"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
วันนี้เป็นวันที่อากาศร้อนอบอ้าวตามแบบฉบับของประเทศไทย
ในทางกลับกันที่ว่าช่วงนี้เป็นช่วงเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนที่กำลังจะเข้าสู่
ฤดูหนาว แต่ไม่ว่าจะยังไง ฤดูหนาวของประเทศไทยหรือจะเป็นฤดูไหนก็ไม่ต่างอะไรกับฤดูร้อนเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงช่วงเดือนนี้มันแค่ทำให้อุณหภูมิลดลงเพื่อไม่ให้คนตายจากความร้อนมากกว่านี้อีกแล้วเท่านั้น แม้ว่าอากาศมันเริ่มเย็นลงนิดหน่อยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ผมรู้สึกถึงมันได้อย่างดีเลยทีเดียว
เพราะว่าผมนอนอยู่ในห้องแอร์…
“ตื่นได้แล้วลูกชาย!” เสียงของพ่อดังขึ้นพร้อมเสียงเคาะประตู “วันนี้มหา’ลัยเปิดเทอมแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ผมลืมตาขึ้นมา เห็นว่าตัวเองกำลังมองเพดานสีขาวที่มีโปสเตอร์หนังซอมบี้นับสิบแปะเรียงรายกันเป็นแถว ซึ่งโปสเตอร์พวกนี้ล้วนเป็นใบที่ไปขอซื้อต่อจากโรงหนังหลายแห่ง ซึ่งบางโรงหนังก็ไม่อยากจะเก็บมันไว้ให้เปลืองพื้นที่ แต่ในบางโรงกว่าจะดีลมาได้ก็แทบตายเหมือนกัน ผมชอบเรื่องของซอมบี้เป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่ในเวลากลางคืน ผมจะใช้เวลาในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับซอมบี้และดูหนังซอมบี้คืนละสองเรื่องเพื่อศึกษาพฤติกรรมของพวกมัน ซึ่งมันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะ ณ เวลานี้มันแทบไม่มีซอมบี้อยู่เลย ผมจึงไม่รู้ว่าผมจะสามารถทำการทดลองหรือศึกษามันตรง ๆ ได้ยังไง หนังบางเรื่องอย่างเช่น ซอมบี้ที่รัก ซึ่งมันเหลือเชื่อที่ซอมบี้คอยไล่ล่ากัดกินสมองอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็ไม่รักกับมนุษย์จนทำให้หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง และหลังจากนั้นก็กลับมาเป็นมนุษย์เหมือนเดิมเฉยเลย!! เคสที่ผมศึกษานั้นมีอยู่เรื่องเดียวที่คิดว่าเป็นที่อ้างอิงได้มากที่สุดก็คือซีรีส์เรื่อง เดอะ วอล์กกิ้ง เดด ที่ซอมบี้ในเรื่องนี้มันดูจริงไปหมด แต่ช่วงหลัง ๆ พวกซอมบี้ก็กลายเป็นเพียงกระสอบทรายให้แก่มนุษย์ที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ซอมบี้ก็ทิ้งความน่ากลัวไว้เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมได้รู้ว่ามนุษย์เรานี่น่ากลัวที่สุดแล้ว…
“ลุกแล้วครับ ๆ” ผมพูดอย่างงัวเงีย “กำลังก้าวเท้าขวาออกจากเตียงแล้ว”
“เออ ๆ ดี ๆ รีบอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวได้แล้ว วันนี้มีเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอลูก?”
“ก็มีตอนสิบโมงนี่ครับ” ผมงง
“ตอนนี้เก้าโมงครึ่งแล้วนะ”
“….”
