วยความสับสนเขินอาย แม้ก่อนหน้าจะมีผู้ชายมาบอกสารภาพรักนับไม่ถ้วยก็ตาม แต่กับเจ้านายที่เธอเคารพ ‘รัก’ พูดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ท่านประธานพูดแบบนั้นหนูก็ใจเต้นไม่หยุดสิคะ...” เลขาสาวพึมพำในใจ แต่แล้วพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย “ตะ...ตั้งแต่หนูเข้าไปทำงาน ปกติบริษัทยอนอูที่ใหญ่ระดับโลกมักจะต้องมีการเล่าประวัติความเป็นมาของบริษัทด้วยนี่คะ แต่กลับไม่มีเลย”
“ประวัติของที่นี่แปลกประหลาดเกินความเข้าใจของพวกสื่อ” ชานนท์กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาหลุบลงมองพรมที่ยามเหยียบย้ำมักมีของเหลวเหมือนน้ำสีขุ่นส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์เผยตัวออกมาตามจังหวะการก้าวเดิน “คุณอยากรู้เหรอครับ?”
“ค่ะ...” บัวตอบพร้อมมิลินที่ไม่พูดอะไรแต่พยักหน้าเห็นด้วย
ชานนท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางเรียบเรียงข้อมูลในหัว ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้งก่อนตัดสินใจเริ่มเล่าถึงการเจอกันระหว่างชานนท์และป้อม ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยอนุบาลจนกระทั่งแยกย้ายกันไปเรียน ป้อมได้ทุนการศึกษาที่มหาวิทยาลัยรัฐบาลส่วนชานนท์เรียนมหาวิทยาลัยเอกชนที่เมืองนอก ชีวิตของชายหนุ่มอาจดีกว่านี้เมื่อได้ดีกรีนักเรียนนอกกลับตาลปัตรเหมือนรถหมุนควงสว่างพุ่งลงน้ำที่สะพานพระรามเก้าเหมือนกับที่พ่อแม่ของเขาประสบ เขาต้องดรอฟจากสถาบันการศึกษาซึ่งกำลังปูทางไปสู่อนาคตอันสดใสในสาขาด้านวิศวกรรมและเขาทำได้ดีเยี่ยมจนติดท็อปคลาส แม้แต่อาจารย์ยังสนับสนุนผลักดันงานของเขาให้ไปไวยิ่งกว่าการบ้านในห้องเรียนหรือวิทยานิพนธ์ แต่ต้องมืดมนลงในขณะที่นั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าโลงศพของบุพการีพร้อมเงินประกัน มรดกทุกอย่างคำนวณออกมาเป็นตัวเลขพิมพ์ลงกระดาษวางคั่นระหว่างกันราวกับเป็นเส้นแบ่งระหว่างโลกคนเป็นและโลกคนตาย
เขาอยากจะข้ามเส้นนั้นไปให้ได้ ด้วยไม่มีความกล้ามากพอจึงทำให้เขายังคงทุกข์ทรมานในความล้มเหลวของตัวเองภายในบ้านหลังโตโอ่อ่าเพียงคนเดียว เงินในบัญชีของเขามีมากกว่าเจ็ดหลักทำให้เขาใช้ชีวิตหรูหราเพื่อลืมความเศร้า ออกเที่ยวปาร์ตี้ยามค่ำคืน ควงสาวออกงานไม่ซ้ำหน้าและเฉดหัวเธอทิ้งเมื่อตื่นมาบนเตียงพร้อมกันในตอนเช้า แม้มันเป็นความสุขเพียงชั่วขณะ แต่มันไม่ได้เติมเต็มความอ้างว้างของหัวใจได้เลย
“จนกระทั่งได้พบกับป้อมอีกครั้งโดยบังเอิญ เหมือนพระเจ้าจับเขามาว่างต่อหน้าในวันที่เงินผมเหลือเพียงห้าหลัก ผมจึงเลิกเที่ยวตัดความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ผมเคยร่วมหลับนอนด้วยแล้วเริ่มต้นธุรกิจสมาร์ทโฮมต่อยอดงานสมัยมหาวิทยาลัย” ชายหนุ่มเล่าต่อ ตายังมองไปข้างหน้าคอยระมัดระวังเหล่าเอนทิตี้ซึ่งบางทีมักซ่อนอยู่หลังกำแพง จากนั้นก็กระโจนเข้าทำร้ายโดยไม่ทันตั้งตัว ยิ่งได้จัดการพวกมันไปได้หลายตัว ชานนท์จึงเริ่มคุ้นชินกับการต่อสู้กัวพวกมันมากขึ้น ไม่ลังเลที่จะเสียบคมมีดทะลุผิวหนังเชือดเฉือนไปถึงชั้นกล้ามเนื้อมองดูเลือดสีดำไหลอาบเปื้อนพรมด้วยสายตาเรียบนิ่ง เขาเล่าต่อจากที่ค้างไว้ก่อนเช็ดมีดกับขากางเกงสีดำอย่างไม่รู้สึกรังเกียจ “เราเจอกันในบาร์แห่งหนึ่งซึ่งผมเพิ่งได้รับการปฏิเสธโปรเจ็กต์ธุรกิจใหม่จากนายทุนเพราะผมยังไม่มีความมั่นใจในตัวสินค้าที่ต่อยอดมาจากการบ้านในห้องเรียนมากพอ...”
