เรื่องราวของเหล่าหุ่นยนต์แปลงร่างที่มีทั้งการแข่งความเร็ว ไปจนถึงหายนะระดับจักรวาล แซมด้วยความกุ๊กกิ๊กเล็กน้อย ไซไฟแฟนตาซีอ่านง่าย

After หลังโลกสลาย - 0 บทนำ โดย ราชาวาฬ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ไซไฟ,แฟนตาซี,แฟนตาซี,ไซไฟแฟนตาซี,ไซไฟ,หุ่นยนต์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

After หลังโลกสลาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ไซไฟ,แฟนตาซี

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ไซไฟแฟนตาซี,ไซไฟ,หุ่นยนต์

รายละเอียด

After หลังโลกสลาย โดย ราชาวาฬ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เรื่องราวของเหล่าหุ่นยนต์แปลงร่างที่มีทั้งการแข่งความเร็ว ไปจนถึงหายนะระดับจักรวาล แซมด้วยความกุ๊กกิ๊กเล็กน้อย ไซไฟแฟนตาซีอ่านง่าย

ผู้แต่ง

ราชาวาฬ

เรื่องย่อ

สารบัญ

After หลังโลกสลาย-0 บทนำ

เนื้อหา

0 บทนำ

เรื่องของโคลเดอร์

ณ พื้นที่แห่งหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะมานานจนเกือบชั่วนิรันดร์ หากไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ช่วย ก็ไม่ อาจระบุได้ว่าขณะนี้ตนเองอยู่ที่ใด เพราะมองด้วยสายตาแล้วไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างกัน มีเพียงความเวิ้งว้าง รอบตัวถูกปกคลุมด้วยสีขาวไปจนสุดสายตา

ที่แห่งนี้ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ เราเรียกพวกนี้ว่าพวก “ไอซ์เบิร์น” พวกเขามีกันอยู่ไม่มากนัก ยังชีพด้วยการสังเคราะห์แสงและการตกปลา พวกเขายังมีร่างแปลงที่ส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์จากการลื่นไถลไปตามพื้นน้ำแข็งและมีอุปกรณ์ขุดเจาะ หากบางครั้งที่พวกเขาต้องการเดินทางมายังเมืองจะต้องนำล้อยางมาติดตั้งกับร่างแปลงของตนเอง

เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีใครได้เดินทางไปทางเหนือบ่อยนัก เราเลยไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกไอซ์เบิร์น เรื่องราวที่จะเล่าต่อจากนี้ เราเพียงได้ยินมาจากปากของคนที่ชื่อ โคลเดอร์ ที่เขาเผลอเล่าออกมาบางครั้ง

วันนั้นท้องฟ้าใสกระจ่างจนผิดปกติ อันเป็นสัญญาณของการเกิดพายุหิมะ ทุกคนที่อยู่ภายนอกกำแพงรีบแปลงร่างแล้วเร่งความเร็วเข้าสู่ที่พักและไม่นานนักท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีเป็นดำสนิท ลมกระโชกแรงพายุโหมกระหน่ำจนมองไม่เห็นทาง

“คูลเลอร์ คูลเลอร์ อยู่ที่ไหน?” เสียงเรียกของไซเรน แม่ของโคลเดอร์เรียกหาลูกสาว

“คูลเลอร์ออกไปเล่นข้างนอกครับ” เขาตอบไปด้วยน้ำเสียงที่หวาดหวั่น

“อย่าออกไปไหนนะ” ไซเรนรีบแปลงร่างยานพาหนะก่อนออกตัวไปอย่างเร็วเพื่อตามหาคูลเลอร์ อุปกรณ์นำทางพึ่งพาก็กลับใช้ไม่ค่อยได้ในสถานการณ์เช่นนี้ มันบอกเพียงตำแหน่งที่บิดเบือนแต่สุดท้ายเธอก็พบน้องสาวของโคลเดอร์