หลังจากนั้น อะดรีนาลินก็ถูกสูบฉีดเข้าไปอย่างรุนแรง ดวงตาของผมเบิกขึ้นพร้อมกับพุ่งออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ แต่ผ้าเช็ดตัวดันไปติดกับประตูห้องน้ำจนทำให้ผมสะดุดล้มลง โชคดีที่ยังคงรั้งผ้าเช็ดตัวไว้ทัน ไม่งั้นหน้าคงแหกไปแล้ว หลังจากที่อึ้งอยู่ได้ไม่นานเพราะต้องแข่งกับเวลา ผมจึงต้องรีบอาบน้ำอย่างไว ในทางกลับกัน ทำไมการอาบน้ำครั้งนี้ช่างดูลำบากยากเย็นเหลือเกิน แชมพูหมดขวด ทำสบู่ตกพื้นตั้งหลายรอบ แถมยาสีฟันก็หมดหลอดอีก แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ…แปรงสีฟันของผมถูกแมลงสาบตัวเบ้อเร่อไต่นอนพักบนแปรงสีฟันอย่างสบายใจเฉิบ และนั่นเป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้มากที่สุดในเช้าวันนี้
“อะไรกันอีกวะเนี่ย!!”
สุดท้ายแล้วก็ต้องทำใจกำจัดมันโดยการเหวี่ยงทั้งที่วางแปรงสีฟันลงถังขยะ มัดปากถุงขยะแล้วกระโดดถีบตีนคู่สองสามทีเพื่อให้แน่ใจว่ามันไปสู่สุคติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มารู้อีกทีว่าตอนนี้เวลาแปดโมงครึ่ง ซึ่งมันทำให้ก็ได้รู้ว่าตัวเองโดนพ่อต้มแต่เช้า
มื้อเช้าวันนี้ก็ยังเหมือนเดิมตามประสาพ่อลูก ก็คือซีเรียลอาหารเช้าและข้าวกล้องเซเว่นแบบเวฟสามนาทีก็สามารถทานได้อย่างง่าย ๆ โชคร้ายที่พ่อทำอาหารไม่เป็น แม้ว่าจะเคยลองทำไม่รู้กี่ครั้งแต่ดูเหมือนว่าโชคแห่งอาหารของเขานั้นแทบไม่ได้เข้าข้างเขาเสียเลย ส่วนเมนูข้าวกล้องเซเว่นวันนี้เป็นข้าวผัดกุ้ง ซึ่งนั่นทำให้ผมอารมณ์เสียนิดหน่อย เป็นเพราะว่าส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบอาหารทะเล…ไม่สิ…กินสัตว์น้ำไม่ได้เลยสักอย่าง ให้ตายสิ ถ้าวันสิ้นโลกมาถึงแล้วทั้งชีวิตผมต้องกินอาหารพวกนี้เพื่อยื้อชีวิต ตัวเองน่าจะเป็นคนแรก ๆ ที่ต้องตายเลยล่ะมั้ง
“พ่อ! ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมไม่กินข้าวผัดกุ้ง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาที่ดูเหนื่อยใจ
“เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกก็ต้องกินให้ได้หลาย ๆ อย่างสิ” เขาพูด “คนเรากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน เพราะฉะนั้นกิน ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวไปเรียนสาย”
“ก็ผม…”
“แกไม่ได้แพ้อาหารทะเลหรืออะไรพวกนี้เลยสักนิด!” พ่อสวนกลับเพราะรู้ว่าผมกำลังจะพูดอะไร “แกก็แค่กลัว! กลัวที่จะกินเนี่ยนะ ฉันจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่ามีลูกที่กินอะไรไม่ได้แบบนี้”
