"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
แอคชั่น,ชาย-หญิง,สะท้อนปัญหาสังคม,ไทย,เลือดสาด,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,สยองขวัญ,ผี,ผจญภัย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Undead War สงครามคนเป็น"พลังที่ผมได้มานั้น...มันคือพรหรือคำสาปกันแน่นะ...? แล้วผมจะใช้พลังนี้แก้ไขประเทศที่ล่มสลายนี้จะกลับเหมือนเดิมได้อย่างไร...?"
โรคระบาดยังคงอยู่รอบๆ ตัวเรา ไม่ได้หายไปไหน หมอทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ความหวังดับวูบจนไม่เหลือแม้แต่แสงสุดท้าย ราวกับว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ไร้แสงสว่างและไร้สิ้นสุด พวกซอมบี้ต่างคอยจะได้กัดกินเนื้อมนุษย์อย่างกับเครื่องจักรที่ไม่มีวันเหนื่อย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็มีแต่พวกมันอยู่เต็มไปหมด
แต่ความหวังก็ยังไม่หมดไป เมื่อผมสามารถเอาชนะเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ ทำให้ร่างกายของผมเกิดกลายพันธุ์และสามารถแปลงกายเป็นซอมบี้ได้ตลอดเวลา นั่นทำให้ผมวิวัฒนาการไปอีกขั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติได้
“ผมอยากจะอธิบายเรื่องของการทำให้การเขียนบทหนังให้ดูดีมากขึ้นนะครับ พวกคุณคิดว่าพวกเราควรทำยังไงกันบ้าง ที่จะทำให้เราเขียนมันออกมาได้ดี” อาจารย์โต๋งเปิดสไลด์ในโปรแกรมพาวเวอร์พอยต์ พลางอธิบายสิ่งที่เขากำลังจะสอนในชั่วโมงนี้ “พวกคุณว่าเรื่องราวแบบไหนเขียนยากที่สุด เอาแบบนี้ ผมถามคนที่เก่งที่สุดในห้องก่อนก็แล้วกัน ว่าไงคุณนัท?”
ชายร่างสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ตัดผมรองทรงสูงยาวและยังไว้ปิดคิ้วเป็นหน้าม้า แต่งตัวชุดนักศึกษาที่ถูกรีดมาอย่างดี ชายเสื้อถูกเก็บไว้ในกางเกงสแลกสีดำทรงกระบอกของเขาอย่างประณีตได้ยืนขึ้น ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเกินคำบรรยาย เหมือนเขารู้คำตอบที่อาจารย์ต้องการอยู่แล้ว
“อันนี้ผมไม่รู้ครับ” คำตอบที่เขาตอบด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าเขาเคยเป็นหนึ่งในผู้เข้าชิงเดือนของปีนี้ และเกือบจะชนะอยู่แล้วจากคะแนนเสียงของคนทั้งคณะ แน่นอน ผมก็เป็นหนึ่งในคะแนนเสียงเช่นกัน แต่เขาดันสงสารคนที่หล่อกว่าคนหนึ่งที่เพิ่งตกรอบไป เพราะเขาชักเริ่มไม่สนใจตำแหน่งเดือนประจำคณะจึงสละสิทธิ์ไปเฉย ๆ แบบนั้น ซึ่งผลที่ตามมาก็คือความเป็นที่นิยมของเขาก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก บวกกับว่าตัวเองเป็นคนหน้าตาดี จึงเป็นที่หมายปองของสาว ๆ
โอเค ๆ เข้าเรื่องต่อเลยละกัน
อาจารย์โต๋งทำสีหน้าไม่พอใจกับคำตอบที่เขาไม่อยากจะได้ยินจากศิษย์เอกของเขาแม้แต่น้อย เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยอารมณ์ที่เขาอยากจะมุดแทรกแผ่นดินหนีไปเลย แต่ด้วยความที่อาจารย์เริ่มมีอายุและมีรูปร่างอวบ จึงทำแบบนั้นได้ยาก นัทเป็นศิษย์เอกของอาจารย์โต๋งและยังครองตำแหน่งคนทำหนังอันดับหนึ่งของคณะที่ไม่มีใครเปรียบได้อีกแล้ว แถมยังหน้าตาดี แต่งตัวดี จึงทำให้มีคนชอบเข้าหาอยู่เรื่อย ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้คิดจะเข้าหา เป็นเพราะว่าผมไม่ได้หลงใหลกับงานทำหนังหรือเรื่องพวกนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ว่าผมไม่อยากเรียนคณะบริหารธุรกิจเพราะมันยาก อันที่จริงผมก็กลัวที่จะเรียนไม่จบด้วยแหละเลยตัดสินใจมาเรียนที่คณะนิเทศ