แม้เวลาผ่านไปนับทศวรรษ เพียงมองหน้าประสานดวงตาอันไม่กี่วินาที ทำให้โลกทั้งใบสดใสขึ้นทันตา ป้อมแต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำอย่างดี ส่วนชานนท์นั้นสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวเก่าราคาแพงซึ่งตกยุคไปนานราวกับการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย แก้วเหล้าขนาดหนึ่งกรึ้บเต็มไปด้วยของเหลวสีน้ำตาลเข้ม พวกเขาคุยระลึกความหลังไปมารวมถึงผลัดกันอัพเดตชีวิตของกันและกันไปมา ป้อมโชคดีถูกหวยและมีกำไรจากการศึกษาเล่นหุ้นสามารถทำเงินเป็นกอบเป็นกำ
ชานนท์อิจฉาที่อีกฝ่ายสามารถสร้างเงินได้ด้วยการคำนวณตัวเลขบนหน้าจอก่อนคลิกครั้งเดียวก็สามารถได้เงิน ในขณะที่เขาต้องดั้นด้นไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพื่อสร้างอนาคตอันเป็นนามธรรมซึ่งไม่สามารถการันตีได้กว่ามันจะพลิกชีวิตในโลกอันโหดร้าย
“สุดท้าย ป้อมเสนอตัวเองเป็นนายทุน…” เขากล่าวก่อนตวัดมีดแทงทะลุสมองซอมบี้ตัวหนึ่งเลือดไหลออกจากบาดแผล ร่างกายอ่อนแรงล้มคะมำกับพื้นก่อนเดินทางต่อไปยังทางออกจากเขาวงกตเหลืองอร่ามชวนคลื่นไส้“เขามีประสบการณ์พบปะกับนักธุรกิจสายเทคโนโลยีมากมายจากงานสัมมนาต่าง ๆ จึงได้ไอเดียมากมายที่สามารถนำมาปรับใช้กับสิ่งที่ผมกำลังตั้งใจทำได้ เงินก้อนหนึ่งถูกโอนเข้ามาในบัญชีของผมจากนั้นจึงได้เริ่มต้นเดินหน้าบริษัท ยอนอู ขึ้นมา”
“นายมีความรู้ด้านเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนโลกได้เหมือนอีลอน มัสก์ ชานนท์” ป้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความมั่นใจ ดวงตาเป็นประกายจับจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาอีกฝ่ายพร้อมลูบแหวนอัญมณีสีม่วงสวมในนิ้วกลางไปด้วย “ฉันมีแผนการสร้างบริษัทในฐานะนายทุนและหุ้นส่วน นายนั่งแท่นซีอีโอ เป็นแขนขา ส่วนฉันจะเป็นสมองในฐานะยามรักษาความปลอดภัยและสั่งการทุกอย่างผ่านนายตลอด ตกลงตามนี้นะ?”
“จะให้นายทุนใหญ่มาเป็นแค่ยามรักษาความปลอดภัยได้ยังไง?”ชานนท์ในวัยยี่สิบห้าแย้งขาดใจ “มันไม่สมศักดิ์ศรีเอาซะเลย”
“เฮ่ย! จะคิดมากอะไรวะ! ถ้าฉันเป็นแค่ผู้ถือหุ้นอย่างเดียวก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเป็นเสือนอนกินน่ะสิ ฉันเบื่อที่ชีวิตที่สุขสบายอย่างนั้นแล้วล่ะ” ป้อมตอบกลับด้วยเหตุผลฟังขึ้น “อีกอย่าง การเป็นยามรักษาความปลอดภัยโดยไม่ให้ใครรู้ตัวว่าตัวจริงของฉันเป็นใครมันดีอย่างที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องถูกจับตามองเหมือนนายยังไงล่ะ แถมยังได้สอดส่องความเป็นไปของบริษัทด้วย แบบนี้เหมือนกับว่ายิงปืนนัดเดียวให้นกสองตัว”
เหตุผลของเขาฟังขึ้นทั้งหมด ชานนท์จึงไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้นอกจากพยักหน้ายอมรับไอเดียของเพื่อน จากนั้นทั้งสองเริ่มต้นด้วยการจดทะเบียนบริษัทแบ่งหุ้นส่วนกันอย่างลงตัวแบบครึ่งต่อครึ่ง พวกเขาแบ่งงานกันเสร็จสรรพโดยแบ่งสถานการณ์ออกเป็นสามเฟส ในเฟสแรกป้อมจะให้ชานนท์ทำการพัฒนาตัวสินค้าโดยที่เขาจะไม่เข้ามายุ่ง ส่วนเขาจะทำการจัดหาพนักงานและสถานที่ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน เขาได้ทำการเช่าตึกสำนักงานสูงหนึ่งร้อยชั้นโดยผู้ให้เช่าไม่ประสงค์ออกนาม อีกทั้งยังตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงซึ่งนับได้ว่าเป็นทำเลทองหาได้ยากยิ่ง เนื่องจากพวกเขาสามารถใช้ทั้งตึกประกอบกิจการได้อีกหลายอย่างโดยราคาค่าเช่าต่อเดือนถูกจนเกิดตั้งคำถามขึ้นไม่ได้ แต่ชานนท์จำเป็นต้องเงียบเพราะไม่กล้าถามอีกฝ่าย