มันเป็นเรื่องปกติที่ทุกเช้าจะต้องมีเรื่องชวนทะเลาะอยู่เรื่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ไม่ก็เรื่องตื่นสาย หรือไม่ก็เรื่องที่ไม่จัดที่นอนให้เป็นระเบียบ ซึ่งก็แน่อยู่แล้วสำหรับสองพ่อลูกที่ต้องทำหน้าที่ตัวเองในตอนเช้า แม่ที่ทำงานตอนกลางคืนไม่สามารถมาทำหน้าที่นี้ได้ เธอยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงที่ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีแต่รอยช้ำที่ถูกพวกมนุษย์ตัวผู้สารเลวกระทำ ซึ่งมันก็ไม่สบอารมณ์พ่อเท่าไหร่
ผมนับถือพ่อจริง ๆ ที่เขาสามารถรับเรื่องแบบนี้ได้ แต่ในทางกลับกัน อายุของแม่ก็มากขึ้นทุกวัน ๆ ก็ควรที่จะเลิกอาชีพแบบนี้แล้วไปทำอย่างอื่นดีกว่า เมื่ออยู่ในนั้นไม่ต่างอะไรกับนรกเลยจริง ๆ ผมเคยให้แม่พาไปที่ที่ทำงาน ก็เจอกับเพื่อนรุ่นน้องที่อายุเท่า ๆ กับผม ซึ่งมันเป็นไอเดียของแม่ที่มีอยากจะให้ลูกชายอายุสิบแปดได้โตเป็นผู้ใหญ่เสียที ก็เลยพามาอาบน้ำหาประสบการณ์ และพ่อก็รู้เรื่องนี้แต่เลือกที่จะไม่ทะเลาะกับแม่ เพราะเขารักแม่มากจนยอมทุกอย่าง แม้กระทั่งยอมให้แม่ทำงานอาชีพนี้ต่อ เพราะว่าเป็นงานสบาย ๆ แค่ทำตัวสวย ๆ ให้พวกผู้ชายหื่นกามเข้ามาเลือก จ่ายเงินและขึ้นห้อง หลังจากนั้นทุกอย่างก็จบลงบนเตียงและทำเรื่องอย่างว่า
นั่นแหละ…สิ่งที่ผมเจอในวันนั้นก็เป็นอย่างที่บอกไปทั้งหมด ก่อนที่พ่อจะจีบแม่ เขาเคยเป็นลูกค้าของแม่มาก่อน หลังจากนั้นก็เผลอทำแม่ท้องสุดท้ายก็ต้องรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับเธอ ในความเป็นจริงแม่สามารถไปทำแท้งก็ได้ แต่พ่อเขาขอไม่อยากให้เด็กในท้องตายและเขาก็รักแม่มาก ๆ จนยอมได้ทุกอย่าง หลังแต่งงานเชื่อเถอะว่าทั้งสองไม่เคยทะเลาะกัน แต่แม่ก็เป็นภรรยาและแม่ที่ดี เธอเลี้ยงผมให้โตมาเป็นคนที่รู้จักคิด รู้จักที่จะเป็นเสือมากกว่าหมา ผมเคยถามพ่อว่าทำไมถึงปล่อยให้แม่ทำงานแบบนี้ พ่อไม่ตอบอะไรมาก แค่ตอบว่า “พ่อแค่รักแม่มากจนยอมแม้กระทั่งขายตัว”
ช็อกสิครับ
“เมื่อเช้าแม่กลับถึงบ้านกี่โมง?” ผมถาม
“ก็เวลาเดิม แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะสายหน่อย คงไปต่อกับลูกค้าบางคนมา” พ่อตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ แต่แววตาของพ่อดูหม่นหมอง แน่ล่ะ ในใจลึก ๆ แล้วพ่อไม่อยากจะเอาอนาคตตัวเองที่จะได้รับมรดกจากที่บ้านตัวเองจนกลายเป็นเจ้าของบริษัทมาทิ้งกับผู้หญิงสำส่อนขายตัวเพื่อเลี้ยงตัวเองให้มีข้าวกินทุก ๆ วันหรอก แต่ที่ทำไปทั้งหมดเป็นเพียงเพราะความรักทั้งนั้น