“น่าจะเป็นแนวตลกล่ะมั้งครับจารย์” มีใครคนหนึ่งตอบ ‘นิว’ นั่นเอง เขาเป็นเพื่อนของนัท ได้ข่าวลือว่าฝีมือพอ ๆ กัน แต่อายุน้อยกว่าสองปี แต่ก็อายุมากกว่าผมเพียงปีเดียว ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ผมเอง เขาน่าทึ่งตรงที่ว่าอายุแค่ยี่สิบปีก็มีงานที่อลังการกว่าเด็กทุกคนในมหา’ลัยแล้ว นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผมเห็นในมหา’ลัย แต่ผมก็เคยคุยกับเขาอยู่ไม่นานจนทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนที่อัธยาศัยดีทีเดียว แต่ก็ไม่รู้อะไรนอกจากนั้นอีกแล้ว แต่ที่รู้ ๆ ก็คือนัทกับนิวเป็นคู่หูทำหนังที่แข็งแกร่งที่สุดในนิเทศ
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ? คุณนิว” อาจารย์โต๋งถาม “คุณอย่าคิดจะสปอยล์วันพีชผมเชียวนะ”
“เอาน่าจารย์ ให้ผมได้ตอบก่อน” นิวยิ้มแหะ ๆ แล้วจึงเปลี่ยนใบหน้ามาเป็นใบหน้าที่ดูจริงจัง ซึ่งมันเป็นความสามารถพิเศษที่เขาสามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วจนมนุษย์เมนบางคนยังอาย “ก็เพราะมันยากที่จะทำให้ใครหัวเราะกับมุกตลกนี่ ขนาดโจ๊กเกอร์สมัยที่ยังปกติ จะคิดแต่ละมุกให้คนขำได้ยังลำบากเลยจารย์”
“ที่ตอบมาก็มีเหตุผล” อาจารย์โต๋งเอามือลูบคางตัวเองอย่างครุ่นคิด “เดี๋ยวธีสิสผมจะให้คุณทำหนังตลก ดูซิว่าคุณจะทำออกมาได้ไหม”
“อ้าว! แล้วทำไมต้องเป็นผมด้วยละครับ” นิวห่อไหล่
“ก็อยากรู้ว่าคุณจะทำได้ไหมแค่นั้น” ก่อนที่นิวจะพูดอะไรออกมา เหมือนอาจารย์โต๋งจะรู้อยู่แล้วจึงสวนเขากลับ “คุณเงียบ ๆ ไปก่อน เดี๋ยวผมจะเปิดหนังสั้นที่รุ่นพี่ของพวกคุณได้ทำ ซึ่งมันเกี่ยวกับงานรับน้องที่ผ่านมาเป็น Case Study”
และแล้วเขาก็เปิดหนังสั้นที่ว่านั้นให้ดู
มันคือหนังสั้นซอมบี้ทุนสูง (สำหรับเด็กนักศึกษา) ที่ทำเพื่อเป็นงานส่งในวิชาที่ผมกำลังเรียนอยู่ ความยาวของหนังสั้นเรื่องนี้อยู่ที่สามสิบนาที ซึ่งน่าจะเป็นรุ่นพี่ที่จบไปแล้วทำแน่นอน เพราะว่านักแสดงแต่ละคนที่ผมเห็นในนี้ไม่รู้จักเลยแม้แต่คนเดียว แต่ก็นะ เรื่องราวในหนังเริ่มต้นว่ามีเด็กนักศึกษาคนหนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางสุสานในตอนกลางคืน ดูเหมือนว่านางกำลังหลงทางอยู่ด้วย แล้วจู่ ๆ ก็ไปเจอกับชายคนหนึ่งที่เดินขากะเผลก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เนื้อหนังสีซีดจนแทบไม่รู้เลยว่าตอนเมกอัปต้องใช้รองพื้นเบอร์ไหนถึงจะทำให้ซีดเป็นตีนไก่ได้ขนาดนี้ พอนางเอกเดินเข้าไปเพื่อที่จะถามทาง ผู้ชายคนนั้นก็หันมา ปรากฏว่าเขาคือซอมบี้ เสียงประกอบที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยก็ทำให้ทั้งห้องสะดุ้งไปตาม ๆ กัน นางเอกกรีดร้องแล้ววิ่งหนีออกไป ซอมบี้เห็นดังนั้นจึงวิ่งตามไป การแสดงทั้งหมดในเรื่องนี้มันดูไม่ธรรมชาติเลย
ปัง!!