เฟสสอง ชานนท์รับตำแหน่งซีอีโอครอบครองคำนำหน้าชื่อว่า ‘ประธานชานนท์’ ให้การอบรมฝึกซ้อมพนักงานให้ผลิตสินค้าและทำการพัฒนาโปรเจ็กต์ต่าง ๆ ที่เขาวางเอาไว้ ส่วนป้อมจำทำหน้าที่สร้างกฎระเบียบและเอกสารตั้งต้น รวมถึงการขอใบเซอร์มาตรฐานต่าง ๆ เพื่อความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทจนกระทั่งเปิดตัวได้อย่างอลังการ แม้กระทั่งประธานชานนท์เองก็ไม่อยากเชื่อในความสำเร็จขนาดนี้ สินค้าสมาร์ทโฮมยอนอูของเขาได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สร้างเล็กเงินอย่างมหาศาลแก่บริษัทสามารถสร้างกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกอย่างที่ไม่มีใครทำได้มาก่อน ประธานชานนท์ถูกยกย่องให้เป็นซีอีโอผู้มีอิทธิพลในแวดวงธุรกิจเทคโนโลยีรายใหญ่ของประเทศไทย แม้กระมั่งอีลอน มัสก์ต้องบินมาจับมือกับเขา
เฟสที่สามกิจการผ่านไปด้วยดี เขาต้องรับบทบาทประธานบริษัทใบหน้าเรียบเย็นเพื่อความยำเกรงของพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ตัวตนของเขาแม้แต่น้อย จากนั้นทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างดีไม่ติดขัดปัญหาอะไรนอกจากห้องลับต่อไปยังเขาวงกตที่ป้อมสร้างขึ้นซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือใช้สำหรับเล่นสนุกกับ ‘เหยื่อ’ ที่เขาจับมาได้ ในบางครั้งชานนท์รู้สึกเหมือนยิ่งไม่ใช่ตัวเอง เลขาคนก่อนหน้าบัวถูกเขาฆ่าตายในนั้นทั้งที่ชานนท์ไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียว แม้จะรู้ว่าเป็นฝีมือของป้อมที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังด้วยวิธีอันแปลกประหลาดน่าสะพรึงกลัวจึงเลือกที่จะเดินหน้าเงียบ
เพราะเงินหลายล้านในกระเป๋าก็มาจากฝีมือของป้อมแทบทั้งสิ้นเปรียบเสมือนผ้าปิดปากแนบสนิท สร้างความอึดอัดใจกับผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดไม่น้อย ทุกวันเมื่อเขานั่งรถหรูกลับบ้าน เขามักมองขึ้นไปยังห้องประธานซึ่งเป็นสถานที่ที่เขามักจะพาสาว ๆ ขึ้นมากระทำบางอย่างเสมอ...ใช่...ทั้งสองตกลงกันไว้ว่า กลางวันห้องเป็นของใครและกลางคืนห้องเป็นของใคร ทั้งสองไม่มีแผนนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นเนื่องจากสามารถถูกแทรกแซงโดยผู้ถือหุ้นรายอื่นได้ ชานนท์และป้อมจึงช่วยกันบริหารกันอย่างลับ ๆ แม้แต่เลขาส่วนตัวอย่างบัวที่ทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิดไม่มีวันรู้
เมื่อเธอรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด ความรู้สึกหลายอย่างประดังประเดเข้ามา ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรก่อนดี หญิงสาวจิกขากางเกงแน่นแต่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดทางกาย แต่ทางใจนั้นแทบแหลกสลายไม่มีชิ้นดีราวกับว่าเรื่องราวในอดีตของเขามีผลกระทบต่อจิตใจแสนบอบบาง
“สุดท้ายไอ้ป้อมมันก็ไม่ใช่คนที่ผมรู้จักอีกต่อไป แต่มันคือปีศาจอาคะมานาส” ชานนท์กล่าวด้วยท่าทางโกรธแค้น “มันหลอกใช้ผมมาตลอดหลายปี แต่เพื่อเป้าหมายอะไรผมไม่รู้หรอก เท่าที่ผมเคยรู้ มันมีชีวิตอยู่ด้วยการเสพสมกับมนุษย์เพศเมียเพื่อสูบพลังชีวิตเสริมพลังให้กับตัวเอง นั่นคงเป็นสาหัสที่คุณ เพื่อนคุณและเหยื่อหญิงสาวคนอื่น ๆ ตายอย่างปริศนา”