เขาถูกตัดชื่อออกจากวงศ์ตระกูลทันทีเมื่องานแต่งงานจบไปพร้อมกับเงินหนึ่งล้านบาทสุดท้ายเพื่อให้เอามาตั้งตัว แต่ด้วยความที่ในตอนนั้นพ่อยังไม่มีงานทำ แม่ก็เลยต้องยังคงทำงานกลางคืนต่อไป จะมีสักกี่คืนในหนึ่งเดือนที่พ่อจะได้นอนกอดแม่ ไม่หรอก…ไม่มี ซึ่งหน้าที่เลี้ยงลูกก็ต้องตกไปอยู่กับพ่อ แต่พอผมโตขึ้นเรื่อย ๆ พ่อก็สอนให้ผมรู้จักช่วยเหลือตัวเอง แต่ก็นั่นแหละ มันทำให้ผมเข้าใจได้ว่า โลกนี้ไม่มีชีวิตไหนที่เดินไปในทางที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ
“ความจริงถ้าแม่เข้างานเร็วหน่อยก็น่าจะทำรอบได้ไวนี่” ผมพูดพลางตักซีเรียลขี้นมากิน
“คนส่วนใหญ่ก็ชอบอะไรที่มันสด ๆ ใหม่ ๆ ทั้งนั้นแหละลูก แต่แม่แกตอนนี้ก็เริ่มมีอายุแล้ว แม้ว่านางก็ยังสวยสำหรับพ่อ แต่มันก็เริ่มไม่เป็นที่ต้องการของวงการแล้ว อีกไม่นานก็ต้องโดนเขี่ยทิ้ง”
“พ่อก็พูดแรงไป ถ้าแม่ตื่นขึ้นมาได้ยินก็คงเสียใจแย่” ผมขมวดคิ้ว
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แม่เขาหลับสนิทไปแล้ว” พ่อยิ้ม
มันก็คงจะดีถ้าไม่มีใครอยู่ด้านหลังด้วย โต๊ะกินข้าวเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทำจากไม้สักปลอมเคลือบเงาอย่างดี เก้าอี้สี่ตัววางอยู่ด้านทิศเหนือและทิศใต้ทิศละสองตัว ผมนั่งอยู่ทางทิศใต้ซึ่งตรงกับประตูห้องของตัวเอง แต่พ่อนั่งอยู่ฝั่งทิศเหนือซึ่งตรงกับห้องของพ่อและแม่ สาเหตุที่ผมปูมาขนาดนี้เพียงอยากให้รู้ว่า แม่กำลังยืนอยู่ข้างหลังพ่อด้วยเส้นผมที่ตั้งเด่แข็งเหมือนปีศาจที่กำลังพิโรธ เพราะต้องฉีดสเปรย์เพื่อให้เส้นผมอยู่ทรงตลอดเวลาเหมือนผู้ชายที่ฉีดสเปรย์เพื่อให้จัดทรงได้ง่าย แต่ในทางกลับกัน สมัยนี้แทบไม่มีผู้หญิงคนไหนเขาทำกันแล้ว สถานการณ์ที่ผมพอวิเคราะห์ได้ก็คือพ่อซวยอีกแล้ว เพราะคำพูดที่บางทีก็พูดไม่คิดแบบนี้มักจะทำให้แม่อารมณ์ขึ้นทุกเวลา แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของผู้หญิงอยู่แล้วที่จะหัวเสียกับเรื่องพวกนี้ แต่แม่คงยกให้เป็นกรณีพิเศษที่รู้กัน
ผมกลืนน้ำลาย
“ผมคิดว่าผมต้องไปเรียนแล้วล่ะ เดี๋ยวรถจะติดเอา” ผมไม่รอให้ใครพูดต่อ ผมคว้ากระเป๋าสะพายและวิ่งออกจากบ้านอย่างรวดเร็วและปล่อยให้พ่อเผชิญชะตากรรมที่ตัวเองเพิ่งก่อไว้
“ลูกไม่ได้ขับรถนี่ แล้วก็ไม่ได้นั่งแท็กซี่ด้วย แล้วจะมาอ้างว่ารถติดได้ยังไง” พ่อขมวดคิ้วอย่างงง ๆ “ปกติก็นั่งบีทีเอสไปมหา’ลัยตลอดนี่”
“ที่รักคะ” เสียงเย็น ๆ ดังขึ้น