มีเสียงอะไรบางอย่างกระแทกที่กระจกอย่างรุนแรงจนที่ให้ทุกคนให้ความสนใจหันหลังไปมองต้นเสียง ซึ่งมันอยู่ตรงนั้นนั่นเอง ใครคนหนึ่งพยายามเอาหัวเคาะกับกำแพงเบา ๆ เป็นผู้หญิงแฮะ เพราะมีผมปิดใบหน้า นักศึกษาแต่ละคนเริ่มกลัวสิ่งที่ตัวเองกำลังมองอยู่ ณ ตอนนี้ บางคนถึงกับกระซิบว่า ซอมบี้หรือเปล่าวะ?
ผมคิดว่าไม่ใช่…เป็นไปได้ที่ไหนที่เราเพิ่งดูหนังสั้นซอมบี้ของรุ่นพี่นักศึกษาได้ไม่ถึงห้านาทีแล้วจู่ ๆ ก็มีซอมบี้มายืนเอาหัวเคาะกับประตูกระจกเลยเนี่ยนะ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็คงจะเป็นที่เซอร์ไพรส์สำหรับผมและทุกคนในห้องเรียนอย่างแน่นอน
“เป็นของสาขาคณะการแสดงปะพวกเรา?” เปีย นักศึกษาหญิงร่างบางลุกขึ้นพูดปลอบทุกคนทั้ง ๆ ที่เหงื่อก็ชุ่มไปทั้งตัว “บางทีนี่อาจจะเป็นเพื่อนเราจากสาขานั้นก็ได้นะ บางทีก็มาเพื่อโปรโมทละครเวทีของปีนี้ไง”
“แต่เรียนอยู่สาขาการแสดงนะ คอนเซปต์ของละครเวทีของพวกเราไม่ได้เป็นซอมบี้” ปายพูด นั่นส่งผลให้ทั้งห้องเกิดอาการหน้าซีดไปหมด
“ทุกคนอยู่ในความสงบก่อน เดี๋ยวอาจารย์จะเป็นคนออกไปจัดการให้ คงเป็นเด็กที่ชอบแกล้งกันเฉย ๆ แหละ ไม่มีอะไร” อาจารย์โต๋งรวบรวมความกล้าแล้วเดินไปที่ประตู แต่หญิงผมยาวปริศนาก็ยังคงเอาหัวเคาะกับประตูเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูจากการแต่งตัว ดูจากเครื่องแบบแล้ว เธอน่าจะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยผมนี่แหละ ผมมองเห็นไม่ค่อยชัดเพราะเธอใสเสื้อคลุมสีดำทับอยู่ เมื่ออาจารย์กำลังจะเปิดประตู ผมสังเกตรอยสีแดงที่ชุ่มอยู่บนชุดนักศึกษาสีขาว ทำให้ผมนึกถึงเลือด ตอนนี้ผมเบิกตาโพลงทันที
“อาจารย์! หยุดก่อน!!”
อ่า…ผมคงไม่กล้าที่อยู่ดี ๆ ก็พุ่งขึ้นไปตะโกนแบบนั้นหรอก เพราะเลือดนั่นอาจจะเป็นเลือดปลอมก็ได้ วงการมายาสมัยใหม่ก็แบบนี้แหละ จะแยกของจริงกับของปลอมออกก็ต้องใช้เวลานาน
อาจารย์โต๋งเปิดประตูด้วยสีหน้าที่หงุดหงิดพอสมควร
“คุณเป็นใคร? คุณมีสิทธิ์อะไรมารบกวนการสอนของผม? คุณมีเรียนหรือเปล่า?” อาจารย์รัวคำถามออกไปแทบไม่มีเวลาให้หายใจหลังจากที่เปิดประตูออกไปแล้ว
แต่เวลาหายใจหลังจากนั้นคือ หายนะ!