“หยุดก่อน!”ชานนท์หยุดชะงักดวงตาแข็งกร้าวจับจ้องไปยังบางสิ่งบางอย่างตรงหน้า เขากำอาวุธสังหารหนึ่งเดียวในมือแน่น เบื้องหน้าของชายหนุ่มคือยักษ์ล้อเลื่อนที่กำลังตามหา มันกลับยืนจังก้าประจันอยู่เบื้องหน้ารอคอยการปะทะ ร่างของมันสร้างจากวัสดุปริศนาดูแข็งแรงกว่าโลหะ มือใหญ่สองข้างกางออกพ่วงกับใบหน้าตกแต่งด้วยหนวดเคราและกลุ่มผมยาวสีดำขวับเหลือไว้เพียงใบหน้าสีแดงก่ำและดวงตาสีดำไร้ชีวิตชีวา ยามไว้จ้องมองมันจึงไม่สามารถคาดเดาการกระทำต่อไป ทั้งหมดไม่มีใครส่งเสียง บิวและมิลินวิ่งหลบหลังกำแพงพลางชะเง้อสังเกตสถานการณ์อยู่ห่าง ๆ ความหวังของพวกหล่อนอยู่ที่เจ้านายเพียงคนเดียวจากนั้นเหล่าเอนทิตี้อีกประมาณห้าตัวโผล่มาจากช่องว่างของอากาศยืนล้อมรอบ ชานนท์ไม่สนใจพวกนั้นเลยสักนิด หากเขาสามารถล้มยักษ์ล้อเลื่อนนี่ได้ พวกมันไม่ต่างจากพวกปลาซิว “มึงเอากาญจนาไปไว้ที่ไหน?”
..............
บรรยากาศรอบด้านแตกต่างจากเข้าวงกตกำแพงสีเหลืองเข้มและกลิ่นอับฝืนทนเป็นไหน ๆ แต่จมูกกับสัมผัสได้ถึงกลิ่นเขม่าควันจาง ผิวหนังแสบคัน รวมถึงความระบมชอกช้ำตามร่างกาย ผิวหนังขาวเนียนละเอียดเต็มไปด้วยรอยแดง รวมถึงเสื้อผ้ามีร่องรอยจากการต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากหุ่นยักษ์ล้อเลื่อนสุดแข็งแกร่ง เธอดิ้นรนปลุกปล้ำกับมันจนไม่เหลือเรี่ยวแรง
กาญจนาลืมตาตื่นฟื้นคืนจากภวังค์ แขนทั้งสองข้างตรึงด้วยเชือกรัดข้อมือไว้กับไม้กางแขนกลับหัว เส้นผมยาวสยายตกชี้พื้นตามแรงโน้มถ่วง ศีรษะปวดเหมือนถูกบีบรัดแทบระเบิด เท้าคู่หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า พอมองขึ้นไปพบกับป้อมในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำ ดวงตาแดงก่ำเรืองแสง แสยะยิ้มโชว์เขี้ยวฟันแหลมประจันขนาดกัน
“สายันสวัสดิ์แม่ยอดยาหยี” ป้อมกล่าวทักทายพร้อมโค้งคำนับท่าทางกวน “ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง ต้องขอโทษด้วยที่เรากลับมาพบกันแบบนี้ แต่ผมเองก็อยากรีเทิร์นกับคุณหลังจากที่คุณหักอกผมไปเมื่อหลายพันปีก่อน บอกตามตรงว่าภาชนะของคุณในตอนนี้สวยเช้งไม่ใช่เล่น”
“อาคะมานาส...เหอะ ๆ ไม่น่าเชื่อว่าภาชนะของแกในตอนนี้ดันเป็นผู้ชายไร้รสนิยมขนาดนี้” หญิงสาวพูดแขวะใส่อีกฝ่ายซึ่งเขาไม่ได้สนใจในคำพูดนั้น
“ข้าแค่บังเอิญเห็นมันใกล้ตายเพราะกำลังโดนรุมกระทืบ แถมชีวิตมันอยู่ระหว่างกึ่งความเป็นความตายเลยทำสัญญากันนิดหน่อยว่าให้ใช้ร่างกายแล้วข้าก็ไล่วิญญาณมันออกไปก่อนสิงสู่อย่างสมบูรณ์แบบเท่านั้น ว่าแต่เจ้าเถอะ รสนิยมการเลือกภาชนะไม่เปลี่ยนแปลงเลยนะ เห็นแบบนี้ลูกน้อยทั้งหลายของข้าอยากเข้าไปในตัวเจ้าเหลือเกิน” อาคะมานาสในร่างป้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพลางเอามือลูบเป้ากางเกงที่กำลังขยายใหญ่ขึ้นจนเกิดรูปร่างลำแท่งยาวครึ่งไม้บรรทัด “กลับมาเคียงคู่กับข้าอีกครั้งดีไหมล่ะ หลังจากนี้ข้าจะทำให้เจ้าสุขสบายไปนิรันดร์”
“สันดานความเจ้าชู้ของเจ้าเมื่อพันปีที่แล้วเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น” กาญจนากล่าวเสียงเฉียบขาด ดวงตาแข็งกร้าวจ้องกลับรู้สึกถึงความดันเริ่มลงมากองอยู่ที่ศีรษะจนเส้นเลือดค่อย ๆ ปูดโปนบริเวณหน้าผาก “อย่าหวังจะได้ใจของข้าไปอีกเป็นครั้งที่สอง”
“ไอ้ชานนท์งั้นเหรอ?”อาคะมานาสถามพลางกำมือแน่นคิ้วขมวด “มนุษย์ตัวนั้นเนี่ยนะ? มันดีกว่าข้าตรงไหนไม่ทราบ?”