พ่อสะดุ้งเฮือก ก่อนที่จะค่อย ๆ หันไปหาภรรยาที่ยืนทำหน้าเป็นนางยักษ์ ชีวิตคู่ก็เป็นแบบนี้แหละ แรก ๆ ก็หวานขนาดน้ำผึ้งเดือนห้าผสมน้ำตาล แต่พออยู่ไปนาน ๆ จนมีลูกมีเต้าก็เริ่มเป็นอย่างที่ทุกคนเห็น นางฟ้ามีแต่รอยยิ้มจนกลายมาเป็นนางผีเสื้อสมุทรที่พร้อมจะพิโรธได้ตลอดเวลา แม้ว่าหุ่นของภรรยาแต่ละคนหลังมีลูกไม่ต่างไปจากถังแก๊สเดินได้ แต่ในทางกลับกันกับ บัว ภรรยาสุดที่รักของ ชิน ถือว่ายังหุ่นดีอยู่ เธออยู่ในชุดทำงานที่เป็นชุดสายเดี่ยวสีดำสุดเซ็กซี่ หน้าอกยังเต่งตึงไม่ต่างจากเด็กสาวมหาลัย กระโปรงแดงรัดรูปสั้นเสมอหูเผยให้เห็นต้นขาและอวดทรวดทรงอันสวยงามที่เป็นหนึ่งในจุดขายของเธอ นางสวมถุงเท้ายาวถึงต้นขาสีดำเหมือนนักเรียนญี่ปุ่นเพื่อเผยผิวต้นขาขาว ๆ เรียวยาวจนหนุ่ม ๆ ต้องหลง แม้กระทั่งสามีตัวเอง แม้ว่าเจ้าตัวจะอายุขึ้นเลขสี่ ด้วยความที่ดูแลตัวเองดีมาตั้งแต่แรก ผิวพรรณและรูปร่างก็ไม่ต่างจากผู้หญิงอายุยี่สิบต้น ๆ สักเท่าไหร่
“วะ…ว่าไงจ๊ะที่รักจ๋า…” ชินพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“ที่รักก็ปากร้ายได้ทุกวันเลยนะคะ ขนาดฉันอายุตั้งขนาดนี้ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่เลย” บัวถือวิสาสะเข้ามานั่งคร่อมบนตักชินพร้อมเอาใบหน้าที่ยังสวยแบบไร้เครื่องสำอางเข้ามาเผชิญหน้ากับสามี เธอมองดูสามีของตัวเองและยิ้มอย่างเย้ายวน “เอ๋! นี่หึงเค้าขนาดนี้เลยเหรอ? แต่ไม่ต้องห่วงนะ เช้านี้จะอยู่กับที่รักทั้งเช้าเลย”
“แต่ผมต้องไปทำงานนะที่รัก ไม่งั้นผม…” ชินพยายามหลบหน้า แต่บัวก็จับหน้าสามีมาเผชิญตัวเองอยู่ดี
“เห…ปากไปตรงกับใจเลยนะคะ” เธอใช้ริมฝีปากอันอวบอิ่มประกบกับริมฝีปากแห้ง ๆ ของสามีเบา ๆ ตามที่ตัวเองเคยเรียนรู้มาจากที่ทำงาน
พอถอนริมฝีปากออกมาเบา ๆ นางก็มองตาสามีตัวเองด้วยสายตาที่เยิ้มชวนสยิว ซึ่งสามารถสะกดสามีตัวเองให้อยู่กับที่ได้ในพริบตา ใบหน้าของชินแดงไม่ต่างจากมะเขือเทศเนื่องด้วยมนต์เสน่ห์ของภรรยาที่รักทำให้ตกอยู่ในห้วงภวังค์
“วันนี้ฉันต้องเข้างานบ่ายสามแต่ยังไม่ง่วงเลย ช่วยทำให้ง่วงหน่อยสิ วันนี้เธอลาพักงานก่อนก็ได้ เมื่อวานฉันกลับมาก็เห็นแต่นั่งทำงาน” บัวโน้มตัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหู “มาทำอะไรที่มันผ่อนคลายกันดีกว่า นะคะ”
เชื่อเถอะ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านผม ความจริงผมจะเรียกว่าบ้านแบบจริง ๆ ก็คงจะพูดยาก การที่จะสร้างหรือหาบ้านสักหลังในกรุงเทพมหานครก็เป็นเรื่องที่ยากเอาการ พวกเราสามพ่อแม่ลูกอาศัยอยู่ที่คอนโดขนาดกลาง ผมเรียนหนังสือและทำงานรับจ้างเป็นฟรีแลนซ์รับออกแบบนู่นนี่ บางทีผมก็ขายหนังโป๊เพื่อเสริมรายได้ให้ครอบครัว ซึ่งมันก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนผมแทบไม่มีเวลาทำอะไรเลย แน่ล่ะ สินค้าส่วนใหญ่เป็นของหายากที่ใช่ว่าจะหากันได้ง่าย ๆ แต่สุดท้ายผมก็หาได้อยู่ดี ใช่ครับ…ครอบครัวของผมมีกันอยู่แค่สามคน แต่ละคนก็มีเส้นทางหาเงินของตัวเองเพื่อให้ครอบครัวอยู่กันไปอย่างมีความสุข