ในพริบตาเดียวนั้น จู่ ๆ นักศึกษาสาวคนนั้นพุ่งเข้ามากัดแขนอาจารย์โต๋งทันที ท่ามกลางความตกใจของอาจารย์และนักศึกษาที่อยู่ตรงนั้น ทำให้ทุกคนลุกออกจากที่นั่งและกระโจนถอยห่างจุดเกิดเหตุทันที อาจารย์ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แขนของเขามีเลือดพุ่งอย่างบ้าคลั่งไม่ต่างจากท่อประปาแตก แต่ซอมบี้สาวนั้นก็ยังฝังเขี้ยวไปให้ลึกที่สุด และดูเหมือนมันกำลังชอบกลิ่นคาวเลือดนี้มาก
“ใครก็ได้ดึงยัยนั่นออกมาจากอาจารย์โต๋งเร็วสิ!!” วินตะโกนลั่นอย่างกลัว ๆ “พล! มึงเข้าไปสิ!”
วินใช้พละกำลังของเขาที่มีผลักร่างพลที่กำลังยืนอึ้งเข้าไปหานักศึกษาสาวที่กำลังขย้ำกัดกินแขนอาจารย์โต๋งอย่างบ้าเลือด ดูจากสภาพเขาคงไม่รอดแน่นอน พลพยายามตั้งสติแล้วกระชากตัวนักศึกษาคนนั้นออกมา ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนที่แรงเยอะ ร่างนักศึกษาจึงหลุดจากอาจารย์โต๋งด้วยแรงกระชากเพียงครั้งเดียว และแล้วมันก็เปิดเผยใบหน้าที่ทำให้ผมไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต! ใบหน้าที่บิดเบี้ยวซีดเผือด สีเลือดที่ผุดขึ้นบนใบหน้าเหมือนมีรากไม้แทรกอยู่ใต้ผิวหนัง ดวงตาสีขาวโพลนไม่ต่างจากผีดิบ ร่างกายชโลมไปด้วยเลือดสีแดง ส่งกลิ่นคาวไปทั่วบริเวณ ส่วนอาจารย์โต๋งนอนหมดสติไปแล้ว แขนที่ถูกกัดมีเลือดไหลออกมาไม่ต่างจากท่อประปาที่แตกแล้ว ทุกคนที่ถอยหลังติดผนังไม่ละสายตาจากซอมบี้ตัวนั้น มันไม่รีรอ มันพุ่งเข้าใส่พลและทุกคนโดยไม่คิดชีวิต
“อะไรกันวะเนี่ย!!” นัทโวยวาย
จู่ ๆ ร่างที่หมดสติของอาจารย์โต๋งก็ลุกขึ้นมา…เวรละ…อาจารย์โต๋งกลายเป็นซอมบี้ไปแล้ว…เขามองมาที่พวกเราและกระโจนเข้าใส่อย่างไม่รีรอเช่นกัน เขาและซอมบี้สาวกัดกินนักศึกษาไปหลายคนและส่งผลให้คนที่โดนกัดนั้นกลายร่างเป็นพวกเดียวกับมันในเวลาไม่ช้า ทุกคนต่างหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่บางคนที่ตั้งสติพอที่จะหยิบอะไรที่สู้ได้ก็เข้าสู้และป้องกันตัวเอง อย่างนิวหยิบปากกาด้ามยาวแทงเข้าที่หัวของมันตัวนึงเพื่อเปิดทางให้ทุกคนที่ยังรอดชีวิตได้หลบหนี
“ทุกคน!! หนี!!” นิวตะโกนสุดเสียงและถีบซอมบี้ตัวนั้นล้มหงายหลังไป จากนั้นเขาก็วิ่งออกไปโดยไม่สนใจคนอื่น
ผมที่ได้สติก่อนจึงวิ่งตามนิวไป แต่ก็รู้สึกแปลกใจที่ทั้งห้องมีแต่เขาคนเดียวที่มีสติดีที่สุดในห้อง รองลงมาก็น่าจะเป็นผมในความเป็นจริงเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต มนุษย์เป็นพวกที่กลัวสิ่งที่ตัวเองไม่รู้และใช้สัญชาตญาณของตัวเองตัดสินทันทีว่ามันเป็นภัยคุกคามต่อตัวเองและเผ่าพันธุ์ของตัวเองหรือไม่
ซึ่งในกรณีนี้ ใช่อย่างแน่นอน!