“โถ ๆ อาคะมานาสที่เคยรักคะ เขาดีกว่าท่านหลายประการจนแทบนับนิ้วไม่หมดเลยเจ้าค่ะ แม้ว่ารู้จักกันในฐานะคู่ค้าทางธุรกิจมืด แต่พอมาเจอตัวจริงก็แทบตกอยู่ในห้วงฝันระหว่างข้ากับเขาเลยเลยเชียวล่ะ ต่อให้ตรึงข้าอยู่แบบนี้มันไม่ทำให้ข้าอยากเปลี่ยนความคิดเลยสักนิด”
เพี๊ยะ!!
“นังเพศยา!!”อาคะมานาสเหวี่ยงมือตบใบหน้าสวยไม่ออมแรงอย่างเดือดดาลฉาดใหญ่ คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากัน ดวงตายิ่งเรืองแสงลุกโซนดั่งเพลิงอเวจี “ข้าครองหัวใจเจ้ามาเป็นสหัสวรรษ อยู่ ๆ ดันเอาไปให้มนุษย์ผู้อ่อนแอไม่มีหัวนอนปลายเท้าเนี่ยนะ!!?”
“ก็ต้องขอบใจเจ้าที่ทำให้มนุษย์ผู้นั้นคู่ควรกับข้า” กาญจนากล่าวด้วยรอยยิ้ม เลือดไหลออกปากไหลอาบแก้มผ่านขอบตาจรดหน้าผาก “เจ้ามันเป็นแค่ทางผ่าน!!”
“ข้าส่งยักษ์ล้อเลื่อนไปฆ่ามันแล้ว เมื่อทำสำเร็จหัวของไอ้ชานนท์จะกลายเป็นรางวัลประดับอยู่บนหวบัลลังก์ของข้า”
“คนอย่างเขาน่ะ ไม่ตายง่าย ๆ หรอก” หญิงสาวกล่าวด้วยความมั่นใจ ทำให้อาคะมานาสยิ่งอาฆาตเป็นทวีคูณ
“คอยดูแล้วกัน ข้าจะทำให้น้ำตาของเจ้าไหลริน จะทำให้เจ้าต้องคลานเข่ามาขอความเมตตาจากข้า!!”
................................