ผมเดินอยู่บนฟุตปาธ ผ่านผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะมีฐานะจนหรือรวยกว่า ผมแอบมองแต่ละคนที่เดินสวนไป นักธุรกิจถือกระเป๋าเอกสารสีดำในมือ จับมือถือคุยกับใครสักคนอยู่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ลักษณะการแต่งตัวด้วยชุดสูทสีเทาเข้ม มีลายทางสีแดงเลือดหมูจาง ๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็น อายุคงไม่ห่างจากพ่อแม่ตัวเองเท่าไหร่ แต่ด้วยใบหน้าที่ดูแก่กว่าวัยทำให้พอรู้ว่าเขาเคร่งเครียดกับงานขนาดไหน บางทีผมก็คิดว่าถ้าต้องเครียดขนาดนี้เพื่อให้ได้เงินมาเยอะ ๆ มันคงจะไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่
เมื่อผ่านขอทานชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใต้บันไดขึ้นบีทีเอส คนนี้ก็ไม่ได้ทำงานอะไร ไม่ต้องเคร่งเครียด แต่สิ่งที่ตามมาคือความกดดันในการใช้ชีวิต เสื้อผ้าขาดวิ่นสกปรกมอมแมมจากการเปื้อนโคลนเปื้อนน้ำฝน รวมถึงกางเกงขาสั้นที่ขาดรุ่งริ่งจนไม่เหลือชิ้นดี สองมือถือแก้งกาแฟเซเว่นที่สามารถหาได้ตามถังขยะยื่นมาข้างหน้าพร้อมกับสีหน้าที่อ้อนวอนขอเศษเหรียญจากผู้คนนับร้อยที่เดินผ่านไปโดยไม่สนใจไยดี จะมีใครสักคนมั้ยที่จะสนใจเอาเศษเหรียญไปหย่อนให้เขา…ไม่หรอก หนึ่งในร้อยก็คงจะทำแบบนั้น ผมก็เคยมาลองคิดดูหลายตลบในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ว่าทำไมคนเราถึงต้องช่วยคน เพราะอยากเป็นที่สนใจงั้นเหรอ? ช่างเถอะ…คิดไปก็ปวดหัว
ผมคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยในขณะที่ตัวเองยัดหูฟังทั้งสองด้านเข้าหูและเปิดเพลงคลาสสิกบรรเลงเบา ๆ เดินขึ้นไปยังสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ต่อแถวตอกบัตรเพื่อขึ้นไปยังชานชาลาเพื่อยืนรอรถไฟ อากาศมันเริ่มร้อนตามเวลาที่เดินไปเรื่อย ๆ จนทำให้เสื้อนักศึกษาเริ่มมีเหงื่อซึม เมื่อรถไฟฟ้ามาถึง แต่ละคนก็พยายามเบียดตัวเองเพื่อให้ได้เข้าไปข้างใน จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอขบวนต่อไป ชีวิตคนเมืองกรุงก็เป็นแบบนี้แหละ และอาจจะต้องเจออะไรต่อมิอะไรอีกเยอะ
________________________________________________________
To Be Continue Ep.2