“อย่าใช้ลิฟต์!” นิวบอกผมในขณะที่กำลังจะกดปุ่มเรียกลิฟต์ “เราจะเสี่ยงลงลิฟต์แล้วเจอกับพวกมันไม่ได้”
“แล้วถ้าไม่มีพวกมันเลยล่ะ?” ผมถามกลับ นิวทำหน้าเขม็งใส่
“กูไม่คิดจะเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงหรอกนะ” เขาวิ่งลงทางบันไดหนีไฟไป “ตามมา”
ผมตัดสินใจตามนิวไป จู่ ๆ ก็มีมือหนึ่งพุ่งเขามาคว้าตัวผมแล้วดึงเข้าไปในห้องเก็บไม้กวาดของแม่บ้าน ตัวผมที่กำลังจะโวยวาย แต่ใครบางคนทำเสียงจุ๊ ๆ ไว้ก่อน ผมจึงไม่ออกเสียงอะไร นิวนั่นเอง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นและยังได้ยินเสียงเขาหอบ ซึ่งเขาพยายามใช้เสียงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
“อย่าส่งเสียง” เขากระซิบ “พวกมันมีอยู่ทุกที่ พวกมันครองมหา’ลัยเราแล้ว”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดี?” ผมถามด้วยเสียงกระซิบ
“ฉันดูหนังซอมบี้มาเยอะ กูพอรู้ว่าจะทำยังไงให้รอด” นิวแสยะยิ้มแล้วหยิบไม้กวาดทางมะพร้าวขึ้นมาสองอัน เขายื่นให้ผมหนึ่งอัน “นายต้องเอาไว้ใช้ป้องกันตัว ซอมบี้พวกนี้ก็อย่างที่ในหนังบอกและกูหวังว่านายจะเคยดูหนังซอมบี้มาบ้างสินะ จะฆ่ามันก็ให้เล็งที่หัว ถ้าจะกันให้มันหลบไป ใช้แรงทั้งหมดที่มี ขอแนะนำตัวเองใหม่ เราชื่อ นิว”
ผมรับไม้กวาดทางมะพร้าวมา “เราชื่อ เอ็น”
“โอเค เอ็น ฉันรู้ว่านายไม่ใช่คนขี้ขลาดอะไร ในเมื่อวันนี้เรามีชะตาร่วมกันแล้ว เราจะฝ่าพวกมันออกไป มันฟังดูบ้าเลือดเกินไปหน่อย แต่เราไม่มีตัวเลือกมากนัก อย่าเป็นตัวถ่วงให้กันและกันและถ้าใครล้ม อย่าคิดจะกลับมาช่วยเด็ดขาด เข้าใจนะ เพราะกฎการเอาชีวิตรอดมันเปลี่ยนไปแล้ว”
“นายพูดเหมือนกับว่านายเคยใช้ชีวิตอยู่ในโลกซอมบี้มาแล้วงั้นแหละ” ผมยักคิ้ว
“ไม่เคย แต่นี่แหละ โลกที่ใฝ่ฝันก็มาถึง ฉันวางแผนที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มานานแล้ว ในที่สุดความฝันก็เป็นจริงขึ้นมาสักที!!”
“นี่ล้อกันเล่นใช่ม้้ยเนี่ย!!” ผมโวย
“หึหึ”
นิวกระโจนออกจากห้องเก็บไม้กวาดออกไปโดยที่ไม่ได้ให้สัญญาณแล้วฝ่าดงซอมบี้ออกไป ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวกับด้ามไม้กวาด ให้ตายสิ วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับผม…เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง…จุดที่ต้องออกมาสู้กับฝูงซอมบี้ มันต้องมีทางใดสักทางสิที่ไม่ต้องจัดการกับพวกมัน นิวเปิดประตูห้องเก็บไม้กวาดมา ผมสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเขาชโลมไปด้วยเลือดของพวกซอมบี้ นี่เขาไปทำอะไรมากันแน่เนี่ย!?