การต่อสู้ระหว่างชานนท์และยักษ์ล้อเลื่อนเป็นไปอย่างดุเดือด ชายหนุ่มแทบไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย ใบมีดของเขาเริ่มเสื่อมคุณภาพลงทุกที ปลายแหลมหักไปแล้ว อาวุธเพียงชิ้นเดียวไม่อาจเจาะทะลุเกราะแข็งของมันได้เลย อีกทั้งการเคลื่อนไหวยังไม่ธรรมดา ความตึงเครียดก่อตัวขึ้นพร้อมกับความเหนื่อยล้า ยังไม่รวมกับเหล่าซอมบี้ที่เริ่มกรูกันเข้ามาจากหนึ่งตัว กลายเป็นสองตัวก่อนจะเพิ่มทวีคูณกลายเป็นกองทัพซึ่งไม่มีทางเอาชนะด้วยมีดพังแหล่มิพังแหล่เล่มเดียวได้แน่ ฉะนั้นการวิ่งหนีจึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ยังไม่รวมเอนทิตี้หลากหลายแบบต่างวิ่งกรูเข้ามาหมายเอาชีวิต ป้อมหรืออาคะมานาสสั่งการพวกมันแน่นอน
“พวกมันใกล้เข้ามาแล้วค่ะท่านประธาน!!”มิลินแหกปากโวยวายด้วยความหวาดกลัว ทั้งสามต่างซอยเท้าวิ่งหนีเหล่าอมนุษย์ไปอย่างไร้จุดหมายไร้ทิศทางภายในเขาวงกต เมื่อใดหากมีเอนทิตี้ขวางทาง ชานนท์จะรับหน้าที่จัดการพวกมัน
“รู้อยู่แล้วครับ!” เขาขานตอบก่อนกระโดดเตะเอนทิตี้ร่างกายผอมบางซึ่งขวางหน้ากระเด็นพ้นทาง จังหวะการหายใจของเขาแรงขึ้นทุกทีแสดงออกให้เห็นถึงความเหนื่อยหอบเข้าใจขีดจำกัด เข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาวิ่งมาระยะทางเท่าไหร่ แต่หากยังวิ่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนี้คงต้องยอมเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ทิ้งชีวิตอันมีค่าไว้ในมิติอันบิดเบี้ยวชั่วกัปชั่วกัลป์
ไม่นานพวกเขาได้พบกับทางตันซึ่งคิดว่าเป็นจุดสิ้นสุดของทางเขาวงกตอันกว้างขวางยืดยาวเป็นอนันต์ ลักษณะของมันเป็นเพียงกำแพงกั้นสามทิศ มีประตูมิติสีม่วงเปิดรออยู่รังสีอำมหิตแผ่สาดเข้าใส่ส่งผลให้ขนตามร่างกายลุกชูชัน แต่เหล่าเอนทิตี้และยักษ์ล้อเลื่อนกำลังเคลื่อนตามมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมส่งเสียงคำรามไล่หลัง ชานนท์และสองสาวเริ่มเหนื่อยอ่อน แอบชะลอฝีเท้าลง ด้วยแรงฮึดบางอย่างจึงทำให้กัดฟันวิ่งเข้าประตูมิติอย่างไม่รีรอ เสียงของพวกมันจึงหายลับไปพร้อมกลิ่นอับของพื้นพรม แต่กลิ่นเหม็นเน่าของเหลวในท่อน้ำทิ้งโชยเข้าแตะจมูกเชิงทักทาย พวกเขามองไปรอบ ๆ ไม่พบเขาวงกตกำแพงสีเหลือง กลับเป็นพื้นที่แคบมีหลอดไฟสีขาวห้อยอยู่บนเพดานส่องสว่างจุดเดียว พอมองตรงจึงเห็นพื้นที่อีกสองจุดสว่างแต่ระหว่างทางนั้นกลับมืดดำสนิทไม่เห็นแม้แต่เงา
ความวังเวงเข้าครอบงำ กลิ่นอายอันตรายแผ่กระจายชวนให้สัญชาตญาณระแวดระวังสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ ชานนท์ชูมีดขึ้นมาตั้งท่าป้องกันบางอย่างจากความมืด ทันได้นั้นพวกเขาจึงเห็นดวงตาคู่มหึมาเรืองแสงสีขาวพร้อมรอยยิ้มแสยะขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นท่ามกลางอนธการเหล่านั้นสร้างความหวาดผวาต่อพวกเขายิ่งกว่ายักษ์ล้อเลื่อน บัวและมิลินโผเข้ากอดหลบหลังชายหนุ่มกรีดร้องอย่างหวาดกลัวสุดขีด เขาเบิกตามองดวงตายักษ์คู่นั้นด้วยร่างกายสั่นเทิ้มสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวังในใจ
“ตะ...ตัวอะไรกันแน่วะ…?”ชานนท์กัดฟันแน่นขาแข็งเกร็ง หัวใจเต้นแรงและลมหายใจถี่ไม่เป็นจังหวะ
“หนะ...หนูไม่รู้นะคะว่ามันคือตัวอะไร...แต่หนูคิดว่าหลังมันมีประตูอยู่” มิลินชี้ไปด้านหลังดวงตาประหลาด ชานนท์มองข้ามไปเห็นประตูบานหนึ่งห่างจากจุดที่ยืนอยู่กะระยะประมาณหนึ่งร้อยเมตร “น่าจะเป็นทางออกไปจากที่นี่แน่นอนเลย...”
ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พื้นที่มืดกลับสว่างโร่ไม่มีปี่มีขลุ่ยไล่เงาทมิฬหายวับชั่วพริบตาพร้อมดวงตาคู่ยักษ์นั่น ท่ามกลางความงงงันไม่กี่อึดใจดวงไฟดับลง ความมืดกลับมาพร้อมกับดวงตานั่นจับจ้องมาที่เราราวกับนักล่าจ้องมองเหยื่อ ชานนท์คิดว่ามันจะพุ่งเข้ามาทำร้าย แต่พอสังเกตไปได้พักหนึ่งจึงเข้าใจบางอย่าง เขาตัดสินใจค่อย ๆ เขยิบเข้าไปใกล้จนปลายเท้าอยู่ห่างจากเส้นแบ่งระหว่างเงาดำและแสงสว่าง ใบหน้าของชายหนุ่มและดวงตาคู่นั้นแทบประชิดแต่มันกลับไม่สามารถทำอันตรายอะไรเขาได้
“ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว...ถ้าทั้งหมดนี่เป็นเกมที่ไอ้ห่าป้อมนั่นสร้างขึ้น มันมีกฎของมันอยู่” ชานนท์กล่าวพร้อมแสยะยิ้มจ้องกลับไปยังดวงตายักษ์ไร้ความกลัว “พอจับทางไอ้หมอนี่ได้แล้ว...ถ้าไฟมันเปิด...”