“รีบกลับบ้าน” ถึงแม้จะเป็นเด็กดื้อแค่ไหนแต่คูลเลอร์ก็ยังเป็นเด็กที่หวาดหวั่นต่อพายุ เธอแปลงร่างเป็นรถคันจิ๋วจอดสั่นเทาอยู่ข้างก้อนน้ำแข็ง เมื่อแม่มาจึงค่อยรู้สึกตัวแล้วเร่งความเร็วโดยมีแม่ของตนเองคอยกำบังลมให้ ทว่าลมพายุกลับพัดแรงขึ้น ประกอบกับทัศนวิสัยที่เลวร้ายลงอย่างมาก ทำให้ทั้งคู่เคลื่อนที่ได้ไม่เร็วนัก

“อีกสิบนาทีจะเปิดบาเรีย” เสียงประกาศดังไปทั่วบริเวณ เมื่อเปิดบาเรียป้องกันภัยแล้วจะตัดขาดการเข้าออกชั่วระยะเวลาหนึ่งจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น โคลเดอร์เฝ้ามองจอภาพบอกตำแหน่งของแม่และน้องสาว ใจไม่ค่อยดีนัก ท้ายสุดจึงคว้าอุปกรณ์ลากรถติดตัวไปท่ามกลางเสียงร้องห้ามของญาติ ๆ

ในหมู่เด็กชาวไอซ์เบิร์นวัยเดียวกัน โคลเดอร์เป็นผู้มีความเร็วสูงสุด เขาเร่งความเร็วไปจนพบแม่กับน้องสาว แม่ดูตกใจเล็กน้อยตอนเห็นคูลเลอร์แต่ก็ไม่มีเวลาจะตำหนิ เขาใช้อุปกรณ์ผูกเข้ากับแม่แล้วรีบลากทั้งแม่ทั้งน้องกลับเข้าหมู่บ้าน

“อีก 1 นาทีจะเปิดบาเรีย” เสียงประกาศในวันนั้นยังคงดังก้อง ขณะที่ทั้งสามยังอยู่ห่างจากประตูหมู่บ้านถึงหนึ่งกิโลเมตร โคลเดอร์เร่งความเร็วจนสุดแต่ก็ดูท่าว่าจะไม่ทัน

“ให้น้องเข้าไปก่อน” แม่ส่งวิทยุมาแต่เพราะเสียงพูดอาจไม่ชัดตามแรงลม เขามองจากกระจกมองหลังเห็นแม่เหวี่ยงตัวเพื่อโยนคูลเลอร์เข้าประตูหมู่บ้าน ร่างของน้องลอยละลิ่วข้ามหัวเขาไป ในขณะที่ตัวเองก็กำลังจะเข้าประตูหมู่บ้านตามไป

“อีก 30 วินาทีจะเปิดบาเรีย” น้องคูลเลอร์เข้าประตูไปแล้ว แต่ตัวเขาเองซึ่งยังคงลากแม่อยู่และยังอยู่ในพายุหิมะที่รุนแรงกลับเร่งความเร็วไม่ได้อย่างใจ

“โคลเดอร์ เร่งเครื่องเต็มกำลัง บาเรียจะเปิดแล้ว” เสียงตะโกนของแม่ดังมาจากทางข้างหลัง เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาเร่งเครื่องสุดชีวิตโดยไม่มองด้านหลังอีก ในที่สุดก็เข้าประตูหมู่บ้านทัน...

แต่เมื่อหันหลังกลับมา แม่ก็ไม่อยู่เสียแล้ว

 

เรื่องของอาฟเตอร์อิมเมจ

คืนนั้นเป็นคืนที่เขาไม่อาจลืมเลือนจนตลอดชีวิต

ในฐานะนักแข่งรถมือวางอันดับหนึ่งสามสมัย เขามั่นใจในความเร็วของตนเองอย่างมากและรักษาวินัยในการซ้อมอย่างสม่ำเสมอ พยายามถ่อมตัวในการสนทนาแต่ในใจก็แอบกระหยิ่มว่าข้าไม่มีทางแพ้ใคร

พวกศัตรูบุก พวกมันมาในยานอวกาศสีดำทะมึนขนาดมหึมา ทุกคนพยายามต่อสู้แล้วแต่ก็สิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ การแข่งขันจริง ๆ แล้วไม่เคยมีใครสนใจมันมานานนักแล้ว ทว่าด้วยความเป็นตัวเขา การวิ่งถือได้ว่าเป็นลมหายใจ เขาก็ยังคงการซ้อมให้เป็นไปตามตารางที่กำหนด นอกจากในสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้จริง ๆ ในที่สุดเมื่อผู้นำตัดสินใจเอาตัวรอดทำให้ตัวเขากับเพื่อน ๆ อีกไม่กี่คนยังติดอยู่ในสถานการณ์คับขัน