“ออกมาได้แล้ว! ไอ้ขี้ขลาด! ช่วยจัดการพวกมันหน่อย!” ชายหนุ่มดึงผมออกมาเผชิญหน้ากับพวกมันสองตัวที่กำลังวิ่งเข้ามาหาผม
“บทเรียนแรก” นิวเข้ามาข้างหลังผมแล้วคว้าแขนของผมที่จับด้ามไม้กวาดอยู่และตั้งท่าเตรียมสู้ให้ พอพวกมันวิ่งเข้ามาในระยะการโจมตี นิวเหวี่ยงแขนผมหวดซอมบี้สองตัวนั้นเข้าที่ขมับเต็ม ๆ จากนั้นเขาจึงจัดการกับอีกตัวโดยการปล่อยมือจากผมแล้วคว้าด้ามไม้กวาดของเขาที่ตกอยู่ไม่ไกลหวดเข้าที่กลางศีรษะ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาทอย่างแรง จึงทำให้ซอมบี้นั้นล้มลงไปกับพื้นแล้วสิ้นสภาพในที่สุด “อย่าลังเลที่จะลงมือกับมัน”
ผมทรุดลงไปกับพื้น ต่อมารู้สึกคลื่นไส้อย่างบอกไม่ถูก กลิ่นคาวเลือดที่ลอยเข้ามาแตะจมูกนั้นทำให้ผมอาเจียนออกมาในที่สุด ไม่รู้หรอกว่าเมื่อเช้าผมกินอะไรมาบ้าง แต่ที่รู้ ๆ กันก็คือ มันถูกขย้อนออกมาหมดเลย ซึ่งนิวก็ไม่ได้คลื่นไส้กับสิ่งที่ตัวเองกระทำอยู่ ดวงตาของเขาไร้ชีวิตชีวา แต่ในทางกลับกัน ดูเหมือนว่าเขาได้เจอกับสิ่งที่เขากำลังโหยหา ในตอนนั้นมันทำให้ผมรู้ได้ว่าเขาเป็นคนกระหายเลือดขนาดไหน เสียงโหยหวนที่ดังอยู่ในอาคารมันก้องไปทั่วบริเวณ ไม่รู้ว่าเพื่อน ๆ หรือคนในอาคารโดนเล่นงานไปเท่าไหร่แล้ว แต่อย่างเดียวทำผมภาวนาก็คือ…
ขอให้ฟางปลอดภัย
“รีบมาเร็ว เดี๋ยวพาไปที่บ้านฉันก่อน ที่นั่นมีของจำเป็นสำหรับการเอาชีวิตรอดจากโลกแบบนี้” นิวเอามือมาวางไว้บนบ่าของผม “ไม่ต้องห่วงเรื่องอ้วกหรอก ไม่มีทางบอกใครอย่างแน่นอน ศพแรกก็เป็นแบบนี้แหละ แต่เดี๋ยวศพต่อ ๆ ไปก็จะชินไปเอง”
ร่างกายของผมสั่นเทิ้มไปด้วยความกลัว ซึ่งเขาก็สามารถสัมผัสได้
“ความจริงฉันสามารถปล่อยให้นายอยู่ตรงนี้และรอพวกผีดิบนั่นเข้ามากินสมองนายได้เลยนะ แต่ที่ช่วยนายเอาไว้เมื่อกี้ เป็นเพราะว่าเห็นอะไรบางอย่างในตัวนาย” นิวจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่เย็นชา “นายต้องปรับสภาพ ปรับความคิดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายหรือความถูกผิด มันใช้การในโลกนี้ไม่ได้แล้ว นายจำไว้สิ่งเดียวก็คือนายต้องเอาชีวิตให้รอดเท่านั้น”
ผมตั้งใจฟังและพยักหน้า จากนั้นพยายามตั้งสติ พยายามหายใจเข้าออกแม้ว่าบริเวณตรงนั้นจะเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดก็ตาม มันก็จริงอย่างที่นิวว่า พวกที่ตายอย่างหมาก่อนส่วนใหญ่มักจะไม่ยอมรับและไม่ยอมปรับสภาพเข้ากับเหตุการณ์นั้น จึงทำให้ตัวเองถูกฆ่า ใช่…เราไม่ยอมรับสิ่งที่มันเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววิฯ ต่างหาก แต่ใครล่ะจะสามารถตั้งสติได้ขนาดนี้ อย่างในหนังมันเกิดขึ้นแล้วมีแต่พระเอกคนเดียวที่ตั้งสติและเอาตัวรอดจากสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ ซึ่งมันก็ไม่ได้น่าแปลกอะไร
นี่มันชีวิตจริง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่มีพระเอก ไม่มีนางเอก
มีแต่ตัวเราเองซึ่งมีอยู่สองตัวเลือก ระหว่างเปิดใจยอมรับฝันร้ายที่กลายเป็นจริงแล้วหาทางเอาชีวิตรอดให้ถึงที่สุดเพื่อวันข้างหน้า หรือร้องไห้ฟูมฟายโหยหาโลกที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นที่อยู่ในจินตนาการเพื่อปกปิดความจริงที่แสนโหดร้าย นี่แหละคือสิ่งที่โลกของเรากำลังเล่นตลกอยู่
ผมมองนิว จู่ ๆ น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม
“ไปกันเถอะ”
_____________________________________________________
To Be Continue Ep.5