พื้นที่โล่งสว่างวาบ ดวงตาปริศนาสุดสะพรึงหายไปวับไปกับตาเผยให้เห็นพื้นที่โล่ง ทั้งสามต่างรอคอยอย่างเงียบงัน ไม่กี่อึดใจต่อมาพื้นที่ส่วนนั้นมืดสนิทพร้อมกันการปรากฏตัวของดวงตายักษ์ปริศนา เพียงเท่านี้ปัญหาคาใจจึงกระจ่าง บัวและมิลินเบิกตาโตร่างกายค่อยคลายตัวและสั่นน้อยลงหน่อย มิลินเบิกตาโตเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างจึงผละจากเพื่อนสาวก่อนมายืนข้างชานนท์ ความรู้สึกหวาดกลัวได้หายไปหมดแม้ว่าดวงตาประหลาดนั่นอยู่ห่างกันเพียงเอื้อมมือ
“ดวงตานี่จะหายไป” เธอพูดต่อพลางจ้องดวงตานั่นกลับไม่ลดละ “จากนั้นเราสามารถวิ่งฝ่าไปถึงจุดหมายหรือช่องทางพักนั่นได้ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงอีกฝั่งเราก็สามารถชนะด่านนี้ได้อย่างไร้รอยขีดข่วน”
“จริงด้วย...มิลิน เธอนี่เก่งที่สุด สมกับเป็นรูมเมทของฉัน!” บัวเข้ากอดอีกฝ่าย แต่จู่ ๆ ชานนท์ได้คว้ามือเธอไว้ ดวงตาจับจ้องไปยังดวงตาประหลาด จากนั้นเขาจึงดีดตัวพุ่งออกไปส่งผลให้หญิงสาวทั้งสองสอยห้อยไปด้วย
“จะทำอะไรคะ!? ต้องรอให้ไฟมันสว่างก่อนถึงจะออกไปได้ไม่ใช่เหรอคะ!?”บัวส่งเสียงโวยวาย แน่นอนว่ามิลินเองก็โวยวายไม่แพ้กัน “ท่านประธานประสาทกลับไปแล้วเหรอคะ!!?”
“รอดูกันไปน่า...สาม...สอง...หนึ่ง...” เมื่อสิ้นเวลานับถอยหลังตรงกับที่ปลายเท้าพ้นเขตปลอดภัย แสงสว่างจ้าไล่เงามืดเหลือเพียงห้องสีขาวโล่ง พวกเขาออกแรงวิ่งไปยังจุดพักจุดแรก เมื่อข้ามพ้นเขตอันตรายความมืดเข้าครองพื้นที่ฉับพลันพร้อมดวงตาปริศนาปรากฎด้วยท่าทางไม่พอใจ
“เป็นยังไงล่ะ!? หงอไปเลยล่ะสิ! แบร่!!”มิลินได้ใจจึงทำท่าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่โดยพยายามไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายพ้นแสงสว่าง “แค่ทำแบบเดิมกันอีกสองครั้งก็จบแล้ว! กากว่ะ!!”
“ทำปากดีไป” ชานนท์พูดพลางถอนหายใจ “ถ้ายังผ่านไปไม่ได้ก็ยังไม่ต้องไปท้าทายอะไรมัน ต้องรีบกันหน่อย ไม่งั้นคุณกาญจนาคงเสร็จไอ้ป้อมแน่”
“คิดถึงแต่คุณกาญจนาจังเลยนะคะ ทั้งสองคนเป็นอะไรกันแน่?”บัวทำเสียงไม่พอใจพลางกอดอก
“นี่ไม่ใช่เวลามาทำเสียงแบบนั้นใส่ผม” ชานนท์ดุเสียงต่ำ “ให้รอดจากด่านนี้ก่อนเถอะ”
บัวไม่พูดอะไร ความคิดในหัวตีกันไปหมดว่าตอนนี้เธอตายไปแล้ว นั่นหมายความว่าเธอออกจากการเป็นเลขาใต้บังคับบัญชาของประธานหนุ่มสุดหล่อทรงเสน่ห์ แต่การมาเจอเขาในที่แบบนี้ยังต้องปฏิบัติกับเขาในฐานะอะไรดี จะเลขาหรือคนแอบรัก...