โชคดีที่ได้เพื่อนร่างใหญ่... ราชาวาฬ เวลคิง รับปากว่าจะพาหนีไปจากดวงดาวที่กำลังล่มสลายให้พวกเขาเตรียมตัวไว้ สำหรับเขาเองสิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจสงบได้คือการฝึก ฝึก และฝึก

ผู้หญิงส่วนใหญ่ตีตัวจากเขาไปเมื่อต้องการเอาตัวรอด มีเพียงเธอ ซันนี่ ที่ยังอยู่เคียงข้างเขาเสมอมา เมื่อได้รับสัญญาณให้รวมตัวจากเวลคิง เขายังอยู่ในระหว่างการซ้อม เหลืออีกเพียงไม่กี่กิโลเมตร เขาไม่อาจไม่ทำตามความต้องการส่วนตัว.. ความเชื่อมั่นในความเร็วของตนเอง อย่างไรก็ต้องทันเพราะเราเร็วพอ

จนสิ้นสุดการซ้อมในคืนนั้น ตัวเลขนาฬิกาดิจิตอลในหน้าจอนับถอยหลัง เขาควบตะบึงไปรับซันนี่จากที่ซ่อน แล้วรีบมายังจุดนัดพบ ใช้ทุกวิชาและใช้พลังงานที่รีดเร้นทุกหยาดหยดให้มันเปลี่ยนผันกลายเป็นความเร็ว

หากวันนั้นอยู่ในสนามแข่งอาฟเตอร์อิมเมจ คงได้แชมป์สมัยที่สี่ไปครองอย่างไร้ข้อกังขา

ชั่วขณะที่เขามาถึงเวลคิง เพื่อนยากเปลี่ยนร่างเป็นยานอวกาศรูปปลาวาฬขนาดยักษ์ ประตูเปิดเพื่อรอรับให้ทุกคนเข้าไป ทุก ๆ คนมารวมตัวกันหมดแล้วเหลือแต่เพียงอาฟเตอร์อิมเมจกับซันนี่ เลยเวลาที่นัดพบไปเล็กน้อยทำเอาทุกคนอยู่ในความวิตกกังวล แต่แล้วอาฟเตอร์อิมเมจก็เห็นเวลคิงอยู่ในสายตาพวกศัตรู ไม่รู้ว่าพวกมันรู้ตั้งแต่เมื่อใดแต่ก็ไล่ตามพวกเขามากระชั้นชิดขึ้นเรื่อย ๆ

“เร่งความเร็วเต็มที่เลย” เสียงซันนี่มาจากด้านหลัง เขาแข็งใจและเพิ่มความเร็วจนสุดแรง ฝืนร่างกายเข้ามาในร่างกายของเพื่อนร่างยักษ์พร้อมแปลงร่างกลับเป็นหุ่น เพื่อที่จะพบเพียงอุปกรณ์ลากจูงที่ขาดสะบั้นและความว่างเปล่า

ทิฐิของการฝึก ไม่ส่งผลดีต่อการรักษาเวลา ความเร็วที่มีมากเพียงใดแต่หากออกจุดเริ่มต้นช้าก็เท่ากับคำว่าช้าจนไม่ทันการณ์ประตูยานที่ปิดลงอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับอาฟเตอร์อิมเมจดูราวกับช้าจนเหมือนเวลาแทบหยุด แสงเลเซอร์จากศัตรูที่ยิงเข้ามาเกือบกระแทกตัว เพื่อนที่รีบพาร่างอันเลื่อนลอยเข้าหลบในยานลำยักษ์ที่เร่งออกตัว ทิ้งห่างจากบ้านเกิดทิ้งห่างจากความทรงจำทั้งหมดที่เขาคุ้นเคย

เหตุการณ์นั้นผ่านมาได้นานแสนนานนักแล้ว