เมื่อแสงสว่างไล่ความมืดอีกครั้ง ทั้งสามต่างพุ่งพรวดออกพ้นเขตปลอดภัยมุ่งหน้าสู่เขตต่อไป แต่อนิจจาเมื่อพวกเขาวิ่งไปได้เพียงครึ่งทาง แสงทั้งหมดถูกดับลงอีกครั้งราวกับตั้งใจ พวกเขาตกใจในความไม่คาดฝันอย่างยิ่งอีกทั้งดวงตาไม่สามารถปรับสภาพได้ทันจึงส่งผลให้ความเร็วถูกชะลอลง ภายในหัวพวกเขามีดวงตายักษ์คู่นั้นฉายอย่างชัดเจนกลายเป็นความหวาดกลัวชวนผวา
“อ๊ะ!! โอ๊ย!!”เสียงมิลินดังมาจากด้านหลังทั้งสอง ชานนท์และบัวที่พ้นเขตอันตรายแล้วจึงหันไปเห็นหญิงสาวล้มห่างกันไม่กี่เมตร รอบข้างในเขตแสงไม่มีอะไรที่สามารถยื่นไปช่วยชีวิตหญิงสาวได้เลย ชั่วพริบตาทันตัดสินใจ ร่างของเธอถูกลากหายเข้าไปในเงาทมิฬพร้อมเสียงกรีดร้องและเสียงขย้ำเนื้อกระดูก ไม่เพียงเท่านั้น ของเหลวสีแดงไหลนองเต็มพื้นในจำนวนที่สามารถล้นพ้นเขตปลอดภัย เหตุการณ์พร้อมดวงตาคู่ยักษ์ปรากฏพร้อมแสยะยิ้มอวดรอยเลือดอย่างน่าสยดสยอง
ทุกอย่าง...มันเกิดขึ้นเร็วมาก...เร็วมากจริง ๆ
“ไม่!!!!!”บัวกรีดร้องเสียงแหลมก่อนจะพุ่งเข้าไปประจันหน้าแต่กลับถูกชานนท์คว้าตัวไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะสบทคำหยาบออกมามากมาย “มิลิน!!! ไม่!!! มึงไอ้สารเลว!!! ไอ้เหี้ย!!!! ไอ้จังไร!!!! คืนเพื่อนกูมานะโว้ยยย!!”
“หยุด! อยู่นิ่ง ๆ!!”ชานนท์ตวาดใส่ แต่หญิงสาวกลับไม่ฟัง เขาไม่มีเวลามานั่งคิดหาวิธีปลอบเธอ เพราะพื้นที่โล่งดันสว่างขึ้นอีกครั้งจึงตัดสินใจจับมือลากเธอวิ่งออกไป คราวนี้เส้นชัยอยู่ตรงหน้าเพียงไม่ถึงสิบเมตร การก้าวขาแต่ละครั้งยามต้องลากหญิงสาวผู้อ่อนแรงจากการเสียเพื่อนไปต่อหน้าต่อตาช่างยากเย็นแสนเข็ญ “เราต้องไปให้ถึงเส้นชัยก่อนไฟดับ!!”
ดูเหมือนว่าสวรรค์ไม่คิดเข้าข้าง เพราะจู่ ๆ รอบตัวต่างมืดสนิทไปเสียหมดเหลือไว้เพียงดวงแสงสุดท้ายปลายทาง กะนั้นชานนท์ไม่ยอมย่อท้อ เปี่ยมไปด้วยความหวังล้นปริแม้มันค่อย ๆ ลงทุกเสี้ยววินาทีก็ตาม ในขณะเดียวกันมีบางอย่างช่วยเข้าที่ต้นขาและแผ่นหลังของเธอเกิดบาดแผลฉกรรจ์ซึ่งปกติบัวซึ่งสถานะวิญญาณไร้กายหยาบสามารถรักษาหายได้เอง แต่ในกรณีนี้ส่งผลลัพธ์ในทางตรงข้ามทำให้ทั้งสองเกิดหยุดชะงัก
“แย่แล้วสิ!!”ชานนท์แทบหยุดหายใจเมื่อดวงตาคู่ยักษ์เบิกโตพร้อมฉีกยิ้มเปื้อนเลือดร่าด้วยความสะใจประตูเส้นชัยในเขตแดนปลอดภัยสุดท้ายอยู่ห่างเพียงห้าเมตร หากพลาดกลางคันแบบนี้เขาจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองได้เลย “ไม่มีทางเลือกแล้ว!”
จนแล้วจนรอด ชานนท์ตัดสินใจแบกร่างบัวขึ้นบ่าพร้อมเริ่มออกวิ่งเต็มฝีเท้าแต่ความเร็วของปีศาจดวงตานั่นกลับไล่ตามพวกเขามาเร็วกว่า และมันใกล้จะคว้าร่างของบัวได้แล้ว!!
เส้นทางเลือกบทละคร